Tuesday, 10 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

กระทรวงการคลัง ผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดันนโยบาย ‘Made in Thailand’ สนับสนุนหน่วยงานรัฐซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้มากขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น โดยส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศได้

ซึ่งที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประกาศเป็นกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ประเมินว่า จากกฎกระทรวงฉบับนี้ที่สนับสนุนหน่วยงานให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย คือผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขาย และหน่วยงานภาครัฐได้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตามที่ต้องการ ภาครัฐมั่นใจว่าการสนับสนุนครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการและห่วงโซ่เอสเอ็มอี เข้มแข็งขึ้น จากยอดการซื้อจากภาครัฐ ซึ่งในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับเสริมศักยภาพการแข่งขันและลดภาระด้านการเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ

สำหรับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand ได้กำหนดสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด

หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ

สำหรับกลุ่มสินค้า Made in Thailand ที่มีโอกาสเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ อาทิ วัสดุครุภัณฑ์สำนักงาน, ครุภัณฑ์การศึกษา, จอมอนิเตอร์, เฟอร์นิเจอร์, ชุดยูนิฟอร์ม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน, วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง อาทิ เหล็ก, ปูนซีเมนต์

รวมถึงจะมุ่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลไปยังกลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ที่เข้าร่วมยื่นเสนองานกับภาครัฐให้เข้าใจในกฎกระทรวงฉบับใหม่และการนำสินค้า Made in Thailand ไปเสนอต่อภาครัฐด้วย ตั้งเป้าหมายในปี 2564 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก​ เกี่ยวกับกรณี​ 'เพนกวิน'​

ผมได้เห็นภาพจริงที่เพนกวิน อาละวาดศาล ในทวิตเตอร์ของ Andrew MacGregor Marshall อดีตสื่อต่างชาติในไทย และหนีคดี 112 สิ่งที่น่าสังเกต

1.​ เพนกวินมีการอ่านเอกสารที่จัดเตรียมมาก่อน

2.​ มีการคล้องแขน ล้อมกรอบ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงเพนกวิน

3.​ มีการถ่ายภาพจริงออกมา และฝรั่งต่างชาติไปเผยแพร่

สิ่งที่เห็นจึงเป็นการยืนยันว่า มีการวางแผน เพื่อทำลายเครดิต นอกจากสถาบันเบื้องสูง ทหาร ยังรวมถึงสถาบันตุลาการของไทย และเผยแพร่โดยชาวต่างชาติ ซึ่งสอดรับกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ของนักการเมืองคนหนึ่ง ก็ทำงานอ้างว่าวิจัย เพื่อทำลายสามสถาบันนี้มาก่อน

เพนกวินอาจจะเล่นสมบท และได้รับรางวัล​ "วีระรัฐบุรุษ" เพื่อเอาใจให้เหลิงในแสง แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ตัวเขาต้องรับกรรม

นี่คือการพิสูจน์ว่า กระบวนการนักการเมืองชั่ว ร่วมกับอาจารย์ นักวิชาการหัวรุนแรง ปั่นหัวศิษย์เลว ร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อหวังครอบงำประเทศ ผ่านกระบวนการชักศึกเข้าบ้าน วิธีการที่เราจะชนะเขาคือ การรู้เท่าทันนั้นไม่พอ เราคนไทยต้องรักและสามัคคีกันด้วย เพื่อไม่ให้ไทยเราเป็นเหยื่ออย่างบางประเทศในตะวันออกกลาง


ที่มา : https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2869483936655972/

แฟนคลับ เฮ! “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ยอมใจอ่อนเปิดอินสตาแกรมแล้ว ใต้ชื่อแอคเคาท์ @birdthongchaiofficial แถมเปิดใช้แปปเดียวยอดฟอลโล่เพียบ!

เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จักนักร้อง นักแสดงมากฝีมือคนนี้กับ “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ที่ฝากผลงานฮิตไว้มากมาย ซึ่งล่าสุด ก็มีข่าวดีหลังจากมีการเรียกร้องจากเหล่าแฟนหลับกันมายาวนาน

เพราะว่า “ป๋าเบิร์ด” ได้เปิดช่องทางให้ติดตามอัพเดตชีวิต ผ่านแอคเคาท์อินสตาแกรม ให้พี่ น้อง แฟนคลับ ได้ติดตามกันแล้ว โดยใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “@birdthongchaiofficial”

แน่นอนว่าคนดังระดับนี้ยอมใจอ่อนเปิดแอคเคาท์อินสตาแกรม ทั้งทีผู้คนก็ต่างให้ควาามสนใจเหล่าแฟนคลับก็แห่กันไปกดฟอลโล่กับพรึ่บ เพียงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่ว เรียกได้ว่าวันเวลาลาทำอะไรไม่ได้กับความดัง ของ ป๋าเบิร์ด คนนี้เลยนะเนี่ยย

คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนสหรัฐฯ อย่ากระทำการใด ๆ ที่จะทำให้ ‘หลับไม่ลง’ เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เริ่มส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศเยือนประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

หนังสือพิมพ์โรดอง ชินมุน ของทางการเกาหลีเหนือตีพิมพ์ถ้อยแถลงของคิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึนผู้นำเกาหลีเหนือ หลังจากสหรัฐและเกาหลีใต้เปิดฉากซ้อมรบร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ขอแนะนำรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ที่กำลังหาทางแพร่กระจายกลิ่นดินปืนในดินแดนเกาหลีเหนือว่า หากอยากนอนหลับสบายตลอด 4 ปีข้างหน้า ทางที่ดีอย่าได้หาเรื่องตั้งแต่ต้น ที่จะทำให้ข่มตาหลับไม่ลง 

นับเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อรัฐบาลไบเดนที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม แม้ว่ายังไม่เอ่ยชื่อไบเดนโดยตรง และมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม และนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ เพื่อเริ่มการเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หวังตอกย้ำความร่วมมือต่อต้านอิทธิพลจีนและการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

นักวิเคราะห์ในเกาหลีใต้มองว่า ที่ผ่านมาการออกถ้อยแถลงของเธอมักเป็นการส่งสัญญาณว่าเกาหลีเหนือเตรียมเพิ่มท่าทีแข็งกร้าว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเกาหลีเหนืออาจยั่วยุทางทหารระหว่างหรือหลังจากที่รัฐมนตรีทั้งสองคนของสหรัฐเสร็จสิ้นการเยือนพันธมิตร ส่วนช่วงไม่กี่วันก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่ง นายคิม จอง อึน ตราหน้าสหรัฐว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของประเทศ และใช้พิธีสวนสนามเปิดตัวขีปนาวุธนำวิถียิงจากเรือดำน้ำรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี ตอนที่ประธานาธิบดีไบเดน ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ เกาหลีเหนือก็ไม่ได้ยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นการท้าทายอย่างที่เคยทำมา

ท่าทีของเกาหลีเหนือมีขึ้น ท่ามกลางการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ที่ลดขนาดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่นางเจน ซากี โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว ไม่ได้กล่าวถึงแถลงการณ์จากน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ยอมรับว่า จนถึงปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ตอบกลับความพยายามติดต่อผ่านทุกช่องทางของรัฐบาล รวมถึงผ่านคณะผู้แทนถาวรเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ มาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และใน 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เองไม่ได้มีการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องแม้จะมีความพยายามมาจากฝ่ายสหรัฐฯ ก็ตาม

ขณะเดียวกัน นายโนบูโอะ กิชิ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น พบปะกับ พล.อ.ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียว เรื่องความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพจีนในบริเวณทะเลจีนใต้ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะหลายแห่ง นายกิชิ กล่าวว่า บรรยากาศในทะเลจีนใต้และทะเลฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและรุนแรง

จากการเคลื่อนไหวทางทหารทั้งของกองทัพจีน และกองทัพสหรัฐฯ จนน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคง ประเทศพันธมิตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่ในทะเลจีนใต้จึงหวังว่า สหรัฐฯ กับจีนจะใช้วิธีทางการทูตด้วยการเจรจาจำกัดกรอบการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อให้บรรยากาศต่าง ๆ ดีขึ้น จนนำไปสู่การเจรจาในระดับต่อไปได้


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์
https://www.naewna.com/inter/559622

จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเข้าประเทศ ด้วยการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติจากบางประเทศ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น จนสามารถกลับมาเดินทางได้ตามปกติอีกครั้ง

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า สถานทูตจีนในหลายประเทศพร้อมเปิดให้ประชาชนในบางประเทศที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของจีนแล้วสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าจีนได้ สถานทูตจีนในสหรัฐฯ แถลงลงวันที่ 15 มีนาคม ว่า ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดรับการยื่นขอวีซ่าจากผู้รับการฉีดวัคซีนจีนที่จะเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อไปทำงาน ทำธุรกิจ หรือความจำเป็นทางมนุษยธรรม เช่น กลับไปพบหน้าครอบครัว ผู้มีสิทธิยื่นขอวีซ่าจะต้องรับการฉีดวัคซีนจีนครบ 2 โดส หรืออย่างน้อย 1 โดส ในช่วง 14 วันก่อนยื่นขอวีซ่า และมีผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ ด้านสถานทูตจีนในอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อิตาลี และศรีลังกาก็ออกประกาศลักษณะเดียวกัน

จีนกำลังเร่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนผลิตเองในประเทศที่ได้รับอนุมัติแล้ว 4 ขนาน ได้แก่ Sinapharm, Sinovac, Coronavac และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทอันฮุย จื้อเฟย หลงเขอ ไบโอฟาร์มาซูติคัล ให้แก่คนในประเทศ แต่ยังไม่อนุมัติวัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศแม้แต่ขนานเดียว

นอกจากนี้ ยังส่งออกหรือบริจาควัคซีนที่ผลิตเองให้แก่หลายประเทศ เช่น ตุรกี อินโดนีเซีย กัมพูชา ปากีสถาน ส่งผลให้สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ประกาศแผนร่วมมือกันเตรียมส่งวัคซีนให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเช่นกันเพื่อแข่งขันกับจีนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การทูตวัคซีน’ เต็มรูปแบบ

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดภายในประเทศ หลังจากที่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรกของโลกเมื่อปลายปี 2019 แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่ผู้เดินทางจากต่างประเทศจะนำไวรัสเข้ามาแพร่จนเกิดการระบาดซ้ำ จีนได้ใช้นโยบายจำกัดการเข้าเมือง โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศภายใต้วัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น มาทำงาน เป็นต้น และผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วก็จะต้องผ่านกระบวนการกักตัวตามระเบียบ


ที่มา : รอยเตอร์

https://www.naewna.com/inter/559621

หลังจากความเห็นขององค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เกี่ยวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในเชิงบวกปรากฏขึ้นเมื่อวันก่อน ก็ดูจะช่วยคลายข้อกังวลให้ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ มาริโอ ดรากิ นายกรัฐมนตรีอิตาลีในวันอังคาร (16 มี.ค.) ได้เป็นอย่างมาก

โดยอีเอ็มเอ ได้แถลงยืนยันถึงความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในประโยชน์ของวัคซีนตัวดังกล่าวที่เหนือกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของมัน

“ถ้อยแถลงในเบื้องต้นในวันนี้จากอีเอ็มเอ ช่วยสร้างกำลังใจ” ถ้อยแถลงของทั้งคู่ที่เผยแพร่โดยสำนักนายกรัฐมนตรีของดรากิ หลังจากผู้นำทั้งสองชาติหารือกันทางโทรศัพท์

ถ้อยแถลงระบุต่อว่า ฝรั่งเศสและอิตาลีจะกลับมาเริ่มฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในทันที หากว่าได้ไฟเขียวจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียู ซึ่งคาดหมายว่าจะมีการแถลงการตัดสินใจในวันพฤหัสบดี (18 มี.ค.)

