Tuesday, 10 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

สำนักข่าวทาสส์ของรัสเซียรายงานว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรกำลังวางอุบาย “บิดเบือนข้อมูล” เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของสปุตนิก วี (Sputnik V) วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่พัฒนาโดยรัสเซีย

รายงานข่าวเมื่อวันศุกร์ (12 มี.ค.) อ้างอิงแหล่งข่าวจากทำเนียบเครมลิน ระบุว่า แคมเปญบิดเบือนข้อมูลเป็นฝีมือองค์กรที่ไม่ใช่รัฐบาลและสื่อมวลชนในตะวันตก มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจากรัสเซีย ด้วยการสร้างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความด้อยประสิทธิภาพและอันตรายต่อชีวิต

อนึ่ง รัสเซียได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว 3 ตัว ได้แก่ สปุตนิก วี (Sputnik V) เอพิวัคโคโรนา (EpiVacCorona) และโควิแวค (CoviVac)

ทั้งนี้ ประชาชนในรัสเซียได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบสองโดสมากกว่า 2 ล้านคน และได้รับวัคซีนโดสแรกอีก 2 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มต้นการฉีดวัคซีนขนานใหญ่เมื่อต้นเดือนธันวาคมจนถึงวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/559409

คณะสัตวแพทย์ - แพทยศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือทำโครงการวิจัย ‘ฝึกน้องหมาดมกลิ่นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ’ คาดอนาคตอาจต่อยอดฝึกสุนัขเพื่อตรวจโรคอื่น ๆ

ศ.สพ.ญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ เผยว่า สุนัขมีความสามารถในการดมกลิ่นดีกว่าคนถึง 50 เท่า จึงคิดนำศักยภาพนี้มาใช้ โดยเฉพาะสุนัขสายพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ซึ่งทางคณะวิจัยเลือกมาฝึกและทดสอบในโครงการนี้จำนวน 6 ตัว เนื่องจากสายพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่มีโพรงจมูกยาว มีประสาทสัมผัสรับรู้กลิ่นที่ไวและดี อุปนิสัยเป็นมิตรและฝึกง่าย

โดยจากการทดสอบสุนัขฝูงนี้มีความแม่นยำในการพบผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการสูงถึง 94.8% เทียบเคียงกับประเทศอื่นๆ ที่มีการวิจัยใช้สุนัขตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ อาทิ ฟินแลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย เป็นต้น

ส่วนกระบวนการคือ ทีมวิจัยจะเก็บตัวอย่างเหงื่อของผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นสารคัดหลั่งที่มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีการเจือปนของเชื้อไวรัส โดยเราจะซับเหงื่อบริเวณใต้รักแร้ด้วยสำลีและถุงเท้า เก็บไว้ในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยทางชีวภาพ แล้วนำสำลีและถุงเท้าดังกล่าวมาใส่กระป๋องให้สุนัขดมกลิ่น เมื่อสุนัขได้กลิ่นก็จะนั่งลงทันที เพื่อบอกว่าคนๆ นี้ติดเชื้อแม้จะไม่แสดงอาการ

ซึ่งกระบวนการทดสอบทั้งหมดปลอดภัยต่อทั้งตัวสุนัขและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยคณะวิจัยใช้ตัวอย่างจากเหงื่อของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และให้สุนัขดมกลิ่นในระยะห่าง อีกทั้งเครื่องมือต่างๆ ก็ปลอดเชื้อ โดยระยะเวลาการดำเนินการวิจัยชิ้นนี้ทั้งสิ้น 6 เดือน แบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะแรกใช้เวลา 2 เดือน เป็นการทดสอบความสามารถและฝึกสุนัขในการแยกแยะกลิ่นผู้ติดเชื้อได้อย่างแม่นยำ ว่องไว

และแน่นอน โดยมีกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 และบริษัท พี คิว เอ แอสโซซิเอท จำกัด ร่วมสนับสนุนการเตรียมตัวและฝึกสุนัข ถัดมาคือการทดลองปฏิบัติจริงที่สนามบิน ท่าเรือ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และฝึกสุนัขให้ดมกลิ่นจากเท้าของคน ส่วนในระยะที่สาม เป็นการวิจัยต่อยอดเครื่องมือคัดกรองรูปแบบใหม่ เช่น เซ็นเซอร์เพื่อบ่งชี้ผู้เข้าข่ายติดเชื้อ

