Wednesday, 14 May 2025
NEWSFEED

ย้อนมอง ‘หาเสียง-สื่อประชาสัมพันธ์’ สมัยแรกของสยาม ท่ามกลางกุศโลบายสร้างสรรค์ ไม่ฟาดฟันกันด้วยอวิชชา

ในตอนที่ผมกำลังพิมพ์เรื่องราวนี้อยู่นั้น การรับสมัครผู้ที่ต้องการเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อนั้นก็คงได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกพรรคคงเดินหน้าในการหาเสียงกันเต็มรูปแบบ ผมก็เลยอยากมาเท้าความถึงเรื่องราวการหาเสียงเลือกตั้งในอดีตให้ทุกท่านได้นึกจินตนาการสักหน่อย 

ผมจะเล่าถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสยามเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2480 ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 เพื่อเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 91 ที่นั่ง จาก 182 ส่วนอีกครึ่งนั้นมาจากการแต่งตั้งโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบทางตรง คือผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองได้โดยตรง 

แต่เวลานั้นยังไม่มีพรรคการเมืองครับ ผู้สมัครที่ลงรับเลือกตั้งจึงเป็นผู้สมัครอิสระ สำหรับ ส.ส. ก่อนหน้าการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2480 นั้น มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม ซึ่งผู้มีสิทธิลงคะแนนจะเลือกผู้แทนตำบลเพื่อให้ไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง เพราะประชาชนยังอ่านออกเขียนได้มีจำนวนไม่มากนัก และ ส.ส. ชุดเลือกทางอ้อมนั้นได้พ้นตำแหน่งไปแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาเป็นผู้แทนประเภทที่ 2 ด้วยการแต่งตั้ง เอาน่ะ ยุคนั้นราษฎรยังไม่เยอะ พวกผู้แทนที่กลับมาเป็นอีกมีความจำเป็น (หลัก ๆ ก็ก๊วนคณะราษฎรนั่นแหละ) 

แต่วัฒนธรรมหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในยุคแรกเริ่มเลือกตั้งแห่งสยามนี้คือการหาเสียงแบบ ‘เคาะประตูบ้าน’ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ผมว่าเป็นการหาเสียงสุดคลาสสิกที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะการเลือกตั้งในยุคนั้นต้องอาศัยการรู้จักหน้าตาของผู้สมัคร ยิ่งถ้าผู้สมัครรู้จักเข้าหาผู้นำหรือผู้ที่ได้รับความนับถือในสังคม ที่ปัจจุบันก็คือ ‘หัวคะแนน’ (มีมาตั้งแต่สมัยนั้น) อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูจากเมืองหลวง ตลอดจนพระสงฆ์ ก็ย่อมมีสิทธิ์ได้รับเลือก อันนี้คือการหาเสียงทางตรงซึ่งมักถูกนักเลือกตั้งรุ่นใหม่ดูถูกเหยียดหยาม ว่าช่างโบราณได้รับเลือกมาก็เป็นแค่ ‘ผู้แทนตลาดล่าง’ แต่ผมว่าเอาเข้าจริงการหาเสียงในรูปแบบนี้ยังใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย ขนาดที่พรรคการเมืองที่ว่ารุ่นใหม่บางพรรคยังต้องยอมศิโรราบ ‘การเคาะประตูและการใช้หัวคะแนน’ กลืนน้ำลายตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้รับเลือกตั้ง อันนี้ก็งง งงดี 

ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจในยุคการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2480 ก็คือการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า ‘โปสเตอร์’ ผมว่าอันนี้น่าสนใจเพราะเขาใช้สื่อชนิดนี้ด้วยความสร้างสรรค์ สร้างคอนเทนต์กันสุดฤทธิ์ โดยเน้นการโฆษณาว่าตนเป็นใคร เก่งแบบไหน ใส่นโยบายกันสุดลิ่มทิ่มประตู ยกตัวอย่างให้อ่านดังนี้...

เลือกให้ นายชอ้อน อำพล เป็นผู้แทนดีกว่า นายชอ้อน อำพล บรรณาธิการ ‘สยามรีวิว’ เมื่อได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการแล้ว จะฟันฝ่าชาวสมุทรปราการเป็นลูกเมียหลวงให้ได้ จะไม่ต้องได้รับความลำบากอย่างที่ท่านเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาได้เป็นผู้แทนมาแต่แรกแล้ว สมุทรปราการและพระประแดงจะไม่เป็นเช่นนี้เลย....ปิดท้ายด้วย....ท่านจะเห็นว่า นายชอ้อน อำพล ช่วยท่านจริงก็ต่อเมื่อท่านได้ ให้เขาเป็นผู้แทนในวันเลือก...

...เอากับเขาสิ อยากใช้ผมก็เลือกผม อะไรประมาณนั้น

หรืออย่างเช่น...ทองหล่อ บุณยนิตย์ เนติบัณฑิต ทนายความ พูดจริง ทำจริง มนตรีนครธนบุรี...ศรีกรุง ฉบับวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2480 ว่า นายทองหล่อ บุณยนิตย์ เนติบัณฑิตอัยการผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีความรู้ในทางกฎหมายและการเมืองทั้งเป็นผู้ที่มีใจเป็นกุศล.... 

หรือจะเป็นอย่าง...โปสเตอร์ของขุนพิเคราะห์คดี....รักชาติ, ถิ่น, ฐาน, รักบ้าน, รักเรือน ก็อย่าให้ได้ชื่อว่าขายชาติ อย่าเชื่อคำยุยงส่งเสริมฯ ของเขาเราจะเสียแนวไก่ต่อ (ไก่ต่อไปซะอย่างนั้น)...

