Saturday, 7 June 2025
LITE TEAM

22 ธันวาคม 2431 เสียดินแดนครั้งที่ 8 สยามสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศส

เมื่อ 22 ธันวาคม 2431 ประเทศสยามต้องทำสัญญากับฝรั่งเศสที่เมืองแถง (ปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟูในประเทศเวียดนาม) ส่งผลให้สยามสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหกให้กับฝรั่งเศส โดยพื้นที่กว่า 87,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ที่ติดต่อกับแขวงพงศาลีของลาว

ดินแดนสิบสองจุไทเคยเป็นบ้านของชาวไทน้อย ซึ่งประกอบไปด้วยชาวไทดำ ไทขาว และไทพวน มีทั้งหมด 12 เมืองที่มีเจ้าผู้ปกครองเป็นของตัวเอง ส่วนหัวพันทั้งห้าทั้งหกประกอบด้วยหกเมืองที่มีการปกครองอิสระเช่นกัน ในยุคก่อนหน้านี้ ดินแดนเหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาเป็นประเทศราชของสยาม

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการกบฏของกลุ่มจีนฮ่อที่เข้ามายึดครองพื้นที่ทางภาคเหนือของสยาม และส่งผลให้ไทยต้องส่งกองทัพเข้าไปปราบปราม ซึ่งแม้จะได้รับชัยชนะ แต่ฝรั่งเศสซึ่งขยายอิทธิพลในเวียดนามได้อ้างสิทธิ์ในดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหก

การเจรจาระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่เมืองแถงในปี 2431 ทำให้ไทยต้องยอมรับให้ฝรั่งเศสควบคุมดินแดนสิบสองจุไท โดยฝรั่งเศสยังคงตั้งทหารอยู่ในพื้นที่สิบสองจุไท ขณะที่ทหารไทยอยู่ที่หัวพันทั้งห้าทั้งหก และไม่ให้ฝ่ายใดละเมิดเขตแดนของกันและกัน  แม้ต่างฝ่ายต่างยืนยันสิทธิเหนือดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหก และต้องการให้อีกฝ่ายถอนกำลังทหารออกไป แต่ฝรั่งเศสมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าไทย และดินแดนพิพาทยังอยู่ใกล้กับญวนมากกว่าไทย หากเกิดสงครามขึ้นจริงก็ยากที่ไทยจะเป็นฝ่ายชนะ

จากการทำสัญญาดังกล่าว สยามจึงสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันห้าทั้งหกให้กับฝรั่งเศส และในที่สุดก็เสียสิทธิเหนือดินแดนเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ในอีก 5 ปีต่อมา ในเหตุการณ์วิกฤติการณ์ ร.ศ. 112

20 ธันวาคม 2510 ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เปิด ม.ขอนแก่น มหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคอีสาน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2510 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างเป็นทางการ และทรงปลูกต้นกาลพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย

ในโอกาสนี้ พระองค์ทรงมีพระบรมราโชวาทว่า "...การตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นขึ้นอีกแห่งหนึ่งนั้น เป็นคุณอย่างยิ่ง เพราะทำให้การศึกษาชั้นสูงขยายออกไปถึงภูมิภาคที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก ความสำเร็จในการตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงเป็นความสำเร็จที่ทุกคนควรยินดี..."

มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถือเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งแรก แม้แนวคิดในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยจะเริ่มขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แต่การเตรียมการจริงจังก็เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ. 2505 และเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2507 โดยมีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในด้านวิศวกรรมศาสตร์และเกษตรศาสตร์ที่บ้านสีฐาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น 'มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ' หรือ 'Khon Kaen Institute of Technology' (K.I.T.) ภายใต้การดูแลของสภาการศึกษาแห่งชาติ

ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นคือรูปองค์พระธาตุเต็มองค์ประดิษฐานบนขอนไม้แก่น สลักชื่อมหาวิทยาลัย โดยมีเทวดาอัญเชิญมิ่งมงคลสองข้าง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นมงคล ส่วนพื้นหลังแบ่งเป็น 3 ช่อง เพื่อแสดงถึงคุณธรรม 3 ประการ ได้แก่ วิทยา (ความรู้ดี), จริยา (ความประพฤติดี), และปัญญา (ความฉลาดที่เกิดจากการเรียนรู้และคิด)

การเลือกพระธาตุพนมเป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น เป็นการแสดงถึงการเคารพในพระธาตุพนม ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญของชาวไทยและลาว และมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็เป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางทางความคิดและสติปัญญาของสังคม รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็น 'มหาวิทยาลัยขอนแก่น' และในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2509 พระราชบัญญัติการก่อตั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่นในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2510

มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 5,500 ไร่ บริเวณมอดินแดง ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินดินลูกคลื่นสีแดง โดยมีโรงพยาบาลศรีนครินทร์และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ให้บริการการศึกษาครบครันทุกสาขาวิชาและการดูแลทางการแพทย์ที่ทันสมัยในภาคอีสาน

17 ธันวาคม 2498 วันสวรรคตของ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หรือพระนามเดิม พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 60 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติจากสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2405 ณ พระบรมมหาราชวัง

ในพระเยาว์วัย ทรงศึกษาตามประเพณีราชสำนัก เรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และมีความสนพระทัยในวรรณคดี นิทาน สุภาษิต รวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์ ทรงฝึกฝนและเชี่ยวชาญในงานศิลปหัตถกรรมไทย เช่น การทำดอกไม้ใบตองและการปักถักกรอง ทรงเผยแพร่ผลงานศิลปกรรมเหล่านี้ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 10 พระองค์ ซึ่งประกอบด้วยพระราชโอรส 4 พระองค์ และพระราชธิดา 4 พระองค์ รวมทั้งพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ล่วงลับไปแล้ว ได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระนามเดิม) ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2498 ณ พระตำหนักใหญ่ วังงสระปทุม สิริพระชนมายุ 93 พรรษา ทรงเจริญพระชนม์ชีพในยุคที่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากสังคมดั้งเดิมสู่สมัยใหม่ ในฐานะขัตติยราชนารี ทรงรักษาขนบประเพณีและทรงนำสิ่งดีงามจากอดีตมาผสมผสานกับสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมใหญ่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ เป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 150 ปีวันคล้ายวันพระราชสมภพ ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555 ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์สุขภาพและการอนุรักษ์พัฒนาด้านวัฒนธรรม พร้อมกับบุคคลและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกอีก 97 รายการ

16 ธันวาคม วันกีฬาแห่งชาติ น้อมระลึกถึงพระปรีชาสามารถ ในหลวง ร.9 ทรงร่วมแข่งขันกีฬาเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วม การแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ที่กรุงเทพฯ และทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทองในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. ซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ทางการกีฬาของประเทศไทย นอกเหนือจากกีฬาเรือใบแล้ว แบดมินตันก็เป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดปรานมากเช่นกัน ในหอประชุมวังจิตรลดาฯ ได้ปรับแต่งเป็นสนามแบดมินตันมาตรฐาน ส่วนมากพระองค์จะทรงแบดมินตันในตอนเย็นและวันศุกร์ และเช้าวันอาทิตย์ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางการกีฬานี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกว่า พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงและทรงสนับสนุนกีฬาจนเป็นที่ปรากฏชัด

ดังนั้นในการประชุมใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลครั้งที่ 29 ที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยมีนายฮวน อันโตนีโอ ซามาร้านซ์ ประธานคณะโอลิมปิกสากล เป็นประธานการประชุมพร้อมทั้งสมาชิกเข้าร่วมประชุมอีก 87 ประเทศ ได้มีมติเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกสากล คือ 'อิสริยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด' (ทอง) แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายเหรียญโอลิมปิกชั้นสูง สมควรที่นักกีฬาและประชาชนชาวไทยควรที่จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท อันจะเป็นโอกาสให้สามารถนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติและวงศ์ตระกูล

เพื่อเป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย จึงได้มีมตินำเสนอคณะรัฐมนตรีลงความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน 'วันกีฬาแห่งชาติ'

13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ยูเนสโก ยกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร และพระนครศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

วันนี้ เมื่อ 33 ปีก่อน คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 

นอกจากนี้ ยังประกาศให้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และในวันเดียวกันนี้ในปีต่อมายูเนสโก ก็ได้มีมติให้ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเพิ่มอีกแห่ง

9 ธันวาคม ของทุกปี วันต่อต้านการทุจริตสากล ร่วมรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน

วันที่ 9 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันแห่งการต่อต้านการทุจริตสากล หรือ International Anti-Corruption Day ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่สมัชชาสหประชาชาติ (UN) มีมติเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC, 2003) อย่างเป็นเอกฉันท์ 

จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก UN 191ประเทศรวมถึงประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญา ระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม 2546 ณ เมืองเมอริดา ประเทศเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ UN จึงประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล

สำหรับ วันต่อต้านการทุจริตสากล มีวัตถุประสงค์หลัก ๆ คือ เพื่อรณรงค์ต้านการทุจริต และสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้คนในเรื่องการทุจริต ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังทำลายรากฐานของประชาธิปไตยอีกด้วย

