Monday, 21 April 2025
แจ็ค รัสเซล

อดไม่ได้!! เมื่อ 'เด็กสามนิ้ว' ต้องหมดอนาคตในคุกตาราง แล้วใครกันที่ควรร่วมรับผิดชอบชีวิตที่แหลกสลายนี้?

ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แม้จะเอือมระอากับพฤติกรรมของ 'เด็กสามนิ้ว' ที่ดาหน้ากันออกมาก่อกวนสังคม และจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย เป็นสิ่งที่ต้องล้มล้างทำลายให้หายไป

แต่เมื่อเราเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวต้องโดนคดี 112 ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ต้องหมดอนาคตลงทันทีอย่างน่าเสียดาย บางอารมณ์ก็คงจะอดสงสารไม่ได้ และคงมีคำถามผุดขึ้นในใจมากมายว่าใครกันบ้างที่ใจอำมหิต มีส่วนทำให้ 'เด็กหนุ่มเด็กสาวสามนิ้ว' เหล่านี้ ต้องลงเอยที่คุกตาราง?

1.) พ่อ แม่ ที่ไม่เคยห้ามปรามลูก ไม่เคยสั่งสอนให้ลูกของตัวเองตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบสังคมที่ดีงาม หากพ่อแม่มีความละเอียดอ่อนในการดำเนินชีวิต คิดดี คิดเป็น ลูกของตัวเองจะไม่มีทางตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองที่นิยมการล้างสมองเด็ก ให้ออกหน้ามากระทำการอันชั่วร้ายแทน พ่อแม่ที่ดีจะสั่งสอนอบรมลูกไม่ให้จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ และไม่กระทำการใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายทั้งปวง 

2.) พรรคการเมืองที่มีความคิดอยากล้มล้างสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ถนัดแต่ 'ซุกกระโปรงเด็ก' เลือกหลอกใช้เด็กที่มีความกล้า ปนความคิดที่อยากได้รับการยอมรับในแบบที่แตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกันมาเป็นเครื่องมือ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายชั่ว ๆ ของตัวเอง แต่เมื่อถึงคราวที่เด็กถูกดำเนินคดี สังคมคนส่วนใหญ่ลุกฮือขึ้นมาปกป้องสถาบัน พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ทอดทิ้งชีวิตของ 'เด็กสามนิ้ว' ให้ไปเผชิญชะตากรรมร้ายในคุกโดยลำพัง

3.) สื่อที่มีแนวคิดเป็นลบกับสถาบัน มีซุกซ่อนอยู่ในสังคมไทยยุคสมัยนี้ไม่น้อย ถือเป็น 'สื่ออีแอบ' ที่มักจะสนับสนุน 'เด็กสามนิ้ว' ให้ดูเป็นฮีโร่ของสังคม เชิดชูและยกย่องเวลาที่เด็กสามนิ้วแสดงความใจกล้าในทางที่ผิด แต่ในเวลาที่เด็กสามนิ้วต้องถูกดำเนินคดี ก็จะใช้วิธีเขียนข่าวว่าเด็กถูกกลั่นแกล้งจากมาตรา 112 ทั้ง ๆ ที่กฎหมายอยู่ของมันเฉย ๆ 

4.) ผู้คนในสังคมที่ไม่ลงลึกกับที่มาที่ไป มักนิยมสิ่งที่ถูกใจมากกว่าจะรักษาสิ่งที่ถูกต้อง โหมใช้สื่อโซเชียลในแต่ละวันของตัวเองสนับสนุนการกระทำของ 'เด็กสามนิ้ว' จนกลายเป็นเด็กที่มีตัวตน เป็น 'ไอดอลกลวง ๆ กาก ๆ' ของเด็กรุ่นใหม่ จนมีความกล้าออกมาทำสิ่งที่ท้าทายอำนาจรัฐ 

ถ้า 'เด็กสามนิ้ว' สักคนต้องจบชีวิตลงในคุก คนในข่าย 4 ข้อนี้แหละครับสมควรต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ความผิดของกฎหมายมาตราใดเลย

ชำแหละ 'พรรคปากกล้า' แต่ขาสั่น!! ซุกตัวอยู่เบื้องหลัง ผลักดันเด็กเดินหน้ากัดเซาะ ล้มล้างสถาบันแทนตัวเอง

ถึงวันนี้ถ้าใครยังมองไม่ออกว่าประเทศไทยของเรามีพรรคการเมืองอยู่หนึ่งพรรค ที่เกลียดชังสถาบันกษัตริย์เข้ากระดูกดำ และจ้องจะล้มล้างทำลายอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส ก็ต้องบอกว่าเป็นคนไทยที่ 'บ้องตื้น' และ 'เบาปัญญา' มาก  

แต่พรรคการเมืองรวมทั้ง สส. ของพรรคนี้ ไม่กล้าเดินหน้าจัดการสิ่งที่ตนเองอยากกำจัดตรงๆ ก็เลยต้องใช้วิธี 'ยืมมือคนอื่นฆ่า' และหนึ่งในเหยื่อที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือมาตลอดหลายปีก็คือเหล่าบรรดาเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เปราะบางทางความคิด เด็กที่ขาดการเอาใจใส่เลี้ยงดูจากครอบครัวอย่างถูกวิธี เด็กอยากเด่นอยากดัง และเด็กที่มีพื้นฐานทางธรรมที่ต่ำกว่าปกติ จะถูก 'ล้างสมอง' ให้ออกมาทิ่มแทงสถาบันที่คนไทยรักแทน 

