Saturday, 21 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

ชุมพร – ยื่นหนังสือ ขอผ่อนคลายให้ร้านอาหารจำหน่ายเครื่องดื่นแอลกอฮอล์ได้

วันนี้ (22 มิย. 64) เวลา 8.30 น นายกฤษฎา ถนอมรักษ์ ตัวแทนชมรมร้านอาหารจังหวัดชุมพรร่วมกว่า 30 ร้าน พร้อมด้วยสมาชิกได้ยื่นหนังสือขอผ่อนคลายให้มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ เพื่อทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดชุมพรเดินหน้าต่อไปได้

ทั้งนี้ปัจจุบันเมื่อลูกค้ามานั่งแล้วสั่งอาหารกลับบ้าน หรือหากจะนั่งก็นั่งไม่นานซึ่งจนทำให้ผู้ประกอบการร้านค้าได้รับผลกระทบแบกภาระค่าใช้จ่ายเช่น ค่าเช่า ,ค่าน้ำค่าไฟ ,ค่าภาษี ,ค่าจ้างค่าเยี่ยวยาพนักงาน ,ค่าดอกเบี้ยธนาคาร และค่าบำรุงรักษาต่าง ๆ

ทางด้าน นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ.ชุมพร กล่าวว่า ได้คุยกับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดชุมพร เพื่อให้ความช่วยเหลือร้านอาหารต่าง ๆ ซึ่งให้ความร่วมมือทางจังหวัดกันตลอดมา และในวันนี้ก็ได้มีการประชุมของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดชุมพร ก็จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเพื่อให้ความช่วยเหลือทางชมรมร้านอาหารจังหวัดชุมพร เพื่อให้ทางชมรมร้านอาหารจังหวัดชุมพรยืนอยู่ได้ เพราะเราก็คือ “ชุมพรทีม” เหมือนกัน

ที่ผ่านมาเราก็ได้รับความร่วมมือจากชมรมร้านอาหารจังหวัดชุมพรเป็นอย่างดี และขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกันตลอดมา จนสามารถให้เราควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ในพื้นที่ชุมพรได้ถึงวันนี้

ราชกิจจานุเบกษาผ่อนคลายมาตรการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. 64 เป็นต้นไป

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผ่อนคลายในพื้นที่เฝ้าระวังสูงสูด 53 จังหวัดประกอบด้วย กระบี่ ,กาญจนบุรี ,กาฬสินธุ์ ,กำแพงเพชร ,ขอนแก่น ,ชัยนาท ,ชัยภูมิ ,ชุมพร ,เชียงราย ,เชียงใหม่ ,ตราด ,ตาก ,นครนายก ,นครพนม ,นครราชสีมา ,นครสวรรค์ ,น่าน ,บึงกาฬ ,บุรีรัมย์ ,ปราจีนบุรี ,พะเยา ,พังงา ,พัทลุง ,พิจิตร ,พิษณุโลก ,เพชรบูรณ์ ,แพร่ ,ภูเก็ต ,มหาสารคาม ,มุกดาหาร ,แม่ฮ่องสอน ,ยโสธร ,ร้อยเอ็ด ,ลพบุรี ,ลำปาง ,ลำพูน ,เลย ,ศรีสะเกษ ,สกลนคร ,สตูล ,สิงห์บุรี ,สุโขทัย ,สุพรรณบุรี ,สุราษฎร์ธานี ,สุรินทร์ ,หนองคาย ,หนองบัวลำภู ,อ่างทอง ,อำนาจเจริญ ,อุดรธานี ,อุตรดิตถ์ ,อุทัยธานี และอุบลราชธานี


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร  

กรุงเทพฯ - กองทัพเรือ จัดกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” ถวายเป็นพระราชกุศล ตั้งครัวสนามเคลื่อนที่แจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน”

กองทัพเรือ จัดกิจกรรม “กองทัพเรือ เพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID – 19” ถวายเป็นพระราชกุศล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในค่าครองชีพ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกองทัพเรือจัดรถครัวสนาม จัดทำอาหารกล่อง และน้ำดื่ม วันละ 690 ชุด พร้อมหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนสิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภค นำไปมอบให้แก่ประชาชน ในทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 โดยกำหนดให้การช่วยเหลือประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับหน่วยงานของกองทัพเรือ ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมทั้งจัดกำลังพลจิตอาสากองทัพเรือ โดย ฐานทัพเรือกรุงเทพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19

“กองทัพเรือเพื่อประชาชน ร่วมใจต้านภัย COVID-19 ถวายเป็นพระราชกุศล” จะปฏิบัติภารกิจในการประกอบอาหารช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ต่าง ๆ จะคลี่คลาย โดยในวันนี้ 21 มิ.ย. 64 เวลา 16.30 น. พล.ร.ท.มนตรี รอดวิเศษ ผทค.พิเศษ ทร. และ พล.ร.ต.ณพ พรรณเชษฐ์ รอง ปช.ทร. ผู้แทน ทร. ร่วมด้วย เรือโท ยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมมอบอาหารให้แก่ประชาชน ณ บริเวณลานจอดรถ นันทอุทยานสโมสร กรุงเทพฯ


