Saturday, 7 June 2025
แจ็ค รัสเซล

ต้องเป็นคนไทยแบบไหน ถึงกล้าแอบรับเงินต่างชาติ มาเผาระบบ ทำลายความมั่นคงภายในประเทศของตัวเอง

(18 ก.พ. 68) ความแตกแยกของคนในชาติ คืองานหลักของ “ทุนตะวันตก” ที่อยากเห็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์พร้อมในด้านทรัพยากรแบบไทยเรา กลายเป็นประเทศที่สามารถครอบครอง บังคับ หรือจับซ้ายหันขวาหันได้ตามอำเภอใจ แต่การจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ก็ต้อง “ซื้อคนไทยกระหายเงิน” ให้ได้ก่อน แล้วใช้ “คนไทยขี้ข้าฝรั่ง” เหล่านี้ เดินเกมล้มชาติตัวเองให้สำเร็จด้วยกลวิธีสกปรกที่เตรียมไว้  

การเคลื่อนไหวผ่าน “คนไทยหัวใจคด” ที่แสดงออกถึงการไม่เอาสถาบันในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการตั้งม็อบ การแต่งกายเลียนแบบกษัตริย์ในเชิงเสียดสี ประชดประชัน หรืองานแสดงศิลปะที่เปลือยให้เห็นตรง ๆ ถึงการทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของไทย แม้จะมีมาในสังคมไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่เห็น “หางโผล่” แบบชัด ๆ ก็ในวันที่ประเทศไทยมี “พรรคส้มสามกีบ” เกิดขึ้นมา

แบ่งงาน แยกกันตี กระจายกำลังกันไปเพื่อจะสั่นสะเทือนถึงระบบ ความเป็นอยู่ ความเชื่อดั้งเดิม และความภักดีของคนไทยส่วนใหญ่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ช่วยกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “คนไทยสมองน้อย” คล้อยตามว่าสถาบันกษัตริย์คือสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาเพื่อต้องการให้ “ศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ” สั่นคลอน 

อีกหนึ่งเหตุผลของ “คนไทยชังชาติตัวเอง” ก็จะชูคำพูดสวยหรูว่าที่พวกเขาทำอยู่นั้นก็เพื่อให้ประเทศไทยได้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เราจึงเห็น “กลุ่มคนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่ง” เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับ 112 ที่ผ่านมาทั้งหมด เห็นชัดว่าแนวคิดเช่นนี้เป็นอันตรายต่อสังคมไทย และบ้านเมืองเราจะไร้ความสงบสุขแบบยั่งยืน 

ทุนต่างชาติที่หวัง “ฮุบประเทศไทย” ถ้าจะทำสำเร็จได้ก็ต้อง “ล้มสถาบันกษัตริย์” ให้ได้ก่อน หรือทำให้อ่อนแอลง ก็จะง่ายที่จะทำเรื่องเลว ๆ ตามแผนในลำดับถัดไป จึงจำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองที่แอบกัดเซาะสถาบันอยู่ในสภาด้วย แผนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่งถึงจะเรียกว่าคืบหน้า ออกอาวุธทุกที่เมื่อมีโอกาส แอ็คชั่นให้ “คนออกทุน” เห็นผลงานแบบเนื้อ ๆ ไม่เช่นนั้นท่อน้ำเลี้ยงจะหยุดไหล แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ร่ำรวยอู้ฟู่ในเวลาอันรวดเร็ว 

เมื่อได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยขี้ข้าตะวันตก” ก็ต้องเดินหน้า “ชูสามนิ้วล้มสถาบัน” ให้สุดซอย ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระวังแหล่งทุนจะรู้ทันว่าก็แค่ “รับจ้างล้มเจ้า” ไปวัน ๆ นายทุนหมดเงินเมื่อไหร่ ก็พร้อมกลับหลังหันได้ตลอดเวลา ตามประสานักการเมืองไทย 

ฝันไปเถอะคำว่า “อุดมการณ์”