ซ้ำยังมีกลุ่มทุนต่างชาติที่อยากเห็นสถาบันกษัตริย์ไทยพังพินาศ คอยอัดฉีดเงินหนาๆ ผ่าน 'คนไทยสันดานชั่ว' จำนวนหนึ่ง ให้มาปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา  

ตั้งแต่มีพรรคการเมืองพรรคนี้เกิดขึ้นในบ้านเรา สังคมไทยมีแต่ความวุ่นวาย เด็กวัยรุ่นวัยเรียนมีนิสัยก้าวร้าว ไม่มีความเคารพในกฎกติกาของสังคม โหยหาแต่ความเท่าเทียมจอมปลอมดังที่พรรคการเมืองพรรคนี้ยัดข้อมูลที่ผิดเพี้ยนใส่หัวเด็กให้กล้าทำในทางที่ผิด โดยเฉพาะการยุยงให้เด็กจงเกลียดจงชังสถาบันเบื้องสูง เพื่อที่จะใช้เด็กออกหน้าเป็นพลังขับเคลื่อนให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย

แต่แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใครคิดคดทรยศสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยก็จะมีอันเป็นไปเสียทุกราย เด็กวัยรุ่นจำนวนมาก รวมถึง ส.ส. เลวๆ จากพรรคการเมืองพรรคนี้โดนคดี 112 นับไม่ถ้วน เด็กจำนวนไม่น้อยก็ติดคุกต้องเสียอนาคต และอีกมากที่กำลังรอการตัดสินของศาล

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หนึ่งในเด็กสาวที่เคยถูกคดี 112 และเคยได้รับความช่วยเหลือจาก 'นักการเมืองโรคจิต' จากพรรคล้มสถาบันพรรคนี้ ได้กระทำการเหิมเกริมหนักกว่าเก่าด้วยการขับรถบีบแตรไล่จี้ขบวนเสด็จ พฤติกรรมที่เห็นทำให้คนไทยที่รักสถาบันเกินจะอดทนไหวอีกต่อไป 

แต่นักการเมืองพรรคนี้แต่ละคน กลับให้สัมภาษณ์ในเชิงเข้าใจที่เด็กกระทำเช่นนั้น ไม่มีสักคนที่บอกว่าการกระทำเช่นนี้ผิด เปลือยให้เห็นชัดเจนว่าทุกคนในพรรคนี้เป็น 'กลุ่มคนที่เป็นอันตราย' ต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อ 'นักการเมือง' มาตรฐานไม่สูง ผสานสามัญสำนึกแบบด้วนๆ แม้แต่สมบัติทางปัญญา ยังกล้า 'ก๊อบ-ลอก-ลัก-แอบขโมย'

อาชีพของคนเรามีมากมายก่ายกองให้เลือกทำ ถ้ารู้ว่าตัวเราไม่เข้าคุณสมบัติของสายงานบางอาชีพ ด้วยอาจจะมีกติกา และมาตรฐานที่จำเป็นต้องสูงมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป ก็อย่าพยายามเข้าไปทำให้สังคมอาชีพนั้น ๆ เกิดความหม่นมัว เช่นคนอาชีพ 'นักการเมือง' เพราะคือ ตัวแทนของประชาชน คือคนที่ประชาชนช่วยกันเลือกเข้ามาเป็นปากเป็นเสียงเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 

ก็ย่อมต้องเป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ มีความเสียสละ ซื่อสัตย์ กตัญญู ฉลาด กล้าหาญ มากไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม ยังต้องมีสัจจะ มีความจริงใจ มีอุดมการณ์อย่างโดดเด่นที่จะอุทิศกายใจเพื่อส่วนรวม 

ถ้าผิดจากนี้หรือมีคุณสมบัติที่ด้อยกว่านี้ สังคมก็จะเจริญช้า

'นักการเมืองน้ำดี' หรือ 'นักการเมืองอาชีพ' ตัวจริงเสียงจริง จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของตนเองเกิดความด่างพร้อย หรือเสื่อมเสียแม้เพียงน้อยนิด บางคนที่มีมาตรฐานสูง ๆ หากเผลอทำผิดพลาดไป ก็จะแสดงความรับผิดชอบลาออกจากตำแหน่งทันที แต่นักการเมืองมาตรฐาน 'ระดับไฮเอนด์' เช่นนี้ อาจจะไม่เคยมีอยู่จริงในประเทศไทยของเรา 

นักการเมืองของไทยเราขนาดเคลมว่าตนเองเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะล้างสิ่งชั่วร้ายที่นักการเมืองรุ่นเก่าเคยทำไว้ แต่สิ่งที่พบเห็นคือตรงกันข้าม นอกจากไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยังเดินหน้ากัดเซาะล้มล้างทำลายสถาบันกษัตริย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แต่กลับไม่กล้ายอมรับออกมาตรง เมื่อจับได้ไล่ทันก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งทันที เรียกว่า 'ปากกล้าขาสั่น' และไร้ซึ่งความจริงใจ