สำหรับในกรณีของอิตาลี การระงับใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้านั้น หมายความว่ามีการฉีดวัคซีนประชาชนชนน้อยลงราว ๆ 200,000 ภายในสัปดาห์นี้ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวรัฐบาล แต่จากถ้อยแถลงของอีเอ็มเอส น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา จนช่วยให้โครงการฉีดวัคซีนคืนสู่ระดับปกติ

ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมนี และประเทศอื่นๆ หลายชาติในสหภาพยุโรป ได้ระงับใช้วัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ - สวีเดนแห่งนี้ ท่ามกลางความกังวลว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุเสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

อย่างไรก็ตาม เอเมอร์ คุ้ก ผู้อำนวยการองค์การยาแห่งยุโรป ระบุในวันอังคาร (16 มี.ค.) ว่าทางหน่วยงานของเขา “ยังคงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าประโยชน์ของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในการป้องกันความเสี่ยงอาการรุนแรงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียง”

ในขณะที่ได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแก่ประชาชนไปแล้วหลายล้านโดส พบว่ามีคนจำนวนเล็กน้อยเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันถึงขั้นเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน

ซึ่งมุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกและแอสตร้าเซนเนก้า ที่ระบุว่า “ณ เวลานี้ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของอาการเหล่านั้น” พร้อมเน้นว่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ “กำลังตรวจสอบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับทุกวัคซีน”


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000025533

สถานการณ์การชุมนุมในเมียนมากำลังยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้บุกเผาโรงงานจีนหลายแห่งในกรุงย่างกุ้ง และได้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมตอบโต้ จนวันเดียวมีผู้เสียชีวิตถึง 39 ศพ

ล่าสุดนาย “มาน วิน แคง ทาน” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากพรรค NLD ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุมตัวของกองทัพเมียนมา ได้กล่าวบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "นี่คือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของชาติและเป็นช่วงเวลาที่ใกล้รุ่งอรุณ"

ตอนนี้สมาชิกพรรค NLD คนอื่นๆที่หลบหนีการจับกุมตัวได้จัดตั้งกลุ่ม “รัฐบาลเงาหรือรัฐบาลใต้ดิน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในนาม “คณะกรรมการตัวแทนของรัฐสภาเมียนมา (CPRH)” และแต่งตั้งให้นาย “มาน วิน แคง ทาน” ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

โดยทางกลุ่ม CPRH ได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า “พวกเราต้องการสร้างประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ ซึ่งในขณะนี้ผู้นำของพวกเราได้เข้าพบกับตัวแทนขององค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาซึ่งมีอำนาจในการควบคุมพื้นที่ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนเราด้วย”

นาย “มาน วิน แคง ทาน” ยังกล่าวเสริมอีกว่า “นี่แหละคือความต้องการที่แท้จริงของพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการกดขี่ข่มเหงของระบอบเผด็จการมานานหลายทศวรรษ การปฏิวัติในครั้งนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมแรงร่วมใจกัน”

แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลทหารเมียนมาก็ได้กล่าวว่า “กลุ่ม CPRH คือกลุ่มผิดกฎหมาย หากใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะถูกตั้งข้อหากบฏและมีโทษถึงประหารชีวิต”


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=281752333510928&id=103491098003720

กลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟภาคอีสาน วอนรัฐบาลคลายล็อค จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ หวังขอฝนตกต้องตามฤดูกาล แก้ภัยแล้ง พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ และท่องเที่ยวภาคอีสาน

นายพนม พรมประเสริฐ ประธานกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟภาคอีสาน เปิดเผยว่า ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่สำคัญของภาคอีสานของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อของชาวบ้านทางภาคอีสาน ที่เชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล บุญบั้งไฟนิยมทำกันในเดือนหก ถือเป็นประเพณีสำคัญที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้งไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย

งานบุญบั้งไฟ จึงถือเป็นงานประเพณีประจำปีที่สำคัญจนเป็นมรดกและวัฒนธรรมของชาวอีสานจนถึงปัจจุบันนี้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2563 เกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 รัฐบาลได้มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามมีการจัดงานประเพณีต่าง ๆ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานไม่สามารถดำเนินการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟได้ ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าสาเหตุที่ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และเกิดฝนแล้งทำการเกษตรไม่ใด้ผล ก็เนื่องมาจากไม่ได้จุดบั้งไฟถวายพญาแถนขอฝน ซึ่งเป็นประเพณีวัฒนธรรมที่เคยปฏิบัติมา