โดยโครงการนี้นับเป็นต้นแบบในการฝึกสุนัขเพื่องานทางการแพทย์ชุดแรกของประเทศไทย โดยในอนาคตจะมีการต่อยอดฝึกสุนัขเพื่อตรวจโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ซึมเศร้า มาลาเรีย และโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

‘แต้ว - แพนเค้ก’ เตรียมปะทะบทบาทข้ามค่าย ผ่านโปรเจกต์ Special Workshop for Film จาก Six Characters in Search of an Author ของ ‘หม่อมน้อย’

เมื่อพูดถึงนางเอกเบอร์ต้น ๆ แห่งยุคนี้ ที่ฝากผลงานผ่านจอให้คนไทยได้ดูกันมาหลายต่อหลายเรื่อง คงไม่มีใครไม่รู้จักสาว ‘แต้ว - ณฐพร เตมีรักษ์’ และ ‘แพนเค้ก - เขมนิจ จามิกรณ์ ’ ที่ยืนหนึ่งในเรื่องฝีไม้ลายมือด้านการแสดง จนคว้าใจคนดูมานักต่อนัก

ล่าสุดอินสตราแกรมแอคเคาท์ @actingclass_hmom ได้โพสต์ภาพประวัติศาสตร์ โดยมีภาพประชันบทบาทของสองนางเอกสาว ‘แต้ว ณฐพร’ และ ‘แพนเค้ก เขมนิจ’ ซึ่งเรียกได้ว่าไม่เคยมีใครเห็นทั้งสองสาวเคยร่วมงานกันมาก่อน พร้อมแคปชั่นว่า…

‘ครั้งแรก’ และ ‘ครั้งเดียว’ ในประวัติการณ์วงการแสดง...ที่ ‘แต้ว ณฐพร’ ประชันบทบาทการแสดงกับ ‘แพนเค้ก เขมนิจ’ อย่างเข้มข้น...ใน Special Workshop for Film จาก Six Characters in Search of an Author

ลำหรับ Workshop for Film จาก Six Characters in Search of an Author เป็นโปรเจกต์ของ ‘หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล’ หรือ ‘หม่อมน้อย’ ซึ่งคงต้องตามดูว่าจะนำเสนออกมาในรูปแบบผลงานใด โดยนอกจากจะมีแม่เหล็กอย่างสองสาว ‘แต้ว’ จากช่องน้อยสี และสาว ‘แพนเค้ก’ จากทรูโฟร์ยู นางเอกตัวท็อปของประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีนักแสดงมากฝีมือ เข้าร่วมโปรเจกต์นี้กันอีกหลายคน

น่าติดตามมว้ากกกก...

รัฐบาลจีนต้องการให้บริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ขายธุรกิจสื่อบางแห่ง ซึ่งรวมถึงหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ เนื่องจากรัฐบาลกังวลว่า อาลีบาบาจะมีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนภายในประเทศ

สื่อต่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ในการประชุมหลายครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลจีนไม่พอใจที่อาลีบาบาครอบครองธุรกิจสื่อ โดยกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของอาลีบาบาต่อโซเชียลมีเดียในจีน

วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า รัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้อาลีบาบาลดการถือครองสินทรัพย์ในธุรกิจสื่อ หลังจากนายแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาได้ถูกรัฐบาลจีนเพ่งเล็งตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และบริษัทแอนท์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นธุรกิจฟินเทคในเครือของอาลีบาบา

รายงานระบุว่า นายหม่าและอาลีบาบาได้ก่อตั้งธุรกิจสื่อขนาดเล็กอย่างเงียบ ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนสยายปีกเข้าสู่สื่อออนไลน์, หนังสือพิมพ์, บริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย และธุรกิจโฆษณา ขณะเดียวกันอาลีบาบายังได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Weibo ซึ่งให้บริการคล้ายทวิตเตอร์ รวมถึงเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชั้นนำในฮ่องกง

การที่นายหม่าถูกรัฐบาลจีนเพ่งเล็งนั้น เป็นผลมาจากการที่เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบกำกับกฎระเบียบทางการเงินของจีนเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2563 จนทำให้แอนท์ กรุ๊ปโดนสั่งระงับการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เดิมตั้งเป้าหมายไว้สูงถึง 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่บริษัทฟินเทครายใหญ่แห่งนี้จะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้


ที่มา :

https://www.infoquest.co.th/2021/71500

https://www.wsj.com/articles/beijing-asks-alibaba-to-shed-its-media-assets-11615809999

