Sunday, 8 June 2025
The States Times EconBiz Team

LPN Wisdom คาดตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 มีแนวโน้มติดลบ 3% ถึงเติบโตประมาณ 10% ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom: LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 ว่า

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ที่ส่งผลต่อเนื่องต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 LPN Wisdom ได้มีการปรับการคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้มีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์อสังหาฯ ในปี 2564 จะมีแนวโน้มทรงตัวหรือเติบโตได้ประมาณ 3-5% และการเปิดตัวโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2563 เนื่องจากการคาดการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่มีแนวโน้มที่รุนแรงกว่าการแพร่ระบาดในรอบแรก ทำให้บริษัทต้องมีการปรับการคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564

โดยแบ่งออกเป็น 3 สถานการณ์ (Scenario) ซึ่งคาดการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯ จะติดลบ 3% ถึงเติบโตได้ 10% ทั้งนี้ขึ้นกับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ของรัฐบาล

สถานการณ์แรก (Best Case Scenario) รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เร็วภายในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และวัคซีนสามารถเข้าถึง 50% ของประชากรไทยภายในปี 2564 ในกรณีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 4-5% จะทำให้มีมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 13-15% และจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 9-10% เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายรายได้ระบายหน่วยคงค้างไปได้จำนวนมากในปี 2563 จะเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในด้านของกำลังซื้อ คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรกปี 2564 โดยประมาณการว่า จะมีอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 6,500 หน่วยต่อเดือน หรือขยายตัวประมาณ 10% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563

สถานการณ์ที่สอง (Base Case Scenario) รัฐสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ภายในเดือนเมษายน ในกรณีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณ 2-3% ด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์คาดว่า มูลค่าอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% และจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 7-9% และกำลังซื้อจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 คาดการณ์ว่าอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 6,000-6,300 หน่วยต่อเดือน หรือขยายตัวประมาณ 0-5%

และ สถานการณ์ที่สาม (Worst Case Scenario) เป็นกรณีที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หรือควบคุมสถานการณ์ได้หลังไตรมาส 2 ของปี 2564 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทรงตัวหรือเติบโตต่ำกว่า 2% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่และกำลังซื้อในตลาด โดยคาดกว่าจะทำให้มูลค่าการเปิดตัวอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่มีแนวโน้มที่จะติดลบต่อเนื่องจากปี 2563 โดยคาดว่าจะติดลบประมาณ 15-18% และจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวใหม่จะติดลบประมาณ 8-12% จากความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้ประกอบการ ในด้านอุปสงค์ คาดว่าอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์จะลดลง 3-5% เหลือเฉลี่ย 5,700-5,800 หน่วยต่อเดือน

ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2563 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงจากปี 2562 ประมาณ 37% หรือจากเปิดตัว 111,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 448,000 ล้านบาท เหลือ 70,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 276,000 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 2 โดยเน้นเปิดตัวบ้านพักอาศัย และชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียม

โดยในปี 2563 ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายบริษัทได้มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จากคอนโดมิเนียมมาเป็นการเปิดตัวบ้านพักอาศัยมากขึ้น ทำให้ในปี 2563 มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยคิดเป็นสัดส่วน 63% เพิ่มขึ้นจาก 42% ในปี 2562 หรือมีการเปิดตัวบ้านพักอาศัยในปี 2563 ทั้งสิ้น 44,001 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 205,578 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 เพียง 4%

ในขณะที่การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 2563 มีจำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงถึง 60% ขณะที่มูลค่าเปิดตัวลดลง 70% จากเปิดตัวทั้งหมดในปี 2562 คิดเป็นจำนวน 64,639 เหลือ 26,125 หน่วยในปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการหันมาระบายหน่วยคงค้างคอนโดมิเนียมที่มีจำนวน 94,000 หน่วยในปลายปี 2562 และชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่

ประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะที่กำลังซื้อในปี 2563 มีอัตราการระบายอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 6,000 หน่วยต่อเดือน ลดลงจากปี 2562 25% เหตุผลสำคัญที่ทำให้กำลังซื้อในปี 2563 ลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ลดลงมาก เป็นผลมาจากการเร่งระบายสินค้าในสต๊อกของผู้ประกอบการโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price War)

“การคาดการณ์ตลาดอสังหาฯ ในปี 2564 ยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกใหม่ ส่งผลต่อความไม่แน่ใจในรายได้ในอนาคตของผู้บริโภค ทำให้แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในไตรมาสแรกของปี 2564 น่าจะทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ บางรายเริ่มออกมาตรการทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไม่ประกาศปิดประเทศ (Lockdown) เหมือนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 ทำให้ภาคธุรกิจยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ รักษาการจ้างงานในประเทศไว้ได้บางส่วน ประกอบกับการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะกระตุ้นตลาดอสังหาฯ โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% และลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีแนวโน้มต่ำ น่าจะเป็นปัจจัยที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกำลังซื้อ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย”

'บรรพบุรุษ' กด Like!! 'บอนชอน' ขอแจมช่วงตรุษจีน ส่ง ‘ไก่ไหว้เจ้า’ ทอดทั้งตัว รสซอยการ์ลิค

บอนชอน ร้านไก่ทอดชื่อดังเปิดให้พรีออเดอร์ ‘ไก่ไหว้เจ้า’ ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง โดยรายละเอียดระบุว่า เป็นไก่บอนชอนทอดทั้งตัว (ไม่มีเครื่องใน) ทาเคลือบด้วยซอสซอยการ์ลิค รสเข้มข้น

รายละเอียดระบุว่า ผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองไก่ได้ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ และรับสินค้าในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ โดยราคาไก่ไหว้เจ้าทอดดังกล่าวมีราคาอยู่ที่ตัวละ 688 บาท

แต่มันก็จะแปลกๆ นิด ไก่อะไรไม่มีตา!!

‘บิ๊กตู่’ สั่งด่วนกำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งด้านปริมาณการค้าที่ลดลง ตู้สินค้าขาดแคลน และค่าระวางการส่งออกที่เพิ่มขึ้น

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งได้รับผลกระทบการประกอบกิจการในช่วงภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

แนวทางช่วยเหลืออย่างเช่น การอนุญาตให้เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่กว่าที่กำหนดไว้เดิมสามารถเข้าเทียบท่าได้เพื่อขนส่งสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น การผ่อนปรนการเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือ

“กระทรวงพาณิชย์ได้สะท้อนปัญหาของผู้ส่งสินค้าทางเรือและผู้ส่งออกต่อที่ประชุม ครม. ล่าสุดนายกรัฐมนตรีจึงมีข้อสั่งการให้หาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ และได้มอบหมายให้ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว”

ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทยอยออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือทั้งประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ตามแนวนโยบายของ นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้การช่วยเหลือครอบคลุมประชาชนมากที่สุด

และล่าสุดรัฐบาลได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการกลุ่มผู้ส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งเป็นกลุ่มกลไกสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการนำเข้าและส่งออก ว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบหลายด้านโดยเฉพาะจากปริมาณการค้าที่ลดลงจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ปัญหาตู้สินค้าขาดแคลน ผู้ส่งออกเองก็ประสบปัญหาค่าระวางของการส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกในระยะยาว

รมช.พาณิชย์ ‘วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล’ สั่งสถาบัน ITD เตรียมความพร้อมนักลงทุนไทย ลุยต่างประเทศหลังโควิด-19 จบลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรซึ่งไทยมีจุดแข็งและมีความพร้อมในการสร้างรายได้กลับเข้าประเทศมากที่สุด

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ไอทีดี เร่งหาแนวทางในการส่งเสริมทักษะความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ในการลงทุนในต่างประเทศให้แก่นักลงทุนไทย เพื่อให้พร้อมก้าวสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นใจ หลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญ จากอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้นไปสู่อุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทักษะแรงงาน และเทคโนโลยี รวมทั้งการก้าวไปสู่การให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภาคบริการ กดดันให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้นจำเป็นต้องปรับตัวโดยการออกไปลงทุนต่างประเทศ