นายพนม พรมประเสริฐ ประธานกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟภาคอีสาน เปิดเผยต่อไปว่า เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟของภาคอีสานให้คงอยู่สืบไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 64 ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วย นายวิริยะ อินพานิช ที่ปรึกษากลุ่ม และสมาชิกกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟภาคอีสานทุกจังหวัด ได้เดินทางไปที่กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ และที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อไปยื่นหนังสือขอให้รัฐบาล คลายล็อคผ่อนปรนการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟเพื่อขอฝน

โดยที่กระทรวงวัฒนธรรม ได้เข้าพบกับ นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการ รมว.กระทรวงวัฒนธรรม และมี นายสตวัน ฮ่มซ้าย ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการของกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟภาคอีสาน ซึ่ง เลขานุการ รมว.กระทรวงวัฒนธรรมได้รับทราบแล้ว และแจ้งว่า เรื่องการจัดบุญประเพณีบุญบั้งไฟนี้ ยังติดล็อคอยู่ที่ ศบค. กระทรวงวัฒนธรรมไม่สามารถอนุมัติได้ ซึ่งจะได้เสนอเรื่องนี้ให้ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรมทราบ เพื่อจะได้เสนอเรื่องขอปลดล็อคเรื่องนี้ไปยัง ศบค.เพื่อพิจารณาอย่างเร่งด่วนต่อไป

นายพนม พรมประเสริฐ เปิดเผยด้วยว่า ในปัจจุบันปัญหาโรคไวรัสโควิด -19 ได้คลี่คลายลงระดับหนึ่ง ประกอบกับวิธีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ มีการจัดงานกลางแจ้ง สภาพอากาศที่ร้อนมีอากาศถ่ายเท มีการเว้นระยะห่าง อยู่ในตัวอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาเที่ยวชมประเพณีบุญบั้งไฟ จะเป็นประชาชนในเขตพื้นที่ภาคอีสาน ไม่มีความเสี่ยงกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 และทางหมู่บ้าน ชุมชนที่จะจัดงานบุญบั้งไฟ ยังมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอ,รพ.สต., อสม. เป็นผู้คัดกรองการเข้างานอย่างเข้มงวด

การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ยังถือว่าเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของคนในท้องถิ่น เกิดความสมัครสมานสามัคคีของคนในหมู่บ้าน ชุมชน และสืบทอดแก่เยาวชนคนรุ่นหลังต่อไป มาตรการกระตุ้นเศฐกิจรากหญ้าและชุมชน ก่อให้เกิดการจ้างงานในกระบวนการผลิตบั้งไฟ เช่น งานตัดไม้เผาถ่าน งานตัดไม้ทำหางบั้งไฟ งานผสมดินปืน งานจ้างไปจุดบั้งไฟ เป็นต้น เป็นการกระตุ้นเศฐกิจรากหญ้าในวงกว้าง เช่น เกิดการค้าขายของคนในชุมชน เช่น ร้านค้าอาหาร ต่าง ๆ ไก่ย่าง ส้มตำ อาหารตามสั่ง เกิดการซื้อขายสินค้าทางการเกษตรที่มีในพื้นที่ ที่ปลูกเองและมีตามธรรมชาติ

ดังนั้น ประชาชนในเขตพื้นที่ภาคอีสาน พวกตนจึงขอวอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รมต.และคณะรัฐมนตรี รวมถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ขอได้โปรดพิจารณาคลายล็อคผ่อนปรนการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟในเดือนหก ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน - 24 กรกฎาคม 2564 ที่จะถึงนี้ด้วย


ภาพ / ข่าว ศิริเกษ หมายสุข ผู้สื่อข่าว จ.ศรีสะเกษ

‘รมว.วธ." เตรียมเสนอ ศบค.ชุดใหญ่ งดสาดน้ำ-ปะแป้ง-ปาร์ตี้โฟม ทุกกรณี ปิดถนนข้าวสารได้ แต่ อนุญาตเฉพาะประเพณีไทย การตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่

เมื่อเวลา 13.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ชุดเล็กเมื่อวันที่ 17 มี.ค.จะมีการเสนอกรอบการผ่อนปรนให้จัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยวันนี้กระทรวงวัฒนธรรมจะมีการประชุมคณะกรรมการบูรณาการที่เกี่ยวข้องกับประเพณีสงกรานต์ ซึ่งจะมีแนวปฏิบัติที่ได้หารือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแล้ว