เมื่อหนึ่งในผลิตผลของ ‘พรรคส้ม’ ล้มสถาบัน!! คือการเป็น สส. หื่นกาม กระทั่งข่มขืนหญิงสาวชาวต่างชาติ

(12 ก.พ. 68) ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วจริง ๆ หรือคุณภาพของนักการเมืองอยู่ในมาตรฐานที่สูงมากพอ หากถูกจับได้ว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องละเมิดจริยธรรม คุณธรรม ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนเอง รวมถึงพรรคการเมืองที่สังกัด นักการเมืองผู้นั้นจะต้องขอยุติบทบาท ลาออกจากการทำหน้าที่ทันที ไม่ต้องรอให้ใครมากดดัน หรือขับไล่

แต่เรื่องดี ๆ แบบนี้คงยากจะหาได้จาก ‘นักการเมืองขี้หมา’ ของประเทศไทยเรา 

ด้วยมาตรฐานของนักการเมืองไทย เน้นไปที่ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ มีมาตรฐานที่ค่อนข้างต่ำ สมัยยี่สิบปีก่อนก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูง แต่สมัยนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นับได้ไม่เกิน ‘นิ้วมือรวมนิ้วตีน’ ที่จะเรียกว่าเป็น ‘สส. คุณภาพ’ เข้ามาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริต มีอุดมการณ์ มีความรับผิดชอบอันแรงกล้าต่อสังคมส่วนรวม 

ส่วนใหญ่เป็นได้เพียง สส. ผู้หิวกระหายอำนาจ รวมหัวกันโกงบ้านกินเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยมีแต่ความต่ำทราม เลวร้าย ดูเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ เพราะอุดมไปด้วยกลุ่มคนที่มี DNA ในทางปลิ้นปล้อนเข้ามาอยู่รวมกันในสภาอันทรงเกียรติ 

ที่ชัดสุดคือ สส.จากพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายล้มล้างการปกครอง อ้างตนเป็น ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่หมายจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่ประชาชนจับได้ไล่ทันช่างเป็นสิ่งที่น่าอเนจอนาถใจ ตั้งแต่การแอบอ้างผลงานของคนอื่นเป็นผลงานของตัวเอง สร้างเรื่องโกหกรายวันให้ตนเองดูดี หนีการเกณฑ์ทหาร และพัวพันคดี 112 อีกไม่น้อย ยังมีคดีละเมิดทางเพศ ข่มขืนสาวชาวต่างชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยหมดคุณค่าลงสิ้น 

สส. หื่นกาม มีพฤติกรรมชั่ว ทำผิดในเรื่องซ้ำ ๆ รายหนึ่ง เป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของพรรคการเมืองที่เข้ามาเพื่อล้มล้างสถาบัน จึงยากที่จะเห็นนักการเมืองในพรรคนี้ก่นด่าให้เราได้ยิน ต่างพากันเงียบกริบ หันไปสายลมแสงแดดแทน 

คำกล่าวที่ว่า สส. โง่และชั่วในระดับใด ก็ให้ดูพรรคการเมืองที่สร้างจนมีตัวตน รวมถึงกลุ่มคนที่กาเลือกเข้ามา เพราะจะมีคุณสมบัติที่ไม่ต่างกัน

ผลเลือกตั้ง นายกอบจ.ลำพูน เมื่อลูกลำไยกลายเป็นมีเปลือกส้ม รสชาติออกเปรี้ยวนำ ความหวานหอมแต่ดั้งเดิมกำลังจะเลือนหาย

(4 ก.พ. 68) เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทุกจังหวัดในประเทศไทย “พรรคส้มล้มสถาบัน” ไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เลย ยกเว้นจังหวัด ลำพูน เพียงจังหวัดเดียว ย่อมสะท้อนให้เห็นแนวคิด และมาตรฐานของผู้คนในพื้นที่ได้หลากหลายมิติ 