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-15/china-asks-alibaba-to-sell-media-assets-amid-rising-clampdown

โคตรตำนานมวยโลก ‘มาร์วิน แฮกเลอร์’ เสียชีวิต ด้านคู่ปรับตลอดกาล คาด ‘ไอ้โล้นซ่า’ ดับหลังเจอผลข้างเคียงวัคซีนแอสตราเซเนก้า

โคตรตำนานมวยโลก ‘มาร์วิน แฮกเลอร์’ เสียชีวิต ด้านคู่ปรับตลอดกาล คาด ‘ไอ้โล้นซ่า’ ดับหลังเจอผลข้างเคียงวัคซีนแอสตราเซเนก้า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ‘มาร์วิน แฮกเลอร์’ เจ้าของแชมป์โลกมิดเดิลเวต 3 สถาบันหลักชาวสหรัฐอเมริกา ได้เสียชีวิตในวัย 66 ปี

โดย แฮกเลอร์ ถือเป็นยอดมวยที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก ด้วยผลงานการเป็นเจ้าของแชมป์โลก 3 สถาบันหลัก ระหว่างปี ค.ศ. 1980 - ค.ศ.1987 และจัดเป็น 1 ใน 4 ยอดนักชกรุ่นกลางแห่งทศวรรษที่ 80 ร่วมรุ่นกับ ชูการ์ เรย์ เลนเนิร์ด, โธมัส เฮิร์นส์ และ โรเบร์โต ดูรัน

สำหรับ แฮกเลอร์ เป็นนักมวยที่ถนัดซ้ายก็จริง ทว่าเจ้าตัวจัดเป็นนักชกที่มีความหนักหน่วงทั้งกำปั้นซ้ายและขวา พร้อมเอกลักษณ์คือ ศีรษะที่โล้นจนแฟนมวยชาวไทยให้ฉายาว่า ‘เจ้าโล้นซ่า’

ทั้งนี้ ยอดมวยรายนี้มีผลงานการชก 67 ไฟต์ ชนะ 62 ไฟต์ (ชนะน็อก 52 ไฟต์) แพ้ 3 ไฟต์ และเสมอ 2 ไฟต์

หลังแขวนนวม แฮกเลอร์ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอิตาลี เปิดร้านขายอาหารอิตาเลียน และหันไปเป็นนักแสดงประกอบตามภาพยนตร์อิตาลี พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจริงของตัวเองเป็น มาร์เวลัส มาร์วิน แฮกเลอร์ ตามชื่อที่ใช้เรียกในสมัยที่ยังชกมวยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ‘โธมัส เฮิร์นส’ เจ้าของฉายา ‘เดอะ ฮิตแมน’ อดีตแชมป์มวยโลกรุ่นมิดเดิลเวต และอดีตคู่ปรับของ ‘เจ้าโล้นซ่า’ ที่ร่วมสร้างไฟต์สุดคลาสสิกกับแฮกเลอร์ เมื่อปี 1985 ได้แสดงความเห็น โดยเชื่อว่าอดีตเพื่อนร่วมสังเวียน จากไปหลังมีอาการแพ้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19

‘เดอะ ฮิตแมน’ ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัว หลังกำปั้นวัย 66 ปี เข้าโรงพยาบาลว่า “ขอเป็นกำลังใจให้กับเดอะคิง นักสู้ตัวจริง และครอบครัว...เขา (แฮกเลอร์) เข้าห้องไอซียู เพื่อต่อสู้กับผลข้างเคียงของวัคซีน เขาจะไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือมองแง่บวกและอวยพรให้เขาสำหรับการรักษา”

มีการเปิดเผยว่า แฮกเลอร์ ได้ฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนก้า เข็มแรกแล้วมีอาการแพ้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มประเทศยุโรปได้มีการระงับการฉีดวัคซีนยี่ห้อนี้ชั่วคราว โดยมีรายงานพบว่ามีผู้ป่วยบางรายเกิดลิ่มเลือดหลังฉีดเข็มแรก


ที่มา:

https://mgronline.com/sport/detail/9640000024547

https://mgronline.com/sport/detail/9640000024698

ยูทูบช่อง China Daily เผยแพร่ภาพ ‘เฉิง หยุนฟุ’ ชาวนาหนุ่มวัย 39 ปี กำลังนวดแป้ง ก่อนทำบะหมี่ขายในราคาชามละ 14 บาท ที่ตลาดเขต ‘เฟยเซียน’ มณฑลชานตง ภาคตะวันออกของจีน โดยมีผู้คนแห่ไปชมกันล้นหลาม ความดังของเขา ส่งผลให้เศรษฐกิจในเมืองเจริญก้าวหน้าไปด้วย