8 ธันวาคม ของทุกปี วันนักศึกษาวิชาทหาร รำลึกวีรกรรมหาญกล้าเยาวชนไทย

จากวีรกรรมอันกล้าหาญของ 'ยุวชนทหาร' ที่ร่วมกับทหาร ตำรวจ และราษฎรอาสา ต่อต้านทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร และในหลายพื้นที่ทางภาคใต้ของไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484

เพื่อเป็นการรำลึกถึงความกล้าหาญของเยาวชนดังกล่าว กรมการรักษาดินแดน หรือ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ในปัจจุบัน จึงได้ขออนุมัติไปยังกองทัพบก ในปี พ.ศ.2542 เพื่อกำหนดเป็นวันสำคัญสำหรับนักศึกษาวิชาทหาร ซึ่งในการนี้ กองทัพบก ได้เห็นชอบ และอนุมัติให้ถือเอา วันที่ 8 ธันวาคม เป็น 'วันนักศึกษาวิชาทหาร'

โดยมอบให้ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เป็นหน่วยรับผิดชอบในส่วนกลาง สำหรับในส่วนภูมิภาค มอบให้ ศูนย์การฝึกหรือหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบก เป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้ประกอบพิธีกระทําสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหาร พร้อมกันทั่วประเทศ

สำหรับการสวนสนามของ นศท. นั้น ได้เริ่มจัดขึ้นในส่วนกลาง เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2509 ณ พระลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) โดยมี จอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธี และได้ประกอบพิธีดังกล่าว ในห้วงประมาณ เดือนพฤศจิกายน เรื่อยมา

ถือได้ว่าพิธีกระทําสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของนักศึกษาวิชาทหารนั้น เป็นพิธีสําคัญและเป็นเกียรติแก่นักศึกษาวิชาทหารทุกคน

๗ ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของปวงชนชาวไทยอีกวันหนึ่ง โดยเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งปีนี้ทรงเจริญพระชันษา 45 ปี

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในหลากหลายด้าน ทางด้านกฎหมาย ทรงส่งเสริมหลักการยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะสตรีและผู้ต้องขังหญิง อีกทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ โดยทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรมและระบบงานยุติธรรมทางอาญา สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

อีกหนึ่งพระราชกรณียกิจอันเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย โดยทรงเป็นองค์ประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ด้วยวัตถุประสงค์ในการบรรเทาความเดือดร้อน ตลอดจนช่วยเหลือประชาชนคนไทย ทั้งในยามประสบภัยพิบัติ และส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันประสูติ ขอพระองค์ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของประชาชนคนไทยสืบไป ทรงพระเจริญ

6 ธันวาคม พ.ศ. 2443 ร.5 ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ มาจำวัดที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

ร.5 ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ มาจำวัดที่วัดเบญจมบพิตร และพระราชทานสร้อยนาม 'วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม'

วันนี้ เมื่อ 124 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์จำนวน 33 รูป จากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ มาจำวัดที่วัดเบญจมบพิตร และพระราชทานสร้อยนาม 'ดุสิตวนาราม' ต่อท้ายชื่อวัด เรียกรวมว่า 'วัดเบญจ มบพิตรดุสิตวนาราม' 

ทั้งนี้ เดิมวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดโบราณชื่อ 'วัดแหลม' หรือ 'วัดไทรทอง' ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า 'วัดเบญจมบพิตร' 

๕ ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และภายหลังการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เรื่อง กำหนดวันสำคัญของชาติไทย มีใจความสำคัญให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย ดังนี้ 

1. เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 

2. เป็นวันชาติ 

3. เป็นวันพ่อแห่งชาติ

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป 

‘5 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร’ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ประชาชนคนไทยยังคงน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันประเสริฐ และเทิดทูนพระองค์ด้วยความรัก ความศรัทธา โดยตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

‘5 ธันวาคม เป็นวันชาติไทย’ แม้โดยทั่วไปมักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้น ๆ ได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของกษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง ‘วันชาติ’ ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใดขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้น ๆ โดยความเป็นมาของวันชาติไทยนั้น แต่เดิมกำหนดให้เป็นวันที่ 24 มิถุนายน โดยวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติไทยได้ 21 ปี ต่อมาในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 รัฐบาลในขณะนั้นมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศ และเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติ จึงให้ถือวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็น ‘วันชาติ’ มาจนถึงปัจจุบัน

‘5 ธันวาคม เป็นวันพ่อแห่งชาติ’ วันพ่อแห่งชาติ มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เนื่องจากพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ และเพื่อให้ผู้เป็นพ่อสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน ดังนั้นจึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันพ่อแห่งชาติ’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top