Friday, 20 June 2025
ECONBIZ NEWS

'แกร็บ' ผนึก 'ภาครัฐ-เอกชน' จัดงาน 'GrabNEXT 2024' ชู 'T.R.A.V.E.L' ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย สู่อนาคตที่ดีกว่า

(15 พ.ค.67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินหน้าส่งเสริมและผลักดันการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมร่วมเป็นประธานเปิดงานเสวนาเชิงนโยบายประจำปี ‘GrabNEXT 2024: Driving towards the Future of Tourism ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว สู่อนาคตที่ดีกว่า’ ซึ่งจัดขึ้นโดย แกร็บ ประเทศไทย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางในการส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ ด้วยการยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้พร้อมตอบสนองพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ผ่านกลยุทธ์ ‘T.R.A.V.E.L.’

พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน อันได้แก่ นายนิธิ สีแพร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรติ นางสาวเพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยวและพันธมิตร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “การทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ถือเป็นเป้าหมายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปีนี้ ซึ่งนอกจากการที่กระทรวงต้องการยกระดับประเทศไทยให้เป็น Tourism Hub หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค เรายังต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายของการเป็น Aviation Hub ที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกว่า 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ตามนโยบายของรัฐบาลด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากการที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ทำให้ทางกระทรวงมีการตั้งเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท

โดยการที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากหน่วยงานทุกภาคส่วน ซึ่งทางกระทรวงต้องขอขอบคุณ แกร็บ ประเทศไทย ที่จัดงานในครั้งนี้ พร้อมทั้งยังช่วยสนับสนุน ผลักดัน การเดินทางท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพทั่วประเทศไทยด้วยดีเสมอมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์กรต่าง ๆ จะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และนำพาเศรษฐกิจไทยให้เจริญรุดหน้าต่อไป”

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวถือเป็นเป้าหมายหลักที่รัฐบาลเร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญคือการพลิกฟื้นการท่องเที่ยว และตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศและส่งเสริมเศรษฐกิจ แกร็บจึงได้จัดงาน GrabNEXT เพื่อนำความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี และความแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็มของแกร็บที่ให้บริการครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเติมเต็มและสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ ผ่านกลยุทธ์ ‘T.R.A.V.E.L.’ ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและมหภาค และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน”

เพื่อเป็นการสานต่อแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการยกระดับการท่องเที่ยวให้พร้อมตอบสนองพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ แกร็บจึงได้เผยกลยุทธ์ T.R.A.V.E.L. ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

>> Technological Integration การนำเทคโนโลยีดิจิทัลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวในกลุ่ม F.I.T. (Free Independent Travelers) หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเองกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ แกร็บ จึงได้ออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีมาเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่การวางแผนการเดินทางไปจนถึงการอำนวยความสะดวกระหว่างการท่องเที่ยว อาทิ หน้าจอต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจ และวางแผนการเดินทางบนแอปพลิเคชัน Grab ตั้งแต่ก่อนมาถึงประเทศไทย การพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีหลายภาษา ทั้งอังกฤษ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลี หรือ การเชื่อมต่อกับ แอปพลิเคชันชั้นนำให้สามารถใช้บริการเรียกรถของ Grab ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง WeChat Booking.com และ Trip.com ได้ รวมถึง การขยายช่องทางการชำระเงินดิจิทัลผ่าน Alipay และ Kakao Pay

>> Reliability & Safety การสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

ความปลอดภัยเป็นปัจจัยหลักที่นักท่องเที่ยวคำนึงถึงในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก หรือการใช้บริการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว แกร็บ จึงได้ยกระดับความปลอดภัยผ่านการพัฒนา 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre สำหรับแจ้งขอความช่วยเหลือ หรือ ฟีเจอร์ Audio Protect เพื่อบันทึกเสียงระหว่างการเดินทาง มาตรการด้านความปลอดภัย ด้วยการคัดกรองและอบรมพาร์ทเนอร์คนขับ การกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย และการทำประกันเพื่อคุ้มครองทั้งผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์คนขับ และสุดท้ายกับการจัดแคมเปญรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย ที่ล่าสุด แกร็บได้จับมือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อรณรงค์เรื่องการขับขี่ปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

>>  Accessibility การส่งเสริมการเดินทางเพื่อเข้าถึงเมืองหลัก และเมืองรอง

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติหันมาสนใจเดินทางไปยังเมืองรองมากขึ้น สะท้อนจากรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองในปีที่ผ่านที่เติบโตขึ้นถึง 38%1 ดังนั้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังจังหวัดในเมืองหลักและเมืองรองได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แกร็บ จึงได้มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางแบบไร้รอยต่อด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันที่มีให้บริการแล้วใน 71 จังหวัด ครอบคลุมทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ทั้งยังได้ผนึกความร่วมมือกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เปิดจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อให้บริการในสนามบินหลัก ทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ

>> Valuable Experiences การสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำ

ความเป็นเลิศในด้านการบริการที่สอดแทรกเสน่ห์ของความเป็นไทยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดและพิชิตใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางกลับมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวในทุกเที่ยวการเดินทาง แกร็บ จึงได้พัฒนาศักยภาพให้กับพาร์ทเนอร์คนขับผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy ครอบคลุมทั้งในด้านมาตรฐานการให้บริการการสื่อสารภาษาต่างประเทศเบื้องต้น และการขับขี่อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้พิเศษยิ่งขึ้นผ่านบริการ GrabCar Premium ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมอบความสะดวกสบายสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับนักท่องเที่ยวในทุกการเดินทาง

>> Environmentally Friendly การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก

การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมถือเป็นประเด็นสำคัญที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ซึ่งจากการสำรวจพบว่ากว่า 90% ของนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน2 เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แกร็บ จึงได้มุ่งพัฒนาและนำเสนอตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การริเริ่มโครงการ Grab EV ที่ส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการเรียกรถ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้โดยสาร และการพัฒนาฟีเจอร์ชดเชยการปล่อยคาร์บอน (Carbon Offset) ที่ผู้ใช้บริการสามารถร่วมบริจาคเงิน 2 บาทต่อการเดินทาง หรือ 1 บาทจากการสั่งอาหาร เพื่อนำไปปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอน ซึ่งจากการบริจาคเงินของผู้ใช้บริการในปี 2566 แกร็บสามารถนำไปปลูกต้นไม้ได้เป็นจำนวนกว่า 150,000 ต้น 

>> Local Touch การผลักดันให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น

การดึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาพัฒนาเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวถือเป็นกลยุทธ์ระดับชาติในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยจากการสำรวจพบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวให้ความสนใจที่จะมาสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น3 ไม่ว่าจะเป็น การไปเทศกาลประจำจังหวัดต่าง ๆ การได้ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน หรือการอุดหนุนสินค้าชุมชน ดังนั้น แกร็บ ในฐานะแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้บริโภคกับผู้ประกอบการรายย่อย และพาร์ทเนอร์คนขับ จึงได้มุ่งสนับสนุนการเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทยในมิติต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจผ่านการทำหนังสือไกด์บุค Grab & Go ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การโปรโมทอาหารไทยเมนูเด็ดจากร้านอาหารรายย่อยผ่าน GrabFood และการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นฝีมือคนไทยผ่าน GrabMart เพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถเลือกซื้อได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น

ภายในงานยังได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ ‘พลิกโฉมประสบการณ์การท่องเที่ยวไทย สู่มาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืน’ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้แก่ นายนิธิ สีแพร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร นางสาวเพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการตลาด ด้านการท่องเที่ยวและพันธมิตร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ทเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย มาร่วมแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นและหารือถึงแนวทางในการผลักดันท่องเที่ยวให้ตอบรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ทิศทางและอนาคตการท่องเที่ยวของประเทศไทย การกำหนดยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยว การสนับสนุนประสบการณ์ท้องถิ่นชูจุดเด่นซอฟต์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างสมดุลระหว่างสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน GrabNEXT 2024 ได้ที่ grb.to/GrabNEXT2024

‘EGCO Group’ เผยกำไร Q1/67 แตะ 1,500 ลบ. ลุยรุกธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ-พลังงานหมุนเวียน

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2567 มีรายได้รวม 11,360 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,591 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Paju ES และ Nam Theun 2 รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass พร้อมตอกย้ำความมั่นใจการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า Yunlin มีความคืบหน้าตามแผน ลุยลงทุนรูปแบบ M&A โรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง มุ่งรับรู้รายได้ทันที รวมทั้งขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน มุ่งบรรลุเป้าหมายเพิ่ม RE เป็น 30% ภายในปี 2573

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2567 EGCO Group สามารถบริหารจัดการ Portfolio โรงไฟฟ้าและต้นทุนเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าทุกแห่งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งความสามารถในการบริหารจัดการโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ 

ในไตรมาสนี้ EGCO Group ประสบความสำเร็จในการปิดดีลซื้อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ในสหรัฐอเมริกา และการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration (ส่วนขยาย) จังหวัดระยอง ส่งผลให้ EGCO Group รับรู้รายได้จากโครงการทั้ง 2 แห่งทันที ด้านธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด หรือ ESCO ในกลุ่มเอ็กโก ได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เซอร์วิส (แหลมฉบัง) จำกัด เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ที่มีความยาวมากกว่า 2 เมตร แห่งเดียวในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน 

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 EGCO Group มีรายได้รวม 11,360 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 1,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า Paju ES ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง และโรงไฟฟ้า Nam Theun 2 ที่มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ทำให้ในไตรมาสนี้ EGCO Group มีกำไรสุทธิ 1,662 ล้านบาท 

สำหรับความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง Yunlin ในไต้หวัน ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 โครงการมีความพร้อมทุกด้านและการก่อสร้างมีความก้าวหน้าตามแผนงานเป็นลำดับ โดยได้ติดตั้งเสากังหันแล้วเสร็จรวม 54 ต้น ซึ่งได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม 264 เมกะวัตต์ มีอัตราการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยของโครงการสูงกว่า 40% ยืนยันศักยภาพการสร้างรายได้ในอนาคต และมีกำหนดแล้วเสร็จครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567