เซาท์ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ได้เผยว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปภาพของ หนุ่มชาวจีนที่ชื่อ ‘เฉิง หยุนฟุ’ ที่กำลังโด่งดังในฐานะบุคคลผู้มีน้ำใจจนได้ฉายา ‘พี่บะหมี่’ หลังจากเขาขายบะหมี่มานานกว่า 15 ปี ในราคาเพียง 3 หยวน หรือประมาณ 14 บาทเท่านั้น

ก่อนหน้านี้มีคนไปถ่ายคลิปให้เขาขณะทำบะหมี่ขายที่ตลาดเขตเฟยเซียน มณฑลชานตง ภาคตะวันออกของจีน และสอบถามไปว่าทำไมเขาถึงคิดราคาเพียง 3 หยวน ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบแบบตรงไปตรงมาว่า...

“ที่ต้องตรึงราคา 3 หยวนไว้ เพราะถ้าไปขึ้นราคา คนในหมู่บ้านก็คงกินไม่ได้ ถ้าคนมีเงินน้อย ก็ใช้วิธีลดเส้นลง ดีกว่าปล่อยให้คนหิว ถ้าทุกคนรวยเมื่อไรและมีโชคแล้ว ผมก็ค่อยขึ้นราคาก็ได้นี่นะ”

หลังจากคลิปดังกล่าวได้โพสต์ลง ปรากฏว่ามีคนเข้าไปดูคลิปมากกว่า 200 ล้านวิว พร้อมกับคำชื่นชมว่าชาวนาหนุ่มผู้นี้เป็นคนซื่อๆ แต่กลับมีน้ำใจเป็นอย่างมาก

กระแสข่าวเรื่องนี้ ทำให้สำนักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างแห่กันไปรุมสัมภาษณ์และเกาะติดชีวิตของชาวนาหนุ่มทันที แม้ช่วงแรก ‘เฉิง หยุนฟุ’ จะรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะเกิดความวุ่นวายในชีวิตหลายอย่าง เช่น สูญเสียความเป็นส่วนตัว หรือลูกค้าเก่า ๆ หายไปหมด

อย่างไรก็ตาม เขาก็พยายามอดทน เพราะเห็นว่าหลังจากมีคนเข้ามาดูการทำบะหมี่ขาย เศรษฐกิจในเมืองมีความเจริญก้าวหน้า นักท่องเที่ยวมากขึ้น การค้าขายดีขึ้น และเมื่อเขาทำใจยอมรับการเป็นคนดัง เขาก็เริ่มชื่นชอบเหล่าสื่อและบล็อกเกอร์ที่มารุมล้อม ประกอบกับมีอาสาสมัครในหมู่บ้าน ทำทีมรับบล็อกเกอร์และแฟนคลับให้เขา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหล มีการจัดระเบียบให้เข้าชมอย่างเป็นระบบด้วย

ชมคลิป


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/830804

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6115969

ใครพ่น เราจะลบ!! ลูกเสืออากาศ พิทักษ์สาธารณะ ไล่ล่าลบรอยพ่นสีตามกำแพง

ไม่นานมานี้กลุ่ม ‘ลูกเสืออากาศ’ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสา ปฏิบัติการลบรอยพ่นสีตามสถานที่สาธารณะบริเวณดอนเมือง บางเขน หลักสี่ ปากเกร็ด บางกระดี เมื่อวันเสาร์ที่ 13 และ วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 

โดยเหตุผลของการลบครั้งนี้ เด็ก ๆ มองว่า... 

“เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม 

“ใครพ่นเราลบ จบนะครับ”
 

คืบหน้า อาการของไฮโซดัง ‘ปลาวาฬ’ นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมศรีพันวา หลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า แพทย์เผยยังรักษาในห้องไอซียู เนื่องจากสมองกระทบกระเทือน

นายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เปิดเผยถึงอาการของ นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการโรงแรมศรีพันวา ซึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 มี.ค. 64 ว่า ขณะนี้ผู้ป่วยมีอาการหนัก ยังต้องรักษาตัวในห้องงไอซียู เนื่องจากสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดยแพทย์ได้ทำTC สแกนสมอง เพื่อดูว่าเลือดคั่งในสมองหรือไม่ รวมทั้งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันที่ 14 มี.ค. 64 ร.ต.อ.ชาตรี ชูวิเชียร พนักงานสอบสวน สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์เก๋งเสียหลักชนเสาไฟฟ้าข้างทางริมถนน หน้าโรงเรียนบ้านอ่าวน้ำบ่อ ต. วิชิต เมือง จ. ภูเก็ต หลังรับแจ้งจึงเข้าตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งป้ายทะเบียน 6 กษ 1245 กรุงเทพมหานคร ชนอัดติดอยู่กับเสาไฟฟ้าโดยคนขับถูกอัดติดภายในรถ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตต้องใช้เครื่องตัดถ่างเพื่อนำผู้บาดเจ็บออกมาจากรถใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงนำออกมาได้ เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และประสานรถยกนำรถเก๋งคันดังกล่าวไปเก็บไว้ที่สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต

จากการตรวจสอบคนขับรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว คือ นายวรสิทธิ อิสสระ หรือ ปลาวาฬ นักธุรกิจ เจ้าของโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน


ที่มา : https://www.posttoday.com/social/local/647876

ภาพ มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

สัญญาณ 'กู้ชีพ' ครั้งใหม่

แม้จะมีการโยกสับเปลี่ยนขยับคนใหม่ ไถคนเก่าออกเป็นระลอกคลื่นในวิก 3 พระราม 4 ตลอดร่วมครึ่งทศวรรษ

แต่ดูเหมือน สัญญาณแห่งการ ‘ฟื้นคืนชีพ’ และสร้างความยิ่งใหญ่แบบในอดีต อาจจะยังไม่เห็นภาพชัดในช่วงนี้นัก

เพราะส่วนหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าช่อง 3 เป็นสินค้าที่อยู่ในตลาดที่ยากและท้าทายมาก แถมตอนนี้จังหวะของธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัลก็ไม่ได้สวยหรูอะไรนัก เพราะโซเชียลมีเดียก็มีข่าวสารให้เสพแบบไม่ต้องง้อทีวี หรือแม้แต่คอนเท้นท์อื่น ๆ ก็มีให้เลือกมากถึงมากที่สุดในโลกออนไลน์

ภาพความลำบากของช่อง 3 จึงเริ่มเห็นได้ชัด จากธุรกิจที่ไม่เคยขาดทุน จนได้สัมผัสกับคำว่าขาดทุนครั้งแรกในช่วงปี 2561

ปี 2560 รายได้ 11,226 ล้านบาท กำไร 61 ล้านบาท

ปี 2561 รายได้ 10,504 ล้านบาท ขาดทุน 330 ล้านบาท

ปี 2562 รายได้ 8,779 ล้านบาท ขาดทุน 397 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าช่อง 3 แบกต้นทุนทำทีวีดิจิทัลทั้ง 3 ช่องมาตลอด แม้เดือนกันยายน 2562 ได้ตัดสินใจคืนใบอนุญาต 2 ช่อง (ช่อง 3SD / ช่อง 3Family) แต่ก็ไม่ช่วยให้ผลประกอบการกระเตื้องขึ้นมาก เต็มที่ก็คือการคงผลขาดทุนให้ลดลง

อีกส่วนหนึ่ง คือ การจากลาหน้าจอของ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ แห่ง ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ (เรื่องเด่นเย็นนี้ / เรื่องเล่าเสาร์ - อาทิตย์) หลังจากเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกตัวเขาในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง ที่โยงคดีทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกิน อสมท. 138 ล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน

อย่างไรก็ตาม เสียง ‘สัญญาณกู้ชีพ’ ครั้งใหม่ ที่เหมือนจะถูกฝากความหวังไว้ ก็เริ่มก่อเค้าลางๆ หลังจากอีกไม่นานอดีตพิธีกรข่าวชื่อดังแห่งช่อง 3 จะได้ก้าวออกสู่โลกแห่งอิสรภาพ พร้อมการคัมแบ็คช่อง 3 ในรายการข่าวเรียกแขกแบบเร็ววันพ่วงกำไล EM ให้ดราม่ากันเบา ๆ

และนั่นก็ทำให้ 'อดมโน' ไม่ได้ว่า สรยุทธ กับรายการ (ที่อาจจะเป็น) เรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งยังมีหน้าตาของเขาเป็นโลโก้แม้วันที่เจ้าตัวไม่อยู่ จะมีส่วนทำให้ช่อง 3 กลับมาผงาดได้เหมือนแต่ก่อน