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

ปทุมธานี – BGC ส่งเตียงกระดาษสู้โควิด 50 เตียง มอบรพ.สนาม สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ที่โรงพยาบาลสนาม สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 60 พรรษา ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี บีจีซี (BGC) หรือ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) โดยมี คุณเดวีนา น้อย ผู้จัดการส่วนกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) และคุณวิทยา คงสุวรรณ ผู้จัดการส่วนสนับสนุนเทคนิคการบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด ได้มอบเตียงกระดาษรีไซเคิล จำนวน 50 เตียง มอบให้ โรงพยาบาลสนามฯ เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือในภาวะเร่งด่วนสำหรับผู้ป่วย โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 ) มีนายแพทย์รังสรรค์ บุตรชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามฯ พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ร่วมรับมอบ

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของจังหวัดปทุมธานี ทำให้หลายโรงพยาบาลเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก ซึ่งผลิตจากกระดาษรีไซเคิล 100% น้ำหนักเบา ประหยัดพื้นที่ขนส่งและการจัดเก็บ ประกอบง่าย โดยไม่ต้องใช้กาว ใช้ได้นาน 3 เดือน หากไม่โดนน้ำ และรับน้ำหนักได้ถึง 100 กิโลกรัมในแนวราบ จากสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 7,124 ราย รับการรักษาจนหายแล้วจำนวน 4,364 ราย อยู่ระหว่างการรักษาจำนวน 2,715 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโควิดจำนวน 49 ราย ส่วนโรงพยาบาลสนาม สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 60 พรรษา มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 255 ราย กลับบ้านแล้ว 92 ราย อยู่ระหว่างการดูแลรักษาจำนวน 163 ราย


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

ตาก - โรงเรียนราษฎวิทยา จัดกิจกรรมการประกาศ เจตจำนงสุจริตในการบริหารงาน

ที่บริเวณห้องโถงของโรงเรียนราษฎวิทยา เขตเทศบาลนครแม่สอด นายสมศักดิ์ คะวีรัตน์ ผู้จัดการและผู้รับใบอนุญาต ของโรงเรียนราษฎวิทยา ประธานแม่สอดมูลนิธิสามัคคีการกุศล พร้อมด้วยนายวัชรินทร์  ใจยะสิทธิ์ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการทุกฝ่าย ตัวแทนคณะครูได้จัดกิจกรรม การประกาศเจตจำนงสุจริตในการบริหารงานภายในองค์กร โรงเรียนราษฎร์วิทยา(ตี่มิ้ง) มุ่งเน้นการบริหารจัดการองค์กร อย่างมีธรรมาภิบาล

โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อสร้างความศรัทธา และเชื่อมั่นแก่สังคมว่าโรงเรียนราษฎร์วิทยา(ตี่มิ้ง) เป็นองค์กรธรรมาภิบาลในฐานะผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนราษฎร์วิทยา(ตี่มิ้ง)จึงขอประกาศเจตจำนงในการบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้พร้อมรับผิดชอบและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ ทั้งนี้ขอให้บุคลากรทุกคนมุ่งมั่นปฏิบัติงานตามภารกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และปราศจากการทุจริตภายใต้นโยบาย ดังต่อไปนี้

1. ด้านความโปร่งใส คือ เปิดเผยข้อมูลการดำเนินภารกิจของหน่วยงาน รวมถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง   เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ และมีระบบการบริหารจัดการที่ชัดเจน

2. ด้านความพร้อมรับผิด คือ มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มประสิทธิภาพภายใต้กฎหมายระเบียบ วิธีการที่ถูกต้อง รับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการบริหารงาน  พร้อมที่จะถูกตรวจสอบเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อโรงเรียน

3. ด้านความปลอดจากการทุจริต คือ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือรับสินบน

4. ด้านวัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร คือ การทำให้หน่วยงานปลอดจากการทุจริต โดยไม่ยอมรับการทุจริตทุกประเภทและไม่เพิกเฉย ที่จะดำเนินการเพื่อยับยั้งการทุจริตในหน่วยงาน

5. ด้านคุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน คือ กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ชัดเจนมีความเป็นธรรมในการปฏิบัติงาน อำนวยความยุติธรรมและมีความโปร่งใสในการบริหารงานบุคคล การบริหารจัดการงบประมาณ และการมอบหมายงาน