“EGCO Group ได้ครบรอบการดำเนินงานปีที่ 32 ด้วยรากฐานที่มั่นคง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตให้ธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในทิศทางที่สอดคล้องกับยุคเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ด้วยการแสวงหาโอกาสลงทุนในรูปแบบ M&A ในโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อสร้างรายได้ทันที รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน เพื่อบรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2573 ในขณะเดียวกัน EGCO Group ยังเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่าง ‘ธุรกิจ ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม’ ตามกรอบ ESG ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และปราศจากการคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้ผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืน” ดร.จิราพร กล่าวสรุป

'พีระพันธุ์' เตรียมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านพลังงานชุมชนสู่ประชาชน ผลิตน้ำมันจากขยะ-แบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

พีระพันธุ์ นำเสนอ นายกฯ โชว์นวัตกรรมผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก แบตเตอรี่สำหรับระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีด้านพลังงาน เตรียมพร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่าย

เมื่อวานนี้ (14 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เข้าร่วมประชุม ครม.สัญจร จังหวัดเพชรบุรี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยก่อนการประชุมได้นำเสนอนิทรรศการด้านพลังงานแก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม โดยเป็นนวัตกรรมการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก/ยางพารา ใช้เทคโนโลยีไพโรไลซีส ซึ่งน้ำมันที่ได้จะนำไปใช้กับเครื่องยนต์การเกษตรเป็นหลัก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร นอกจากจะสามารถผลิตน้ำมันได้ในราคาถูกแล้ว ยังสามารถลดปริมาณขยะได้อีกด้วย โดยเทคโนโลยีนี้เกิดจากครูน้อย หรือ นายทวีชัย ไกรดวง ครูอัตราจ้างโรงเรียนในจังหวัดสกลนคร ที่เกิดความสนใจ ทดลอง จนประสบความสำเร็จ 

จากนั้น ได้มีการนำเสนอเทคโนโลยีชุดแบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือน ซึ่งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควบคุมการจ่ายไฟ หรือ Battery Management System (BMS) ซึ่งทำให้แบตเตอรี่สามารถจ่ายกระแสไฟได้เสถียร ยาวนาน และจากการประดิษฐ์คิดค้นและประยุกต์ใช้เอง จึงทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่ที่ได้ ราคาถูกเมื่อเทียบกับการนำเข้าจากต่างประเทศ 

นอกจากนี้ ยังมีโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งประยุกต์การรับแสงของแผงโซลาร์เซลล์ มาใช้วัดค่าแสงและสั่งการมอเตอร์ให้หมุนชุดเฟือง เพื่อให้แผงโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถหมุนได้ถึง 300 องศา ทำให้โซลาร์เซลล์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 7 ชั่วโมงเต็มต่อวัน เทียบกับแผงโซลาร์เซลล์ปกติที่รับแสงได้มากสุดที่ 5 ชั่วโมงต่อวัน และยังสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่ารูปแบบปกติ 4 - 5 เท่า ซึ่งทำให้สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ในครัวเรือน สร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน จากการใช้พลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้เตรียมขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านพลังงานดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยจะนำไปเป็นต้นแบบผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวให้ประชาชนใช้ในราคาถูก ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงพลังงาน

“วันนี้ผมรู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอนิทรรศการด้านพลังงานให้คณะรัฐมนตรีและผู้ที่เข้าร่วมการประชุม โดยเฉพาะเทคโนโลยีซึ่งเกิดจากการไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเอง อย่างครูน้อยหรือ นายทวีชัย ไกรดวง ครูอัตราจ้าง ที่ทดลอง พัฒนา จนสามารถสร้างเครื่องผลิตน้ำมันด้วยวิธีไพโรไลซิส ซึ่งนอกจากจะสามารถผลิตน้ำมันที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดแล้ว ยังสามารถลดขยะได้อีกด้วย และยังได้นำเสนอเทคโนโลยีชุดแบตเตอรี่ลิเธียมกักเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือนและโซลาร์เซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับการดำเนินการให้นวัตกรรมของครูน้อยใช้เป็นผลิตภัณฑ์ราคาถูกให้ประชาชน ผมก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายทั้งราคาสินค้าและค่าใช้ไฟ พอตรงนี้สำเร็จ ก็จะส่งผลไปในด้านอื่น ๆ ประชาชนมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานน้อยลง ก็จะมีเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพิ่มรายได้ ก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ILINK ยิ้มรับกำไร Q1/67 252 ลบ. ปักธงดันรายได้ปีนี้แตะ 7,002 ลบ.