บ้างก็วางนโนบายเป็นข้อ ๆ แบบของ นายพันตรีหลวงขจรกลางสนาม ที่ระบุนโยบายเป็นคำคล้องกันดังนี้...ข่าวสาส์นการเดิน...เหินห่างโจรภัย...ไม่เสียเวลาไปศาล...สมานสามัคคี...มีที่พึ่ง...ปิดท้ายอีก 3 เรื่องจากหลวงขจรฯ คือ... พ้นความยากจน...มีคนรักษา...วิชาความรู้....หลัก ๆ พออ่านจบผมก็อดอมยิ้มไม่ได้ เพราะมันช่างสนุกสนานจริง ๆ ‘โปสเตอร์’ หาเสียงยุค พ.ศ. 2480

แต่ถึงกระนั้นแผ่นปิดเหล่านี้ก็ไม่ได้โจมตีใครอย่างเอิกเกริก และไม่มีการกลั่นแกล้งกันอย่างจริงจัง เป็นสีสันแห่งการเลือกตั้งอย่างแท้จริง ผิดกับยุคนี้ที่การทำสื่อเลือกตั้ง เน้นให้มีจำนวนมาก เน้นให้ได้เปรียบคนอื่น เน้นบังป้ายคนอื่นจนกระทั่งไม่สนใจว่าจะบดบังทัศนวิสัยหรือไม่ รวมไปถึงบางป้ายที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ออกมาตั้งกันอย่างน่าประหลาด อย่างป้ายสีแดงของโครงการหมู่บ้านแคนดิเดตผู้นำก็ตั้งบังชาวบ้าน เยอะยิ่งกว่าป้ายหาเสียงเสียอีก อันนี้หยอกนะครับ เพราะน่าจะไปแก้ไขกันแล้ว มั้งนะ !!! 

ว่าด้วย 'โรคกลัวสังคม' ปมปัญหาที่พบบ่อยใน 'เด็ก-วัยรุ่น' หยุดได้!! แค่เลิกขยายความ ‘ขี้อาย’ จนกลายเป็นความ ‘กลัว’

วันก่อนเห็นโพสต์ของคุณแข นักแสดงชื่อดัง ผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก 'รัศมีแข Rusameekae' พออ่านจบแล้วก็เกิดอารมณ์หลากหลายต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่ออกไปทางเข้าใจ แลระคนเห็นใจในสิ่งที่น้องแขต้องเผชิญครั้งวัยเด็ก โดยเนื้อหานั้น เธอว่าแบบนี้...

“ขอบพระคุณเพื่อน ๆ แม่ ๆ และคุณพ่อที่มีลูกในวงการมาก เพราะเด็ก ๆ ทุกคนที่แขเจอ ทำให้แขมีความสุขมาก ๆ ครับ แขเคยโดนเรื่องร้าย ๆ มาตั้งแต่เด็กครับ ทั้งถูกทำร้าย ถูกรังเกียจจากสีผิว เลยทําให้แขมีอาการซึ่งยังเป็นอยู่ครับ ขอเรียกว่าโรค ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ’ แขจะ panic ทุกครั้ง เมื่อมีคนมาจับตัว มากอด หรือจับมือ จะมีคำถามขึ้นมาตลอดว่า ‘เค้าไม่รังเกียจเราใช่ไหม?’ โดยเฉพาะเวลาเจอลูกของเพื่อน ๆ หรือคนรู้จัก 

"แข panic ครับ กลัวว่าเค้าจะไม่รังเกียจเราใช่ไหม ถ้าจะคุยจะเล่นกับลูกของเค้า ซึ่งทุก ๆ คนก็ยินดีให้เล่นกับลุงแข แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่แขได้อุ้มได้เล่นกับเด็ก ๆ ลึก ๆ แขจะร้องไห้ตลอดครับ เพราะเวลาเด็ก ๆ ยิ้มให้แข แขเหมือนเราไม่ได้เป็นตัวน่ารังเกียจครับ แล้วเด็ก ๆ ที่แขได้มีโอกาสเจอ ช่วยทำให้แขใจชื้นมาก ๆ ครับ แขรู้สึกเหมือนเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริง ๆ ครับ สัญญาครับว่าจะเป็นลุงแขที่ดีที่สุดเพื่อหลาน ๆ ครับ”

ลักษณะอาการที่คุณแขเรียกว่า ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ?’ น่าจะคล้ายกับ ‘โรคกังวลต่อการเข้าสังคม’ หรือ ‘Social Anxiety in Children & Adolescents’ โดยต้องขอย้ำว่าผู้เขียนมิได้เป็นแม้เศษเสี้ยวผู้เชี่ยวชาญที่กล้าบังอาจวินิจฉัยโรค และคุณรัศมีแขเองก็อาจไม่ได้อยู่ในข่ายนี้ เพียงแต่อยากยกเธอเป็นต้นธารแห่งการแบ่งปันความรู้สึกเท่านั้น

