Wednesday, 14 May 2025
NEWSFEED

ละรุนแรงต่อ 'สตรีเพศ' ให้สมเกียรติเยี่ยง 'สุภาพบุรุษ'  ทิ้งกมลสันดานชั่วในร่าง 'บุรุษ' เตือนตนว่าอย่าหาทำ

เมื่อส่วนแรกพระคัมภีร์ หรือส่วนปฐมกาลเขียนไว้ว่า...

"...พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้คล้ายพระองค์ ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" ทำให้นักวิชาการผู้ศึกษาไบเบิลหลายคนตั้งคำถาม "หรือพระเจ้าเองมีทั้งความเป็นชายและหญิงอยู่ในตัว?"

หากพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ผู้ชายคนแรกขึ้นจากดิน ซึ่งนั้นก็คือ 'อดัม' และต่อมาก็ได้ใช้กระดูกซี่โครงของอดัมสร้าง 'อีฟ' นั่นจึงหมายความว่าทั้ง 'บุรุษ' และ 'สตรี' เคยเป็นหนึ่งเนื้อนาบุญเดียวกันมาก่อนใช่หรือไม่?

เรื่องดังกล่าวสอดคล้องต้องกันกับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่สังฆอริยเจ้า 'พระพรหมคุณาภรณ์' (ป.อ. ปยุตฺโต) เคยเทศนาไว้ "...ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า แต่ละคนเกิดเป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง หมุนเวียนไป แล้วแต่กรรมของตน ในแง่นี้ทุกคนเป็นมนุษย์ จึงไม่มีอะไรต่างกัน เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจึงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน ส่วนการที่เรามามองแยกเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายนี้ เป็นการมองในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่งๆ หรือเฉพาะหน้า แต่ความจริงแต่ละคนก็มีทั้งความเป็นหญิงและความเป็นชาย ที่จะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ"

เมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ปัจจุบันใยบุรุษจึงตั้งตนเป็นใหญ่ในโลก!!

หลังผ่านพ้นยุคหิน โลกโบราณถูกปกครองโดยนักรบ (กษัตริย์) ตามกลไกธรรมชาติซึ่งผู้แข็งแรงกว่าย่อมมีอำนาจดูแล ปกป้อง ผู้ด้อยกว่า ซึ่งในที่นี้ก็คือ สตรี (และเด็ก) นั่นเอง จึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าบุรุษยุคโน้นข่มเหงสตรี เพียงแต่เพศมีความสำคัญต่างกัน ชายออกรบ ล่า แสวงหาอาหาร (ความมั่นคง) ส่วนหญิงก็ดำรงบทบาทระดับสังคมย่อยลงมา อาทิ ดูแลบ้านช่องและกิจการภายในยามผู้นำออกศึกทุกกรณี

คาดว่าค่านิยมดูแคลนสตรีเพศเริ่มต้นมาจากการบิดเบือนคำสอนตามพระคัมภีร์ต่างๆ หลายกรรมหลากวาระ หวังสร้างความวุ่นวายเพื่อแย่งชิงอำนาจ แม้ในพระไตรปิฎกก็มีเป็นต้น "...ขึ้นชื่อว่าหญิงในโลกนี้ไม่น่ายินดี เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีเขตแดน มีแต่ความกำหนัด คึกคะนอง ไม่มีเลือก เหมือนกับไฟที่ไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง" ตรงข้ามกับความจริงจากพระพุทธโอษฐ์

'สมรักษ์ คำสิงห์' ชายผู้ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 เหนือหัว พร้อมพาเพลงชาติไทยดังกระหึ่มโอลิมปิกที่แอตแลนตา

(19 เม.ย.66) จากเพจ 'ความเห็นของผม' ได้โพสต์ข้อความถึงความเป็นมาของ 'พี่บาส' สมรักษ์ คำสิงห์ ระบุว่า...

เผื่อเด็กรุ่นหลังที่ตามข่าว #เบสท์รักษ์วนีย์ อาจจะไม่รู้รายละเอียดว่า สมรักษ์ คำสิงห์ เป็นใครมาจากไหน 

โพสต์นี้จึงขอเขียนวีรกรรมของตำนานยอดฝีมือนักมวยสากลสมัครเล่นคนนี้พอสังเขป...