มากกว่านั้น ช่วงเวลาที่ผ่าน ๆ มา สังคมยังจับได้ว่าแอบไปลักขโมย 'สมบัติทางปัญญา' ของคนอื่น มาตีเนียน ๆ ให้เหล่า 'สาวกที่ใหลหลง' ต่างหลงเข้าใจว่า 'ศาสดาล้มเจ้า' ของตนเองมีความสามารถเลิศล้ำ เป็นเจ้าของความคมคายที่ฉายโชว์ออกโซเชียลในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประโยคคม ๆ จากนักเขียน, โลโก้พรรค, รูปจากภาพยนตร์ และล่าสุดก็คือหลอกต้มผู้คนว่าเป็นคนวาดภาพเอง ทั้งที่ไปเหมือนกับผลงานของจิตรกรระดับโลกชาวฝรั่งเศสนาม 'Claude Monet' ราวกับแกะ

ถ้าไม่อายตัวเอง ก็อย่าหลงคิดว่าคนไทยที่สติยังดีเขาจะไม่รู้สึกอับอายที่มีนักการเมืองมาตรฐานต่ำ และสามัญสำนึกด้วนเช่นนี้ 

‘ชายไทย’ หนีทหาร ไม่ควรเป็น สส. ผู้ทรงเกียรติ เพราะไม่เหลือ ‘เกียรติ’ ให้ ปชช. ‘เชื่อใจ-นับถือ’

นับวันสังคมไทยยิ่งจะเห็น สส. จาก ‘พรรคล้มสถาบัน’ เริ่มลายออกกันแบบรายวัน ภายใต้บาดแผลอันเน่าเหม็นถูกปิดปากจนเผยอออกมาให้สังคมรับรู้ไม่จบไม่สิ้น ขึ้นศาลกันจนหัวบันไดศาลอาญาไม่แห้ง ยังไม่ทันจบคดี 112 ที่ทั้งพรรค ทั้งสมาชิก ต่างลุ้นคำตัดสินกันจนตัวโก่ง ยังมีลิ่วล้อเด็ก ๆ ที่ถูกหลอกใช้ให้มาติดคุกแทนอีกเพียบ ก็มาต่อด้วยกรณี ‘หนีทหาร’ ของ สส. ผู้ทรงเกียรติให้สังคมเอือมระอาต่อ จริงหรือไม่จริงอีกไม่นานก็จะปรากฏชัด

ถามว่าคนเราหากมี ‘สามัญสำนึกของความเป็นคน’ ให้เกียรติสังคม ให้ความเคารพนับถือตัวเอง หากรู้ตัวว่าเป็น ‘คนหนีทหาร’ จนเคยถูกดำเนินคดี จะหน้าด้านแอบปกปิดพฤติกรรม ‘โกงความเป็นชาย’ มาสมัครเป็นผู้แทนของประชาชนหรือ?

สำหรับผมขอตอบว่า..ไม่ 

ยกเว้นชายใจชั่ว ใจคด ใจสกปรก

ขณะที่ชายไทยทั่วประเทศเมื่อมีอายุ 20 ย่าง 21 ปี ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดก็ต้องไปจับใบดำใบแดงเหมือนการเสี่ยงโชค ถ้าไม่อยากเกณฑ์ทหารก็ต้องเป็นนักศึกษาวิชาทหาร เรียน ร.ด. ให้จบตามหลักสูตร สมควรต้องมี ‘น้ำใจลูกผู้ชาย’ ที่ต้องแสดงออกอย่างเทียมเท่ากับผู้ชายไทยทั้งประเทศ   

การที่ให้ผู้ชายไทยที่เคยหนีทหาร มาเสนอหน้ามาเป็น สส. กินเงินเดือนที่มาจากหยาดเหงื่อภาษีของประชาชนอีก เป็นคนไทยแบบไหนกัน? ไม่อับอายตัวเองสักนิดเลยหรือ? 

ปากก็บอกสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สู้เพื่อความเท่าเทียม แต่สิ่งที่เผยออกมาให้เห็นแต่ละดอกจากนักการเมืองเลว ๆ พรรคนี้ มีแต่สิ่งที่เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบหัวใจของเพื่อนมนุษย์ แสดงความเห็นแก่ตัวต่อคนร่วมชาติเดียวกัน แสดงความย้อนแย้งออกมาอย่างหน้าด้าน ๆ ราวกับว่าประชาชนที่พบเห็นนั้นต่าง ‘กินหญ้าแทนข้าว’ เหมือนเหล่าสาวกโง่ ๆ ของตัวเอง 

นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งมีเลือดเนื้อเชื้อสายและใช้นามสกุลเดียวกันกับผม ถ้าผมมารู้ภายหลังว่าเคยหนีทหารแล้วไปสมัครผู้แทน ไม่ต้องถึงกับได้เป็น สส. หรอก 

ผมจะตบให้หัวคว่ำเลย โทษฐานที่ทำให้นามสกุลของผมมัวหมอง

น่าน้อยใจ!! คนเก่งแห่งวงการ 'ศิลปะ-ดนตรี-กีฬา' สื่อไทยส่วนใหญ่กลับไม่สนใจเท่ากับเรื่องชู้สาว