จึงประกาศให้ทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน


ภาพ/ข่าว วรภา พันลุตัน จ.ตาก

ศรีสะเกษ - ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 ประกาศเจตจำนงสุจริตในการบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.64 ที่ห้องประชุมเพชร สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ว่าที่ ร.ต.ดร.ทวีศักดิ์ นามศรี ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 พร้อมด้วย น.ส.รุ่งอรุณ เมธาภัทรกุล นายสุเทพ ศรบุญทอง นายคำโพธิ์ บุญสิงห์ รอง ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 และบุคลากรในสำนักงาน ได้ร่วมกันประกาศเจตจำนงในการบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และเพื่อเป็นแบบอย่างให้บุคลากรทุกคนปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่น ปฏิบัติงานตามภารกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และปราศจากการทุจริต ตามโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยมี นางวิไรรัตน์ เครื่องทอง ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ

ว่าที่ ร.ต.ดร.ทวีศักดิ์ นามศรี ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 กล่าวว่า สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 มุ่งเน้นที่จะบริหารจัดการองค์กรอย่างมีธรรมาภิบาล โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อสร้างความศรัทธาและเชื่อมั่นแก่สังคมว่า สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 เป็นองค์กรธรรมาภิบาล ในฐานะผู้บริหาร สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 จึงขอประกาศเจตจำนงในการบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ พร้อมรับผิดชอบและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 กล่าวต่อไปว่า ตนขอให้บุคลากรทุกคนมุ่งมั่นปฏิบัติงานตามภารกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และปราศจากการทุจริตภายใต้นโยบาย ดังต่อไปนี้ ด้านความโปร่งใส คือ เปิดเผยข้อมูลการดำเนินภารกิจของหน่วยงาน รวมถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง เปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ และมีระบบการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนที่ชัดเจน ด้านความพร้อมรับผิด คือ มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติราชการอย่างเต็มประสิทธิภาพภายใต้กฎหมาย ระเบียบ วิธีการที่ถูกต้อง รับผิดชอบต่อการตัดสินและการบริหารงาน และความพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อ สพป.ศรีสะเกษ เขต 1

ด้านความปลอดจากการทุจริต คือ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือรับสินบน ด้านวัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร คือ ไม่ยอมรับการทุจริตทุกประเภทและไม่เพิกเฉยที่จะดำเนินการ เพื่อยับยั้งการทุจริตในหน่วยงาน และด้านคุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน คือ กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีความเป็นธรรมในการปฏิบัติงาน อำนวยความยุติธรรมและมีความโปร่งใสในการบริหารงานบุคคล การบริหารจัดการงบประมาณและการมอบหมายงาน ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมดังกล่าวภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีจุดตรวจวัดอุณหภูมิ เจลแอลกอฮอล์ มีการเว้นระยะห่าง และสวมหน้ากากอนามัยทุกคน


ภาพ/ข่าว  ศิริเกษ หมายสุข ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ศรีสะเกษ

ศป.ปส.อ.ขุนหาญ กวาดล้างอาชญากรรมและการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามแผน"ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน"

ภายใต้การอำนวยการของนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ/ผอ.ศอ.ปส.จ.ศก./นายคมป์ สังข์วงษ์ นายอำเภอขุนหาญ ,พ.ต.อ.ราชศักดิ์ ศรีทองสุข ผกก.สภ.กันทรอม ได้สั่งการให้นายจุติเพชร บุญเนตร ปลัดอำเภอ งานป้องกัน /เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เลขประจำตัว 620041นำกำลัง จนท.สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อ.ขุนหาญ ที่ 6 สนธิกำลัง จนท.ตำรวจ สภ.กันทรอม ทหาร ฉก.3 ร่วมกันระดมกวาดล้างอาชญากรรมและการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามแผน "ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน" ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศป.ปส.อ.ขุนหาญ ผลการดำเนินการ มีดังนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. ได้ร่วมทำการจับตัว นายวราเทพ เภาปงทา ชาวตำบลขุนหาญ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีส้มกลมแบน มีอักษร wy ประทับบนเม็ดหนึ่งด้าน จำนวน 392 เม็ด ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีเขียวกลมแบน มีอักษร wy ประทับบนเม็ดหนึ่งด้าน จำนวน 4 เม็ด 

รวมยาบ้าทั้งหมด 396 เม็ด ผลตรวจปัสสาวะเป็นบวก โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย สถานที่เกิดเหตุ บริเวณถนนสาธารณะกลางหมู่บ้าน บ.ขุนหาญ ม.1 ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ  จว.ศรีสะเกษ และ.เวลาประมาณ 15.00 ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายเกษมสันต์ ดีดศรี  ชาวตำบลขุนหาญ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีส้มกลมแบน มีอักษร wy ประทับบนเม็ดหนึ่งด้าน จำนวน 593 เม็ด ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีเขียวกลมแบน มีอักษร wy ประทับบนเม็ดหนึ่งด้าน จำนวน 6 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 599 เม็ด ผลตรวจปัสสาวะเป็นบวก

โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้า ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้า โดยผิดกฎหมาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย สถานที่เกิดเหตุ  บริเวณบ้านเลขที่ 219 บ.ขุนหาญ ม.1 ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ จว.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าชุดจับกุมได้นำตัวส่ง ผู้ต้องหาฯ พร้อมด้วยของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.กันทรอม  เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  บุญทัน ธุศรีวรรณ

ขอนแก่น – เกาะติดหน้าจอ ลงทะเบียนรับสิทธิ์ยิ่งใช้ยิ่งได้ต่อเนื่อง พบการใช้งานไม่ยาก และมีระยะเวลาการใช้จ่ายชัดเจน วอนรัฐคลายล็อคเพิ่มวงเงินการใช้จ่ายต่อวันให้มากกว่าวันละ 5,000 บาท เพราะสินค้าจำเป็นอย่างเครื่องซักผ้า-ทีวี-ตู้เย็น ราคามากกว่าวงเงินที่กำหนด

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 22 มิ.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ของชาว จ.ขอนแก่น เพื่อรับสิทธิ์ตามมาตรการเยียวยาของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟู้เศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้น โดยพบว่าวันที่ 2 ของการเปิดให้ลงทะเบียนนั้นยังคงมีประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิ์กันอย่างคึกคัก โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทะเบียนในวันแรกเนื่องจากเกรงว่าคนจะเยอะและทำให้ระบบนั้นคลาดเคลื่อนจึงตัดสินใจลงทะเบียนผ่านเวปไซค์ที่กระทรวงการคลังกำหนดในวันนี้แทน ซึ่งก็สามาถลทะเบียนได้ในเวลาไม่นานมากนัก

น.ส.สุนิตรา  อุไกรษา อายุ 40 ปี ชาว จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ได้ตัดสินใจเข้าร่วมลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ตามโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีการศึกษาแล้วพบว่าเหมาะสมกับตนเองที่สุด เนื่องจากต้องการได้รับเงินคืนจากโครงการ เพื่อนำไปใช้จ่ายในด้านต่างๆเนื่องจากครอบครัวต้องการที่จะซื้อสินค้ามาใช้ในการอุปโภคและบริโภครวมไปถึงสินค้าที่จำเป็นแต่ติดที่ว่าโครงการดังกล่าวนี้นั้นจำกัดวงเงินการใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท ซึ่งหากตนเองจะซื้อทีวี ตู้เย็น หรือเครื่องซักผ้า หรือแม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กแม้จะจัดราคาโปรโมชั่นก็ไม่สามารถที่จะเลือกซื้อได้

“ระบบการลงทะเบียน นั้นง่ายมาก และใช้เวลาในการลงทะเบียนไม่นาน ซึ่งเป็นเพราะความคุ้นชินจากการที่ได้ศึกษาโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลและระบบการลงทะเบียน ที่มีการปรับปรุงแก้ไขและเข้าใจง่าย ซึ่งโครงการเยี่ยวยาที่รัฐบาลกำหนดออกมานั้น ยอมรับว่าสามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากได้อย่างมาก และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเข้าร่วมโครงการใดก็ได้เพียงโครงการเดียวตามที่ตนเองสนใจและเข้าเงื่อนไข ดังนั้นเมื่อวันนี้ได้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วเสร็จและรอเปิดระบบใช้งานตามระยะเวลาที่กำหนดครอบครัวก็จะไปใช้จ่ายทันที”

น.ส.สุนิตรา กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ ศบค.ได้มีการปรับลดพื้นที่กลุ่มจังหวัด จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากขึ้น ขณะที่หลายจังหวัดก็มีมาตรการคลายล็อค โดยเฉพาะร้านอาหาร และกลุ่มผู้ประกอบการด้านการบริการต่าง ๆ จึงขอให้ร้านต่าง ๆ และทุกกลุ่มกิจการ ได้สมัครเข้าร่วมโครงการต่าง ๆที่รัฐบาลกำหนด และขอให้ติดป้ายให้เด่นชด หรือแนะนำลูกค้าเมื่อเข้าไปใช้บริการเพื่อให้ลูกค้าที่ได้รับสิทธิ์ทุกสิทธิ์ได้ใช้จ่ายได้อย่างคล่องตัว ซึ่งจะส่งผลต่อเม็ดเงินหมุนเวียนในระดับพื้นที่ได้อย่างมากขณะที่โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่เข้าร่วมโครงการนั้น แม้เงื่อนไขเวลาจะคืนเงินในทุกวันที่ 7 ของเดือน แต่ระยะเวลาใช้งานของโครงการที่สิ้นสุดในช่วงปลายปีและวงเงินคืนคนละไม่เกิน 7,000 บาทนั้นเพียงพอแล้ว

 

จับกุมขบวนการช่วยเหลือ - ซ่อนเร้น - นำพา แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.อภิมุข กาตยากร รอง ผบก.สส.สตม.ว่าที่ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.กก.ปอพ.บก.สส.สตม.,พ.ต.ท.ชินกร อัศวภูมิ รอง ผกก.กก.ปอพ.บก.สส.สตม.

