Wednesday, 14 May 2025
NEWSFEED

World's Biggest Liar เทศกาล 'แข่งโกหกคำโต' ให้สาธารณชนเชื่อ ข้อแม้!! ห้าม 'นักการเมือง' และ 'ทนายความ' ลงแข่ง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีงานแบบนี้บนโลก

งาน 'World's Biggest Liar' คือเทศกาลประจำปีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคัมเบรีย (Cumbria) ประเทศอังกฤษ โดยรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลก ซึ่งกำหนดให้ทุกคนมีเวลา 5 นาทีสำหรับการ 'แต่งเรื่องโกหกและน่าเชื่อถือที่สุด' ออกมา โดยมีกฏเพียงห้ามใช้อุปกรณ์ประกอบฉาก หรือสคริปต์ใดๆ อาศัยเพียงการเตรียมตัวและด้นสดตามสถานการณ์ตรงหน้า

ที่ผ่านมาพวกเขามีเรื่องอะไรซึ่งเป็นเรื่อง 'โกหกที่สุดในโลก' กันบ้าง

ในปี ค.ศ. 2003 'แอบรีย์ ครูเกอร์' (Abrie Krueger) จากดินแดนแอฟริกาใต้ ได้รับเลือกให้เป็น 'นักโกหกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก' หลังเขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาเองได้รับตำแหน่งราชาแห่งหุบเขาวาสเดล (Wasdale) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ชาวต่างชาติ (นอกเกาะอังกฤษ) ชนะการแข่งขัน ท่ามกลางคำกล่าวหาว่าครูเกอร์นั้น 'โกง' ด้วยเนื้อหาคล้ายกับเรื่อง 'บิชอปแห่งคาร์ไลล์' ในอดีต

นักแสดงตลกสาวใหญ่ 'ซู เพอร์กินส์' ชนะการแข่งขันโกหกในปี 2006 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สตรีชนะการแข่งขัน โดยเรื่องเล่าของเธอคือ "ชั้นโอโซนเสียหาย น้ำแข็งละลาย และผู้คนต้องถูกพาไปทำงานกับอูฐ"

หลายเรื่องหลายพล็อตที่ถูกนำมาเล่าแข่งขันกันส่วนใหญ่จะมีความเสียดสี เล่าอย่างหน้าตาย บ้างก็ใส่อารมณ์ของแสตนด์อัพคอมมิดี้ ตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษซึ่งส่วนใหญ่มองทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องขำขัน ไม่เว้นแม้แต่มุมมองทางการเมือง การปกครอง

ครั้งหนึ่งมีผู้เข้าประชันการโกหกที่ควรเป็นผู้ชนะการแข่งขันด้วยสุนทรพจน์สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ครั้งนั้นเขาขึ้นพูดง่าย ๆ ว่า "ฉันไม่เคยโกหกมาก่อนเลยในชีวิตนี้" (ฮา)

ปี ค.ศ. 2008 จอห์น 'ไลเออร์' เกรแฮม ผู้ซึ่งมากประสบการณ์บนเวทีนี้จนได้รับฉายา 'จอห์นตอแหล' ชนะการแข่งขันเป็นครั้งที่ 7 หลังเล่าเรื่องการนั่งรถมหัศจรรย์ไปยังสกอตแลนด์ด้วยถังขยะที่ล่องไปภายใต้ท้องทะเล และเรื่องโกหกที่ชนะของจอห์น เกรแฮม ที่ว่า อ้างอิงมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่เรือดำน้ำเยอรมันนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บุกอังกฤษเพื่อจับตัวถอดรหัสโทรเลข

ยังมีเรื่องโม้ของ Paul Burrows จากเมือง Essex ในปี 2010 ว่าทะเลสาบและภูเขาปัจจุบันในชนบทของ Cumbrian นั้น ก่อนหน้านี้ถูกขโมยไปจากเทศมณฑล Essex บ้านเขาเอง จนทุกวันนี้เมืองเอสเส็กซ์มีสภาพเป็นพื้นที่ราบเรียบสุดลูกหูลูกตา

มีเรื่องราวมากมายที่เล่าออกมากี่ครั้ง ๆ ก็รู้ว่าคือคำ 'โกหก' แต่ผู้ชม กรรมการผู้ตัดสิน รวมถึงกองเชียร์ก็ยังติดตามกันอย่างเหนียวแน่นและดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกปี เพียงเพราะพวกเขาเชื่อว่านั่นคือสันทนาการ คือการพบปะเพื่อเอาเรื่องตลกไร้สาระ (แต่หลายครั้งมีสาระมากกว่านักวิชาการพูดเสียอีก) จบท้ายที่การมอบรางวัลและเฉลิมฉลองด้วยการดื่มกิน