ความคิดและคำพูดเช่นนี้อาจจะดูเว่อร์ไปนิด แต่ถ้ามองตามตรรกะ ต้องยอมรับว่า ‘ฝีปาก’ ของสรยุทธนั้น พร้อมฉุดให้ทุก ๆ คอนเท้นท์ที่รันบนแพลตฟอร์มของช่อง 3 มีคนดูได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าว, ละคร, อีเว้นท์ หรือผลงานต่าง ๆ ของทางช่อง และต่างค่ายที่อยากมาโปรโมท แต่พอไม่มีสรยุทธ ทุกอย่างก็ดูดรอปลงตามสภาพ

ลองเทียบดูได้จากแค่รายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ที่ไร้สรยุทธ ที่พอจะทำให้เห็นภาพความดรอป โดยอ้างอิงข้อมูลจาก TV Digital Watch พบว่า เรตติ้งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ มีแต่ลดฮวบ ๆ ตั้งแต่ที่เริ่มมีกรณีคดีไร้ส้มเข้ามาเอี่ยว และสรยุทธเริ่มเฟดตัวออกจากช่อง 3

...2557 = 2.852

...2558 = 2.139

...2559 = 1.545

...2560 = 1.101

...2561 = 0.945

โดยเรตติ้งเฉลี่ยของภูมิภาคที่ตกแบบเด่นชัด คือ กรุงเทพและปริมณฑล ที่ตกมาตั้งปี 2557 ซึ่งเดิมมีอยู่ 4.794 ลดลงเหลือเพียง 1.881 ในปี 2561 ซึ่งไอ้ที่แย่ คือ ภูมิภาคนี้ คือ ฐานที่ช่อง 3 มีไว้กำราบช่อง 7 ที่ควบคุมตลาดภูธรนี่น่ะสิ

อันที่จริงแล้ว หากตัดปัญหาเรื่องเงินโฆษณา 138 ล้านบาท (กับ อสมท.) ที่ถือเป็นสึนามิครั้งใหญ่ของชีวิต สรยุทธ เชื่อว่าช่อง 3 อาจจะยังมีสถานภาพที่งดงามในโลกดิจิทัลคอนเท้นท์บูม เพราะจะตั้งธงให้พี่ยุทธไปรุกช่องทางไหน หรือชี้บวกชี้ลบคอนเท้นท์ทุกสไตล์ ในวันที่เขาเป็นเหมือนไอดอลของคนทุกรุ่น มันก็ไม่ได้ยากมากเท่าไร

แต่การจากหน้าจอไป ในยุคที่ใคร ๆ ก็ลืมง่าย มันคือช่องว่างที่ยากลำบากแก่การอุด

แถมตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ช่อง 3 หรือจะบอกว่าพี่ยุทธและไร่ส้มก็ได้นั้น แทบไม่ได้สร้างนักเล่าข่าวชายเพื่อมารองรับกรณีที่แกจะถอยออกไปเป็นเถ้าแก่ หรือแม้แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ต้องเว้นวรรคด้วยแม้แต่น้อย ทำให้ช่อง 3 และรายการข่าวไม่มีตัวแทน พอไม่มีตัวแทนภาพก็เป็นเช่นนี้

ที่บอกว่าไม่มีตัวแทน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาเล่าข่าวแทน แต่คนที่มีเขี้ยวเล็บแบบนี้ ในปฐพีก็มีน้อย หรือถึงแม้จะมีอยู่ ก็ใช่ว่ามาแทรกปุ๊บจะแทนที่พี่ยุทธได้ทันที และที่สำคัญก็ไม่รู้พี่ยุทธอยากให้มาแทนด้วยรึเปล่านิสิ

อย่างไรก็ตาม ในการกลับมาของ สรยุทธ ที่ว่ากันว่าช่วงอยู่ในเรือนจำ ก็ปั๊มฐานออนไลน์ไว้เพียบ จากแฟนคลับที่ติดตาม ‘เรื่องเล่าชาวเรือนจำ’ หลักล้านคน น่าจะเป็นแรงส่งช่วยดันยอดชมเหวี่ยงมาประคองช่อง 3 ได้ระดับนึง

แต่มันจะถึงขั้นทำให้ช่อง 3 เติบโตเปรี้ยงปร้างได้จริงแค่ไหน? อันนี้น่าคิด เพราะในยุคที่ข่าวกลายเป็นเรื่องที่ ‘คนธรรมดา’ ก็สามารถแจ้งความคืบหน้าได้ แถมตอนนี้ยูทูบเบอร์ หรือบล็อกเกอร์บางราย มีอิทธิพลสูงส่งเสียยิ่งกว่าคนหน้าจอแก้วซะอีก

การพูดให้เชื่อ การโหนให้เฮ!! จะยังเป็นได้เช่นเคยหรือไม่? จึงต้องดู...