อาการของโรคนี้ ‘นายแพทย์ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย’ จิตแพทย์แห่งโรงพยาบาลมนารมย์ เคยเขียนเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานไว้ว่า ‘ความกังวลต่อการเข้าสังคม’ หรือที่เรียกว่า ‘โรคกลัวสังคม’ (Social Phobia) นั้น พบเห็นได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองรู้สึกขัดอกขัดใจกับบุตรหลานของตนอย่างมากว่า ไม่กล้าแสดงออก หรือพ่อแม่อาจอับอายที่มีลูกขี้อาย โดยยิ่งพยายามผลักดันให้เด็ก ๆ เหล่านี้ ‘แสดงออก’ มากยิ่งขึ้น เช่น ส่งไปเต้นระบำขับร้องบนเวที (ที่มีคนดูเยอะ ๆ) สิ่งเหล่านี้นี่เองที่อาจยิ่งจะทำให้เด็กรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นที่ไม่อาจทำให้พ่อแม่พอใจได้

เริ่มจากความ ‘ขี้อาย’ จนกลายเป็นความ ‘กลัว’

ยิ่งคุณรัศมีแขเติบโตมาในสังคมที่ตนดูแปลกแยก ดังที่เคยเล่าออกทางสื่อบ่อย ๆ ว่า เธออาศัยอยู่ที่ยุโรป (สวีเดน) ด้วยผิวพรรณวรรณะ ประกอบกับความเป็น LGBTQ เข้าไปอีก องค์ประกอบความเป็น ‘แข’ จึงเริ่มต้นด้วยความ ‘อาย’ เป็นปฐม

เมื่อความกลัวต่อการถูกเฝ้ามอง (หรือประเมิน) จากคนอื่น เด็กวันวานเหล่านั้นก็จะเกิดความกลัวขึ้น โดยคิดว่าเขา (และเธอ) อาจทำหรือพูดอะไรที่ ‘เปิ่น - เชย - ผิด - งี่เง่า’ ต้องทำให้ตัวเองได้ ‘อาย’ ตกเป็นเป้าของการถูกวิพากษ์วิจารณ์

แถมคุณแขยังเคยโดนทำร้ายร่างกายด้วยอคติอันน่ารังเกียจอีก นั่นจึงเป็นเหตุที่ต้องตั้งคำถามเสมอมาว่า ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ?’ แม้ทุกวันนี้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังท่ามกลางคนรักใคร่แทบทั้งประเทศ ด้วยความเป็นพลเมืองระดับ ‘คุณภาพ’

ว่ากันตามจริงคนไทยอายุสี่สิบขึ้นวันนี้ล้วนผ่านประสบการณ์ถูก ‘บูลลี่’ (Bully) มามากบ้างน้อยบ้างตามแต่สภาพสังคมที่เติบโต ผู้เขียนเองก็เคย คนรอบข้างก็เคย โดยเราเองอยู่ในสถานะทั้งถูกบูลลี่และเป็นคนบูลลี่ (Abulligy) ด้วย ‘คำเหยียด’ ซึ่งแทบไม่มีผลต่อจิตใจแต่อย่างใด ต่างจากคนรุ่นปัจจุบัน

มองความสุขหลังพ้นกำแพงเรือนจำของ 'หมอวิสุทธิ์'  เมื่อ 'การเจริญสติ' สำคัญกว่าวิชาความรู้เสียอีก

(5 เม.ย.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงพระรูปหนึ่ง ที่อดีตคนไทยรู้จักในชื่อ 'หมอวิสุทธิ์' ความว่า... 

บทความจาก #พระอาจารย์ไพศาลวิสาโล ได้กล่าวว่า พวกเราอาจจะเคยได้ยินชื่อ 'หมอวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ' ซึ่งเคยถูกพิพากษาประหารชีวิต เพราะโดนข้อหาฆ่าภรรยา

หมอวิสุทธิ์เป็นศาสตราจารย์ ทางการแพทย์ที่จุฬาฯ เก่งมากในเรื่องของการทำเด็กหลอดแก้ว เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย มีฐานะดี แต่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ ต้องพลิกผันตกต่ำ กลายเป็นนักโทษประหาร เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาด มีปัญหาความรักและแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการ ฆ่าภรรยา

ภายหลังได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ตอนนี้จึงออกมาจากคุกได้ เพราะโทษเบาบาง

เมื่อไม่นานมานี้ ท่านได้ให้สัมภาษณ์สื่อไว้อย่างน่าสนใจมาก โดยเผยชีวิตเบื้องหลัง กำแพงเรือนจำกับชีวิตใหม่ หลังก้าวผ่านคำว่านักโทษประหาร สู่การเรียนรู้ชีวิต จากโรงเรียนแห่งใหม่ที่ถูกเรียกว่า 'เรือนจำ'

เมื่อได้ลองทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง ก็ทำให้เขาได้รู้ว่า ชีวิตก่อนหน้านี้ ตัวของเขาเป็นคนที่ประมาท ปล่อยให้ความโลภและความโกรธเข้าครอบงำ จนไร้อิสระ ปล่อยให้อิทธิพลของลาภยศ คำสรรเสริญ เข้ามามีอำนาจเหนือตนเอง

แต่ในตอนนี้ หลังจากที่ได้ทบทวนตัวเอง แม้ว่าจะต้องเสียสิ่งต่างๆ ไปมากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่า ตอนนี้เขาได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น ได้มองโลกในอีกมุมมองหนึ่ง มีการเจริญเติบโตของจิตวิญญาณ และมีความสุขจากการให้

เข้าใจคำว่าจิตอาสามากขึ้น...

จากรูปภาพที่เขาได้วาดในเรือนจำว่า ตัวของเขานั้น ก็เปรียบเหมือนธุลีเล็กๆ ในโลกใบใหญ่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือสลักสำคัญอะไร หากเราหาความสุขได้ จากการที่ตัวเองเป็นเพียงฝุ่นผง ความสุขนั้นก็จะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน

เมื่อก่อนเป็นคนมีอัตตา คิดว่าควบคุมทุกอย่างได้ ทำให้โกรธง่าย แต่ตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงฝุ่นเล็กๆ ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธใครแล้ว...