โดยจะอนุญาตให้มีการจัดสงกรานต์ได้ตามประเพณี เน้นแก่นแท้ของประเพณี เช่น การตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ส่วนกิจกรรมที่เป็นการละเล่นโดยเฉพาะการสาดน้ำและการปะะแป้งจะให้งดเว้นไปก่อน เนื่องจากยังมีความกังวลจากหลายส่วน รวมถึงกรณีเกิดคลัสเตอร์ใหม่ด้วย ทำให้กังวลว่าหากมีการสาดน้ำจะเกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อได้ โดยจะเสนอให้ ศบค. ชุดใหญ่พิจารณา 19 มี.ค. นี้

นายอิทธิพล กล่าวว่า "กรณีที่เป็นสถานที่เอกชน ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโควิด กรณีถนนข้าวสารสามารถปิดถนนได้ แต่ต้องงดสาดน้ำ ส่วนสรงน้ำพระ ขบวนแห่ต่าง ๆ ขอให้ดูตามความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบประเพณีของแต่ละจังหวัด ที่ต้องดูจำนวนคนในขบวนแห่ต่าง ๆ ด้วย

ส่วนเรื่องปาร์ตี้โฟมหรือกิจกรรมในสถานบันเทิงก็ต้องงดงการสาดน้ำ งดการเล่นน้ำด้วย ปีนี้ยังต้องขอให้เว้นไปก่อน เนื่องจากว่าวิเคราะห์แล้วมีความเสี่ยงเรื่องของการมีของเหลวเข้าสู่ร่างกาย เช่นเดียวกับงานวันไหล จ.ชลบุรี ที่มีการละเล่นพื้นบ้านและมีการสาดน้ำ ชัดเจนว่า ต้องงดการสาดน้ำ งดการปะแป้ง งดปืนฉีดน้ำ เช่นกัน"

สายเขียวต้องไม่พลาด 7 เมนูรสแซ่บผสมใบกัญชา สูตรเด็ดเฉพาะที่ร้าน ยำสามก๊กขอนแก่น เท่านั้น ยันคิดค้นเมนูตรงตามหลักการแพทย์ ย้ำ 1 คน กินได้แค่ 8 ใบเท่านั้น เผยเปิดมา 1 เดือน ลูกค้าตรึม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบร้านอาหารแห่งหนึ่งที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่รักสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ขณะนี้รัฐบาลได้ปลดล็อคให้กับผู้ปลูกได้อย่างถูกกฎหมายทำให้ร้านอาหารส่วนใหญ่ต่างนำใบกัญชาที่จัดซื้อมาอย่างถูกต้องนำมาประกอบอาหารด้วยเมนูต่างๆกันเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกันกับร้านยำสามก๊ก ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 395 บ.โนนม่วง ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ด้านหลังมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ร้านได้นำใบกัญชาสดมาประกอบอาหารเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้า โดยที่ในขณะนี้ได้มีการคิดสูตรเมนูกัญชาได้ทั้งหมด 7 เมนู และเครื่องดื่มอีก 3 รายการ ในราคาที่ไม่แพงอีกด้วย

นายกอบชัย สีหาราช อายุ 25 ปี เจ้าของร้านยำสามก๊ก สาขาขอนแก่น กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าขณะนี้กระแสการรับประทานกัญชาโดยเฉพาะใบสดนั้นเริ่มมีอย่างแพร่หลายมากขึ้น ตามที่รัฐบาลได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างถูกกฎหมายทำให้ร้านอาหารส่วนใหญ่ต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการเริ่มนำใบกัญชามาเป็นส่วนผสมของอาหาร ทีมพ่อครัวของร้านจึงต้องคิดค้นสูตรและแนวทางการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าด้วยการคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาได้ทั้งหมด 7 รายการมาเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบการรับประทานกัญชา ประกอบด้วย