บ้านเราเวลาที่มีข่าวคาว ๆ ของชาวบ้านทั่วไป หรือจะเป็นคนดังในวงสังคมก็ตาม เช่น ผัวตบเมีย เมียคบชู้ ผัวมีกิ๊ก เมียหลวงตามตบเมียน้อย แฟนไปแอบมีอะไรกับคนอื่น ฯลฯ สื่อจำนวนไม่น้อยมักจะให้คุณค่าของข่าว 'ชู้สาว' สูงราวกับว่าเป็น 'อาหารสมองชั้นเลิศ' ที่จะทำให้ประชาชนคนในชาติที่ติดตามดูจะมีความฉลาดล้ำ

แต่ที่จริง ยิ่งนำเสนอ และยิ่งผลักดันให้ข่าวเหล่านี้อยู่ในกระแสยาวนานเท่าไหร่ คนไทยก็จะยิ่งโง่ลง ไม่มีทางที่จะทำให้มีโลกทัศน์ ชีวทัศน์กว้างไกลไปกว่าเดิม   

เปรียบได้กับการฉีดผงขาวเข้าเส้นเลือด ป้อนให้เหล่าประชาชนที่มีภูมิต้านทานทางชีวิตที่ต่ำเสพ คอยมอมเมาชนิดที่ไม่ให้หลับไม่ให้นอน ลืมตามาเมื่อไหร่ก็มีใส่พานตั้งรอไว้ที่หน้าฟีดจนเกลื่อน ใครติดแล้วก็ต้องไล่ควานหาข่าวลบ ๆ ของใครสักคนมาเสพเพื่อให้เลือดความอยากรู้ในเรื่องไร้ประโยชน์กับชีวิตมันสูบฉีด 

ตาโหล ตาดำคล้ำ เพราะตามติดข่าวใต้สะดือของครอบครัวคนอื่น จนลืมหน้าที่ความเป็นคนว่าเมื่อมีโอกาสเกิดมามีชีวิตแล้วนั้น ควรหันไปให้ความสำคัญกับสิ่งใดที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง และสังคมส่วนรวม ทำให้คนไทยนับถือศาสนาพุทธจำนวนมากยุคนี้ ไม่รู้จักคำสอนดี ๆ ของพระพุทธเจ้าเลย แต่กลับรู้จักว่าใครคนไหนมีเมีย มีผัว มีลูกกี่คน และใครเลิกคบกับใคร?!

กลายเป็น 'มนุษย์เสือก' เรื่องชาวบ้านไปโดยปริยาย

คนที่เก่งกาจด้านศิลปะ ดนตรี หรือกีฬา ที่โลกใบนี้ควรเชิดชู ยกย่อง ควรประกาศก้องให้เป็นแบบอย่างในทางที่ดีแก่มวลมนุษยชาติ สื่อไทยจำนวนไม่น้อยกลับพากันเมิน ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้จำนวน 'คนโง่' ลดน้อยลง และยังเพิ่มจำนวนคนที่ 'คิดเป็น' ให้กับประเทศชาติของตนเองได้ ถ้าใส่ใจที่จะคิดผลักดัน 'คนเก่งของสังคม' ให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามกันจริง ๆ

สื่อที่ขาดความหวังดีกับสังคม และมีวิสัยทัศน์ที่น้อยนิดก็มักจะให้เหตุผลว่า ถ้านำเสนอเรื่องดี ๆ ของคนดี ๆ แล้วเรตติงจะไม่สูง เพราะคนไม่อยากดู 

แต่สำหรับสื่อที่มีความหวังดีต่อสังคมไทย เขาจะยืนหยัดทำในสิ่งที่จะช่วยให้คนในชาติมีสติปัญญาที่ดีมากขึ้น ยืนหยัดที่จะนำเสนอแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้อย่างท้าทาย ซึ่งมีไม่กี่สื่อในประเทศไทย 

ถ้าจะนับนิ้วมือ กับนิ้วตีนรวมกัน ก็ยังเหลืออีกเยอะทีเดียว

เบื้องหลัง 'รางวัลสร้างภาพ' ปั้นโปรไฟล์ให้สวยหรู คนจัดรวย คนซื้อรางวัลได้ใบเบิกทางไปต้มตุ๋นคน

ผมอยู่วงการเพลง ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของวงการบันเทิง ก็เลยใกล้ชิดกับวงการขายสินค้าในแบรนด์ต่าง ๆ ด้วย ต้องพูดจาต่อรองกันบ้าง เวลาผมจะจัดงานคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง เพราะสินค้าบางแบรนด์ก็อยากนำเสนอตัวเองมาเป็นผู้สนับสนุนในอีเวนต์ที่เราจัด เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าของเขา

ส่วนใหญ่ มักจะเป็นสินค้าประเภทอาหารเสริม ยาลดน้ำหนัก เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบบใด มักจะมีเจ้าของสินค้าที่เป็นผู้หญิงโดยเรียกตัวเองตาม ๆ กันมาว่าเป็น 'CEO' พร้อมประกาศก้อง ว่าเคยได้รับรางวัลว่าเป็นนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ดำเนินธุรกิจจนประสบความสำเร็จ สินค้าของตนเองได้รางวัลสินค้าที่ดีเลิศ มียอดจำหน่ายสูงลิบ จนสถาบัน (อะไรก็ไม่รู้) ต้องมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้ ซึ่งมีทั้งถ้วยรางวัล และใบประกาศนียบัตรใส่กรอบโชว์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของตนเอง

แต่หากลงลึกก็จะพบพิรุธมากมาย ซึ่งนอกจากผมจะไม่ขอจบดีลกับเหล่า 'CEO น่าสงสัย' เหล่านี้แล้ว ผมยังมีคำถามในใจเกิดขึ้นไม่น้อยเลย 

สถาบันที่มอบรางวัล มีจริงหรือไม่? มีข้าราชการรู้เห็นด้วยหรือไม่? ใครอยู่เบื้องหลังการจัดงานเช่นนี้?