นำโดยว่าที่ พ.ต.ต.หญิงกัลย์สุดา จุลประเสริฐ สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ. บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุม 1.นายสุวัตชัยฯ อายุ 46 ปี 2.นายเฉลิมชาติฯ อายุ 60 ปี 3.MS.YA (น.ส.ยา) อายุ 34 ปี สัญชาติกัมพูชา 4.MRS.KORN (นางคอน) อายุ 47 ปี สัญชาติกัมพูชา 5.MS.CHANTEY (น.ส.จันตรี) อายุ 30 ปี สัญชาติกัมพูชา 6.MS.SOVIET (น.ส.โซเวี๊ยต) อายุ 26 ปี สัญชาติกัมพูชา 7.MR.MICH (นายมิก) อายุ 35 ปี สัญชาติกัมพูชา 8.MR.VUN (นายวัน) อายุ 34 ปี สัญชาติกัมพูชา 9.นางฮัง อายุ 35 ปี สัญชาติกัมพูชา

พร้อมด้วยของกลาง รถตู้ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียนกรุงเทพมหานคร (ป้ายเหลือง) สีขาว จำนวน 13 ที่นั่ง โดยกล่าวหา  ผู้ถูกจับกุมที่ 1 และ 2 ฐานเป็นตัวการร่วมตาม ป.อาญา ม.83  ตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ม.64 ว่า “รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ เรื่อง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่ 1289/2563 ตามมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2563”

                 ผู้ถูกจับกุมที่ 3-7 ว่า “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ เรื่อง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่ 1289/2563 ตามมาตรา 52 แห่งพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2563”

                 ผู้ถูกจับกุมที่ 8 ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 ตามข้อ 5 ” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ เรื่อง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่ 1289/2563 ตามมาตรา 52 แห่งพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2563”

                 ผู้ถูกจับกุมที่ 9  ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ เรื่อง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่ 1289/2563 ตามมาตรา 52 แห่งพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2563”

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ. บก.สส.สตม.ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีขบวนการลักลอบนำพา ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น ตระเวนรับบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา มาจากพื้นที่โซนภาคตะวันออก ระยอง ชลบุรี และกรุงเทพฯ เพื่อจะนำหลบหนีออกไปยังประเทศกัมพูชา ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ อ.กาบเชิง จว.สุรินทร์ โดยใช้รถตู้โดยสาร หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร (ป้ายเหลือง) ใช้เส้นทาง ถนนทางหลวงหมายเลข 2 และ 24 ผ่านพื้นที่ จว.นครราชสีมา, จว.บุรีรัมย์, จว.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการควบคุมและเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ. บก.สส.สตม.จึงได้ติดตาม วางกำลัง ดักซุ่มเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดเส้นทาง จนพิสูจน์ทราบได้ว่ามีแรงงานต่างด้าวอยู่บนรถตู้ต้องสงสัยคันดังกล่าวจริง เมื่อถึงบริเวณสถานที่จับกุมบริเวณหน้าสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส ถนนโชคชัย-เดชอุดม ต.กังแอน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ใช้รถยนต์ตรวจการณ์อัจฉริยะ สตม. แสดงตัว ให้สัญญาณเพื่อหยุดรถคันดังกล่าว และทำการแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำการตรวจสอบ จากการตรวจสอบคนขับพบว่ามี นายเฉลิมชาติฯ หรือผู้ถูกจับกุมที่ 2 เป็นผู้ขับรถตู้ และพบแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอีก 7 คน นั่งอยู่ในรถ โดยนายเฉลิมชาติฯ ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างมาจากนายสุวัตชัยฯ ให้ตระเวนรับบุคคลต่างบุคสัญชาติกัมพูชา ทั้ง 7 คน มาจาก จ.ชลบุรี และกรุงเทพฯ เพื่อมาส่งต่อที่ แถวบริเวณ อ.กาบเชิง จว.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม จึงได้สืบสวนขยายผลต่อไปจนกระทั่งจับกุมตัว นายสุวัตชัยฯ (ผู้ถูกจับกุมที่ 1) ได้ ณ จุดรับเงิน บริเวณปั้มน้ำมัน ใน อ.ปราสาท จว.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ. บก.สส.สตม จึงได้นำตัวผู้ตองหาทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.ปราสาท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมายก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

 

บก.สส.สตม. เอาจริง!! บุกลุยกลางป่า ไล่ล่ากลางเมือง สกัดต่างด้าวแพร่โควิด

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวจับกุมขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าว ดังนี้

กก.2 บก.สส.สตม.บุกป่าชายแดนจับกุมแรงงานกัมพูชาลักลอบเข้าเมือง และจับขบวนการนำพาแรงงาน เมียนมาสมุทรสาคร