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศแล้วพบว่า ประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปอันดับต้น ๆ ของโลก ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเกษตรของไทยมีทักษะความรู้และประสบการณ์ในการประกอบการธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตร ให้สามารถแข่งขันได้จนเป็นผู้นำในตลาดโลก เป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการประยุกต์ใช้ในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรซึ่งเป็นที่ต้องการของประเทศกำลังพัฒนา

มีนโยบายพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหารและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประสบการณ์และความชำนาญของผู้ประกอบการไทยจึงเป็นที่ต้องการของประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนาภาคการผลิตและมีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ

แม้เงื่อนไขและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนต่างประเทศ แต่การลงทุนต่างประเทศต้องอาศัยพร้อมในหลายมิติ ทั้งด้านเงินทุนและบุคลากร รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต้องมีนโยบายและมาตรการสนับสนุน ทั้งด้านการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและการให้แรงจูงใจด้านภาษี เพื่อผู้ประกอบการไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถแข่งขันในตลาดการลงทุนต่างประเทศได้

ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการออกไปลงทุนต่างประเทศ คือ “ทักษะความรู้และเครือข่าย” ที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อม ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการออกไปลงทุนสามารถเรียนลัดได้โดยการถ่ายทอดจากผู้มีประสบการณ์ที่ผ่านสนามจริงจนสามารถสร้างกิจการในต่างประเทศให้เติบโตยืนหยัดมาได้

ประสบการณ์เหล่านี้ต้องครอบคลุมทั้งมิติด้านการปฏิบัติตามกฎหมายในต่างประเทศ ทั้งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายแรงงาน กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ความเข้าใจเรื่องการแสวงหาแหล่งเงินทุนและการบริหารเงินทุนเพื่อผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน

ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดในยุคดิจิทัลซึ่งสามารถใช้เป็นช่องทางในการเจาะตลาดในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องเข้าใจการใช้ประโยชน์จากความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อสร้างได้เปรียบและแต้มต่อทางการลงทุน

"ดังนั้น ผมจึงสั่งให้สถาบัน ไอทีดี จัดการอบรมทักษะการลงทุนในต่างประเทศขึ้น เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์การลงทุน และสอนทักษะที่จำเป็นในการลงทุนในแต่ละประเทศ โดยให้เน้นผู้ประกอบการในกลุ่มเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร ท่องเที่ยว และยานยนต์ ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการจะได้เห็นและเข้าใจถึงคุณลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างทัศนคติและทักษะที่เหมาะสม เกิดแรงบันดาลใจที่จะเป็นผู้ประกอบการ ตลอดจนสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเริ่มต้นทำธุรกิจในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายวีรศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ซึ่งได้ระบาดอยู่หลายพื้นที่ในประเทศไทย แม้ว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังมีโอกาสที่จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งรัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานกำหนดมาตรการในการควบคุม ป้องกัน และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น สถาบันไอทีดีอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมมาเป็นการจัดฝึกอบรมในรูปแบบออนไลน์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านระบบ Online Real-time Course โดยใช้โปรแกรม Zoom, Google Meet หรือ Microsoft Team เป็นต้น และการจัดทำวีดีโอคลิปเนื้อหาองค์ความรู้เพื่อเป็นสื่อประกอบการอบรมในรูปแบบสื่อผสม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้เห็นภาพที่กว้างขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

"ในการอบรมนั้นจะมีการติดตามผลการให้คำปรึกษาและการตรวจสอบความเข้าใจของผู้เข้าอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การอบรมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำไปพัฒนาต่อยอดในการสร้างผู้ประกอบการ ทั้งนี้สามารถติดตามการจัดอบรมเรื่องดังกล่าวได้ที่ www.itd.or.th" นายวีรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