เพราะการจัดงานมอบรางวัลลักษณะนี้ จะเป็นการมอบรางวัลแบบ ‘ทำให้จบๆ ไป’ หวังเอาภาพมาต่อยอดเท่านั้น แก่นแท้ของการจัดงาน จึงไม่รู้สึกว่าเป็นจัดงานเพื่อเชิดชูผู้ได้รับรางวัล ดูยังไงก็ไม่ต่างจากการขายรางวัลให้กับคนที่มางาน

เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ดูแล ควรเร่งเข้ามาตรวจสอบ ควบคุม เอาจริงเอาจังกับการจัดตั้งการ ‘มอบรางวัลเถื่อน’ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ตั้งขึ้นมาด้วยเจตนาเพื่อแสวงหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีบรรทัดฐาน ขาดหลักคุณธรรม จริยธรรม ไม่ได้เฉียดใกล้ความจริง และความถูกต้อง เพื่อจะเชิดชูสังคมให้เกิด ‘แบบอย่างที่มีคุณค่า’ ในแขนงอาชีพใด ๆ ได้เลย

เท่าที่สืบทราบ ผู้ได้รับรางวัลส่วนใหญ่จะได้รับการติดต่อให้ดีลจ่ายเงินในรูปแบบของการ ‘บริจาค’ เข้ากระเป๋าของทีมผู้จัดงาน มีทั้งรูปแบบส่วนบุคคล บริษัท หรือมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อแลกกับการแต่งตัวสวย ๆ มาเดินขึ้นเวทีรับ ‘รางวัลยอดเยี่ยม’ ในสาขาอาชีพที่ปั้นแต่งขึ้นมาให้สอดคล้องกับหน้าที่การงานจริง ๆ ของผู้จ่ายเงิน

ผู้จัดได้เงิน ผู้จ่ายได้ภาพไปอวดโชว์สังคม ‘วิน - วิน’ ในทางโง่เง่า เบาปัญญา

ถือเป็น ‘รางวัลขยะ’ ที่หากปล่อยไว้จะคอยกัดเซาะความดีงามให้หมดหายไปจากสังคมไทย ซ้ำยังถูกมองจากคนนอกในเชิงขบขัน กลวงโบ๋ และน่าเวทนาทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ในงานปลอม ๆ เช่นนี้ยิ่งนัก

เมื่อ 'YouTuber ชั้นเลว' สูบแสงเพียงเพื่อแลกเงิน ก้มหน้าก้มตาโกยจากการสร้างภาพให้กับฆาตกร

ผมเชื่อว่าใครที่ติดตามความเป็นไปของสังคมไทย เน้นในโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ก คงต้องรู้สึกถึงความ ‘เสื่อมต่ำ’ ของคนอาชีพ YouTuber ยุคนี้ไม่มากก็น้อย 

ก่อนหน้าสัก 7-10 ปี คนที่จะยึดอาชีพนี้ในการหาเลี้ยงชีพจริงจังยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่เข้ามาเพราะความไม่ตั้งใจ แต่เมื่อคลิปของตนเองเกิดฟลุ้ก และโด่งดังขึ้นมา เริ่มมีคนติดตามมากขึ้น นำมาซึ่งการเกิดรายได้งาม ๆ เข้ากระเป๋า คนที่พอจะเป็นมวยก็รีบฉวยปรับตัวตามสถานการณ์หันมาเอาจริงกับการหาเงินผ่านช่อง YouTube ของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด 

แต่ที่ผิดคือ จำนวนไม่น้อยมักไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นสังคมจะได้หรือเสียอะไร? คิดแค่ตัวเองได้เงิน ช่องของตัวเองโด่งดังก็เพียงพอแล้ว ความเสื่อมของสังคมไทยจึงเริ่มต้นนับจากบรรทัดนี้

การผันตัวเองมาเป็น YouTuber ของคนประเภทข้างต้นนั้น เกิดขึ้นมากมายในสังคมไทย แต่น้อยถึงน้อยมากที่เราจะเห็น YouTuber ที่พึ่งพาได้จริง ๆ หรือเป็น ‘YouTuber’ ในแนวสร้างสังคมให้เกิดความแข็งแรง หรือคอยปลุกสำนึกให้ผู้คนคิดเป็น 

กลับกันที่มีให้เห็นดาษดื่นคือ YouTuber ที่ขาดความหวังดีต่อโลก แต่ที่น่าเจ็บปวดคือ กลับมีคนไทยชอบ และติดตามสนับสนุนอย่างมหาศาล การจะเห็น ‘YouTuber ชั้นเลว’ โด่งดังในประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด

ยุคหนึ่ง หากอยากจะวัดดูว่า คนไทยโง่ หรือ ฉลาด ก็ให้ดูจำนวนคนที่เลือกนักการเมืองเลว ๆ มาเข้าสภา แต่ยุคนี้สามารถดูได้จากจำนวนคนที่ติดตาม ‘YouTuber ชั้นเลว’ ก็จะได้คำตอบไม่แพ้กัน 