ตามสั่งการ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ให้มีการเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเข้าไทยโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรคยังคงเป็นภารกิจสำคัญที่ สตม.ดำรงความเข้มงวดด้วยมาตรการเฝ้าตรวจพื้นที่ตลอด 24 ชม. จับกุม ผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายรวมถึงผู้นำพาทั้งชาวไทยและต่างด้าว พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม.จึงสั่งการให้ กก.2 บก.สส.สตม.สืบสวนจับกุมแรงงานต่างด้าวและขบวการนำพาโดยเร่งด่วน

พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.2 บก.สส.สตม.จึงได้ให้ จนท.สืบสวนหาข่าวจนทราบว่ามีแรงงานกัมพูชาใช้วิธีการเดินเท้าจากฝั่งกัมพูชาลักลอบเข้าประเทศไทยและหลบซ่อนตามป่าแนวตะเข็บชายแดนบริเวณหมู่บ้านหนองมั่ง ต.หนองแวง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เพื่อรอการลำเลียงเข้าสู่เมืองชั้นใน จึงได้วางกำลังเพื่อจับกุม จนกระทั่งเวลาประมาณ 05.00 น. จนท.ตรวจพบแรงงานกัมพูชาจำนวน 9 คน หลบซ่อนอยู่ในป่า จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม แรงงานต่างด้าวให้การว่ามีนายหน้าชาวกัมพูชาเป็นคนนำทางโดยเดินเท้าประมาณ 10 กม. มายังจุดหลบซ่อนเสียค่าใช้จ่าย คนละ 500 บาท เพื่อรอการเคลื่อนย้ายเข้าไปทำงานที่ จ.ระยอง ปทุมธานี และสมุทรปราการ หากไปถึงปลายทางในเมืองชั้นในได้ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 15,000-20,000 บาท จนท.จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา ส่ง สภ.โคกสูง ดำเนินคดี

อีกคดี จนท.กก.2 บก.สส.สตม.ได้สืบทราบว่ามีขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวเมียนมา โดยใช้รถยนต์บรรทุกแรงงานเมียนมาจากชายแดนฝั่งตรงข้าม จ.ประจวบคีรีขันธ์ ลักลอบเข้ามาทำงานในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยจะนำแรงงานต่างด้าวมาซุกซ่อนพักไว้ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่ง จึงได้วางแผนเข้าจับกุม โดย จนท.กระจายกำลังตามเส้นทางที่รถบรรทุกแรงงานวิ่งผ่าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 04.00 น. รถบรรทุกยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียนกรุงเทพ ได้วิ่งผ่านถนนเศรษฐกิจ สภาพมีผ้าตาข่ายสีเขียวคลุมกระบะมีพิรุธต้องสงสัย จนท.จึงได้ขับรถไล่ตามอย่างกระขั้นชิด และหยุดรถต้องสงสัยคันดังกล่าวได้ จากการตรวจสอบพบแรงงานต่างด้าวเมียนมาร์จำนวน 10 คน คนขับรถเป็นชาวเมียนมาอีก 1 คน แรงงานเมียนมาให้การว่าลักลอบเข้าประเทศไทยบริเวณชายแดนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เสียค่าใช้จ่ายให้นายหน้าชาวเมียนมาร์ 5,000-20,000 แล้วแต่ระยะทาง คนขับรถคือนายจอฯ ให้การว่าได้เงินค่านำพาแรงงานเข้ามาที่สมุทรสาครหัวละ 5,000 บาท โดยจะขับรถไปรับบริเวณสี่แยกไฟแดงจุดนัดพบโดยจะมีนายหน้าเมียนมาและนายหน้าชาวไทย นำพาแรงงานต่างด้าวทั้งหมดมาส่งให้ที่สี่แยกไฟแดงดังกล่าว จนท.จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม.ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีนโยบายในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรม ในทุกรูปแบบฐานความผิดอย่างจริงจัง และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังเจ้าของสถานที่พักอาศัยหรือประชาชนทั่วไป หากพบบุคคลต่างชาติที่มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมในลักษณะต่างๆ หรือคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

“แรมโบ้” แจงยิบ ขั้นตอน “บิ๊กตู่” สางปมหนี้ครัวเรือน หลัง อดีตรมว.คลังวิจารณ์

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิจารณ์การแก้หนี้ของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ระบุรัฐบาลจะแก้ปัญหาหนี้ของประชาชนทั้งประเทศให้เสร็จภายใน 6 เดือน แล้วเก็บไปขำว่า อยากแนะนำให้กลับไปฟังนายกฯ แถลง ไม่ใช่เชื่อตามรายงานข่าวโดยสนิทใจ แล้วมาวิจารณ์ผู้อื่นจนเกิดความเสียหาย