นายเกล็น บอยแลน (2011) เล่าว่าเขาเคยเดิมพันแข่งหอยทากกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) โดยพระองค์ยังทรงแนะนำให้เกล็นถอดเปลือก (หอยทาก) ออก ตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้หอยคลานเร็วขึ้น แต่ในท้านที่สุดหอยทากของเกล็นก็แพ้หอยของพระเจ้าชาร์ลส เพราะพระองค์ใช้หอยทากที่เดินเครื่องด้วยแบตเตอรี่ - นี่เป็นอีกตัวอย่างของเรื่องตอหลดตอแหลอย่างคนอังกฤษนิยม

‘เทพ โพธิ์งาม’ โต้หนีไปลาว ทิ้งหนี้ให้ ‘หม่ำ’ รับเครียดปัญหาหนี้สิน โดนภาษีย้อนหลังกว่า 2 ล้าน

(22 มี.ค. 66) ต้องออกมาเคลียร์ข่าวยกใหญ่ หลังจากที่มีคนมาถามตลกดัง ‘เทพ โพธิ์งาม’ จะย้ายไปอยู่ประเทศลาวเหรอ รวมทั้งยังมีข่าวลือออกมาว่า ป๋าเทพ หมดต้วจนต้องไปขอให้ ‘หม่ำ จ๊กมก’ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ใช้หนี้ให้ และเตรียมจะหนีไปอยู่ที่ลาว ล่าสุด เทพ โพธิ์งาม ก็ได้ชี้แจงเรื่องนี้ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ โดยเผยว่า…,

“เนื่องจากมีแฟนๆ ป๋าหลายท่านแจ้งถามมาว่าป๋าจะย้ายไปอยู่ลาวแล้วเหรอ? เพราะไปเห็นข่าวเพจออนไลน์ลงข่าวมา ป๋าจะบอกว่าข่าวนี้เป็นข่าวนานมาแล้วนะครับ บางครั้งเพจข่าวออนไลน์บางเพจก็เชื่อถือไม่ได้ครับ อาจจะต้องพิจารณาว่าเพจนั้นน่าเชื่อถือเพียงใดครับ เพราะบางทีเขาอาศัยใช้ข้อมูลข่าวเก่ามาลงโพสต์แล้วก็แขวนโพสต์เพื่อเรียกยอดวิวครับ

เข้าใจครับว่าเราห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่บางครั้งสิ่งพวกนี้ถ้ามันมากเกินไปก็มีผลกระทบกับความรู้สึกคนรอบข้างอยู่เหมือนกันครับ อย่างเช่นครอบครัวป๋าครับ ทีมงานได้ประสานงานไปยังเพจที่โพสต์เรียบร้อยแล้วครับ แต่เขาไม่อ่านโพสต์และไม่ยอมลบโพสต์ครับ

เมื่อเราขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ (ธัญญ่า) เราก็เลือกทำแบบนี้ (เลิกเจ้าชู้)

เมื่อเราขาดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ (ธัญญ่า) เราก็เลือกทำแบบนี้ (เลิกเจ้าชู้) แต่ถ้าเราคิดไม่ได้ จะลุ่มหลงชั่วขณะหรืออะไรก็แล้วแต่ มันอาจจะทำให้ชีวิตเราพังไปเลย แล้วก็ต้องเสียผู้หญิงคนนี้ (ธัญญ่า) 
 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้านายที่ 'คณะราษฎร-ปรีดี-จอมพล ป.' ชื่นชอบ

ในตอนนี้ผมจะมาเล่าถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้านายพระองค์หนึ่งที่สามารถทำงานร่วมกับคณะราษฎรได้ อย่างกลมกลืน และขึ้นถึงจุดสูงสุดโดยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ด้วยพระชนมายุเพียง 31 พรรษา สามารถฝ่ามรสุมทางการเมืองภายในคณะราษฎรมาได้อย่างตลอดรอดฝั่ง แถมเป็นที่ 'ปลาบปลื้ม' ของคณะราษฎรอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ผู้นำฝ่ายพลเรือนอย่าง นายปรีดี พนมยงค์ มาถึงผู้นำฝ่ายทหารอย่าง พระยาพหลพลพยุหเสนา ก่อนที่คณะราษฎรจะกลายเป็นคณะของข้าพเจ้าภายใต้การปกครองของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พระองค์ทำได้ยังไง ? 