สมรักษ์ คำสิงห์ เกิดในครอบครัวที่ยากจนที่จังหวัดขอนแก่น เขาฝึกชกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก และขึ้นสังเวียนชกครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ โดยใช้ขื่อในวงการมวยไทยว่า พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ

ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี เขาเริ่มเบนเข็มมาสู่วงการมวยสากลสมัครเล่น โดย สมรักษ์ คำสิงห์ ปรากฏตัวในเวที 'โอลิมปิกเกมส์' ครั้งแรกเมื่ออายุ 19 ปี ที่ โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 25 เมืองบาร์เซโลน่า ปี 1992 เขาขึ้นชกในรุ่นเฟเธอร์เวท ผลคือ ตกรอบที่สอง

แม้จะไปได้เพียงแค่รอบสอง แต่เด็กอายุ 19 ปี ที่แพ้ในโอลิมปิก มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมานั่งเสียใจ เพราะเขายังมีเวลาที่จะเขียนประวัติศาสตร์ 

และหลังจากนี้ สมรักษ์ คำสิงห์ ก็เริ่มเขียนมัน

เขาเริ่มเรียกความสนใจจากผู้คนได้เป็นครั้งแรก เมื่อเขาเป็นหนึ่งในสองนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญทองจากการแข่งขัน เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ ฮิโรชิม่า ในปี 1994 ร่วมกับ 'ฉลามนุก' รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ จากกีฬาว่ายน้ำ

2 ปีต่อมาหลังจากได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์ เขาก็ไปโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2 ที่แอตแลนต้า (1996)

ด้วยสภาพร่างกายที่สดเต็มพิกัดในวัย 23 บวกกับประสบการณ์ที่เคยแพ้มาแล้วในครั้งก่อน และความมั่นใจจากเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ทำให้ในรุ่นเฟเธอร์เวท กล้าพูดได้ว่า นาทีนั้น สมรักษ์ คำสิงห์ ‘เจอใครก็ได้’ แม้ว่ามันจะเป็นเวทีโอลิมปิก แม้ว่ามันจะมีพยัคฆ์หนุ่มคะนองอย่าง ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ อยู่ในพิกัดเดียวกันก็ตาม

สมรักษ์เอาชนะคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า เข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ...

ประวัติศาสตร์ถูกเขียนอีกครั้ง เมื่อเขาเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นคนที่สองในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศในกีฬามวยสากลสมัครเล่น ต่อจาก ทวี อัมพรมหา ที่ได้เหรียญเงินจากโอลิมปิกเกมส์ ที่ ลอสแอลเจลิส ในปี 2527

หรือโอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกา จะถูกโฉลกกับนักชกไทยจริงๆ...

ในรอบชิงเหรียญทอง สมรักษ์ คำสิงห์ ต้องเจอกับนักมวยยอดฝีมือจากบัลแกเรีย ที่เอาชนะโคตรมวยอนาคตไกลอย่าง ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ มาในรอบรองชนะเลิศ

และในที่สุด ...

4 สิงหาคม 1996 ประวัติศาสตร์ได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่า สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยจากแดนสยาม สามารถเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ คู่ชกจากบัลแกเรียได้อย่างหมดจด

เขาทำสำเร็จ เขาคว้าเหรียญทองให้กับทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกได้เป็นครั้งแรก..!!!!

๓ ข้าหลวงต่างพระองค์ ที่ ร.๕ วางพระราชหฤทัย มอบให้ดูแลบ้านเมือง ‘ต่างพระเนตร-พระกรรณ’

ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความเรื่องนี้ ผมกลับมาอยู่บ้านในภาคอีสานพร้อมกับตระเวนไปตามจังหวัดใกล้เคียงบ้านเกิดของผม ซึ่งในอีสานจะมีถนนและสถานที่รำลึกถึงข้าหลวงต่างพระองค์อยู่หลายแห่ง อาทิ หนองประจักษ์ จ.อุดรธานี ถนนสรรพสิทธิ์ จ.นครราชสีมา หรืออย่าง ถนนพิชิตรังสรรค์ จ.อุบลราชธานี ข้าหลวงต่างพระองค์คือตำแหน่งอะไร สำคัญอย่างไร แล้วมีกี่ท่านที่นับได้ว่าเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ 

‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ นั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าข้าหลวงปกติ ข้าหลวงเทศาภิบาลหรือสมุหเทศาภิบาล เพราะคำว่า ‘ต่างพระองค์’ มีความหมายว่าเป็นตัวแทนดูแลราษฎรและพื้นที่ ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ และมีฐานะเป็น ‘ผู้สำเร็จราชการ’ ตีความได้รับมอบความสำเร็จเด็ดขาดมาจากองค์พระเจ้าแผ่นดิน เพื่อดูแลทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกร ตำแหน่ง ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ เท่าที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีทั้งสิ้น 3 พระองค์ คือ… 

