Thursday, 10 July 2025
THE STATES TIMES TEAM

‘สันติธาร เสถียรไทย’ โพสต์ 3 ข้อคิดความต่างระหว่างเจน ชี้ ความแตกต่างระหว่างวัยมีมากกว่าที่คิด ต้องฝึกฝนความเข้าใจคนต่างรุ่น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

สืบเนื่องจากกรณีประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น ภายหลังจาก ‘หนุ่ย - พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์’ พิธีกรด้านไอทีชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กถึงพฤติกรรมของนักศึกษาฝึกงานในบริษัท พร้อมติดแฮชแท็ก #ฝึกงานแบไต๋ ว่ามีน้องสองคนที่มาฝึกงานไม่ทักทาย ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครในบริษัทตลอด 3 เดือน แม้จะทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ดี แต่ดูเหมือนตั้งใจจะไม่สื่อสาร และไม่ใส่ใจกับคนอื่น จนประเด็นดังกล่าวถูกแชร์ต่อ และมี ดราม่า ถกเถียงในโลกออนไลน์ สุดท้าย ทำให้สุดท้าย หนุ่ย พงศ์สุข ต้องออกมาขอโทษ ที่ทำการสื่อสารเรื่องราวนี้อย่างไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง

ล่าสุด นายสันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ Sea Grou บุตรชาย นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตนักการเมืองชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สันติธาร เสถียรไทย – Dr Santitarn Sathirathai’ เรื่องความต่างระหว่างรุ่น (Gen-เจน) โดยได้เสนอ 3 ข้อคิดที่น่าสนใจว่า..

3 ข้อคิดเรื่องความต่างระหว่างรุ่น (Gen)

เมื่อปีก่อนผมได้มีโอกาสได้ทำงานกลุ่มศึกษาเรื่องความขัดแย้งระหว่างรุ่นในประเทศไทย โดยโปรเจ็คนี้เป็นการบ้านสำหรับโปรแกรมที่ผมเข้าไปเรียนชื่อ Rule of Law for Development (RoLD) จัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมประเทศไทย (TIJ)

การศึกษาครั้งนั้นทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาหลายประเด็นที่ไม่เคยรู้มาก่อนและคิดว่าอาจจะพอมีประโยชน์สำหรับการเข้าใจความต่างระหว่างรุ่นที่มีการพูดคุยกันในสังคมช่วงนี้ จึงอยากหยิบข้อคิดบางส่วนที่ได้มาแชร์ตรงนี้ 3 ข้อ

1.ความขัดแย้งระหว่างรุ่นไม่ได้มีแต่ในเรื่องการเมืองเท่านั้น

ในช่วงปีก่อนพอมีคนรู้ว่าทำการศึกษาเรื่องขัดแย้งระหว่างรุ่นบางคนจะถามทันทีว่า “ทำไมถึงคิดว่าความขัดแย้งทางการเมืองถึงเป็นเรื่องระหว่างรุ่น มันอาจจะเป็นเรื่องความต่างอื่นๆไม่เกี่ยวกับรุ่นก็ได้” ซึ่งสะท้อนแนวคิดของคนช่วงนั้นว่าหัวข้อเรื่องระหว่างรุ่นนั้นต้องเกี่ยวกับมิติการเมืองแน่ ๆ แต่เราพบว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องการเมืองอาจไม่เกี่ยวกับรุ่นเลยและเรื่องช่องว่างระหว่างรุ่นก็อาจไม่เกี่ยวกับการเมืองเลยเช่นกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือต่อให้ไม่มีเรื่องการเมืองเลยความแตกต่างระหว่างรุ่นก็มีพอที่ในบางครั้งบางโอกาสอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ขัดแย้งขึ้นได้ในองค์กรต่างๆ หรือในสังคม

กลุ่มเราศึกษาจึงเจาะเรื่องความต่างระหว่างรุ่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง (ไม่งั้นกลัวยาวเรียนไม่จบ)

‘อนุชา’ เผย ก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย คืบ “สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง -สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เล็งทดสอบเดินรถ ต.ค.นี้ ก่อนเปิดใช้ปี 66 

เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย ในกทม.และปริมณฑล ว่า โครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ดำเนินงาน งานโยธา 94.99% งานระบบรถไฟฟ้า M&E มีความก้าวหน้า 93.99% ความก้าวหน้าโดยรวม 94.56% ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ดำเนินงาน งานโยธา 91.74% งานระบบรถไฟฟ้า M&E มีความก้าวหน้า 89.39% ความก้าวหน้าโดยรวม 90.55% 