เมื่อมองย้อนกลับไป เขาไม่ได้ตำหนิตัวเอง และกลับรู้สึกว่า เข้าใจความคิดอ่าน ของภรรยามากขึ้น ตัวเองไม่ติดใจอะไรแล้ว ไม่โกรธแค้นขุ่นเคือง รู้สึกให้อภัยภรรยา ให้อภัยแก่ตัวเอง และก็อยากให้ภรรยาอภัยให้เช่นกัน

อุทาหรณ์ที่หมอวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ได้เรียนรู้จากโรงเรียนชีวิตแห่งนี้ก็คือ มนุษย์เราควรจะต้องระมัดระวัง ในการใช้ชีวิต ไม่ประมาท

ต้องรู้จักฝึกจิตตั้งแต่อายุน้อย ไม่จำเป็นต้องรอให้อายุมากแล้วจึงเข้าวัด ควรฝึกจิตอย่าประมาทให้กิเลส ความโลภ โกรธ หลง ครอบงำจิตใจ เพราะเมื่อไหร่ที่เราถูกครอบงำ เราก็ทำผิดพลาดได้

หากมองย้อนชีวิตที่ผ่านมาแล้ว เสียดายที่ทุ่มเทกับงานการ จนละเลยเรื่องการปฏิบัติธรรม แต่ก่อนในหัวมีแต่งาน ตำรา งานวิชาการ

‘ตุ๊ก ดวงตา’ โพสต์ เหตุผู้กำกับสั่งให้ลบรอยสัก เจ้าตัวถึงกับงง เผย ไม่ได้สัก แต่เป็นเส้นเลือดที่คล้ายตัวเลข งานนี้แฟนคลับแห่ตีหวย

‘ตุ๊ก ดวงตา’ ถึงกับงง โดนสั่งลบรอยสัก ปรากฏเป็นเส้นเลือดคล้ายตัวเลขคอหวยพากันส่อง

(3 เม.ย. 66) เรียกว่าถูกใจคอหวย เมื่อนักแสดงรุ่นใหญ่ ตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี ออกมาโพสต์ภาพหลังถ่ายปิดกล้องละครเรื่อง ดวงใจเทวพรหม ตอนใจพิสุทธิ์ ก็ถูกผู้กำกับสั่งให้ลบรอยสักที่คอแต่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับงงเพราะตัวเธอเองไม่ได้สักอะไรไว้ที่คอ แต่ดันเป็นรอยเส้นเลือดขอดที่ปรากฏคล้ายตัวเลข โดยตุ๊กได้เขียนข้อความเล่าว่า
‘เมื่อวานไปปิดกล้อง ดวงใจเทวพรหม

วงการหนังไทยระอุ ร่วม #แบนสุพรรณหงส์  หลังประกาศกติกาใหม่ ส่อกีดกันหนังฟอร์มเล็ก

กำลังเป็นประเด็นร้อนเลยทีเดียว สำหรับดรามาเกี่ยวกับกติกาการคัดเลือกภาพยนตร์เข้าร่วมชิงรางวัลสุพรรณหงส์ ที่คนทำหนังหลายคนโวยว่าไม่ยุติธรรม

โดยสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติออกกติกาใหม่ว่า หนังที่จะเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

▪️ ต้องฉายในโรงภาพยนตร์ ฉายผ่านสตรีมมิ่งอย่างเดียวไม่ได้

▪️ ต้องฉายในโรงครบทั้ง 5 ภูมิภาค อย่างน้อยใน 5 จังหวัดใหญ่ คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช

▪️ ต้องมียอดผู้ชมไม่ต่ำกว่า 50,000 คน

ทั้งนี้ คนในวงการส่วนใหญ่มองว่าเกณฑ์การคัดเลือกนั้นเอื้อผลประโยชน์ให้กับค่ายใหญ่ ซึ่งมีภาพยนตร์ถึง 11เรื่องด้วยกันที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก หนึ่งในนั้นคือเรื่อง "เวลา" (Anatomy of Time) ที่เพิ่งคว้ารางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม "คมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่19" และรางวัลจากต่างประเทศมาแล้ว

ศราวุธ แก้วน้ำเย็น ผู้กำกับศิลป์เรื่องดังกล่าวได้โพสต์ว่าภูมิใจมากที่ได้รางวัล คมชัดลึกอวอร์ด หลังจากที่ได้รางวัลจากหลายประเทศทั่วโลก แต่ถูกตัดสิทธิเอาชื่อออก ไม่ผ่านเกณฑ์การเข้าชิงรางวัลของเวทีใหญ่ "...หงส์มีหลักเกณฑ์ ใหม่ที่เพิ่งตั้งในปีนี้ว่า ว่าภาพยตร์ที่จะเข้าคัดเลือกต้องมีการเข้าฉายในโรงภาพยตร์ให้ครบ 5 ภูมิภาค ของประเทศไทย แต่ภาพยนตร์เรื่อง Anatomyoftime ไม่ได้ไปฉายให้ครบทุกภาคของประเทศก็เลยไม่ผ่านเกณฑ์การตัดสิน"

ด้านคุณชายอดัม หรือ ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวพร้อมเผยว่า ปีนี้ถามทางสมาคมสมาพันธ์ไปแล้วและได้คำตอบว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนกติกาได้ และจะพิจารณาใหม่ในปีหน้า ลั่น "ปีนี้ขอไม่ไปสุพรรณหงส์นะครับ"