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร 
๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
และ ๓.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม 

ซึ่งพระประวัติและพระกรณียกิจของทั้ง ๓ พระองค์ผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าโดยสังเขปดังนี้นะครับ

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล’ เป็นต้นราชสกุล ‘คัคณางค์’ ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ เป็นหนึ่งในพระเจ้าน้องยาเธอที่ ‘เก่ง’ ทั้งทางการปกครอง ทางกฎหมาย และการประพันธ์ ทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกา พระองค์แรก มีหนังสือหลายเล่มโจมตีในหลวงรัชกาลที่ ๕ ว่าทรงกริ้ว จึงทรงให้ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปดูแลพื้นที่ห่างไกล แต่ถ้าหากมองจากบริบทของการปกครองแบบรวมศูนย์ในยุคนั้น การให้เชื้อพระวงศ์ระดับสูงไปดูแลภูมิภาคต่างๆ นั้นแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกรมหลวงพิชิตปรีชากรนั้นได้ไปดูแลภูมิภาค ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ อยู่หลายแห่ง เริ่มต้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ พระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ไปรักษาเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับปรับปรุงการศาลต่างประเทศ และจัดระเบียบการปกครองภาคเหนือใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘ข้าหลวงใหญ่’ หัวเมืองลาวกาว ประจำอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ทรงปรับปรุงการปกครองหัวเมืองทางภาคอีสาน ประมาณ ๒๐ หัวเมือง โดยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รวมเป็นมณฑล 

ต้องบอกว่าพระองค์มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านชายแดนลาว และกัมพูชาเป็นอย่างดี คือเรียกว่า เสด็จ ฯ ไปทั่วทุกพื้นที่ในหัวเมือง นอกจากนี้พระองค์ยังมีความชำนาญด้านภาษาอังกฤษ มีความเชี่ยวชาญด้านยาทรงเป็นคนไทยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ปรุงยาไทยผสมกับยาต่างประเทศ เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้พิพากษาฝ่ายไทยร่วมกันพิจารณาคดีความร่วมกับฝรั่งเศส ในกรณี ‘พระยอดเมืองขวาง’ ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม’ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ สิริพระชันษาได้ ๕๔ ปีโดยการเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ของพระองค์นั้นคือการดำเนินการปรับระบบการปกครองและระบบการพิจารณาคดีความให้เป็นเนื้อเดียวกันกับกรุงเทพฯ เป็นหลัก 

๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง เช่นเดียวกับ กรมหลวงพิชิตปรีชากร มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช’ เป็นต้นราชสกุล ‘ชุมพล’ ทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งแรกทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกาและศาลแพ่งก่อนจะดำรงตำแหน่งอธิบดีในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ จนกระทั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นตามหัวเมืองทางตะวันออก ตั้งแต่เมืองนครราชสีมาลงไปจนถึงเมืองปราจีนฯ เจ้าเมือง กรมการเมือง ไม่สามารถที่จะปราบปรามให้สงบเรียบร้อยลงได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงพิเศษเสด็จขึ้นไปทรงบัญชาการปราบปรามโจรผู้ร้ายที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งก็ทรงสามารถทำได้เป็นผลดีตามพระราชประสงค์ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปเป็นข้าหลวงใหญ่เมืองนครราชสีมาจนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการว่างลง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ แต่ก็ได้ทรงดำรงตำแหน่งใหม่นี้อยู่ได้ไม่นานนัก ก็เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ จำเป็นต้องมี ‘ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ’ ไปดูแลพื้นที่มณฑลลาวกาว
และมณฑลอุดร กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับราชการสนอง พระเดชพระคุณในตำแหน่งข้าหลวงต่างประเทศสำเร็จราชการมณฑลลาวกาวอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๗ ปี โดยประทับและตั้งกองบัญชาการข้าหลวงอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี 

กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงปรับปรุง พัฒนามณฑลลาวกาว ซึ่งต่อมาคือ มณฑลอีสาน อย่างต่อเนื่อง ปรับรูปแบบ การปกครอง จากตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง ตำแหน่งอุปฮาดเป็นปลัดเมือง ฯลฯ จัดตั้งกองทหารในเมืองอุบลราชธานี เรียกคนเข้ารับราชการเป็นตำรวจ พ.ศ.๒๔๕๑ ทรงตั้งศาลยุติธรรมขึ้นที่เมืองอุบลราชธานี มีฐานะเป็นศาลเมืองอุบลราชธานี และศาลมณฑลอีสานอีกด้วย  โดยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์นั้นก็คือ ‘การปราบกบฏผีบุญ’ โดยเริ่มต้นจาก โนนโพขององค์มั่นก่อนจะดำเนินการอย่างราบคาบเรียบร้อย ซึ่งมีนักเขียนหลายสำนักโจมตีเรื่องการปราบผีบุญนี้ว่าเป็นการปราบที่โหดร้ายป่าเถื่อน แต่เอาเข้าจริงๆ บริบทของยุคสมัยที่กบฏผีบุญกลายเป็นลัทธิแห่งความขี้เกียจ การมั่วสุมไม่ทำงาน ผิดลูกผิดเมีย และชิงเอาของชาวบ้านดื้อๆ ไม่ผิดกับโจร ไม่ปราบ ก็ไม่รู้จะปล่อยไว้ทำขี้เกลืออะไร? จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้เสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ และทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ พระชันษาได้ ๖๕ ปี

'ยังโอม' กับ 'ธาตุทองซาวด์' ปรากฏการณ์ที่ยังเพรียกหามือช่วย

ปรากฏการณ์ 'อีกี้' จาก MV ธาตุทองซาวด์ ของศิลปิน 'ยังโอม' อันเปรี้ยงปร้างเกินกว่าเพลงและมิวสิควิดีโอฮิพฮอพดาดๆ เพราะผู้คนพากันขุดอีกี้ของตัวเองมาโพสต์เต็มฟีดของโซเชี่ยลมีเดียทุกแพล็ตฟอร์ม สมเจตนาจนยังโอมเองก็ต้องออกมาโพสต์

"MV เพลงนี้ผมใช้เงินตัวเองลงไปประมาณ 1,200,000 บาท เป็น MV ที่ผมใช้เงินเยอะที่สุดในชีวิต…"

โดย "...ที่ผมต้องลงทุนเยอะขนาดนี้ เพราะอยากให้ทั้งโลกเห็นว่าคนไทยก็เฟี้ยวเหมือนกันนะ คนไทยถ้าเอาจริงๆ เราทำได้ทุกอย่าง เรามีความสามารถ เรามีศิลปินทที่เก่งมาก ในทุกๆ แขนงของศิลปะ"

และ "...นี่ขนาดผมทำด้วยตัวคนเดียว ด้วยเงินตัวเอง มันยังได้ขนาดนี้ ผมอยากจะรู้จริงๆ ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วจะนำพาประเทศเราไปได้ถึงจุดไหน จะไปได้ไกลเท่าเกาหลีไหมนะ…"

ผมชื่นชมยังโอม ยินดีด้วยกับความสำเร็จระดับไวรัล แต่กับข้อคิดเห็น (หรือคำถาม) "...ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน" ผมเองก็อดคิดตามไม่ได้

ศิลปินแขนงวงการบันเทิงบ้านเรามักออกมาพูดถึงอะไรแบบนี้เสมอเมื่อ 'งาน' ถูกนำเสนอจนเป็นที่นิยม ทำนองหยาดเหงื่อตนล้วนๆ ไม่มีใครสนับสนุน 'เหมือนบางประเทศ' ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นยก 'เกาหลี (ใต้)' มาเป็นคู่เปรียบกับไทย

ความจริงที่ต้องถามคือ "เกาหลีเขาสนับสนุนศิลปินกันแค่ไหน?"

‘ดีเจมดดำ’ โพสต์รูปคู่ ‘โอ๊ค พานทองแท้’ ย้อนวันวานยุค Y2K เผย เป็นรูปถ่ายจากเที่ยวทริปตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้ พิธีกรมากฝีมืออย่าง นายคชาภา ตันเจริญ หรือ ‘ดีเจมดดำ’ ได้ทำการโพสต์รูปถ่ายย้อนวัย ยุค Y2K ที่กำลังเป็นกระแสสุดฮิตในตอนนี้ ที่ถ่ายคู่กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ ‘โอ๊ค’ ลูกชายของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านโซเชียลเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม โดยระบุว่า…

‘สมัย y2k เนอะ รูปนี้ต้องลง @oak_ptt ได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต’