กรมส่งเสริมการค้าฯ วิเคราะห์นโยบายด้านการค้าของสหรัฐฯ ยุค ‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ คาดสร้างโอกาสการร่วมมือทางการค้าการลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯ ในไทย และช่วยเพิ่มให้ไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ได้ดีขึ้น

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและลงนามในคำสั่งบริหารและคำสั่งอื่นๆ รวม 15 ฉบับ

ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการประเมินนโยบายด้านการค้าของสหรัฐฯ หลังจากนี้ น่าจะส่งผลดีทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศเอเชียดีขึ้น สร้างโอกาสการร่วมมือทางการค้าการลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯ ในไทย และช่วยเพิ่มให้ไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ได้ดีขึ้น

ด้วยเหตุนี้ กระทรวงพาณิชย์ จึงได้มีการวางแผนการทำงานในปี 2564 โดยเดินหน้าขยายตลาดส่งออกในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นไปที่สินค้าที่มีศักยภาพ คือ อาหารสำเร็จรูป อาหารเสริม สินค้าที่เกี่ยวกับการทำงานที่บ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุแต่งสวน สินค้าสัตว์เลี้ยง เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ออกกำลังกาย เกมส์และความบันเทิงภายในบ้าน และสินค้าป้องกันส่วนบุคคลที่จะมีความต้องการจนกว่าโควิด-19 จะคลี่คลาย โดยตั้งเป้าหมายปีนี้จะขยายตัวที่ 4%

แต่อย่างไรก็ตามยังต้องระวังผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ ที่เน้นพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้น ทำให้อาจมีการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มขึ้นตามมา เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าต่างๆ เช่น สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการติดตามนโยบายด้านการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่มีผลต่อค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดด้วย

‘รมว.คมนาคม’ ถก คณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคาะ 2.22 ล้านบาท พัฒนาภาคอีสาน สู่ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า คณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2565 จำนวน 155 โครงการ งบประมาณรวมกว่า 22,288 ล้านบาท

อาทิ โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงตามแนวชายแดนและแนวระเบียงเศรษฐกิจ โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงรองรับเมืองศูนย์กลางการค้า การบริการสุขภาพ และการศึกษา งานขยายลานจอดเครื่องบินท่าอากาศยานขอนแก่น และงานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานเลย เพื่อพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือสู่มิติใหม่เป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”

ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 นั้น ได้ให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ที่จะดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 155 โครงการ งบประมาณรวม 22,288.40 ล้านบาท โดยแยกตามยุทธศาสตร์ 6 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 การบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 9,339.40 ล้านบาท, ยุทธศาสตร์ที่ 2 การแก้ปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จำนวน 14 โครงการ วงเงิน 876.93 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจภายในควบคู่กับการแก้ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 82 โครงการ วงเงิน 4,376.89 ล้านบาท, ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงบูรณาการ จำนวน 29 โครงการ วงเงิน 5,192.43 ล้านบาท, ยุทธศาสตร์ที่ 5 การใช้โอกาสจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจหลักภาคกลางและพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๆ ของภาค จำนวน 25 โครงการ วงเงิน 2,187.65 ล้านบาท

และยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดนและแนวระเบียงเศรษฐกิจ จำนวน 3 โครงการ วงเงิน 315.11 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.61-65 ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.65 โดยให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด พ.ศ.61-65 ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.65 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ

ขณะเดียวกัน ยังให้ความเห็นชอบแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด พ.ศ.61-65 ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.65 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 5 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (จังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และบึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (จังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร)

กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ)

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการและงบประมาณของจังหวัด 20 จังหวัด ประกอบด้วย โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนภายในกรอบวงเงิน จำนวน 269 โครงการ งบประมาณรวม 5,570.6038 ล้านบาท และโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน จำนวน 121 โครงการ งบประมาณรวม 4,509.1937 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการและงบประมาณของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 เห็นควรสนับสนุนโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน จำนวน 27 โครงการ งบประมาณรวม 1,202.8908 ล้านบาท และโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน จำนวน 10 โครงการ งบประมาณรวม 1,069.4212 ล้านบาท ส่วนที่ 2 โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน 24 โครงการ งบประมาณรวม 1,152.8837 ล้านบาท