‘YouTuber ชั้นเลว’ หรือบางคนเรียกขานว่าเป็น ‘YouTuber ขยะ’ คุณจะเรียกอะไรก็ได้ เพราะพฤติกรรมของ YouTuber สองประเภทนี้จะคล้ายคลึงกันนั่นคือปั้นช่อง YouTube แบบไร้ทิศไร้ทาง อะไรคือ กระแส มีแสง ก็จะวิ่งเข้าหา เกาะติดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่แยกถูกผิด ชั่วดี ไม่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม ไม่มีสามัญสำนึก ไร้ศีลธรรม ขาดความคิดในเชิงสร้างสรรค์ มองเห็นคอนเทนต์ใดที่ทำแล้วพอจะได้เงิน ก็จะรีบพากันกระโจนเข้าใส่เสมอ 

ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีข่าวว่าชายคนหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลงมือทำให้หลานสาวตัวน้อยของตัวเองเสียชีวิต เมื่อถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ชายคนนี้ก็โด่งดังขึ้นมา เพียงไม่กี่วันเหล่า YouTuber ก็พากันไปรุมล้อม จำนวนหนึ่งก็ช่วยกันปกป้อง สร้างภาพให้ดูน่าสงสาร ราวกับชายคนนี้เป็นคนดีที่โลกใบนี้ควรโอบอุ้ม 

แต่เมื่อต่อสู้กันในชั้นศาลยาวนาน จนที่สุดหลักฐานมัดว่าเขาคือคนผิด หรือ ‘ฆาตกรฆ่าหลาน’ เหล่า YouTuber ที่เสริมส่งให้คนผิดมีที่ยืนตลอดมา หรือช่วยให้ได้รับโอกาสดี ๆ อันมากมายจากสังคมไทยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยยอมรับในความผิด ก็ไม่ต่างจาก ‘YouTube ชั้นเลว’ หรือ ‘YouTuber ขยะ’ มองมุมไหนก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม นั่นก็รวมถึงนักร้องลูกทุ่งบางคน สินค้าบางชนิด หรือช่องข่าวบางช่องที่เคยสนับสนุน ‘ชายผู้ฆ่าหลาน’ คนนี้โดยไม่ลืมหูลืมตา 

วิงวอนคนไทยอย่าลืมคนเหล่านี้เชียว เลิกสนับสนุนได้...คือดี 

‘ขบวนการล้มเจ้า’ มักชอบอ้างวาทกรรมกากกลวง ‘ด่า = แสดงความคิดเห็น’ ดิ้นสุดฤทธิ์ให้ตนพ้นผิด

ผมค่อนข้างรังเกียจชุดความคิดที่ว่า “แค่แสดงความคิดเห็นธรรมดาก็ต้องถูกดำเนินคดี 112” ผมคิดว่าไม่ใช่แค่ประเทศไทย ทุกประเทศที่มีกฎหมายทั่วโลกย่อมจะไม่จับใครดำเนินคดีเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นธรรมดา

กลุ่มคนที่พยายาม ‘กระดิกหางรับลูกกัน’ พ่นชุดความคิดที่แสนบิดเบี้ยวนี้ก็มาจากพรรคการเมืองที่คิดล้มสถาบันเป็นแกนหลัก รวมหัวกับบรรดา ‘ด้อมดาวน์ซินโดรม’ ทั้งหลายที่ไร้สติปัญญาแยกแยะถูกผิด มีสมองกลั่นกรองผิดชอบชั่วดีได้อย่างเชื่องช้า หลงมอมเมากับความผิดเพี้ยนชนิดกู่ไม่กลับ ถือเป็นฉากหนึ่งในความน่าอดสูของสังคมไทยในยุคสมัยนี้จริง ๆ 

พูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ แบบภาษาชาวบ้าน สำหรับคนธรรมดาแบบผม แบบคุณ กฎหมายหมิ่นประมาทมีไว้ปกป้องคนที่ถูกรังแก ถูกดูหมิ่น ดูแคลน ถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือใส่ความฉันใด กฎหมายมาตรา 112 ก็มีไว้ปกป้องสถาบัน และพระมหากษัตริย์ฉันนั้น การไปโพสต์เฟซบุ๊กด่าใครเสีย ๆ หาย ๆ ถือเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แม้เป็นเรื่องจริงก็ยังผิด ถ้าไม่จริงก็จะยิ่งผิดมหันต์ และต้องชดใช้ในสิ่งที่ไปทำร้ายคนอื่นมากสักแค่ไหนถึงจะสาสม 

การไปโพสต์ด่าทอพระมหากษัตริย์ ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง หรือแม้แต่การแชร์ข้อความใส่ร้าย กัดเซาะ คิดร้ายต่อสถาบันต่อ ๆ กันไป ก็เข้าข่ายผิด 112 เพราะไม่ใช่ ‘การแสดงความคิดเห็น’ แบบปกติธรรมดาอย่าง ‘วิญญูชน’ เขาทำกัน แต่คือการมุ่งร้าย เห็นถึงเจตนาชั่วในตัวตน เรื่องแบบนี้คนที่มี ‘สำนึกแห่งมนุษย์’ ย่อมรับรู้และแยกแยะได้ในทันที แต่สำหรับคนที่ ‘จิตใจใฝ่เลว’ จงใจทำผิด 112 คอยหมิ่นหยามกฎหมายอย่างท้าทาย แต่พอโดนคดีเข้าก็รีบใช้วาทกรรมว่าเป็นเพียง ‘การแสดงความคิดเห็น’ พยายามดิ้นกันสุดชีวิตให้ล้ม 112 หรือพากัน ‘ซุกหาง’ เดินคอตกพร้อมตีหน้าเศร้ามาขอ ‘นิรโทษกรรม’ ในคดี 112 ที่ตนเองก่อไว้ 