กำไรแรงมาก ILINK มาเหนือคาดการณ์ ยิ้มรับกำไร เผยตัวเลขสดใสตั้งแต่ไตรมาสแรก ทำรายได้ Q1/67 รวม 1,832.75 ล้านบาท มีกำไรเติบโตแรงมากกว่าปีที่แล้ว 59.72% สะท้อนภาพความก้าวหน้า พร้อมโชว์ศักยภาพอันโดดเด่น จากผลงาน และการขับเคลื่อนทุกธุรกิจเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้าความสำเร็จไว้ ชี้แนะแนวโน้มทั้งปี 67 ฉายแววชัดสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน มุ่งผลักดันนำความชำนาญของทุกกลุ่มธุรกิจต่อยอดสู่การทำรายได้ สร้างอัตรากำไรให้เพิ่มพูนแบบมีคุณภาพ พร้อมวางธงชัยดันรายได้ทั้งปีนี้แตะ 7,002 ล้านบาท

(15 พ.ค. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ มีรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2567 จาก 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center ทำรายได้รวมอยู่ที่ 1,832.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 197.69 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 12.09% ในขณะที่กำไรสุทธิโตแรงเท่ากับ 252.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 94.41 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 59.72% ทะลุเป้าหมายทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ โดยสามารถทำอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าอดีต ที่เป็นผลเกิดจากการปรับกลยุทธ์ของทั้ง 3 ธุรกิจหลัก จากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ‘เติบโตแบบมีคุณภาพ’ กล่าวคือ ทุก ๆ ธุรกิจ จะต้องสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และต้องลดค่าใช้จ่ายที่เป็นการสูญเสีย

ด้านธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) นับเป็นธุรกิจเริ่มต้น และยังคงเป็นธุรกิจหลักที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน แย้มมีผลการดำเนินงานทั้งรายได้ และทำกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลากว่า 37 ปี โดยในไตรมาส 1/67 นี้ มีรายได้รวม 865.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.00 ล้านบาท หรือ 10.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำกำไรรับการเติบโตรวม 90.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.06 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 7.16% และยังสามารถคงอัตรากำไรสุทธิได้มากกว่า 10%ตามเป้าหมายอีกด้วย

สำหรับธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ที่อาศัยหลักความเชี่ยวชาญ และการมีประสบการณ์ โดยเน้นงานประมูลหลักจากโครงการภาครัฐที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างเด่นชัด 
ส่งผลทำรายได้รวมที่ได้ทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสแรก ประจำปี 2567 อยู่ที่ 179.83 ล้านบาท มีกำไรรวม 25.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2566 ที่มีกำไรรวมของกลุ่มธุรกิจนี้อยู่ที่ 16.98 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกนี้ทำกำไรเพิ่ม 9.00 ล้านบาท หรือ โตแรงถึง 53.04%

ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL เปิดงบการเงินไตรมาส 1/67 กวาดรายได้ 788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิ 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% จากช่วงเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการเตรียมนำธุรกิจย่อย คือ บริษัท บลู โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BLUE ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคม และดิจิทัลโซลูชั่น ซึ่ง ITEL ถือหุ้น 51% เพื่อเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2567 นี้อีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของผลประกอบการในไตรมาส 1/67 พร้อมเผยถึงแผนงานทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยผู้ลงทุน และผู้ที่สนใจทุกท่าน สามารถเข้าร่วมรับฟัง อัปเดตข้อมูลบริษัทฯ ในงาน ‘Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน หรือ Opp Day Q1/2024’ ได้ผ่านการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ ในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 - 12.00 น. ซึ่งสามารถรับชมผ่านช่องทาง ดังนี้

-Facebook: INTERLINK FAN
-YouTube: LINK CHANNEL
-Facebook: SET Opportunity Day
-YouTube: SET Thailand
-Website: www.set.or.th/oppday 
-App: SET Application

‘มาม่า’ ไร้ปัญหา หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เชื่อ!! ปรับตัวได้อยู่แล้ว ห่วงก็แต่ผู้ประกอบการรายเล็ก

(15 พ.ค.67) นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า เปิดเผยถึง กรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่น่าห่วงเท่ากับผู้ประกอบการรายเล็ก หรือ เอสเอ็มอี เนื่องจากเชื่อว่ามีการปรับตัวได้อยู่แล้ว

ในส่วนของบริษัทถือว่ามีผลต่อการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน้อยมากประมาณ 1% ไม่เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การขอปรับขึ้นราคาต่อกรมการค้าภายใน

ขณะเดียวกันในการปรับขึ้น ทางรัฐบาลมีการทยอยประกาศออกมา จึงทำให้ผู้ประกอบการยังมีเวลาในการปรับตัว ทั้งนี้บริษัทมีการปรับขึ้นค่าแรงให้กับพนักงานในเดือนมกราคมของทุกปีอยู่แล้ว โดยเฉลี่ยปีละ 5-6 บาท

ค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับขึ้น มองว่าการขึ้นค่าแรงจะช่วยให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น กระทบกับบริษัทเพียงเล็กน้อย เพราะปัจจุบันค่าแรงเป็นต้นทุนทางตรงในการผลิตของบริษัทเพียง 10% หากปรับค่าแรงขึ้น 10-15% จะกระทบต้นทุนบริษัทแค่ 1% เราต้องเพิ่มสปีดการผลิต ลดการสูญเสีย เช่น ปัจจุบันเราผลิตบะหมี่แบบซองและถ้วยอยู่ที่วันละ 7 ล้าน จะเพิ่มเป็นวันละ 8 ล้าน โดยที่คนไม่ได้เพิ่ม, เท่ากับค่าแรงต่อการผลิตไม่มีผลแต่อย่างใด