ธนาคารกสิกรไทย แจ้งผลประกอบการ ปี 2563 กำไร 29,487 ล้านบาท ลดจากปีก่อน 23.86% เหตุตั้งสำรองฯ สูงขึ้นถึง 28% รองรับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ขณะที่ NPL ขึ้นมาอยู่ที่ 3.93% เพิ่มจากปี 2562 ราว 7%

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 63 จำนวน 29,487 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 9,240 ล้านบาท หรือ 23.86%

ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 9,536 ล้านบาท หรือ 28.04% ซึ่งเป็นการตั้งสำรองฯ ตั้งแต่ในครึ่งแรกของปี 63 เป็นจำนวนรวม 32,064 ล้านบาท เนื่องจากความไม่แน่นอนในระดับสูงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลกระทบที่รุนแรงทั้งในและต่างประเทศ อันเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน (รวมถึง TFRS 9) ทำให้งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินบางรายการไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับปีก่อน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในครึ่งปีหลังที่มาตรการช่วยเหลือลูกค้าทยอยสิ้นสุดลง ลูกค้ายังสามารถผ่อนชำระได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งในปลายไตรมาส 4 มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ก็ตาม ธนาคารได้มีการทบทวนประเมินความเพียงพอของสำรองฯ พบว่าการตั้งสำรองฯ ในสามไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว ธนาคารจึงพิจารณาตั้งสำรองฯ ในไตรมาส 4 ในระดับที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงสามไตรมาสของปี โดยเมื่อรวมการตั้งสำรองฯ ในปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 43,548 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 6,334 ล้านบาท หรือ 6.17% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย และการปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.27% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 11,934 ล้านบาท หรือ 20.65% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ลดลง และค่าธรรมเนียมรับเกี่ยวกับการให้สินเชื่อลดลงจากการเปลี่ยนไปแสดงเป็นรายได้ดอกเบี้ย รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงจำนวน 2,733 ล้านบาท หรือ 3.76% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของประมาณการค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจัดการหนี้เพิ่มขึ้น

แม้ว่าในไตรมาส 4 ปี 2563 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 3,825 ล้านบาท หรือ 23.26% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล และค่าใช้จ่ายในกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ปี 2563 อยู่ที่ระดับ 45.19%

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 3,658,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 364,909 ล้านบาท หรือ 11.08% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 3.93% โดยธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 3.65%

ด้าน อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 149.19% โดยสิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 148.60% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 18.80% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.13%

กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้ายุทธศาสตร์ ตลาดนำการผลิต ส่งทัพการ์ตูนคาแรกเตอร์ - แอนิเมชันไทย เจาะตลาดญี่ปุ่น ปูทางขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่นประกอบด้วยนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์ "ตลาดนำการผลิต”และแผนงานการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับการบริการและอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ สำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว"

ได้จัดโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการรับรู้คาแรกเตอร์การ์ตูนและแอนิเมชันของไทย (Cartoon Characters & Animation) ในเขตพื้นที่ภายในกรุงโตเกียวและนอกเขตกรุงโตเกียว หรือโครงการ Thai Cartoon Project ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เดือนกันยายน 2564 โดยเปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 11 - 27 มกราคม 2564 เพื่อส่งเสริม Thai Licensing Character และ Animation ไทย

โดยในปี 2564 มีกิจกรรมจัดขึ้นภายใต้โครงการฯ ดังกล่าว อาทิ การจัดกิจกรรม Pop up Exhibition เพื่อจัดแสดงคอนเทนท์และสินค้าการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทย ในโตเกียว 1 แห่ง และเมืองรอง 1 แห่ง การกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการและคาแรคเตอร์ไทยผ่านสื่อออนไลน์ เช่น สื่อ SNS (Instagram /Twitter @thaicharatokyo) และสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อเผยแพร่คอนเทนท์ การ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้เข้าถึงชาวญี่ปุ่นได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้ง กิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น การวาดภาพสด (Live Drawing) ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยได้พบปะกับชาวญี่ปุ่นโดยตรง