ยิ่งไปกว่านั้น การห่างหายจากหน้าจอไปนานของพี่ยุทธ จะยังแรงพอโกยคนที่มีการรับชมคอนเท้นท์แบบ ‘ส่วนตัวสไตล์’ มากขึ้นให้ ‘คืนกลับมาหา’ เพียงเพราะมีชื่อ ‘สรยุทธ’ คนเดียวแล้วกู้สถานการณ์ได้หรือไม่นั้น มันก็อดคิดไม่ได้ว่าจะง่ายได้ขนาดนั้นเลยหรือ?

ยกเว้นแต่ช่อง 3 พลิกคิดคอนเท้นท์ใหม่ แบบที่ ‘น้าเน็ก’ แกออกไปทำเอง แนวๆ คุยให้เด็กมันฟัง เอ้อ!! แบบนั้นอะ!! เข้าที แล้วหลังจากนั้นโมเดลด้านคอนเท้นท์ของช่อง 3 ก็อาจจะต้องรื้อใหม่หมด (หรือไม่?) ละครตบตี กระทำชำเรา ที่ทำให้โซเชียลด่ากันระงม หรือรายการวาไรตี้เดิม ๆ อาจต้องปัดฝุ่นไหม หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนทิ้ง เพื่อเสริมแรงแบบ 2 ทาง (สรยุทธ + ช่อง 3 New Model)

เหล่านี้แลดูน่าสนในเชิงขององค์รวม!!

เพียงแต่ผลลัพธ์ของมันจะปังแค่ไหน ในวันที่มือปืนเก่ายังโบกมือลา ส่วนมือปืนใหม่ ๆ ที่หวังจะเข้ามาช่วยกอบกู้ช่อง 3 ก็ยังอยู่ยาก เพราะวัฒนธรรมหรืออะไรก็ตามมันค้ำสถาบันนี้ไว้

สรุปแล้ว พี่ยุทธ!! อาจเป็นไอดอลของวันนั้น ส่วนวันนี้อาจแค่ ‘หวังได้’ ก็ต้องเผื่อใจไว้นิดสำหรับมวลชนคนวิก 3

คิดไกลไปเกินละ...อย่าคิดตามล่ะ


อ้างอิง:

https://www.posttoday.com/social/think/419034

https://www.tvdigitalwatch.com/news-ch3-reunglow-choanee-21-1-63/

นาทีนี้ ชื่อ 'สรยุทธ' ยังขายได้?

นาทีนี้ต้องเรียกว่าคนทำงานวงการสื่อสารมวลชน นั่งกันไม่ติด นอนคิดหลายตลบ นับคอยวันเวลาที่รุ่นใหญ่ ตำนานแห่งคนข่าวที่เปลี่ยนหน้าจอทีวี จากการนำเสนอข่าวแบบผู้ประกาศข่าวเป็นเหมือนเครื่องอ่านข่าว มาเป็นการเล่าข่าวแบบเข้าถึง จนกลายเป็นเพื่อนที่ต้องอยู่คู่กันทุกเช้า “สรยุทธ สุทัศนะจิดา” ที่มีกำหนดการพักโทษและจะออกจากเรือนจำในวันที่ 14 มีนาคมนี้ ในแวดวงคนสื่อเอง ต่างก็คาดเดากันว่า หลังจากก้าวออกจากเรือนจำ อาจจะได้เห็น สรยุทธ ในหน้าสื่อกระแสหลักทันที แว่วๆมาด้วยซ้ำว่า ต้นสังกัดเดิม พร้อมลงหน้าจอทันทีไม่รีรอ

“สรยุทธ” กลับมาแบบนี้ ! สะเทือนข่าวผังรายการข่าวทีวีทั่วฟ้าเมืองไทยไม่น้อย โดยเฉพาะ “ข่าวช่วงเช้า” ที่แต่ละช่องมีการปรับแผน ยกผัง เปลี่ยนกลยุทธ์กันมาตั้งแต่ต้นปี หลายช่องเตรียมพร้อมรับมือการกลับมาของ “สรยุทธ” แต่ก็สุดจะคาดเดาว่ากลับมาครั้งนี้ จะงัดไม้ไหนออกมาให้ตะลึงกันอีก