โดยทั้งสองมีแผนสำหรับการทดสอบเดินรถเสมือนจริง ภายในเดือน ต.ค.นี้ ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้งสองเส้นทางในปี 2566  ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน 95.94% เร็วกว่าแผน 0.24%

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2565 : หลวงปู่ดุล อตุโล

ศัตรู ก็คือ ใจของเรานั่นเอง
อยากจะชนะสิ่งใด
จงชนะใจตนเองให้ได้ก่อน
เป็นนายของใจตนเองให้ได้ก่อน
ชีวิตจะพบกับ
ความสำเร็จได้ไม่ยากเลย

หลวงปู่ดุล อตุโล

‘โบว์ ณัฏฐา’ ตอกกลับ!! กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย จะไปทวง ปชต. จากใครได้ เมื่อในใจไม่เคยมี | NEWS GEN TIMES EP.66

✨ ‘โบว์ ณัฏฐา’ ตอกกลับ!! กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย จะไปทวง ปชต. จากใครได้ เมื่อในใจไม่เคยมี 

✨ ลดหนี้ กยศ.!! ‘ไบเดน’ เตรียมออกนโยบาย เอาใจฐานคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่เก็บเงินจ่ายค่าเทอมเต็มจำนวนเอง และผู้เสียภาษีอย่างถูกต้องทั่วประเทศ

✨ ไม่ให้ใช้นางแบบผิวขาว!! ‘ไนจีเรีย’ ออกกฎใหม่ ห้ามใช้นางแบบผิวขาว อ้าง!! เพื่อพัฒนา ‘คน-เศรษฐกิจ’ ของท้องถิ่น

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

States TOON EP.83

คนไทยหัวใจเดียวกัน!!

ติดตามการ์ตูนอัปเดตได้ทุกสัปดาห์ใน…


👍 ติดตามการ์ตูนสนุกๆ เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/tag/statestoon

ประเทศไทย เริ่มเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ตรงกับนานาประเทศ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2484 หลังจากสภาผู้แทนราษฎร ในรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ผ่านกฎหมายเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2493

เดิมการนับปีปฏิทินของไทยแต่โบราณได้ถือวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคติทางพุทธศาสนา ซึ่งถือช่วงฤดูเหมันต์หรือฤดูหนาวเป็นการเริ่มต้นปี ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งถือตามปฏิทินทางจันทรคติ คือ การนับวันเดือนปีโดยใช้การโคจรของพระจันทร์เป็นเกณฑ์ และจากหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเปลี่ยนมาใช้จุลศักราช โดยใช้วันเถลิงศก (วันขึ้นจุลศักราชใหม่) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งยังคงใช้ปฏิทินจันทรคติ ถึงแม้ว่าปฏิทินราชการจะใช้จันทรคติ แต่ทางคณะสงฆ์ยังนิยมใช้เทียบปีในรูปแบบพุทธศักราชอย่างเป็นทางการ

จนมาถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า ไทยได้มีการติดต่อกับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น การใช้ปฏิทินจันทรคติไม่เหมาะสมและไม่สะดวก เพราะวันไม่ตรงกับปฏิทินสากล พระองค์จึงทรงได้โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนจากปฏิทินจันทรคติมาใช้ปฏิทินสุริยคติ คือ การนับวันเดือนปี โดยใช้การโคจรของพระอาทิตย์เป็นเกณฑ์ ตามแบบสากลปฏิทินเกรโกเรียนแทน โดยกำหนดแบ่งให้หนึ่งปีมี 12 เดือน และในแต่ละเดือนจะมี 28-31 วัน ตามปฏิทินสากล พระองค์ทรงให้กรมพระยาเทววงศ์วโรปการเป็นผู้ตั้งชื่อเดือน ได้แก่ เดือนแรกของปี คือ เดือนเมษายน จนถึงเดือนสุดท้ายของปี คือ เดือนมีนาคม เริ่มใช้วันที่ 1 เมษายน 2432