นายเสกสกล กล่าวว่า สิ่งที่นายกฯ แถลงนั้น เป็นการย้ำว่านายกฯ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนในทุกกลุ่ม เพราะเป็นหนี้กันจำนวนมาก เป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยแล้วส่งผลกระทบไปตลอดชีวิตที่เหลือ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชนจึงถือว่าเป็นนโยบายสำคัญที่นายกฯ พยายามทำมาโดยตลอด ในภาพรวมแล้วผลจากความตั้งใจทำงานของนายกฯ และรัฐบาล จะเห็นว่า “หนี้ครัวเรือน” ก่อนปี 2557 มีอัตราเพิ่มขึ้นเดือนละ 88,000 ล้านบาท แต่หลังจากปี 2557 ถึงปัจจุบัน มีการเพิ่มขึ้นเดือนละ 50,000 ล้านบาท 

นายเสกสกล กล่าวว่า ถ้าได้ฟังเองจนครบก็จะเข้าใจว่า นายกฯ เห็นปัญหาหนี้ในภาพรวม แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เช่น หนี้ กยศ. 3.6 ล้านคน และผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน หนี้ครู/ข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี หนี้เช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 27.7 ล้านบัญชี หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 49.9 ล้านบัญชี และหนี้สินอื่นๆ อีก 51.2 ล้านบัญชี  

นายเสกสกล กล่าวว่า จากนั้นก็ได้อธิบายมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล ทั้งระยะสั้นและระยะต่อไป โดยมาตรการระยะสั้น ให้เร่งทำทันทีภายใน 6 เดือน ไม่ใช่แก้ให้เสร็จ ซึ่งต้องสร้างกลไกการทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แล้วค่อยๆ แก้กันไป ช้าเร็วขึ้นอยู่กับความร่วมมือของแต่ละคน โดยมีมาตรการสำคัญๆ เช่น การลดภาระดอกเบี้ย ทั้งในส่วนสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อ PICO และ NANO สำหรับประชาชน การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของครู ข้าราชการ และสหกรณ์ การปรับรูปแบบการชำระหนี้ การคุ้มครองความเป็นธรรมให้ประชาชนที่เช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์ รวมทั้งให้ ธปท.ทบทวนเพดานอัตราดอกเบี้ยและการกำกับดูแลบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียน

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนมาตรการช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน เพื่อลดการดำเนินคดีกับประชาชน เช่น หนี้ กยศ. หนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ หนี้สหกรณ์ มีการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs เช่น จัดให้มีซอฟโลน สำหรับ SME ที่เป็น NPL เพื่อต่อลมหายใจ พลิกกลับมาทำธุรกิจต่อไปได้ 

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนการเพิ่มจำนวนโรงรับจำนำ โรงรับจำนอง นายสมหมาย เป็นถึงอดีต รมว.คลัง ต้องเข้าใจกว่าใครๆ ว่า โรงจำนำ จำนองเป็นที่พึ่งสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือปานกลาง ที่มีโอกาส “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ได้เสมอ เขาเพียงต้องการกู้เงินระยะสั้น เงื่อนไขน้อย วงเงินหลักพัน-หลักหมื่น ไม่ใช่หลักแสน-หลักล้าน ซึ่งคิดดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.25% ถึง 1.25% ต่อเดือน เพื่อแก้ขัดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ช่วงเปิดเทอม ยามป่วยไข้ ขายของขาดทุน หรือลงทุนเพิ่ม ซึ่งถ้าไม่มีแหล่งทุนคนจนของรัฐนี้แล้ว ก็เหมือนกับผลักให้คนยากคนจนไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ หรือให้นายทุนปล่อยเงินกู้ขูดรีด 

นายเสกสกล กล่าวว่า นายกฯ ยังนำเสนอมาตรการระยะต่อไป เช่น เร่งส่งเสริมการแข่งขันให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง การให้ความช่วยเหลือเด็กรุ่นใหม่หรือคนเกษียณที่มีภาระหนี้สิน โดยจะออกมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องที่อยู่อาศัยและค่าเดินทางระบบขนส่งมวลชนในราคาถูก การจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ เพื่อกำกับดูแลสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อรายย่อยเป็นการเฉพาะ และการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางธุรกิจและการเงิน เพื่อชะลอการฟ้องและอำนวยความสะดวกให้การฟื้นฟูหนี้รายบุคคลที่มีเจ้าหนี้หลายราย เป็นต้น 