ส่วนใหญ่ที่สุด คนลำพูนเบื่อหน่ายนายก อบจ. คนเก่า ซึ่งเป็นคนของ “พรรคโกงจำนำข้าว” ซึ่งเป็นคนใหญ่โตในพื้นที่ เก๋าเกมกางปีกคลุมเมืองลำพูนมาช้านาน แต่กลับไร้การพัฒนาตามความรู้สึกนึกคิดของ “คนรุ่นใหม่” เมื่อตัวแทนผู้สมัครจาก “พรรคส้มล้มเจ้า” โชว์วิสัยทัศน์และนโยบายที่ตรงใจ มีความหวังว่าจะเกิดขึ้นจริงในจังหวัดลำพูนได้ จึงคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้เป็นนายก อบจ. ของจังหวัดลำพูนคนใหม่ทันที

ประชาชนหลายจังหวัด แม้จะเบื่อนายก อบจ. คนเก่าของจังหวัดตัวเอง แต่ก็ตื่นรู้เรื่องแนวคิด “ล้มสถาบัน” ของพรรคประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ไม่อาจหาญไปกาเลือกผู้สมัครของ “พรรคล้มสถาบัน” ให้เข้ามาเจาะเปลี่ยนความคิดของผู้คนให้ชิงชังกษัตริย์ตาม “นโยบายล้มเจ้า” ที่ฝังลึกอยู่ใน DNA ของพรรคส้ม ถ้าไม่กาช่อง “โหวตโน” ก็จะเลือกจะให้โอกาสคนจากพรรคใดก็ได้ที่ไม่มีแนวคิดล้มล้างการปกครองอย่างที่รู้สึกกัน 

เพราะตกผลึกแล้วว่า “ได้ย่อมไม่คุ้มกับเสีย” แค่การเบื่อคนเก่า แต่กาเลือกคนที่มีแนวคิดล้มสถาบันให้เข้ามาดูแลจัดการจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง อนาคตอาจจะพังพินาศยิ่งกว่า

การเมืองท้องถิ่นย่อมใกล้ชิดประชาชนในพื้นที่ การจะปลุกระดม เปลี่ยนแปลง สร้างความเชื่อมั่น และปลุกปั่นความนึกคิดของผู้คนให้คล้อยตาม โดยแลกด้วยผลประโยชน์ที่จับต้องได้ ก็สามารถหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ไม่ยาก ไม่นานก็จะกลายเป็น “ลำพูนส้ม” ที่ลำไยทุกลูกเมื่อลิ้มรสชาติก็จะออกเปรี้ยวนำ หวานแต่ดั้งแต่เดิมกำลังจะหมดหายไป กลายเป็น “ลำไยเปลือกส้ม” แทน

ผมไม่บังอาจฟันธงว่าท่านนายก อบจ. คนใหม่จาก “พรรคส้มล้มเจ้า” เป็นคนไม่เก่ง ไม่มีความรู้ ไม่เจนจัดเรื่องการบริหาร หรือจะเป็นคนที่ไม่สามารถพัฒนา “เมืองลำไย” ได้สำเร็จ ท่านอาจจะทำได้ดี และทำให้ผู้คนชื่นชมมากกว่านายก อบจ. คนก่อนจาก “พรรคนายกหนีคดี” แต่เรื่องแนวคิดการไม่เอาสถาบันผ่านอำนาจที่ท่านมี ยังไง “พรรคล้มเจ้าของท่าน” ก็ต้องวางแผนออกอาวุธอย่างเป็นระบบ 

อย่าลืมว่าพรรคส้มเกิดมาเป้าหลักก็เพื่อล้มสถาบัน อย่างอื่นน่ะเป็นได้แค่เครื่องมือ

ศิลปินนักร้อง จำพวกเกลียด 112 จ้องล้มเจ้า ถึงคราวตัวเองฟ้องหมิ่นทันที - แถมใช้เพลงพระราชนิพนธ์หากิน

(28 ม.ค. 68) ข่าวโด่งดังในสังคมไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน คงหนีไม่พ้นประเด็นศิลปินนักร้องชายชื่อดัง “แอบคบชู้” จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และถึงแม้ฝ่ายถูกฟ้องจะยอมความพร้อมชดใช้ค่าเสียหายในที่สุด แต่เรื่องราวเชิงลึกกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีประเด็น 112 โผล่ขึ้นมากลาง “สนามรักสนามแค้น” 