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 มีพระนามแรกประสูติว่า หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 4 พรรษา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระมารดาได้ปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยการเสวยยาพิษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงรับหม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไปทรงเลี้ยงดู ต่อมาไม่กี่ปี หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพอาภาตามเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปพระราชวังบางปะอิน วันหนึ่งทรงเล่นน้ำแล้วพลาดจมน้ำ เผชิญมีผู้ช่วยเหลือไว้ได้ พระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงทำขวัญ พระราชทานน้ำมหาสังข์ ทรงเจิม และผูกข้อพระกร แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น 'พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา' เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 นับว่าได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษต่างจาก เจ้าพี่ เจ้าน้อง 

เมื่อ พ.ศ. 2460 พระชนมายุได้ 13 พรรษา เข้าศึกษาที่โรงเรียน Fessenden สหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงย้ายมาศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ โดยแรกเริ่มราว ๆ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ จากนั้นพระองค์ทรงมีอาการประชวร จึงลาออก แล้วเข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จนทรงจบหลักสูตรวิชาปกครองในปี พ.ศ. 2470 ได้ปริญญา B.A. และ M.A. จึงเสด็จกลับประเทศสยาม ซึ่งที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นี่เอง ที่พระองค์ได้ศึกษากับศาสตราจารย์จอห์น ฮอลแลนด์-โรส ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสและนโปเลียน หลังทรงสำเร็จการศึกษาแล้วก็ทรงกลับมารับราชการอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย ในยุคที่มีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์เป็นเสนาบดี โดยตำแหน่งเจริญก้าวในการทรงงานจนได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ พ.ศ. 2473 นอกจากนี้ยังทรงเป็นสมาชิกของราชบัณฑิตสภา ซึ่งก่อตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. 2470

ณ ราชบัณฑิตยสภานี้เองที่พระองค์ได้ทรงรู้จักกับนักเรียนนอกสายฝรั่งเศสที่ชื่อ 'ปรีดี พนมยงค์' ด้วยความที่ทั้งสองต่างสนใจในเรื่องฝรั่งเศส จึงค่อนข้างให้ความเคารพและมีความสนิทกันพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ทรงเป็นพระอาจารย์พิเศษสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างที่เป็นพระอาจารย์อยู่นี้ พระองค์ได้ทรงนิพนธ์หนังสือประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสและชีวประวัติของนโปเลียนเป็นภาษาไทยใน พ.ศ. 2477 เพื่อใช้เป็นตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งคนที่ผลักดันให้เกิดหนังสือเล่มนี้พร้อมเขียนคำนำให้ก็คือ 'ปรีดี พนมยงค์' นั่นเอง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้เล่าเรื่องเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมทางการเมืองของไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับประเทศฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนังสือที่ 'สร้างความชอบธรรม' ให้เกิดขึ้นกับคณะราษฎรนั่นเอง ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ 'ปรีดี' จะใช้โอกาสอันงามนี้ในการทั้งผลัก ทั้งดัน ให้เกิดหนังสือเล่มนี้ขึ้น และเกิดขึ้นโดยฝีมือของเจ้านายชั้นสูงในราชวงศ์ !!! 

ย้อนกลับนิดนึงในวันที่คณะราษฎรยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้ทรงเรียกข้าราชการทั้งหมดอาณัติมาประชุมหารือ โดยได้ข้อสรุปว่าพระองค์และข้าราชการจังหวัดนครปฐม ตัดสินใจ 'สนับสนุนคณะราษฎร' ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือยืนข้างคณะราษฎรเลยล่ะ 

แต่การอยู่ฝั่งคณะราษฎรก็ใช่จะไม่โดนจัดหนัก เพราะในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ 'เจ้านาย' ที่คณะราษฎรชื่นชอบพระองค์นี้ถูกชาวคณะจัดหนัก กราบบังคมทูลฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาเป็นเจ้านายที่ 'ได้ใช้ถ้อยคำอันเป็นเสี้ยนหนามแก่ความสงบ…เสียดสีคณราษฎรด้วยอาการอันไม่สมควร' งง พอสมควร ยึดอำนาจมาแล้ว แต่เวลามีปัญหาก็ไปกราบบังคมทูลฟ้อง สุดยอดความย้อนแย้งจริง ๆ แต่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ท่านก็ทรงมีพระเมตตา ทรงเรียกให้มาปรับความเข้าใจกัน 

พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา จึงเสด็จฯ มารีบมอบพระองค์และให้คำมั่นว่าจะไม่คิดร้ายต่อคณะราษฎร และได้ส่งสุนทรพจน์เรื่อง 'การปกครองในระบอบใหม่' ที่พระองค์ประทานแก่ราษฎรจังหวัดนครปฐมให้คณะราษฎรทราบ ซึ่งได้รับความชื่นชอบอย่างมาก จนคณะราษฎรถึงกับกล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า 'เป็นเจ้าที่รักชาติพระองค์หนึ่ง สมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่เจ้าอื่นๆ ได้' ถึงขนาดที่ พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร มีหนังสือชมเชยสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยยึดแนวทางของพระองค์ไปใช้ในการอบรมข้าราชการและประชาชนเพื่อให้เข้าใจในระบบการปกครองใหม่ด้วย เอาสิ !!! 

ซึ่งการแสดงพระองค์ลักษณะนี้ก็ทำให้พระองค์ทรงได้รับความไว้วางใจ จากนครปฐมพระองค์ก็ได้ย้ายไปทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และรักษาการแทนสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ซึ่งในช่วงนั้นได้เกิดเหตุกบฏบวรเดชขึ้น หลังจากพระองค์ทรงได้รับหนังสือเตือนจากรัฐบาล พระองค์ทรงสั่งให้หน่วยความมั่นคงของจังหวัด จัดเตรียมการลาดตระเวนและจับทหารของกลุ่มกบฏ อย่างเข้มแข็ง รัฐบาลก็เลยได้โอกาสปราบปรามกบฏทางฝั่งอีสานโดยไม่ต้องห่วงภาคใต้เลย หลังจากเหตุการณ์สงบ รัฐบาลได้มอบ 'เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ' ให้แก่ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และประชาชนที่มีส่วนร่วมในการปราบกบฏ ซึ่งพระองค์ ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์เพียงพระองค์เดียวที่ได้รับทูลเกล้า ฯ ถวายเหรียญดังกล่าว เรียกว่าคณะราษฎรไว้วางใจมาก สุด สุด 

ความไว้ใจนี้ยังไปต่อครับทุกท่าน เมื่อจบเหตุกบฏบวรเดชแล้ว จากภูเก็ตพระองค์ก็ได้รับตำแหน่งเป็น 'ราชเลขานุการในพระองค์' พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แทน ม.จ.วิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ที่ถูกปลด ด้วยพระชันษาเพียง 29 เท่านั้นเอง แต่ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจ เพราะ 'หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา' หม่อม ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นนางพระกำนัลใน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งตรงนี้ส่งผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งคณะราษฎรยังมั่นใจได้ว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์นั้นจะไม่หันกลับไปสนับสนุนสถาบันฯ เหมือนเจ้านายพระองค์อื่น ๆ แต่การเป็นราชเลขานุการในพระองค์เป็นแต่เพียงไม่นานเพราะในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จ ฯ ไปต่างประเทศ โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ เข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คณะราษฎรได้เลือก 'พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์' ให้ทรงดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และสมาชิกอีก 2 ท่านคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ก่อนที่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา 'กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์' ได้ทรงปลงพระชนมชีพเนื่องจากความกดดันจากทั้งพระราชวงศ์และคณะราษฎรที่ถาโถมใส่พระองค์ หลังจากนั้นคณะราษฎรตัดสินใจเลือก พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาให้ทรงดำรงตำแหน่งดังกล่าว พร้อมกับการแต่งตั้ง นายเสวก นิรันดร หนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรซึ่งใกล้ชิดกับ จอมพล ป. ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (นายเสวกนี่เองคือตัวเบียดบังทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เลยขอบอก) และนายเสวกก็ยังเป็นเลขาส่วนพระองค์ในพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไปพร้อมๆ กัน

‘เด็กจีน’ ตั้งคำถาม “คนรุ่นใหม่ควรทำอะไรให้แก่โลกบ้าง” ตอบ “อย่าเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเคยรังเกียจในสมัยเด็ก”

(19 มี ค.66) ‘อ.ต่อตระกูล’ รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘คนรุ่นใหม่ทำอะไรให้แก่โลกบ้าง’ ซึ่งได้นำเสนอสุนทรพจน์ของ นักศึกษาหญิง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เข้าประกวดสุนทรพจน์ในรายการทีวี สั้น ๆ เพียง 3 นาที ที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ที่น่ายกย่อง

โดย อ.ต่อตระกูล กล่าวว่า สุนทรพจน์นี้ ทาง ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร์ อาจารย์ที่นิติศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน ซึ่งจบปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เดียวกัน แปลมา บอกว่าอยากให้ คนไทยได้อ่านกัน ความว่า...

ฉันเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ทุกคนของฉันเคยพูดว่า “กฎหมายบัญญัติไว้ว่าอย่างนี้ แต่ในทางปฏิบัติในชีวิตความเป็นจริง…” ชีวิตความเป็นจริง เป็นโลกที่น่าพิศวง ในชีวิตความเป็นจริง คนซื่อ ๆ ที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด มักใช้ชีวิตเงียบ ๆ ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ส่วนคนที่มากเล่ห์เพทุบาย สุดท้ายกลับมีทั้งชื่อเสียง มีลาภสมบัติ เพราะฉะนั้น เด็กไร้เดียงสาอย่างฉัน จึงมักมีรุ่นพี่ที่มากประสบการณ์มาตบไหล่ฉันเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู และบอกฉันว่า “เด็กน้อย รอจนเธอเข้าใจโลกเสียก่อน”

สิ่งที่ฉันอยากถามก็คือ คนหนุ่มสาวอย่างฉัน สามารถทำอะไรให้กับโลกได้บ้าง วันหนึ่งข้างหน้า ผู้ว่าการแบงก์ชาติ จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 นักธุรกิจชั้นนำ จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 แม้กระทั่ง ประธานาธิบดี ก็จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 ในวันที่สังคมเป็นที่ยืนของคนที่เกิดหลังปี 1990 ฉันอยากถามเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนว่า พวกเราอยากให้สังคมเป็นเช่นไร ฉันรู้ดีว่า ไม่ใช่ทุกคนสามารถก้าวขึ้นมาฝ่าฟันพายุและคลื่นลม จนเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศชาติ ฉันและคุณ ล้วนเป็นคนเล็กๆธรรมดา ๆ ภายในกลไกเครื่องจักรสังคมอันมหึมา พวกเราเป็นเพียงหมุดตะปูตัวเล็ก ๆ

สมัยเรียนหนังสือ พ่อแม่พูดทุกวันว่า ให้ตั้งใจเรียนเป็นอันดับแรก อย่าเพิ่งสนใจอย่างอื่น พอถึงวันจบการศึกษา พวกเราก็เที่ยวเอาจดหมายสมัครงานหว่านไปทั่ว ด้วยความหวังว่าจะมีบริษัทรับเข้าทำงาน ผ่านไปไม่กี่ปี ก็ถูกกดดันให้แต่งงาน ซื้อบ้าน แล้วก็ใช้เวลาอีกประมาณ 20 ปีแรกของชีวิตการทำงาน ช่วงที่มีกำลังเต็มที่ หาเงินมาใช้หนี้ จนทำให้คนหนุ่มสาวยุ่งกับการใช้ชีวิต จนไม่เหลือความฝัน ไม่มีเวลาสนใจการเมือง ไม่มีเวลาสนใจสิ่งแวดล้อม ไม่มีเวลาสนใจชะตากรรมบ้านเมือง แล้วจะยังเหลือกำลังวังชา ทำอะไรให้แก่สังคมส่วนรวมได้อีก

แต่ภายหลังฉันพบว่า มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันและคุณทำได้ สิ่งนั้นคือ คนรุ่นเรา ไม่ว่าจะเดินไปในเส้นทางใด ขออย่าได้ทำชั่ว ขอแค่ อย่าเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเคยรังเกียจในสมัยเด็ก ถ้าต่อไปเราเป็นคนขายของแผงลอย ก็อย่าเอาน้ำมันทิ้งแล้วมาทอดของขาย ถ้าขายผลไม้ ก็อย่าโกงน้ำหนักตาชั่ง ถ้าเปิดโรงงาน เป็นเจ้านายคน ก็อย่ากดค่าแรงลดคุณภาพวัตถุดิบ ผลิตของด้อยคุณภาพ คนธรรมดาหนึ่งคน ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่แสนธรรมดา ถ้าทำหน้าที่ของตนให้ดีได้ ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะเราทุกคน ตั้งแต่วันที่เราเกิดมา ก็มีผลเปลี่ยนแปลงโลกฉันเป็นนักศึกษากฎหมาย ถ้าในภายภาคหน้า ฉันสามารถเป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรม สังคมเราก็จะมีผู้พิพากษาที่ดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ย่อมเป็นสังคมที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็นิดหนึ่ง