‘KTC’ เผย 3 กลยุทธ์กระตุ้นยอดใช้จ่ายหมวดท่องเที่ยว หวังสมาชิกนักเดินทางจดจำ ‘เคทีซีเรื่องเที่ยวบัตรเดียวครบ’

เคทีซีเผยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่องหลังโควิด-19 เดินหน้ามอบประสบการณ์พิเศษที่แตกต่างด้านการท่องเที่ยวให้สมาชิกด้วย 3 กลยุทธ์หลักประกอบด้วย

1) เสริมความแข็งแกร่งด้านการใช้จ่ายท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์กับสิทธิพิเศษจากกว่า 100 เว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำโดยเพิ่มความสะดวกสบายผ่านการปรับโฉมเว็บไซต์รวมสิทธิพิเศษท่องเที่ยว

2) ขยายฐานสมาชิกกลุ่มกำลังซื้อสูงจับมือพันธมิตรมอบสิทธิพิเศษทั้งในและต่างประเทศ 

และ 3) ตอกย้ำจุดเด่นการให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือผ่านเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส พร้อมสร้างการจดจำ ‘เคทีซีเรื่องเที่ยวบัตรเดียวครบ’ หวังสิ้นปีหมวดท่องเที่ยวยังครองแชมป์ยอดรวมใช้จ่ายสูงสุดด้วยอัตราเติบโตมากกว่า 20%

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่มีส่วนผลักดันให้การดำเนินธุรกิจของเคทีซีเติบโตได้ตามเป้าหมายคือ การกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดท่องเที่ยว โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 ยอดใช้จ่ายในหมวดดังกล่าวเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ท่ามกลางหมวดการใช้จ่ายผ่านบัตรทั้งหมด นอกจากนี้พฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของสมาชิกได้มีการปรับรูปแบบแตกต่างไปจากที่ผ่านมา เช่น มีการวางแผนท่องเที่ยวด้วยตัวเอง หรือใช้ช่องทางออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลในการหาสถานที่ท่องเที่ยว จองตั๋วโดยสาร จองโรงแรมที่พักมากขึ้น รวมถึงเลือกเส้นทางท่องเที่ยวหรือมีกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจงตามแต่ละไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่มที่ชัดเจน (Travel with purpose) 

สำหรับปี 2567เคทีซีได้วาง 3 กลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดรวมการใช้จ่าย รวมถึงขยายฐานสมาชิกในหมวดท่องเที่ยวด้วยเป้าหมายสิ้นปี 2567 เติบโตมากกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 และครองใจให้สมาชิกจดจำหากต้องการเดินทางท่องเที่ยวต้องนึกถึง ‘เคทีซีเรื่องเที่ยวบัตรเดียวครบ’ ประกอบด้วย

1.เสริมความแข็งแกร่งให้กับการใช้จ่ายท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยสิทธิพิเศษจากเว็บไซต์ท่องเที่ยวครบทุกหมวดย่อยจากกว่า 100 พันธมิตรการเดินทางชั้นนำให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสะดวกสบายยิ่งขึ้นพร้อมเป็นช่องทางสนับสนุนพันธมิตรหมวดท่องเที่ยวที่ร่วมรายการ ผ่านการปรับโฉมเว็บไซต์ www.ktc.co.th/online-travel-booking  เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจได้แบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One-Stop Online Travel Hub) พร้อมสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุดถึง 50%

2.ขยายฐานสมาชิกสู่กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง หลังเห็นยอดการใช้จ่ายในกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 50,000 บาทเติบโตต่อเนื่องในหมวดท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในต่างประเทศ เคทีซีจึงได้จับมือกับพันธมิตรสายการบินฟูลเซอร์วิสเพื่อมอบสิทธิพิเศษที่ตรงใจ ครอบคลุมร้านค้าในต่างประเทศ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังระดับโลก ในขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวในประเทศด้วยการจับมือกับโรงแรมคุณภาพระดับสากล ออกแคมเปญหลากหลายให้กับสมาชิกอีกด้วย

3.ตอกย้ำจุดเด่นการให้บริการผ่านเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีด้วยการให้บริการที่ไว้ใจได้ (Trusted Service) โดยผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่น่าเชื่อถือ ติดต่อและเข้าถึงสะดวก รวมถึงสามารถให้คำแนะนำพร้อมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ชูจุดเด่นที่สมาชิกสามารถเลือกทำรายการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 6 เดือน หรือแลกคะแนน KTC FOREVER แทนส่วนลดได้ทุกผลิตภัณฑ์ เมื่อใช้จ่ายตามที่กำหนด 

นอกจากนี้ เคทีซียังยืนยันในจุดยืนของการเป็นผู้นำในหมวดท่องเที่ยวที่มีความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้น    กับพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายมาโดยตลอด ทั้งสายการบิน โรงแรม รถเช่า รวมถึงองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศต่าง ๆ อาทิ การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ (Swiss Tourism) / องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) / องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) / การท่องเที่ยวฮ่องกง (HKTB) และการท่องเที่ยวไต้หวัน (TTB) ที่ทำให้หมวดท่องเที่ยวของเคทีซี และผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวของเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก

นางประณยากล่าวทิ้งท้าย สำหรับการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยว เคทีซียังคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อาทิ การที่ร่วมกับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและคืนประโยชน์สู่สังคมผ่านโครงการ ‘บิน 1 เที่ยว ปลูก 1 ต้น’ (1 Ticket 1 Tree) การนำเสนอผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการเดินทางท่องเที่ยวผ่านช่องทางเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น

ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th/online-travel-booking หรือ ติดต่อเพื่อรับบริการด้านการท่องเที่ยว ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิก ดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

'พีระพันธุ์' พิจารณาแนวทางสนับสนุนให้โรงสูบน้ำมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ แก้ปัญหาภัยแล้ง 'เพชรบุรี' บรรเทาทุกข์ ‘เกษตรกร-ประชาชน' โดยเร็ว

เมื่อวานนี้ (13 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงพื้นที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี หลังได้รับการร้องเรียนจากองค์การบริหารส่วนตำบลไร่โคก ถึงปัญหาเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากเครื่องสูบน้ำของโรงสูบน้ำไร่โคก - ไร่สะท้อน ที่ชำรุดเสียหายและยังไม่ได้ดำเนินการซ่อมแซม ทำให้น้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร  

โรงสูบน้ำดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาราชบุรีฝั่งขวา สังกัดสำนักชลประทานที่ 13 โดยมีพื้นที่ชลประทานจำนวน 86,500 ไร่ ส่งผลให้พื้นที่ปลูกข้าวใน 7 ตำบลของอำเภอบ้านลาด ได้รับความเสียหาย เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังมีการอั้นน้ำของพื้นที่ต้นน้ำในเขตจังหวัดราชบุรี และพื้นที่อำเภอเขาย้อยจังหวัดเพชรบุรี รวมถึงยังมีไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการทำงานของโรงสูบ ทำให้น้ำส่งไม่ถึงพื้นที่ปลายน้ำ และไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร  

พื้นที่ตำบลไร่โคกมีพื้นที่ปลูกข้าวได้รับผลกระทบประมาณ 3,000 ไร่ ซึ่งนายพีระพันธุ์ ได้รับทราบปัญหาและกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ในเบื้องต้นกระทรวงพลังงานจะพิจารณาแนวทางสนับสนุนให้โรงสูบน้ำมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ตำบลหัวสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี หลังจากได้รับแจ้งปัญหาความเดือดร้อนจากการบริหารจัดการน้ำ ณ คลองปากง่าม ตำบลหัวสะพาน ซึ่งขาดประตูน้ำสำหรับกั้นน้ำจากเขื่อนเพชรกรณีเขื่อนปล่อยน้ำ และเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้ง เพราะไม่มีพื้นที่กักเก็บน้ำ ทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย รวมถึงคลองอรรถสิทธิ์ ตำบลบ้านกุ่ม ซึ่งประตูน้ำทรุดโทรมและไม่สามารถกันน้ำเค็มได้ หากน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรของประชาชนเช่นเดียวกัน 

โดยนายพีระพันธุ์ ได้กำชับให้กรมชลประทานเร่งแก้ให้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว และได้เสนอที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) เพื่อพิจารณางบประมาณสนับสนุน

จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เยี่ยมชมโครงการ 'ชั่งหัวมัน'  ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริ มีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าโครงการชั่งหัวมันฯ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ VSPP (Very Small Power Producer) จากพลังงานทดแทนแบบหมุนเวียน เริ่มดำเนินการในวันที่ 21ตุลาคม 2552 

โครงการชั่งหัวมันฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งจากกังหันลม และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตกระแสไฟฟ้า ให้มีการใช้ทรัพยากรภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นแบบอย่างในการกระจายโอกาสไปยังพื้นที่ที่ห่างไกลให้มีส่วนร่วมในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐบาลในระบบการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า

"วันนี้ ผมได้ลงพื้นที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เพื่อรับฟังเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้ง มีน้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร ส่งผลกระทบมากถึง 3,000 ไร่ ซึ่งเกิดจากเครื่องสูบน้ำเสียและยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ในเบื้องต้น ผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ส่วนหลังจากนี้ ผมจะพิจารณาแนวทางสนับสนุนให้โรงสูบน้ำมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วต่อไป...

"ส่วนการเยี่ยมชมโครงการ 'ชั่งหัวมัน' ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผมเชื่อว่าเป็นโครงการที่หลายคนคงรู้จัก เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาญาณของพระองค์ท่าน ที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาประเทศ ซึ่งในส่วนของพลังงานก็มีการใช้พลังงานทดแทนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ 

"และเมื่อปีที่แล้ว ก็มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำในสระน้ำบริเวณแปลงมะนาวกลางไร่ของโครงการชั่งหัวมันฯ จำนวน 96 แผง ขนาดกำลัง 62.40 kWp เพื่อให้ใช้ประโยชน์ภายในโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ และเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับผู้เข้าชมโครงการฯ...