สำหรับ โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการรับรู้ Cartoon Characters และ Animation ไทย ได้จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้อุตสาหกรรม Digital Contents ซึ่งรวมถึง Cartoon Characters และ Animation ไทยในประเทศญี่ปุ่น เป็นการ

ปูทางในการบุกเบิกตลาด เนื่องจากมีกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยติดตามโครงการผ่านสื่อ SNS เพิ่มขึ้นทุกปี และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นหนึ่งในโครงการของกรมฯ ที่เปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการการ์ตูนคาแรคเตอร์ไทยได้เข้าตรงถึงตลาดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป

ประชาชนลุ้นกระทรวงการคลัง ทำโครงการคนละครึ่งเฟสสาม รอบใหม่ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.64 แย้มหากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองยังไม่ดีก็อาจพิจารณาโครงการ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะยังไม่ขยายเวลาหรือเพิ่มจำนวนลงทะเบียนคนละครึ่งเฟสสองออกไป รวมถึงจะไม่มีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกเพิ่มเติมด้วย ส่วนการเปิดคนละครึ่งรอบใหม่จะต้องรอฝ่ายนโยบายพิจารณาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีประชนชนเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยทำโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดค่าครองชีพในช่วงที่เกิดไวรัสโควิด-19ระบาด

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีข้อเรียกร้องการเปิดลงทะเบียนอีกรอบว่า กระทรวงการคลังจะดูก่อนว่าโครงการคนละครึ่งเฟสสามทำได้หรือไม่ เพราะต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดก่อน รวมทั้งดูเศรษฐกิจในประเทศว่ามีความคึกคักแค่ไหน เบื้องต้นถ้าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองยังไม่ดีก็อาจพิจารณาโครงการ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น

สำหรับการลงทะเบียนคนละครึ่งรอบใหม่ ล่าสุดยังไม่มีข้อสรุปจากกระทรวงการคลังออกมาว่าจะทำได้หรือไม่ จะต้องรอจบโครงการรอบนี้ 31 มี.ค.63 ก่อน และจึงจะพิจารณาเปิดเพิ่มเติมใหม่ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.64 ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมอีกครั้ง

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควบคุมสินค้า หน้ากากอนามัย ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ น้ำเย็น เครื่องเล่นสนามสาธารณะ ยกระดับจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ภาคทั่วไป เป็นภาคบังคับ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควบคุมสินค้า 7 รายการ คือ หน้ากากอนามัย ถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ น้ำเย็น เครื่องเล่นสนามสาธารณะ ทั้งชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน และอุปกรณ์โยก ยกระดับจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือมอก. ภาคทั่วไป ไปเป็นมอก. ภาคบังคับ เพื่อให้ผู้ผลิต และผู้นำเข้าทุกราย จะต้องจำหน่าย หรือนำเข้าสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์มอก.ภาคบังคับเท่านั้น

ทั้งนี้ในการออกมาควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมครั้งนี้ เป็นเพราะในปัจจุบันที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ประกอบการได้นำหน้ากากอนามัย และถุงมือสำหรับใช้ทางการแพทย์ออกมาขายเป็นจำนวนมาก และพบว่า มีสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานปะปนอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนที่ซื้อไปใช้

ขณะเดียวกันได้เห็นชอบมาตรฐานอื่นๆ อีกรวม 76 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานอุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้าสำหรับป้องกันหยดและละอองของเหลว หรือเฟสชิลด์ ผ้าป้องกันแบคทีเรีย ยางล้อรถยนต์และยางล้อจักรยานยนต์ เสื้อชูชีพ อาหารกระป๋อง หัวฝักบัวอาบน้ำ สายฝักบัวอาบน้ำ และเครื่องสำอางด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top