คนที่ติดคุกเพราะโดน 112 ในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีใครถูกรังแก มีแต่ไปทำร้าย ด่าทอพระมหากษัตริย์ก่อน และคนเหล่านี้ไม่เคยเข็ดหลาบ ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวออกมาก็ควรจะสำนึก กลับตัวกลับใจ แต่ที่เห็นก็ยังเดินหน้าทำผิดซ้ำในเรื่องเดิม ๆ เหมือนคนที่มีความชั่วฝังลึกในกะโหลก 

ไปดูสิ ทำไมคนไทยอีกค่อนประเทศถึงไม่มีใครเดือดร้อนเพราะ 112 ไม่เคยไปคิดล้มล้าง ทำลาย หรือต้องไปเหนื่อยขอ ‘นิรโทษกรรม’ ในคดีเช่นนี้ ก็เพราะคนเหล่านี้คือคนที่มี ‘จิตใจปกติ’ ไอ้ที่มันจ้องแต่ ‘จะล้มจะข้ามจะขอ’ ให้ตัวเองรอด มันก็พวกที่คิดแต่จะทำเลวทรามกับแผ่นดินทั้งนั้น 

มีดีสักตัวที่ไหนกัน!!

อดห่วงสังคมไทย ‘ปวกเปียก-เบาหวิว-ผิวเปลือก’   เมื่อมีคนดัง ‘โง่’ สังคมไทยจึงได้แต่ความ ‘ง่อย’

สังคมไทย เวลาจะดูว่า ‘คนดัง’ ในแวดวงต่าง ๆ เช่น ดารา นักร้อง หรือเซเลบที่มีชื่อเสียงในวงสังคมคนไหนฉลาดปราดเปรื่อง หวังพึ่งพา คิดดีต่อส่วนรวม หรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมได้หรือไม่นั้น วิธีง่ายที่สุด ให้ดูการให้สัมภาษณ์ออกสื่อในแต่ละครั้ง…

แม้คำถามที่ถูกถามจากนักข่าว หรือผู้ดำเนินรายการต่าง ๆ จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คนดังที่มี ‘สำนึกดี’ หรือ ‘คิดเป็น’ จริง ๆ จะสามารถพูดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความห่วงใยต่อสังคมที่เป็นไปได้ตลอดเวลา หรือจะดูการเขียน Facebook สำหรับคนที่เล่น Facebook อยู่เป็นประจำก็พอจะเห็นตัวตนจริง ๆ ได้ชัดในระดับหนึ่ง 

และนั่นก็รวมถึงนักการเมืองด้วย!!

นักการเมืองไทยยุคใหม่มักแสดงออกถึงการเป็นคนที่มีการศึกษาสูง แต่ทุกวันนี้บางคนยังเขียนคำว่า ‘คะ’ กับ ‘ค่ะ’ หรือ ‘ครับ’ เป็น ‘คับ’ โชว์ออกโซเชียลเน็ตเวิร์กรายวัน เห็นถึงการเป็นคนขาดความรู้ ขาดความละเอียดในการดำเนินชีวิต ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อมีสำนึกที่ต่ำเตี้ยเช่นนี้ ก็ยากที่ประชาชนจะหวังพึ่งพาอาศัยในเรื่องที่ถูกต้องได้ 

เรื่องการไปให้สัมภาษณ์สื่อต่าง ๆ บางคนอาจจะคิดว่าก่อนที่คนดังจะตอบ ก็ต้องกลับมาที่คำถามจากสื่อก่อน ด้วยสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ก็มักจะถามในสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์กับสังคม หรือถามแต่สิ่งที่ชาวบ้านนิยมชมชอบ แต่ขาดความลุ่มลึกในการถาม ขาดคำถามที่มีประสิทธิภาพ 

แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ว่าใครจะถามมาแบบไหน คนดังที่มีความฉลาดหลักแหลมในการตอบ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับที่สูงมากพอ คำตอบนั้น ๆ ก็จะมีแง่มุมให้คิดตามในทุก ๆ คำถามเสมอ เรียกว่าสามารถใช้ทุกโอกาส ทุกช่องทางที่มี ผลักดัน และต่อยอดไปในทางสร้างสรรค์ได้ในทุก ๆ สถานการณ์ แต่เรื่องเช่นนี้เราจะไม่มีทางได้เห็นในกลุ่มคนดังที่บ้องตื้น โง่เขลาเบาปัญญา แสวงหาแต่ชื่อเสียงและเงินทองไปวัน ๆ ซึ่งจะมีเป็นส่วนใหญ่ ๆ ในสังคมไทย 