ต่อมาในพุทธศักราช 2483 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่า การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ของไทยไม่เหมาะสม เพราะประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ต่างถือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเพื่อสะดวกในการติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องปีปฏิทิน ทำการศึกษาค้นคว้าและจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล โดยมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนจากวันที่ 1 เมษายน เป็น 1 มกราคม เพื่อให้สอดคล้องกับนานาประเทศ จึงได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติปีปฏิทิน พ.ศ. .... ในวันที่ 1 สิงหาคม 2483 โดยมีเหตุผลว่า เพื่ออนุโลมตามปีประเพณีของไทยแต่โบราณที่ถือวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่และให้ตรงกับที่นิยมใช้ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว จากนั้น ที่ประชุมรับหลักการวาระที่ 1 และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปีปฏิทิน พศ... จำนวน 9 คน ประกอบด้วย พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร หลวงวิจิตรวาทการ หม่อมเจ้าวิวัฒน์ไชย ไชยยันต์ นายเดือน บุนนาค นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายฟื้น สุพรรณสาร นายเตียง ศิริขันธ์ นายชอ้อน อำพล และนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์

พรรคก้าวไกล จัดประชุมสมาชิก “ก้าวไกล NEXT” รายงานผลรับฟังความเห็นทั่วประเทศ พร้อมผลักดันพรรคเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง

พรรคก้าวไกล จัดกิจกรรม “ก้าวไกล NEXT” ซึ่งเป็นแคมเปญรับฟังความเห็นจากประชาชน สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนของพรรค ที่ได้มีการเดินสายจัดเวทีขึ้นตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมทั้งช่องทางออนไลน์มาตลอดช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจนมาถึงวันนี้ ซึ่งเป็นรอบการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในส่วนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

โดยกิจกรรมหลักของวันนี้ เริ่มต้นขึ้นด้วยการรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่ผ่านมาในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ขึ้นมานำเสนอ โดยมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ขึ้นมานำเสนอภาพรวมของผลการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา

พิธา ระบุว่าตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา พรรคได้รับข้อเสนอในช่องทางออนไลน์มามากกว่า 400 ข้อเสนอ, ได้สร้างบทสนทนามากกว่า 5,700 ครั้ง, มีผู้มีส่วนร่วมในการโหวตกว่า 6,000 ครั้ง และมีการเข้าถึงเว็บไซต์กว่า 10,000 ครั้ง และยังมีการเปิดเวทีในพื้นที่กว่า 27 เวที ในทุกภาคทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากโจทย์เรื่องการสื่อสาร การทำงานพื้นที่ และตัวผู้สมัครแล้ว สิ่งที่ได้รับการเสนอเข้ามามากที่สุดคือเรื่องของนโยบาย มากกว่าเรื่องอื่นเป็นเท่าตัวถึง 204 เรื่อง ตามมาด้วยข้อเสนอแนะเรื่องการสื่อสาร และการทำงานพื้นที่ ตามลำดับ

ข้อเสนอเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนที่พร้อมจะสร้างสรรค์ประเทศที่มีอนาคต มีความหวัง ที่คนไทยเท่าเทียมกันและประเทศไทยเท่าทันโลก พรรคก้าวไกลยังมีโจทย์ที่ต้องช่วยกันปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างผู้แทนราษฎรที่มีอุดมการณ์เพื่อความเปลี่ยนแปลง และสามารถทำงานพื้นที่ได้อย่างสมดุล, การสื่อสารท่ามกลางพฤติกรรมการรับสื่อที่เปลี่ยนไป, การทำนโยบายที่ไม่ใช่เพียงแค่การเสนอให้ประชาชนเลือก แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนเข้ามาเสนอและลงมือทำ ภายใต้อุดมการณ์พรรคและความเป็นจริงทางวิชาการ

“เราจะทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ไม่ใช่แค่ของ ส.ส. หรือแกนนำพรรคที่เป็น ส.ส. แต่เป็นพรรคที่ประชาชนทุกคนร่วมกันสร้าง เราทำงานเพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ ตำแหน่ง แต่เพื่อขับเคลื่อนสังคมเราก้าวไปข้างหน้า นี่คือ DNA ของพรรคก้าวไกล เราเชื่อว่าประเทศไทยจะดีขึ้นกว่านี้ได้ และความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริงได้ ถ้าเราทุกคนมาร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยกัน” พิธา กล่าว

"สมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม" เปิดโครงการสร้างจิตอาสาสื่อ เฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในชุมชน

วันอาทิตย์ ที่ 28 สิงหาคม 2565 ณ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมชุมชนบ้านคู่คลองเขตตลิ่งชัน บริเวณตลาดน้ำสองคลองวัดตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ได้รับเกียรติจาก "นายสมหวัง ชัยประกายวรรณ์" ผู้อำนวยการเขตตลิ่งชัน เป็นประธานเปิดโครงการฯ และได้กล่าวให้กำลังใจกับผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะร่วมมือร่วมใจกันเดูแล สอดส่อง รักษาความสงบสุขของสังคมให้มีความน่าอยู่และปลอดภัย ทั้งนี้ยังมี พ.อ.พิพัฒน์ จงวัฒนาไพศาล(รองผู้บัญชาการโรงเรียนกิจการพลเรือนทหารบก) ท่านผู้นำชุมชน / สภาองค์กรชุมชนเขตตลิ่งชัน / ผู้แทนมูลนิธิร่วมกตัญญู / ผู้แทนสมาคมวิทยากล / ผู้แทนสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย / ผู้แทนเครือข่ายต่าง ๆ และผู้เข้าร่วมเป็นเกียรติในการจัดกิจกรรม 

โดย "นายธวัชชัย กิตติรัตนวิวัฒน์" นายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม ได้กล่าวรายรายงาน และชี้แจงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรม “โครงการสร้างจิตอาสาสื่อ เฝ้าระวังป้องกันและแก้ไข ปัญหาความรุนแรงในชุมชน”ภายใต้ยุทธศาสตร์แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ ๒๐ ปี ระยะที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๖๑ - ๒๕๖๕) ในยุทธศาสตร์ที่ ๑ ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านที่ 1 มหานครปลอดภัย มิติที่ ๑.๒ ปลอด อาชญากรรมและยาเสพติด ระบุว่า "กรุงเทพมหานครเป็นเมืองปลอดอาชญากรรมปลอดยาเสพติด มีขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การรักษาความ สงบเรียบร้อยการควบคุมอาชญากรรมยาเสพติด” ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาอาชญากรรม และปัญหายา เสพติด ยังคงเป็นปัญหาหลักในสังคมไทย ซ้ายังส่งผลกระทบไปถึงการดารงชีวิตของประชาชนใน ทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับครอบครัว จะพบเห็นตามข่าว สื่อทีวีทุกช่อง หรือตามสื่อโซเชียล พบว่า ปัญหาที่เกิดจากยาเสพติด ส่งผลต่อพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวและ สังคม ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ผู้เสพเกิดอาการคุ้มคลั่งประสาทหลอน ทาร้ายร่างกาย ทุบตี ทารุณกรรมบุคคลในครอบครัว กระทั่งก่ออาชญากรรม ทาให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ดร.ไตรรงค์ ชี้ในประเทศเสรีประชาธิปไตยประชาชนที่เป็นอารยะต้องมีมากกว่าประชาชนที่เป็นอนารยะ(ป่าเถื่อน) การพิจารณาของศาลทุกขั้นตอน ต้องปราศจากความกดดันใดๆ

28 ส.ค.2565-ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง “ใครกันแน่ที่เถื่อน” ระบุว่า เมื่อตอนนายโจไบเดน (Joe Biden) ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ (Electoral Vote) ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายของสหรัฐอเมริกา  รัฐสภาจะต้องรับรองผลการเลือกตั้งดังกล่าวเสียก่อน โจ ไบเดน จึงจะสามารถเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ได้  แต่ผู้แพ้เลือกตั้งคือ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ปลุกระดมกล่าวหาว่าเขาถูกโกงการเลือกตั้งทั้ง ๆ ที่คณะกรรมการเลือกตั้งและศาลได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วว่า “ไม่มีการโกง” แต่ด้วยคำโกหกดังกล่าวของนายทรัมป์ได้ปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนตัวเขาได้ก่อม็อบเดินขบวนเข้าไปยึดอาคารรัฐสภา เพื่อขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้ง (เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564) จึงเกิดมีการทำลายข้าวของในรัฐสภา ทำร้ายเจ้าหน้าที่และตำรวจสภาฯจนเกิดการยิงกันตายไปหลายศพและถูกจับกุมไปดำเนินคดีกันเป็นจำนวนมาก