ต่อมา หรินทร์ แพทรงไทย นักตัดต่อเจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ ก็ได้โพสต์ #แบนสุพรรณหงส์ "เนื่องจากเกณฑ์การคัดเลือกหนังที่เข้ารอบไม่เป็นธรรม ผมจึงขอเรียกร้องให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทีมงานภาพยนตร์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง งดการมีส่วนร่วมกับงานสุพรรณหงส์ที่จัดโดยสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ เพื่อเป็นการแสดงออกว่าพวกเราไม่ยอมรับเกณฑ์การคัดเลือกหนังที่เอื้อผลประโยชน์ให้กับหนังค่ายใหญ่ สมาพันธ์ควรมีหน้าที่ส่งเสริมและยกระดับหนังไทยให้มีพื้นที่ฉายอย่างทั่วถึง ไม่ใช่การเอาเกณฑ์การฉายมาตัดสิทธิ์หนังในการคัดเลือกรางวัลจนเหมือนเป็นการฆ่าอุตสาหกรรมหนังไทยด้วยกันเอง ปีที่แล้วเรียกร้องให้ทีมงานได้พูดตอนรับรางวัล นอกจากจะไม่ได้แล้วปีนี้ตัดสิทธิ์หนังที่ฉายไม่ครบทุกภาคเฉยเลย #ไม่ให้ค่างานที่ไม่เห็นคุณค่าคนทำงาน"

‘พัดไม้ไผ่ไทย’ ดังไกลเข้าตาแบรนด์ระดับโลก หลัง ‘Shake Shack’ ฟาสต์ฟู้ดดังสั่งทำเป็นของชำร่วย

'พัดไม้ไผ่' หรือ 'พัดสานไม้ไผ่' ฝีมือคนไทยที่เราต่างคุ้นตาปังไม่เลิก ล่าสุดสะดุดตาแบรนดฟาสต์ฟู้ดชื่อดังระดับโลก มอบให้ประดิษฐ์ของชำร่วยให้

โดยเพจเฟสบุ๊ก 'สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย' (sacit) ได้โพสต์เนื้อหารายละเอียดใจความว่า "พัดสานไม้ไผ่ เป็นหัตถกรรมที่คนไทยคุ้นชินเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นของใช้ที่ทุกคนต้องมีติดบ้าน ใช้สำหรับพัดเตาไฟ หรือพัดเพื่อคลายร้อน โดยวัสดุหลักที่ใช้เป็นพืชพื้นถิ่นตามธรรมชาติ คือ ไม้ไผ่"

"...แต่ปัจจุบันความนิยมใช้พัดสานลดน้อยลงตามกาลเวลา แต่สำหรับครูระยอง แก้วสิทธิ์ ครูศิลป์ของแผ่นดิน ปี 2557 ของ sacit ยังคงมุ่งมั่นที่จะสืบสานทักษะเชิงช่างของคนไทยประเภทนี้ไว้ เสน่ห์ของงานพัดของครูนอกจากความละเอียดในการสานเส้นไม้ไผ่ทีละเส้นอย่างประณีตแล้ว ยังโดดเด่นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและการให้สีสันและลวดลายของพัดให้เป็นเส้นสาย ตัวอักษร ภาพนักษัตร 12 ราศี และ รูปร่างสิ่งของต่าง ๆ สื่อถึงความมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไร้ขอบเขต โดยปราศจากกรอบหรือกฎเกณฑ์ทำให้กลายเป็นพัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว"

"...ครูระยองยังได้รวมกลุ่มชาวบ้านในชุมชนบ้านแพรกมาทำหัตถกรรมจักสานไม้ไผ่เป็นอาชีพ จนได้รับการยอมรับว่าพัดสานไม้ไผ่เป็นหัตถกรรมไทยที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องให้เป็นเอกลักษณ์ของ อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา กลายเป็นสินค้าที่ใครผ่านไปเที่ยวต้องซื้อหากลับมาเป็นของที่ระลึกอยู่เสมอ ความช่างคิดประดิษฐ์ทำของครู และยังสะท้อนเรื่องราวผ่านลวดลายบนพัดตามจินตนาการ ทำให้ได้พัดเก๋ๆเท่ๆไม่เหมือนใคร จนไปเข้าตาแบรนด์ระดับโลกอย่าง Shake Shack ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาซึ่งได้มาเปิดสาขาในไทย ปิ๊งไอเดียให้ครูรังสรรค์ลวดลายของพัดเป็นรูปเบอร์เกอร์สีเขียว อันเป็นสัญลักษณ์ของ Shake Shack ได้อย่างสวยงาม เพื่อมอบเป็นของที่ระลึกแก่ลูกค้า สร้างความประทับใจและสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาในงานหัตถกรรมจักสานของไทยอย่างแท้จริง"

‘ฮาย - เซน’ วง Paper Planes เปิดใจ!! หากไม่รับผิดชอบต่อสังคม ตอนนี้สามารถซื้อเกาะส่วนตัวได้แล้ว

เป็นขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนมที่แท้ทรู ถึงตอนนี้ก็ยังกระแสไม่ลดลง ทำคลิปอะไรออกมาก็ได้รับกระแสที่ดีไปหมด ทั้งสอนเด็กๆ ล้างจมูก รวมทั้งดื่มนมแทนดื่มแอลกอฮอล์ ล่าสุดเจอตัว ‘ฮาย ธันวา เกตุสุวรรณ’ และ ‘เซน นครินทร์ ขุนภักดี’ นักร้อง-นักดนตรีชื่อดังวง Paper Planes เจ้าของเพลงฮิตทรงอย่างแบด ก็เผยว่าตอนนี้มีงานติดต่อมาเพียบ รับทุกงานคงรวยไปแล้ว แต่อยากรับผิดชอบสังคม