ยำใบกัญชาทอดกรอบ จานละ 150 บาท ซึ่งมีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ,กุ้งดองใบกัญชาน้ำปลากวน จานละ 180 บาท ซึ่งมีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ กุ้ง 6 ตัว, กุ้งดองใบกัญชาซีอิ๊วเกาหลี จานละ 20 บาท มีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ กุ้ง 6 ตัว, ตำลาวใบกัญชาสด จานละ 150 บาท มีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ, ใบกัญชาทอดกรอบ จานละ 150 บาท มีส่วนผสมของใบกัญชา 3 ใบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพิเศษของทางร้าน, กุ้งพันแซลมอนใบกัญชา จานละ 250 บาท มีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ และปีกไก่หมักใบกัญชาย่างจานละ 150 บาท มีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ

ขณะเดียวกัน ยังคงมีการคิดค้นเมนูเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา ประกอบด้วย ชามะลิฮาเฮ แก้วละ 95 บาทมีส่วนผสมของใบกัญชา 2 ใบ,น้ำผึ้งมะนาวเฮ แก้วละ 95 บาท มีส่วนผสมของกัญชา 2 ใบและชาเขียวฮาเฮ มีส่วนผสมของกัญชา 2 ใบ

“ก่อนที่ลูกค้าจะสั่งอาหารในเมนูกัญชานั้นทางร้านจะนำคู่มือทางการแพทย์ที่แนะนำคำเตือนและข้อห้ามให้กับลูกค้าให้อ่าน เพราะ 1 คนสามารถรับประทานใบกัญชาได้เพียงไม่เกิน 8 ใบเท่านั้น ดังนั้นในเรื่องของความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ร้านให้ความสำคัญและหากพบว่าลูกค้าต้องการรับประทานเมนูกัญชาแต่ขัดต่อข้อห้ามของแพทย์ร้านจะไม่จำหน่ายให้เด็ดขาด

เนื่องจากใบกัญชานั้นร้านซื้อมาจากวิสาหกิจชุมชนในเขต จ.อุดรธานี ซึ่งมีการซื้อ - ขาย อย่างถูกต้องและทุกเมนูนั้นมีการระบุสัดส่วนและการใช้ใบกัญชาอย่างชัดเจน ทั้งนี้หลังจากเปิดร้านสาขาขอนแก่นมาได้ประมาณ 1 เดือน และเพิ่งจะบรรจุเมนูกัญชามาได้ไม่นานนักก็พบว่าเมนูกัญชาเป็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ลูกค้าเข้ามาสอบถามถึงการจำหน่ายและเมนูที่สามารถรับประทานได้และแวะเยนมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการสั่งใบกัญชาที่เป็นไปตามกฎหมายทำให้การบริหารจัดการวัตถุดิบจึงจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะใบกัญชานั้นสามารถตัดได้ 3 เดือนต่อรอบเท่านั้น”

เจ้าของร้านยำสามก๊กสาขาขอนแก่น กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเองและแฟนสาวเปิดร้านส้มตำ ที่ จ.อุดรธานี ต่อมาเมนูยำใส่น้ำปลาร้า เริ่มเป็นที่สนใจและได้รับความนิยมจึงได้คิดค้นสูตรน้ำยำปลาร้าขึ้นมา ลองผิดลองถูก จนกระทั่งเป็นที่ถูกปากและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า ประกอบกับการเลือกวัตถุดิบ ที่ใหม่ สด สะอาดและจำหน่ายในราคาไม่แพง ทำให้วันนี้ร้านยำสามก๊กเปิดให้บริการที่ จ.อุดรธานี แล้ว 3 สาขา และล่าสุดคือที่ จ.ขอนแก่น เป็นสาขาที่ 4 ของร้าน

ซึ่งเมนูยำนั้นมีให้บริการรวมกว่า 50 เมนู แต่เมนูกัญชานั้นร้านเพิ่งจำนำเข้ามาบรรจุขายเนื่องจากการตลาดในขณะนี้กระแสของกัญชามาแรง จึงให้ทีมพ่อครัวทำการคิดค้นเมนูกัญชาขึ้นมา และติดต่อการซื้อวัตถุดิบที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อได้ใบกัญชาสดมาแล้ว จึงเข้าสู่ขั้นตอนของการปรุงอาหารจนในที่สุดได้เมนูเด็ดของร้าน 7 รายการและเมนูเครื่องดื่มอีก 3 รายการที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top