"จึงอยากเชิญชวนให้นักเรียน นักศึกษา เกษตรกร และประชาชนที่สนใจ มาเยี่ยมชมโครงการชั่งหัวมัน เพราะนอกจากจะได้ความรู้ด้านพลังงานแล้ว ยังจะได้รู้จักกับทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 สำหรับการนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตอีกด้วย" นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘นักวิชาการ’ ห่วง!! ‘ทุเรียนไทย’ เสี่ยงแย่ ในอีก 5 ปีข้างหน้า ชี้!! 'ภัยแล้ง-คู่แข่ง-ต้นทุนขนส่ง' รุมเร้า แนะ!! รัฐรีบจัดการ

(13 พ.ค.67) นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด เปิดเผยถึงผลวิเคราะห์ ดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย ปี 2567 และประเมินทุเรียนไทยใน 5 ปีข้างหน้า ว่า ทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจหนึ่งเดียวที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมาก ในปี 2566 ทุเรียนมีมูลค่าส่งออก 1.4 แสนล้านบาท แซงหน้ามูลค่าการส่งออกยางพารา และมันสำปะหลัง

แต่ยังเป็นรองมูลค่าการส่งออกข้าว โดยมูลค่าการส่งออกทุเรียนคิดเป็นสัดส่วน 25% ของมูลการค้าส่งออกรวมของพืชส่งออกหลัก 4 ชนิด คือ ข้าว ทุเรียน ยางพารา และมันสำปะหลัง ส่วนมูลค่าการส่งออกทุเรียนในปี 2567 นั้น ต้องลุ้นว่ายังสามารถรักษาระดับการส่งออกเหมือนในปี 2566 หรือไม่ เพราะมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน

ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ดัชนี DURI หรือ ดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย ปี 2567 และ 5 ปี พบว่า ดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย ปี 2567 อยู่ที่ 57 ซึ่งเป็นระดับที่ มีความเสี่ยงสูง เพราะเกิน 50 และค่าดัชนี DURI ใน 5 ปีข้างหน้ายังมีค่าเกิน 50 อย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะมีความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาภัยแล้งของเกษตรกร การส่งออกทุเรียนเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนการขนส่งไปประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้น

นายอัทธ์ กล่าวว่า ช่วง 12 ปีผ่านมา ผลผลิตทุเรียนไทยเพิ่ม 180% เพิ่มจาก 5 แสนตัน เป็น 1.4 ล้านตัน จากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศกว่า 80% แต่ปัญหาภัยแล้งจะทำให้ ผลผลิตทุเรียนลดลง 50% ใน 5 ปีข้างหน้า หากรัฐไม่ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลผลิตทุเรียนไทยจะลดลง 53% หรือหายไป 6.4 แสนตัน โดยปีนี้ ภัยแล้งจะทำให้ผลผลิตทุเรียนลดลง 42% หรือลดลง 5.4 แสนตัน

ขณะที่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตทุเรียนเวียดนามเพิ่ม 200% ปี 2566 มีผลผลิตทุเรียน 8 แสนตัน เพิ่มจาก 2.7 แสนตัน ในปี 2557 มีพื้นที่ปลูกเกือบ 7 แสนไร่ และในปี 2567 เวียดนามส่งออกไปจีนเพิ่ม 30% โดยไตรมาสที่ 1/2567 ส่งออกทุเรียนไปจีนเพิ่มขึ้น 105% อยู่ที่ 36,800 ตัน ขณะที่ไทยส่งออกได้เพียง 17,900 ตัน คาดว่าทั้งปี 2567 เวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนไปจีนอยู่ที่ 5 แสนตัน ในขณะที่ไทยส่งออกอยู่ที่ 8 แสนตัน ลดลงเกือบ 2 แสนตัน

รวมทั้งต้นทุนการผลิตทุเรียนไทยก็สูงกว่าเวียดนาม 2 เท่า ปี 2566 ต้นทุนเวียดนามอยู่ที่ 15 บาท/กก เพิ่มขึ้นเป็น 19 บาท/กก.ในปี 2567 ระหว่างปี 2565 -2567 ล้งจีนเพิ่มขึ้น 665 ราย ในขณะที่ล้งไทยปิดตัวจาก 25 ราย เหลือ 10 ราย และในอนาคตคาดว่า ล้งไทยจะปิดตัวเพิ่มขึ้น เหลือไม่ เกิน 5 ราย

ดังนั้นวาระแห่งชาติ เร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลคือ ต้องเร่งแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ รายได้ของเกษตรกร และราคาสินค้าที่แพงขึ้น รวมทั้งเน้นการผลิตแบบคุณภาพ เพราะอีก 3 ปีข้างหน้า ทุเรียนเวียดนามจะผลิตได้คุณภาพใกล้เคียงกับทุเรียนไทย

อย่างไรก็ตาม ปี 2567 พบว่ามีการใช้จ่ายเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทุเรียนไทยราว 9.8 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 66 เท่ากับ 1.4 แสนล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับปี 66 โดยภาคตะวันออกมีเงินสะพัดมากที่สุด รองลงมาคือภาคใต้ และภาคเหนือ ตามลำดับ ธุรกิจที่มีเงินสะพัดมากที่สุดคือ ธุรกิจล้ง จำนวน 280 แสนล้านบาท