การกระทำของ #ม็อบคนเถื่อน เหล่านั้นได้ทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำการปกครองในระบอบประชาธิปไตยไปทั่วโลก เพราะเป็นการเปิดเผยให้เห็นว่า มีคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ยังมีจิตใจป่าเถื่อนไม่มีความเป็นอารยะ กล่าวคือพร้อมจะใช้ความรุนแรงกับทุกฝ่ายโดยไม่ยำเกรงและเคารพกฎหมาย เพียงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ แม้ว่าสิ่งนั้นจะสวนทางกับความต้องการส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศก็ตาม จึงเรียกได้เต็มปากว่าพวกนี้เป็นพวกบูชาระบบ “อนาธิปไตย” ไม่ใช่บูชาระบบ “ประชาธิปไตย” ตามอารยธรรมที่พวกเขาใช้ประกาศกันในการหาเสียงระหว่างการเลือกตั้ง (ซึ่งมันสะท้อนออกมาในรูปของนโยบายต่างประเทศและนโยบายกลาโหมตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน)

มีอยู่หลายครั้งในหลายๆ ประเทศที่เมื่อศาลสถิตยุติธรรม หรือศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำพิพากษา ที่ไม่ตรงกับผลประโยชน์ที่พวกตนต้องการ ผู้ถูกศาลลงโทษ (ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง) ก็จะแหกปากตำหนิติเตียนศาลฯว่าเป็นผู้ที่มิได้มาจากการเลือกตั้งเหมือนพวกตน มีความชอบธรรมอะไรจึงมาพิพากษาลงโทษพวกตนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าหยุดคิดเสียสักหน่อยก็ควรจะได้สติกันว่าการเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงการบ่งบอกถึงความชอบหรือไม่ชอบของประชาชน แต่จะนำผลการเลือกตั้งนั้นมาใช้กับกระบวนการยุติธรรมย่อมไม่ได้ เพราะการพิจารณาของทุกศาลทุกแบบล้วนอาศัยหลักกฎหมายที่ประกอบด้วยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่มีอะไรเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบของประชาชน ถ้าศาลฯลงโทษผู้ใดก็โปรดเชื่อเถอะว่าศาลได้ใช้ดุลยพินิจด้วยความรอบคอบตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะมีหลักกฎหมายที่ใช้กันทั่วโลกมาเป็นพันปีแล้วอยู่ข้อหนึ่งก็คือ “บุคคลจะไม่ต้องรับโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดเอาไว้”

ในประเทศเสรีประชาธิปไตยประชาชนที่เป็นอารยะต้องมีมากกว่าประชาชนที่เป็นอนารยะ(ป่าเถื่อน) ประเทศทั้งหลายถึงสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยความราบรื่น โดยอาศัยคนส่วนใหญ่ยังยึดหลักนิติธรรมเป็นใหญ่เอาไว้ด้วยความมั่นคง การพิจารณาของศาลทุกขั้นตอน (ของทุกๆศาล) ต้องปราศจากความกดดันใดๆ ของทุกๆ ฝ่ายทั้งจากนักการเมือง พรรคการเมือง และกลุ่มม็อบทุกชนิด

รัฐบาลปลื้มส่งออกมันสำปะหลังครึ่งปีแรกกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 8.2 หมื่นล้านบาท ลุ้นยอดทั้งปีทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 15 ปี ด้วยมูลค่าส่งออก 1.3 แสนล้านบาท

28 ส.ค. 2565 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลชื่นชมผลสำเร็จ ตามที่ผลการส่งออกมันสำปะหลังไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีจำนวนกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่า 8.2 หมื่นล้านบาท พร้อมกำชับทุกฝ่ายร่วมพิจารณามาตรการเพิ่มการส่งออกให้บรรลุเป้าหมาย 1.3 แสนล้านบาท
.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งดำเนินมาตรการประกันราคาผลผลิต และรายได้เกษตรกรมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแสวงหาตลาดแก่ผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลังทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รายงานการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้แก่ มันเส้น มันอัดเม็ด แป้งดิบ แป้งแปรรูป และอื่น ๆ (กากมัน และสาคู) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 นี้ มีอัตราการส่งออกแล้วกว่า 6.7 ล้านตัน รวมมูลค่ากว่า 8.2 หมื่นล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ถือว่ามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 35.16% ทั้งนี้ เกิดจากปัจจัยด้านสงครามที่ส่งผลต่อวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารทั่วโลก โรงงานอาหารสัตว์ฟื้นตัวจากผลกระทบโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) และโดยเฉพาะความต้องการมันเส้นเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ของจีนสูง ทำให้ตลาดมันสำปะหลังไทยขยายตัว
.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top