ฮาย : “คือต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำมาให้เป็นกระแสครับ จริงๆ มันเป็นเหมือนกับว่าเราเลือกงานที่มันเข้ากับเรา พวกเราล้างจมูกกันอยู่แล้ว เราเลยคิดว่าการออกมาทำอะไรแบบนี้ หนึ่งคือเป็นงานของลูกค้าด้วย แล้วก็เป็นสิ่งที่เราอยากนำเสนอด้วย ก็เลยไม่ได้ดูว่ามันมีฟีดแบ็กอะไร แต่ว่าพอเห็นน้องๆ เข้ามารู้จักสิ่งนี้กันมากขึ้น เราก็รู้สึกดี เพราะช่วงนี้ฝุ่นมันแย่จริงๆ เด็กๆ ยอมล้างจมูกก็ดีครับ แต่อาจต้องระวังหน่อย บางคนดันเหมือนปืนฉีดน้ำเลย”

>> เกร็งๆ ขอให้ทำคลิปอาบน้ำ กินผัก ลั่นอยากให้ออกมาจากใจเราเองจริงๆ 
ฮาย : “จริงๆ ผมว่าจะเปิดเนอสเซอรี่แล้วครับ (หัวเราะ) ก็อ่านคอมเมนต์ของคุณแม่นะครับ ชอบอ่าน มีขอให้ทำคลิปอาบน้ำด้วย ผมก็เกร็งๆ อยู่ ว่าต้องทำยังไง แต่หลักๆ ก็จะให้กินผักนี่แหละมากที่สุด แต่ผมเองยังรู้สึกว่ายังอยากให้มาจากพวกเราจริงๆ ไม่อยากให้ขอร้องให้เราทำ เพราะผมว่ามันมีข้อดีและยังมีข้อเสียอยู่ เรื่องผักมันกว้างครับ มีเรื่องความสะอาดด้วย อย่างเช่นการล้างจมูกก็มีข้อเสียอยู่นะ ถ้าทำไม่ถูกวิธี ก็เลยขอไปทำการเรื่องนี้ให้ดีก่อนดีกว่า”

>> วันเกิดก็เปลี่ยนจากแอลกอฮอล์มาดื่มนม เป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้ว
ฮาย : “ก็อย่างที่บอก เวลาเราทำอะไร มันคือสิ่งที่พวกเราทำกันอยู่แล้ว คือพวกเราไม่ค่อยได้ดื่มเหล้า เราดื่มนมกันอยู่แล้ว วันนั้นไม่ได้ขายแอลกอฮอล์ เลยรู้สึกว่าเราหาอะไรทำกันสนุกๆ ดีกว่า”

เซน : “คือช่วงโชว์ของเราเขาไม่มีแอลกอฮอล์ขาย ก็เป็นสิ่งดีครับ”

>> ต่างชาติแปลกใจเด็กๆ ตามไปร้องเพลง หวั่นพาน้องๆ ไปสู่สิ่งไม่ดี 
ฮาย : “ก็เป็นเรื่องที่แปลก ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน (หัวเราะ) ตอนนี้มีแฟนคลับที่เป็นเด็กๆ ซะเยอะ แล้วก็ตามไปถึงงานกลางคืนด้วย ตอนนี้เราก็พยายามเวิร์กกันอยู่ จริงๆ หลักๆ เป็นเรื่องของผู้ประกอบการ เราว่าทำให้มันถูกต้องดีกว่า ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าเรามีทำให้น้องๆ ดีขึ้น แต่ก็ดันพาน้องๆ เข้าไปสู่สิ่งที่ไม่ดีเร็วขึ้น แต่ทุกวันนี้เป็นวันเด็กทุกวันแล้วครับ ผมเองก็เฮ้อ วันเด็กมีได้ทุกวัน (หัวเราะ)”

>> ผลิตภัณฑ์เด็กเข้าเยอะมาก แต่สแกนโปรดักส์ ไม่อยากให้ต้องซื้อตามและใช้ของไม่จำเป็น
ฮาย : “จริงๆ เข้าเยอะมาก ตอนนี้เราเวิร์กกันหนักมาก กับการสแกนโปรดักส์ต่างๆ เพราะว่าเราไม่อยากนำพาหรือเชิญชวนให้น้องๆ ใช้ของที่ไม่จำเป็นขนาดนั้น แล้วเราก็คิดว่ามันต้องเป็นประโยชน์กับเขาจริงๆ ด้วย เวลาจะรับโปรดักส์ไหน เราก็พยายามให้มันอยู่ในเลนส์ที่กว้างจริงๆ เหมือนเป็นของเด็กก็ได้ วัยรุ่นก็ได้ คนโตก็ได้ แล้วก็ต้องให้ดีกับเด็กๆ อย่างบางอย่างที่ไม่จำเป็นกับเขา เราก็เลือกไปก่อน เงินก็สำคัญ พยายามบาลานซ์อยู่ว่าทำยังไงให้รวย แล้วสังคมก็ดีอยู่ด้วย (หัวเราะ) ลำบากมากเลย”