สำหรับสังคมไทย คนเป็นศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง แค่ถูกจับได้ว่า “นอกใจภรรยา” ก็สร้างความมัวหมองให้กับอาชีพของตนเองได้แล้ว แต่หากสืบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือมีแนวคิด “ล้มล้างสถาบัน” ก็ย่อมจะถูกสังคมไทยต่อต้าน ก่นด่า และเลิกติดตามสนับสนุน ชีวิตอาจจะดับมืดลงทันทีถ้าชื่อเสียงและบารมีไม่แข็งแรงพอ ด้วยสถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ สมควรต้องปกปักรักษาเอาไว้ 

หากมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นว่าศิลปินนักร้องไทยยุคสมัยก่อน จะรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนืออื่นใด จึงไม่ค่อยมีประเด็นที่ศิลปินนักร้องเข้าไปเฉียดใกล้คดี 112 ให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองต้องมีตำหนิ ซึ่งผิดกับศิลปินนักร้องจำนวนไม่น้อยในยุคสมัยนี้ นอกจากจะไม่จงรักภักดี ไม่คิดว่าการที่ประเทศไทยอยู่อย่างมั่นคงมาได้ยาวนานส่วนสำคัญก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไปสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน หรือไม่ก็แอบติฉินนินทาด้วยภาษาหยาบ ๆ คาย ๆ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ จนบางคนเข้าข่ายผิด 112 

สังคมไทยเรียกขาน “ศิลปินนักร้องล้มเจ้า” เหล่านี้ว่า “นักร้องสามกีบ” มีพฤติกรรมเด่นคือ ชอบแอบด่า แอบกัดเซาะ แสดงตนดูหมิ่นสถาบัน แต่พอจะถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีหมิ่นประมาทที่มีไว้ปกป้องพระมหากษัตริย์ ก็เที่ยวโห่ร้องตะโกนว่า 112 เป็นภัยต่อสังคม เป็นคดีทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้มาตรานี้มารังแกตนเอง 

ทางกลับกัน พอถูกใครมาดูหมิ่น เหยียดหยาม ก่นด่า หรือใส่ร้ายตนเองบ้าง ก็เที่ยวไปฟ้องร้องดำเนินคดีคน ๆ นั้นในข้อหา “หมิ่นประมาท” ทันที พฤติกรรมเช่นนี้จึงดูย้อนแย้ง เอาแต่ได้ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด ยังไม่นับที่นักร้องบางคนออกตัวว่า “เกลียดเจ้า” แต่กลับนำ “บทเพลงพระราชนิพนธ์” ไปร้องเพื่อทำมาหากิน เจอนักร้องแบบนี้ที่ไหน อย่าไปสนับสนุนให้เสียเวลาชีวิตเลย 

มันเป็นได้แค่ “ขี้กากมนุษย์” ไร้หลักการ ไร้อุดมคติ ไร้ความนับถือใด ๆ แม้แต่ตัวเอง 

เมื่อมีรัฐบาลขายแผ่นดิน - ฝ่ายค้านล้มล้างสถาบัน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม

(21 ม.ค. 68) ปีสองปีมานี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปทำอาชีพค้ายาเสพติดกันมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ แบบแอบขายปลีกตามซอกซอย ไปจนถึงนักค้ารายใหญ่ อาชีพรองลงมาก็คือเป็นเจ้ามือหวย มีตั้งแต่หวยเถื่อนปกติที่หนึ่งเดือนมีสองครั้ง กับหวยเถื่อนแบบตั้งวงเล่นในหมู่บ้าน มีให้คนหาเช้ากินค่ำแทงเล่นได้ทุกวันทั้งเช้าและเย็น และส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะหมดตูดกันถ้วนหน้า