‘ธนารักษ์-กฟผ.’ เสริมแกร่งบูรณาการข้อมูลที่ดินร่วมกัน มั่นใจ!! ประชาชนได้ค่าทดแทนถูกต้อง-รวดเร็วขึ้น

(13 พ.ค. 67) นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ และนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยน เชื่อมโยง และบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างกรมธนารักษ์กับ กฟผ. ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี

นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมธนารักษ์มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีที่จะสนับสนุนข้อมูลราคาประเมินที่ดินและข้อมูลที่ดินราชพัสดุ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการดำเนินภารกิจ กฟผ. ในการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินของเอกชนและค่าตอบแทนการขออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุที่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าพาดผ่าน ส่วนกรมธนารักษ์สามารถนำข้อมูลแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าแรงสูง และข้อมูลแปลงที่ดินของ กฟผ. ไปใช้ในการประเมินราคาที่ดินของกรมธนารักษ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. มีภารกิจพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องรอนสิทธิที่ดินใต้แนวเขตทั้งที่เป็นที่ดินของเอกชนและที่ดินของรัฐเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและระบบโครงข่ายไฟฟ้า โดย กฟผ. มีหน้าที่ในการจ่ายเงินค่าทดแทนการรอนสิทธิด้วยความเป็นธรรม ดังนั้นการบูรณาการข้อมูลราคาประเมินที่ดินและข้อมูลที่ดินราชพัสดุจากระบบออนไลน์ของกรมธนารักษ์ กับข้อมูลที่ดินจากระบบจัดการข้อมูลงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Land AIMS) ของ กฟผ. จะช่วยให้ กฟผ. สามารถดึงข้อมูลราคาประเมินที่ดินและข้อมูลที่ดินราชพัสดุจากฐานข้อมูลของกรมธนารักษ์ได้โดยตรง ทำให้สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดิน ค่าตอบแทนและค่าเช่าการขออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุแก่กรมธนารักษ์ รวมถึงใช้ในการวางแผน การจ่ายค่าเช่าและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น

‘รมว.ปุ้ย’ ลุย ‘สมอ.สัญจร’ ให้ความรู้ ‘มาตรฐาน’ แก่ผู้ประกอบการราชบุรี ชี้!! ช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ เสริมศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า

(13 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน ในพิธีเปิดการสัมมนาภายใต้กิจกรรม ‘สมอ. สัญจร’ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 ณ จังหวัดราชบุรี ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทุกระดับนำมาตรฐานไปใช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าระหว่างประเทศที่นำมาตรฐานมาเป็นมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และคุ้มครองผู้บริโภค ‘กิจกรรม สมอ. สัญจร’ ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่มาให้ความรู้ด้านการมาตรฐานแก่ผู้ประกอบการทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรม SMEs และผู้ผลิตชุมชนในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อให้มีความรู้ด้านการมาตรฐานและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อการแข่งขันทางการค้าได้ 

“จังหวัดราชบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานประกอบการหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งการผลิตไฟฟ้า การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ปูนซิเมนต์และคอนกรีต อาหาร พลาสติก สิ่งทอ เครื่องเคลือบดินเผา เป็นต้น มีโรงงานอุตสาหกรรม 1,181 แห่ง และยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่ คือ นิคมอุตสาหกรรมราชบุรี ซึ่งถือเป็นพื้นที่เป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการส่งเสริมและพัฒนา และจากฐานข้อมูลพบว่าจังหวัดราชบุรีมีผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แล้ว จำนวน 76 ราย 161 ฉบับ มาตรฐานอุตสาหกรรม เอส (มอก.เอส) จำนวน 4 ราย 5 ฉบับ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จำนวน 81 ราย 121 ฉบับ นับว่าเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางอุตสาหกรรมอย่างยิ่ง” รัฐมนตรีพิมพ์ภัทราฯ  กล่าว

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรม สมอ. สัญจร ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการภารกิจของ สมอ. ทั้งในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการทุกระดับ ตลอดจนส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีความรู้ด้านการมาตรฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยการจัดสัมมนาให้ความรู้ด้านการมาตรฐานเกี่ยวกับการลดโลกร้อน เช่น ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และการใช้ปูนซิเมนต์ไฮโดรลิคแทนปูนซิเมนต์ปอร์ตแลนด์ เพื่อลดโลกร้อน 

นอกจากนี้ ยังให้ความรู้ด้านการมาตรฐานแก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีความรู้ด้านการมาตรฐาน ตระหนักถึงความสำคัญ สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน และเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเครือข่ายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของ สมอ. ให้ครอบคลุมและทั่วถึงในทุกพื้นที่ รวมทั้งให้ความรู้แก่ผู้ผลิตชุมชน ในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ผลิตชุมชนในเขตจังหวัดราชบุรีและใกล้เคียง ตลอดจนจัดให้มีพิธีมอบใบรับรองให้แก่ผู้ผลิตชุมชน SMEs และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม รวมจำนวน 30 ราย รวมทั้ง จัดทีมออกตรวจร้านจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดราชบุรี เพื่อกำกับดูแลการจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีมาตรฐานได้อย่างปลอดภัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top