>> หากไม่รับผิดชอบสังคม ซื้อเกาะส่วนตัวได้แล้ว
ฮาย : “ถามว่ามีงานกี่ตัว (ทำท่านับนิ้วมือ นิ้วเท้า) เยอะประมาณหนึ่งครับ ถ้าเกิดเราไม่ต้องรับผิดชอบสังคม ผมสามารถซื้อเกาะส่วนตัวได้แล้วครับตอนนี้ (หัวเราะ) ถามว่าทำไมลูกค้าเลือกเรา ผมว่าถ้าพูดตรงๆ เราน่าจะอยู่ในช่วงที่มีกระแสแล้วก็มีความน่าเชื่อถือ”

เซน : “เหมือนเป็นเรื่องของการที่แบรนด์สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ เราเลยเหมือนเป็นตัวแทน”

ฮาย : “มันไม่ได้เป็นสินค้าเด็กขนาดนั้น จริงๆ แล้วมีสินค้าเด็กเป๊ะๆ เลยเราอาจจะเลี่ยงไปก่อน อย่างที่บอกเราจะไม่พยายามเหมือนกับว่า เอะอะอะไรก็เด็กมาซื้อ เราพยายามมากๆ สินค้าเป็นเฉพาะให้เด็กอย่างเดียว ถ้าขนมผู้ใหญ่ยังพอได้ เป็นเครื่องแต่งกายของเด็กไปเลยไม่แน่ใจ ขอโทษนะครับ (หัวเราะ)”

เซน : “เป็นพรีเซ็นเตอร์เราก็ไม่รู้ต้องทำยังไง”
>> เข้าใจลูกค้าอยากขายของ แต่ตนก็ต้องรับผิดชอบสังคม

ฮาย : “(เราเป็นพรีเซ็นเตอร์อะไร แม่ๆ ก็พร้อมซื้อ?) นั่นแหละความอันตรายเพราะว่าสิ่งๆ แล้วเหมือนกับว่าลูกค้าคงเข้าใจว่าต้องขายของแต่เราเองก็อยากให้มันจำเป็นกับเด็กด้วย เราเติบโตจากเด็ก เราอยากรับผิดชอบกับสังคมด้วย เราไม่อยากให้ถูกครอบว่าต้องซื้อสิ่งนี้เพราะเราเป็นพรีเซ็นเตอร์อย่างเดียว มันง่ายไป”

>> ขอโทษไปคอนเสิร์ตล่าสุดช้า เหตุรถติดมาก
ฮาย : “ผมเองจะไปไม่ทันไม่ใช่แค่คนดู ผมขอโทษงานวันนั้นผมขึ้นเลทเพราะผมไปไม่ทัน เลทไปประมาณ 10 นาทีและระหว่างที่ผมขับรถอยู่ ก็คือผมเห็นคุณแม่ไปเร็วลูกไป (หัวเราะ) อยู่ข้างข้างรถผม กลัวไม่ทันเหมือนกันก็คือรถติด ไม่รู้ติดอะไรกันแน่”

‘เอมี่’ เผยความในใจถึง ‘เจเจ’ น้องคือที่หนึ่งในทุก ๆ อย่าง พร้อมเซ็นพินัยกรรมยกสมบัติให้น้องชายทั้งหมด!!

(30 มี.ค.66) นักแสดงสาวเอมี่ กลิ่นประทุม ควงน้องชาย เจเจ เจตต์ และว่าที่น้องสะใภ้ แพร เอมเมอรี่ เผยโมเมนท์คุกเข่าขอแต่งงานที่สาวเอมมี่เป็นคนจัดแจงทุกอย่าง และเล่าถึงรัก 9 ปีพี่สาวก็เป็นคนจัดให้ และเพราะอะไรเอมี่จึงเซ็นพินัยกรรมยกสมบัติให้น้องชาย ทุกประเด็นในรายการคุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี ธัญญ่า ธัญเรศ หนิง ปณิตา และพีเค ปิยวัฒน์ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
 

แพร สนิทกับเอมี่?
เอมี่ : เคยเล่นละครด้วยกัน 10 กว่าปีแล้ว ตอนที่แต่งงานเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วย
 

โมเมนท์ขอแต่งงาน?
เจเจ : ที่กระบี่ พี่เอมี่จัดให้ทุกอย่าง ก่อนที่จะจัดบอกพี่เอมมี่ว่าอยากได้โมเมนท์ริมทะเล สบายๆพอวันนั้นออกมาจริงๆค่อนข้างเพอร์เฟคทุกอย่างที่ชอบเลยครับ อยากขอมานานแล้วตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ปรึกษาพี่มี่ แต่อยากให้มันดีจริงๆที่เราอยากได้เลยอดทนรอไปเรื่อยๆ
แพร : ไม่รู้เลยเป็นสิ่งสุดท้ายที่นึดถึงว่ามีคนอื่นมาด้วย เพราะเป็นทริปที่เราคุยกันว่าอยากไปเที่ยวกันสองคน ไปพักผ่อน เราเซอร์ไพรส์เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย

เอมี่วางแผน?
เอมี่ : เจเจเค้าพูดว่าอยากแต่งแล้วจะไปขอที่ทะเล เค้าเลือกสถานที่เราก็ดิลโรงแรม เค้าอยากให้พี่ซีกับพี่มี่อยู่ในโมเมนท์ด้วย ก็เลยต้องจัดคิวพี่ซี จัดคิวเค้า เพื่อนๆด้วย แหวานแต่งงานก็ไปเป็นเพื่อนเค้า ขนาดนิ้วเท่ากับแพรพอดี
มีสงสัยบางมั้ย?
แพร : เค้าดูสติไม่อยู่กับตัว อยู่กับมือถือตลอดเวลา เราก็หงุดหงิดนิดนึงว่าเรามาเที่ยวด้วยกัน