นายเสกสกล กล่าวว่า ในความเป็นจริงหนี้สินของแต่ละกลุ่ม ก็จะมีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพอยู่แล้ว เพียงแต่นายกฯ จะดูแลในระดับนโยบาย ภาพกว้าง ที่ต้องมีผลบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ เช่น กฎหมายขายฝากที่ช่วยคุ้มครอง ให้ความเป็นธรรม ไม่ให้ผู้จำนองถูกยึดที่ดินเหมือนในอดีต กฎหมายทวงหนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ลูกหนี้ และขจัดวงจรผู้มีอิทธิพล และกฎหมายปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยและวิธีคิดดอกเบี้ยที่ใช้มาแล้ว 95 ปี (พ.ศ. 2468 จนถึงปัจจุบัน) เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ถูกเอาเปรียบและสอดคล้องกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น กรณีที่สัญญาเงินกู้ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ เดิมสามารถคิดดอกเบี้ยอัตราคงที่ 7.5% ต่อปี ให้แก้เป็น 3% ต่อปี ส่วนกรณีผิดนัดชำระหนี้ เดิมคิดดอกเบี้ยอัตราคงที่ 7.5% ต่อปี แก้เป็น 5% ต่อปี โดยให้คำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้น เฉพาะงวดที่ผิดนัดเท่านั้น ไม่ใช่คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด 

นายเสกสกล กล่าวว่า ดังนั้น น่าจะหมดคำถามในเรื่องความรู้ความเข้าใจ เรื่องเศรษฐกิจการเงินการคลังของนายกฯ คนที่นายสมหมาย กำลังกล่าวหา ยิ่งกว่านั้น ตนอยากจะบอกว่า นายกฯ คนนี้ที่สนับสนุนการทำบัญชีครัวเรือน ผลักดันกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพราะอยากให้ทุกคนมีบำนาญใช้ตลอดชีวิต รวมทั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพิ่มเติมจากเดิมที่เคยมีกองทุนเงินให้กู้ยิมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาในรูปแบบเงินสนับสนุน ไม่ใช่เงินกู้ สำหรับคนยากจนจริงๆ ไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษาของประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์นายกฯ คนนี้ใช่หรือไม่ ที่ผลักดันการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ "ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ" หรือ National e-Payment ของรัฐบาล ร่วมกับธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทำให้คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกับบริการรับโอนเงินรูปแบบใหม่ หรือ พร้อมเพย์ (Prompt pay) ตั้งแต่ปี 2560 นอกจากจะค่าธรรมเนียมถูกมากๆ แล้ว รัฐบาลยังประหยัดค่าใช้จ่ายปีละหลักหมื่นล้านบาท ในการขนส่งเงิน การรักษาความปลอดภัย การผลิตเงิน เป็นต้น ที่สำคัญในยามวิกฤตโควิดนี้ โครงการต่างๆ เช่น เราชนะ คนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งการค้าขายออนไลน์ ก็ขยายผลมาจากการใช้เงินดิจิทัลทั้งสิ้น ซึ่งโปร่งใส ตรวจสอบได้ ขจัดการทุจริต และคนไทยก็เริ่มปรับตัวใช้จ่ายเงินดิจิทัลมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

นายเสกสกล กล่าวว่า อยากให้นายสมหมายทบทวนดูใหม่ว่าการออกมาวิพากย์วิจารณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ใจไร้อคติหรือ ลองทบทวนดูว่าได้คิดให้รอบคอบและไม่บุ่มบ่าม ตามที่นายสมหมายเคยมีบทเรียนมาในอดีตหรือไม่ อย่าปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ที่ตัดสินใจผิดพลาดจนเกือบติดคุก แต่อยากให้ช่วยติดตามผลงานรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์ เชื่อว่านายกฯ พร้อมรับฟังทุกความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

"อย่าเอาอคติ ความน้อยใจ ความโกรธ ที่นายกฯ ปรับออกจาก ครม. การได้เป็น รมว.คลัง จากการสนับสนุนของนายกฯ ก็ถือว่านายกฯ ให้เกียรติว่าเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีความรู้ความสามารถ คนเราต้องรู้จักน้ำใจที่มีให้กันบ้าง อย่าทำตัวเป็นคนที่ใช้อัตตาเพราะความโลภ โกรธ หลง ใช้ความโมโห จนกลายเป็นคนพาล ทำตัวเป็นฝ่ายค้านไป อย่าลืมว่าคนเป็นหนี้ คนยากจนทุกข์แสนสาหัสอย่างไร นายสมหมายไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้เดือดร้อนด้วย จึงขอย้ำอีกครั้งว่า อย่าเอาความผิดหวังของตัวเองมาเหยียบย่ำหัวเราะเยาะเย้ยคนจนคนที่เป็นหนี้เป็นสินเลย การที่นายกฯกำลังจะแก้ไขปัญหาให้คนเป็นหนี้ทั้งหลาย โปรดอย่าทำลายความตั้งใจของนายกฯที่มีความหวังตั้งใจจริง ต้องการให้คนไทยหมดหนี้หมดสินโดยเร็วจะสำเร็จมากน้อยดีกว่ายืนดูบนหอคอยงาช้าง และยืนหัวเราะเยาะเย้ยแบบไม่ใยดีของนายสมหมาย พี่น้องประชาชนคนยากจนคนเป็นหนี้เป็นสิน จะสาปแช่งนายสมหมายให้ไปตกนรกตอนแก่ได้ ให้พึงระวังคำพูดคำจาไว้ด้วย" นายเสกสกล กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top