หลังจากนั้น ได้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก และได้มีคนในครอบครัวชินวัตรอย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ น้องสาวคนสุดท้องของบ้านชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัว และหนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย คอมเมนต์ในอินสตาแกรม ว่า ‘น่ารักอ่ะ❤️’

ชีวิตยังมีพรุ่งนี้... สำรวจการเงินเด็กยุคใหม่ หลังพบรายจ่ายสุดแสน 'น่าห่วง' สวนทาง!! 'เงินออม' ใต้ค่านิยม 'เน้นใช้-ไม่เน้นเก็บ-อยู่ไปวันๆ'

(13 เม.ย.66) เฟซบุ๊ก ‘GUNRATA’ ได้นำเสนอคอนเทนต์ในหัวข้อ 'การใช้เงินของเด็กในยุคนี้' โดยมี ‘กันต์ รตนาภรณ์’ เจ้าของธุรกิจ นักลงทุนในหุ้น-อสังหาริมทรัพยฺ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้ออกสัมภาษณ์เด็กหลายๆ คน ซึ่งเขาได้ตั้งคำถามกับเด็กกลุ่มหนึ่งว่า “อะไรที่เคยซื้อและมีมูลค่าแพงที่สุดในชีวิต?”
.
ในจำนวนเด็กๆ ที่ถูกสัมภาษณ์ได้ให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น IPhone 14 Promax ราคา 48,000 บาท,  บัตรคอนเสิร์ต ราคา 15,000 บาท และ IPad ราคา 30,000 บาท
 

‘พลอย เฌอมาลย์’ อวดลุค ‘อีกี้’ ผมรากไทร ชาวเน็ต-คนดัง ยกให้เป็น ‘ต้นแบบ-ผู้มาก่อนกาล’

เรียกได้ว่าทรงผม ‘อีกี้’ สก๊อยสาวจากมิวสิกวิดีโอ ‘ธาตุทองซาวด์’ ยังคงทำเอาบรรดาคนดังออกมาขุดรูปตนเองสมัยวัยรุ่น Y2K โพสต์ลงโซเชียลกันไม่หยุด

ล่าสุด ‘พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์’ ขอประกาศความเป็นตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดา ในฐานะ สารตั้งต้นผมทรงอีกี้ ที่มาก่อนกาล เพราะเรียกได้ว่าเจ้าตัวแทบจะเป็นคนแรกๆ ที่ตัดผมทรงดังกล่าว จนทำให้มีวัยรุ่นยุค Y2K แห่ตัดตามกันเพียบ จนกลายเป็นเทรนด์ฮิตทรงผมรากไทรให้สาวๆ สมัยที่เซ็นเตอร์พอยท์ สยามสแควร์ เคยรุ่งเรืองได้ตัดตาม

โดยเจ้าตัวได้เขียนแคปชันบ่งบอกความเป็นตัวมัมว่า “ตัวมัม ต้นแบบทรงผม อีกี้ 😎 สก๊อยเกิล ผู้มาก่อนกาล ในยุค Hi5 พิกัดเดินถือหวีอยู่ลานน้ำพุ Center point สยามแสควร์ #y2k #อดีตเคยแรง”

‘เฟอร์รารี่’ เปิดตัว ‘Ferrari Purosangue’ SUV 4 ประตู 4 ที่นั่ง ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 75 ปี เคาะราคาขายที่ 40.5 ล้านบาท

Ferrari Purosangue (พูโรซังกเว้) เป็นรถสปอร์ตแบบ 4 ประตูขนานแท้จากเฟอร์รารี่ โดยถือเป็นรถ 4 ประตู 4 ที่นั่งรุ่นแรกของประวัติศาสตร์ 75 ปี ของม้าลำพอง มาพร้อมเครื่องยนต์แบบวางกลางลำด้านหน้า และติดตั้งชุดเกียร์ไว้ด้านหลัง เพื่อให้ได้มาซึ่งเลย์เอาต์แบบรถสปอร์ต แตกต่างจากรถครอสโอเวอร์และเอสยูวีทั่วไปที่มักติดตั้งเครื่องยนต์เยื้องไปทางด้านหน้าจนเกือบคร่อมเพลาหน้า ส่งผลให้มีการกระจายน้ำหนักไม่เหมาะสม ขณะที่พูโรซังกเว้มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังอยู่ที่ 49:51 ซึ่งวิศวกรแห่งมาราเนลโลเห็นพ้องว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำด้านหน้า