คลี่ประวัติศาสตร์ผ่านดนตรี แสง สี เสียง ในบรรยากาศสุดคลาสสิคที่ 'หัวลำโพง'

วันนี้ (18 มี.ค.66) ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ได้ร่วมกับ Lighting Designers Thailand ที่มาร่วมออกแบบแสงไฟ (Lighting Installation) เพื่อช่วยสร้างเรื่องราวและขับเน้นความงดงามของสถาปัตยกรรม พร้อมกับจัดการแสดงดนตรีที่ได้รับการคัดสรรมาให้สอดคล้องกับการที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นชุมทางของคนเดินทาง

พื้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือ หัวลำโพงสุดคลาสสิก เคยเป็นชุมทางของการเดินทางจากผู้คนทั่วประเทศมายังกรุงเทพมหานคร แม้ปัจจุบันจะลดความคับคั่งลงเหลือเพียงการเดินรถไฟไม่กี่สาย แต่สถานีรถไฟหัวลำโพงยังคงมีความสำคัญในฐานะอาคารทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ทั้งด้านสถาปัตยกรรม และความทันสมัยด้านระบบคมนาคมของประเทศไทย

ในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 126 ปีการรถไฟแห่งประเทศไทยในวันที่ 26 มีนาคม 2566 ชวนคุณมาร่วมสีสันไปพร้อมกับการเปิดมุมมองใหม่ที่เปี่ยมเสน่ห์ของสถานีรถไฟกรุงเทพ ใน 'Unfolding Bangkok' สอดรับกับบทบาทที่เปลี่ยนไปของสถานีรถไฟหัวลำโพง จึงเป็นโอกาสในการทดลองปรับพื้นที่ของสถานีรถไฟให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับการส่งเสริมสถาปัตยกรรม การเรียนรู้และสันทนาการของผู้คน

ทั้งนี้ Unfolding Bangkok ได้ประสบความสำเร็จกับกิจกรรมหลายครั้งก่อนหน้านี้ อาทิ โรงปั้นของมหาวิทยาลัยศิลปากร หรือพื้นที่โดยรอบพระบรมมหาราชวัง

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวในงานว่า "ทุกวันนี้จำนวนผู้เข้าใช้บริการในการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้นมีเยาวชนมากกว่า 50% ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะได้สอดแทรกประวัติศาสตร์อันดีงามของการรถไฟ พร้อมทั้งประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากการเดินทางซึ่งได้รับความนิยมในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นรถทัวร์ รถยนต์ หรือเครื่องบิน และงานนี้จะเป็นต้นแบบให้องค์กรต่าง ๆ ร่วมกันส่งเสริมให้เห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาติต่อไป"

ผู้สนใจเข้าร่วมชมงานฯ สำหรับวันที่ 18-26 มีนาคม 2566 นี้ เป็นงานแสงสีเสียง  และดนตรี ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงร่วมฉลองครบ 126 ปี การรถไฟแห่งประเทศไทย ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ โดยรายละเอียดกิจกรรมงาน Living Old Building แสงสีเสียงหัวลำโพงนี้ มี 3 ส่วนคือ...

กลับมาอีกครั้ง!! ‘NCT 127’ จะเข้าร่วมแสดง ‘M(a)Y Concert’ แฟนคลับเตรียมตัว เตรียมตังค์ มาแน่!! 27 พ.ค. นี้

NCTzen 127 ชาวไทย เตรียมตัวมาสนุกไปด้วยกัน!

NCT 127 จะเข้าร่วมแสดงในคอนเสิร์ต ‘M(a)Y Concert’

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2023 เวลา 18.00 น.