ที่แน่ ๆ “สรยุทธ” ที่หลายคนคิดถึง คงมีแฟน ๆ รอการกลับมาของเขามากล้นเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับ ว่ายุคก่อน “สรยุทธ” เข้าเรือนจำ กับยุคปัจจุบัน ช่องทางสื่อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จาก Digital Disruption การพุ่งพรวดของเทคโนโลยี ทำให้สื่อทีวี ไม่ใช่สื่อหลักอีกต่อไป ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ได้ สื่อออนไลน์ได้เข้ามาแทนที และไปไกลกว่าสื่อทีวีไปมากแล้ว ซึ่งคนในแวดวงสื่อเองก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้กันถ้วนหน้า ทั้งการปลดพนักงานออก หรือการขยับตัวของรุ่นใหญ่ลงมาหน้าสื่อออนไลน์เต็มสูบ อย่าง “สุทธิชัย หยุ่น” ถึงขนาดพยากรณ์ไว้ใน Clubhouse แอพลิเคชั่นสังคมออนไลน์สุดฮิตว่า “ในอีกไม่เกิน 5 ปี ข้างหน้า สื่อทีวีสุดท้ายจะกลายเป็นเพียงของหายาก แต่จะไม่มีใครต้องการอีกต่อไป”

รุ่นใหญ่อย่าง “สุทธิชัย หยุ่น” ลงมานำเสนอข่าวผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ตามมาติดๆด้วยลูกรักศิษย์เนชั่น อย่าง “จอมขวัญ หลาวเพ็ชร” ที่ฉีกสัญญาต้นสังกัดเดิม ลงมาเปิดหน้าในสำนักข่าวออนไลน์เต็มตัว ไม่เพียงเท่านั้น คนข่าวรุ่นใหม่หลายคนที่อายุงานยังไม่มาก บ้างก็ปรับตัวลงมาลุยสื่ออออนไลน์ควบสื่อทีวี บ้างก็ถอดใจย้ายเส้นทางชีวิต ไม่เดินเส้นทางสื่อทีวีต่อ ไปทำอย่างอื่นที่มีอนาคตกว่า

จึงน่าจับตาว่าคนที่เรียกตัวเองว่า “กรรมกรข่าว” อย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” บุคคลผู้ทรงอิทธิพล ผู้เปลี่ยนหน้าวงการสื่อทีวี กรุยทางให้กับคนข่าวทีวีเดินตาม จนบางคนโด่งดังสุดๆจากสไตล์เดียวกับสรยุทธ สุดท้ายแล้วเมื่อกลับมาใหม่ในครั้งนี้ จะมีแนวทางในการนำเสนอข่าวอย่างไร จะยังคงได้รับการตอบรับจากแฟนข่าวเดิมอยู่หรือไม่ แล้วจะดึงแฟนข่าวที่ย้ายไปภักดีกับสองช่องยักษ์ในตอนนี้กลับมาอย่างไร ท้าทายมากกว่านั้นกับคนรุ่นใหม่และสื่อออนไลน์ “สรยุทธ” จะเข้าไปสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งในสื่อเหล่านี้หรือไม่ การกลับมาครั้งนี้จะสร้างปรากฏการณ์รุ่งหรือร่วง อีกไม่นานคงได้รู้กัน

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า “จมูกไวต่อข่าว” ไม่ได้มีกันทุกคน แต่ “สรยุทธ” คือคนข่าวตัวจริงที่จมูกไวและประสบการณ์สูง ซึ่งสิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน ที่เน้นความไว แต่ไร้ซึ่งมิติและอ่อนประสบการณ์

“เนลสัน แมนเดลา” อดีตประธาธิบดีแอฟริกาใต้ ผู้นำการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสำนักหนึ่งกับคำถามที่ว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรที่ติดคุกไปตั้ง 27 ปี? “ แมนเดลา ตอบติดตลกว่า “ใครว่าผมติดคุก ผมเรียนหนังสืออยู่ต่างหาก” ระยะเวลาหลายปีที่สรยุทธหายไปจากหน้าจอทีวี ไปอยู่กับการต่อสู้คดีและเรือนจำ อาจเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ “สรยุทธ” เกิดการตกผลึกบางสิ่งในชีวิตและการทำงานมากขึ้นก็เป็นได้ และเราจะได้เห็น “ผลึก” นั้นผ่านงาน “ข่าว” รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแน่นอน น่าติดตามและตั้งตารอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top