ชื่อ Purasangue ในภาษาอิตาลีแปลว่า ‘พันธุ์แท้’ มาพร้อมแชสซีซ์ที่ถูกออกแบบใหม่หมดจด ติดตั้งหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อช่วยลดน้ำหนักและจุดศูนย์ถ่วงของรถ และการออกแบบตัวถังใหม่ส่งผลให้สามารถติดตั้งประตูแบบบานพับอยู่ด้านหลัง (Welcome Doors) ทำให้สามารถเข้า-ออกรถได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตัวรถยังมีขนาดกะทัดรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตัวถังภายนอกได้รับการออกแบบและขัดเกลาอย่างประณีตโดย Ferrari Styling Centre เพื่อให้เกิดรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดีไซน์ประกอบด้วยสองส่วนที่แยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนล่างของตัวรถเน้นไปทางเทคนิคบริเวณใต้ท้องรถ ขณะที่ตัวถังส่วนบนมีความน่าเกรงขามและสง่างาม โดยจุดนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงส่วนเว้าโค้งที่ดูรายกับลอยตัวอยู่เหนือซุ้มล้อทั้งสี่

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะไฟฟ้าแบบทำความร้อนได้ทั้ง 4 ที่นั่ง สามารถรองรับผู้ใหญ่ 4 คน ได้อย่างสะดวกสบาย ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายรถมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยมีมา และเบาะหลังยังสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่ใส่สัมภาระได้ จากรูปแบบตัวตัวรถส่งผลให้ตำแหน่งการขับขี่สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถได้เหนือกว่าเฟอร์รารี่รุ่นอื่นๆ แต่การจัดวางยังคงเป็นแบบเดียวกับเฟอร์รารี่ทุกคัน นั่นคือตำแหน่งการขับขี่ที่กระชับและใกล้กับพื้น เพื่อมอบความรู้สึกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวของรถ อีกทั้งยังสามารถเลือกออปชันเสริม เช่น เครื่องเสียง Burmester และหนัง Alcantara แบบใหม่ที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล เป็นต้น

Ferrari Purosangue ติดตั้งเครื่องยนต์ 12 สูบ ความจุ 6.5 ลิตร ไร้ระบบช่วยอัดอากาศ ให้กำลังสูงสุด 725 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 716 นิวตัน-เมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที โดยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของแรงบิดมีให้ใช้ที่รอบต่ำเพียง 2,100 รอบต่อนาที อีกทั้งบุคลิกการตอบสนองคันเร่งเป็นแบบเดียวกับรถสปอร์ตขนานแท้ สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.3 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลา 10.6 วินาที

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ 8 จังหวะ F1-DCT คลัตช์น้ำมันคู่ ถูกปรับให้เหมาะสมผ่านการใช้ดรายซัมพ์และชุดคลัตช์ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม ช่วยลดความสูงได้ 15 มม. ขณะที่ประสิทธิภาพของชุดคลัตช์ใหม่เพิ่มสูงขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ รองรับแรงบิดขณะเปลี่ยนเกียร์ได้สูงถึง 1,200 นิวตัน-เมตร พร้อมชุดควบคุมแรงดันไฮดรอลิกเจเนอเรชันใหม่ช่วยให้เวลาในการปลดและจับคลัตช์เร็วกว่าเดิม ทำให้เวลารวมในการเปลี่ยนเกียร์ลดลงเมื่อเทียบกับเกียร์ DCT 7 จังหวะรุ่นก่อนหน้านี้

‘Soompi’ เผย เพลง LALISA ของ ‘ลิซ่า’ สร้างสถิติใหม่ ทะยานสู่ 600 ล้านวิว!! เร็วที่สุดในศิลปินหญิง K-POP

(9 เม.ย. 66) เรียกว่าฮอตเกินต้านสำหรับ ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ศิลปินหญิงไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย เมื่อล่าสุดเว็บไซต์ Soompi ซึ่งเป็นสื่อเกาหลีใต้ได้รายงานข่าว ช่วง 01.30 น. ตามเวลาประเทศเกาหลีใต้ วันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ว่า ‘LALISA’ เพลงโซโล่ของลิซ่าเป็นซิงเกิล มียอดวิวทะลุ 600 ล้านวิวได้เร็วที่สุดในศิลปินหญิง K-POP โดยมิวสิกวิดีโอเพลง ‘LALISA’ เปิดตัววันแรกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 13.00 น. (ตามเวลาประเทศเกาหลีใต้)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top