เกือบโป๊ะแตกเพราะขอยืมชุด?
แพร : เวลาเราไปทริปพิเศษๆเค้าจะคอยให้ยืมเสื้อผ้า
เจเจ : เราแอบไปเตรียมกับพี่ว่าอยากให้ชุดยังไง ให้ภาพออกมาเป็นยังไง
เอมี่ : เราเลือกสีขาวทั้งหมดมาให้เค้าเลือก
แพร : เราก็เริ่มเอะใจว่าทำไมให้ยืมชุดสีขาว แล้วเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวเค้าไปลองชุดบ้างดีกว่า แล้วชุดเค้าก็เป็นโทนขาวเหมือนกัน เราก็อ้าว

ตอนคุกเข่าพูดว่าอะไร?
เจเจ : จริงๆเตรียมไว้แล้วเขียนไว้ เพราะคิดว่าถ้าถึงโมเมนท์นั้นน่าจะลืมไปหมดเลย พูดว่าอยู่กับเจมีความสุขมั้ย อยู่ด้วยกันตลอดไปมั้ย
แพร : เค้าพูดประมาณนี้แหละ แต่พอถึงเวลาจริงตื่นเต้นมาก มันเกิดขึ้นจริงๆ หัววิ้งไปหมด

แหวนกล่องใหญ่มาก?
เจเจ : ตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องซ่อนแหวนเลย จนกระทั่งเดินไปดินเนอร์ เดี๋ยวซ่อนข้างหลัง
แพร : ซึ่งไม่เนียนเลยนะ เราเห็นแล้วว่าเค้าพยายามยัดอะไรไว้ข้างหลัง คิดอยู่ในใจจะทักดีมั้ยว่าทำอะไร

ร้องไห้มั้ย?
เจเจ : ไม่ได้ร้อง น้ำตาซึม
แพร : น้ำตาซึม ตอนโดนขอเราก็ซึ้ง พอเห็นทุกคนวิ่งกรูออกมาเราก็ร้องไห้น้ำตาแตกเลย มันตกใจ ทุกคนตั้งใจมาถึงกระบี่
เอมี่ : กะว่าต้องร้องไห้แน่เลยแต่ดันไม่ร้อง เราเห็นน้องเงอะงะ พอตอนคุกเข่าเราต้องวิ่งออกไป ร้องไห้อีกวันนึงตอนดูวีดีโอ

รักน้องชายมาก?
เอมี่ : ก็คือที่หนึ่งในทุกๆอย่าง พี่ซีไม่ใช่ที่หนึ่ง รักแหละ แต่ห้ามแตะน้อง แต่เรากับน้องตีกันเองตลอด

เฉลย 'เทรนด์ชุดนักเรียน-นักศึกษา' ฮิตในหมู่ต่างชาติ เพราะ อิทธิพลความน่ารักที่โพสต์อวดกันในโซเชียล

หากใครตามโซเชียลบ่อยๆ ก็คงจะได้เห็นรูปนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสวมใส่ชุดนักเรียนไทยเดินท่องเที่ยวในไทยเป็นแน่ ไม่ว่าจะใส่คนเดียวแล้วถ่ายรูป หรือใส่กันเป็นกลุ่มแล้วถ่ายรูปเป็นแก๊ง คนไทยเราเห็นก็เอ่ยชมว่าน่ารักน่าเอ็นดู และภาคภูมิใจที่ได้เห็นชาวต่างชาติ นิยมชมชอบความเป็นไทยของเรา ที่นอกเหนือจากอาหารและสถานที่ท่องเที่ยว

เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีหนึ่งคลิปที่เป็นไวรัลและโด่งดังใน TikTok อย่างมา โดยเป็นคลิปที่ชาวตะวันตก ได้สัมภาษณ์คนสิงคโปร์และจีนที่ในชุดนักเรียนไทย ท่องเที่ยวในภูเก็ต โดยเจ้าของคลิปได้ถามคำถามนักท่องเที่ยวทั้งสองดังนี้

คำถาม: พวกคุณมากจากไหน
นักท่องเที่ยว: ฉันมาจากสิงคโปร์ค่ะ ส่วนเพื่อนมาจากประเทศจีน

คำถาม: พวกคุณใส่ชุดอะไรกันครับ ชุดนักเรียนใช่ไหม?
นักท่องเที่ยว: ใช่ค่ะ ชุดนักเรียนค่ะ

คำถาม: ทำไมถึงใส่ครับ?
นักท่องเที่ยว: เป็นเทรนด์ที่จีนค่ะ ที่นิยมใส่ชุดนักเรียนไทยกัน 

คำถาม: แล้วพวกคุณได้เทรนด์นี้มาจากไหนครับ?
นักท่องเที่ยว: นักแสดงชาวจีนที่มาเที่ยวไทย เขาใส่ชุดนี้แล้วก็ถ่ายรูป รู้สึกว่าน่ารักดี เราเลยไปซื้อมาใส่กัน นักท่องเที่ยวที่มาภูเก็ตและกรุงเทพแล้วใส่ชุดนักเรียนก็เยอะมากเช่นกัน

คำถาม: ใส่เพราะชอบใช่หรือไม่? หรือเพราะติ๊กต็อก?
นักท่องเที่ยว: ที่ใส่เพราะมันน่ารักค่ะ ถ่ายรูปกัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top