บางที ที่เด็ก ๆ สมัยนี้ ขาดความลึกซึ้ง ขาดสามัญสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคม และหยาบกระด้าง นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราขาด ‘แบบอย่างที่ดี’ ยุคนี้เราจะเจอแต่ประเภทป่วยเปียก เบาหวิว และผิวเปลือก ฉายโชว์ออกสื่อ ปลิวว่อนบนโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา แล้วแก่นแกนที่ดีงาม ความแข็งแรงทางความคิดที่ตั้งอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องจากใครไหนเล่า จะมีให้ยึดเกาะหรือเดินตาม? มีแต่เลวร้ายลงจนยากจะฉุดดึงให้กลับมาสูงสง่าเท่าเดิม 

คำตอบที่ช่วยพยุงได้ในทันทีคือ ‘ตัวเรา’ 

ถ้าคิดว่าพึ่งพาใครไม่ได้ ก็อย่าพยายามเป็นในแบบที่มักง่าย และทำในสิ่งที่มันดูไม่งาม ผลักให้สังคมมันล้มตามกันไป

เปิดมาตรฐาน 'นักการเมืองส้ม' ผิดเท่าไร ก็ไม่ต้องแคร์ ขอแค่ 14 ล้านแฟนพันธุ์แท้ ยังรัก ยังเชียร์ แบบไม่ลืมหูลืมตา

สมัยก่อน เวลาที่นักการเมืองไทยสักคนถูกจับได้ว่าโกหก หรือทำผิดพลาดอะไรสักอย่าง ก็ถือว่าน้อยถึงน้อยมากอยู่แล้วที่จะมีสักคนกล้าหาญออกมายอมรับผิด พูดขอโทษประชาชน แล้วลาออกจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องรอให้สังคมกดดัน ซึ่งผิดกับบางประเทศเช่น เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ในความผิดที่น้อยกว่าก็ยังแสดงสปิริตด้วยการลาออกให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง การแสดงความรับผิดชอบของนักการเมืองบ้านเขา ได้สร้างมาตรฐานของ 'คนอาชีพนักการเมือง' ไว้ค่อนข้างสูงส่ง มีเกียรติ น่าเชื่อถือ และดูสง่างาม

แต่กับ 'นักการเมืองไทย' น่ะหรือ? อย่าให้ผมเซดเลย

ไม่ต้องไป 'วัดรอยสำนึก' กับมาตรฐานของนักการเมืองชาติใครเขาหรอก วัดกันแค่มาตรฐานของไทยเราเองก็เลวร้ายกว่านักการเมืองรุ่นก่อน ๆ ของเราอย่างเห็นได้ชัด นักการเมืองยุคนี้ถือเป็น 'นักการเมืองสายพันธุ์ด้าน' คือมีความหน้าด้าน ไร้ยางอายเป็นเท่าทวี พูดจาโกหกมดเท็จรายวัน จับได้ไล่ทันก็หันไปพูดเรื่องใหม่ พูดจาหลอกต้มคนโง่ในเรื่องใหม่ ๆ ต่อไป โดยจะทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ไม่ให้ความสำคัญกับคำพูด หรือ 'สัจจะมนุษย์' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่ไม่ใช่แค่การเป็น 'นักการเมือง' แต่คือ 'ความเป็นคน'

อย่างกรณีที่ 'เจ้าของพรรคล้มสถาบันตัวจริง' บินไปประเทศใกล้ ๆ เพื่อพบ 'อดีตนักโทษหนีคดี' ขนาดเด็ก ม.ปลาย ที่อ่อนวิชาการเมืองยังดูรู้เลยว่าจริง แต่ลิ่วล้อสองสามตัวกลับเสนอหน้ามาโป้ปดกับประชาชนหน้าตาเฉย เมื่อความจริงปรากฏ แต่ละตัวก็หันไปสายลมแสงแดด ไม่มีสักตัวที่จะออกมาพูดถึงพฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง และกล้าหาญแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเลยแม้แต่น้อย 

นี่คือ 'มาตรฐานใหม่' ของนักการเมืองไทย 'สายพันธุ์ด้าน' แม้จะเรียกขานว่าตัวเองเป็น 'คนรุ่นใหม่' แต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นนอกจากเก่าแล้วก็ยังต่ำ สกปรก โสโครก มักง่าย เน่าเหม็นทั้งกายใจ คอยเหยียบย่ำน้ำใจของประชาชนโดยไม่ไยดี 

ถือเป็นการกระทำที่ดูแคลนว่าประชาชนคนไทยคงโง่เขลาเบาปัญญา และหลอกง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ทั้งที่จริงกลุ่มคนที่โดนโกหกยังไงก็ยังเชื่อ ยังหลง ยังรัก ยังชียร์ และยังสนับสนุนชนิดไม่ลืมหูลืมตาไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และถ้าจะนับจาก 'คนหลงส้มเน่า' ที่มีมากถึง 14 ล้านเสียง ถึงวันนี้ผมก็มั่นใจว่าได้หายศีรษะไปมากพอสมควรแล้ว 

ใครจะยังกล้าหาญประกาศตัวเป็น 'ประชาชนสายพันธุ์โง่' ที่คอยอยู่เชียร์ 'นักการเมืองสายพันธุ์ด้าน' อีก ก็ให้สังคมมันรู้กันไปว่าประเทศไทยมีคนไทยประเภทนี้หลงเหลืออีกกี่คน?  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top