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

‘แน็ก ชาลี’ สลัดลุคถ่ายงาน หล่อจนจำไม่ได้ เจอเด็กทักเป็นตัวปลอม ลั่น!! ตัวจริงต้องสกปรกกว่านี้

โดนเด็กเมนต์ตรง บอกเหตุผลที่จำ ‘แน็ก ชาลี’ ไม่ได้ เจ้าตัวฟังแล้วขำไม่ไหว

‘เมื่อวานอย่างขำ’ แน็ก ชาลี เกริ่นนำไว้อย่างนั้น ก่อนเล่าสิ่งที่พบเจอ

โดยว่า ‘ผมอยากได้ตังค์ไง เลยยอมใส่หมดอะเสื้อกางเกงขายาว ทิ้งอีแตะ แต่งหน้าทาปากแดง ใส่ผ้าใบแล้วไปถ่ายงานที่ดรีมเวิลด์ แล้วเด็กๆ เยอะมากๆ

แบบเด็กที่ยังเกิดไม่ทันเรื่องแฟนฉันนะ เพราะแฟนฉันก็ 20 ปีแล้ว (แก่แล้วทั้งผมและคนดูทันยุคนั้น)

แต่เด็กๆ อาจจะได้เห็นผมผ่านๆในติ๊กตอกบ้าง แล้วคือ เด็กๆหลายกลุ่มก็แบบ เห้ยใช่พี่แน็กไหม ผมก็ได้ยินนะเพราะอยู่ไม่ไกลกันมาก

เมื่อฟิสิกส์ควอนตัม เริ่มก่อปรากฏการณ์ทางจิตที่ยากจะเข้าใจ จนสั่นคลอนวิทยาศาสตร์ว่า ‘มนุษย์เราตายแล้วไม่สูญ’

(18 มี.ค. 66) ทันตแพทย์สม สุจีรา ทันตแพทย์และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘ชีวิตหลังความตาย’ ระบุว่า...

เมื่อครั้งยุคฟิสิกส์นิวตัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่า มนุษย์มาจากการรวมตัวกันของอนุภาคอย่างพอเหมาะพอเจาะ เป็นความบังเอิญล้วน ๆ มนุษย์เราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว จิตวิญญาณไม่มีจริง แต่แล้ว เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ เปิดมิติที่สี่ออกมาให้เห็น นักวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า ในจักรวาลนี้มีอะไรที่น่าพิศวงอีกมากมาย สิ่งที่ฟิสิกส์ยุคคลาสสิก อย่างนิวตัน รู้ ไม่ถึงเศษเสี้ยวของความจริง 

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งในยุคสัมพัทธภาพ คิดว่า อาจมีชีวิตหลังความตาย แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก จวบจนเข้ามาสู่ยุคฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งก้าวย่างเข้าไปศึกษามิติที่ห้า นักวิทยาศาสตร์สายควอนตัม เริ่มมั่นใจแล้วว่า ‘มนุษย์เราตายแล้วไม่สูญ’

ไบรอัน โจเซฟสัน (Brian Josephson) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ได้กล่าวไว้ว่า “ถ้านักวิทยาศาสตร์ เห็นว่าเรื่องของจิตไม่มีอยู่จริง กลศาสตร์ควอนตัมจะเข้ามาช่วยอธิบาย” เขาฝึกสมาธิอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี จนพบปรากฏการณ์ทางจิตที่ยากจะเข้าใจ และพยายามใช้หลักทางควอนตัมมาอธิบาย ไบรอัน โจเซฟสัน ได้รับการยอมรับว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจเรื่องตัวนำยิ่งยวดและอุโมงค์ควอนตัมมากที่สุดในโลก    

ศาสตราจารย์ฮานส์ ปีเตอร์ เดอร์ (Hans-Peter Durr) นักฟิสิกส์ควอนตัมที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 อดีตรองผู้อำนวยการ สถาบันแมกซ์ พลังค์ และเป็นลูกศิษย์คนโปรดของ เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ยืนยันว่า ความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ ล้วนถูกอัพโหลดสู่สนามควอนตัมทางจิตวิญญาณในเวลาเดียวกับที่เราคิดหรือรู้สึก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะยังคงอยู่หลังจากที่เราเสียชีวิต การส่งผ่านข้อมูลอาจใช้หลักการพัวพันทางควอนตัม (Quantum Entanglement) ซึ่งเกิดขึ้นในทันใด และส่งไปได้ไกลถึงสุดขอบจักรวาล ดังนั้น ทุกครั้งที่เราคิดหรือทำอะไร จะมีอนุภาคคู่ขนานเกิดขึ้น ณ จุดใด จุดหนึ่งในจักรวาล เพื่อบันทึกข้อมูลเก็บไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top