รัฐบาลเด็กอมมือนอมินีในสายเลือดของ “นักโทษเทวดา” ก็ยังสนับสนุนให้ประชาชน “รอเงินแจก” เมื่อไร้สมอง และไม่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารชาติให้ก้าวหน้าก็กลับมาเล่นแผน “ประชานิยม” ตามสูตรเดิม ส่งเสริมให้คนไทยที่กำลังขี้เกียจให้ขี้เกียจทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า 

ยังไม่นับการเดินหน้าสนับสนุนให้มีบ่อน เพื่อตอกย้ำการมอมเมาผู้คนให้สิ้นเนื้อประดาตัวในระยะยาว และที่ชั่วได้คลาสสิคที่สุดก็คือการเอื้อให้เขมรได้อณาเขตทางทะเลไทยไปหากินแบบง่าย ๆ ดีที่ยังมีคนไทยส่วนมากตื่นรู้ กล้าหาญออกมาปกป้องแผ่นดินของเราเอง รัฐบาลที่มีแผลอยู่เต็มตัวจึงไม่กล้าออกอาวุธส่งเดช ทุกอย่างจึงยังไปไม่สุด ก็ต้องจับตากันไปมาแบบไม่กะพริบ 

รัฐบาลไทยยามนี้มีแต่ “ความโลภ” จึงเดินหน้าดึงชาติให้ตกต่ำเพื่อ “ผลประโยชน์” ของตนเองเท่านั้น แทบไม่มีผลงานใดที่จะโชว์ให้สังคมโลกเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีต่อคนไทยได้เลย แต่ถึงจะบริหารประเทศได้ย่ำแย่ ตกต่ำกว่าทุกยุคสมัยแค่ไหน แต่ฝ่ายค้านของเราก็ยังนิ่งเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยังคงวางแผนเดินเกมลับเพื่อล้มสถาบันดังเดิม เพียงแต่หนนี้หันไปเล่นเกมในสภา เพราะถ้าจะหลอกใช้เด็กวัยรุ่นให้ไปติดคุกแทนด้วยการแตะ 112 ด้วยการ “เขียนกำแพงวัดพระแก้ว” อีก แผนชั่วนี้คงใช้ไม่ได้ผล เด็ก ๆ ตื่นจากความโง่จนรู้เท่าทัน “กลลวงของพรรคส้มเน่า” แล้ว การมีพรรคฝ่ายค้านในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากการเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้นักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ ถ้านำเงินไปเลี้ยงหมาจรจัดตามข้างถนน เรายังจะได้ “ความซื่อสัตย์จากสุนัข” มากกว่า 

ถึงวันนี้ เราจึงมีแต่นักการเมืองโลภ ไร้คุณภาพ และไร้วิสัยทัศน์ จึงยากที่ประเทศไทยจะอยู่อย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ที่พึ่งสุดท้ายคือประชาชนแบบเรา ๆ ถ้ายังอ่านคนไม่ขาด ดูนักการเมืองไม่ออก ยังคงหลงกลนักการเมืองซ้ำ ๆ เดิม ๆ ก็ตายหมู่แน่นอน 

ปล่อยไว้แบบนี้ อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม 

ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง

จากคอลเซ็นเตอร์ ฟอเร็กซ์ 3d ดิไอคอน จนถึง “คนตื่นธรรม” ที่ทำคนไทยไม่น้อยหลับต่อความจริงสนิท จนยากที่จะฟื้นตื่น

(14 ม.ค. 68) ว่ากันว่า “คนที่มีนิสัยย้อนแย้ง” นำมาซึ่งหายนะต่อคน ๆ นั้นนับครั้งไม่ถ้วน คนเราถ้าขาดซึ่ง “ความชัดเจน” บนฐานรากของความถูกต้อง ก็จะเผยให้เห็นความคิด และการกระทำที่ผิดเพี้ยนตามมาในไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเหล่านี้จะเปลือยภาพความไม่มั่นคง, ไม่น่าเชื่อถือ และเป็นอันตราย จึงไม่ต่างจากความชั่วร้ายที่เป็นพิษภัยต่อสังคม จุดจบของคนเหล่านี้ถ้าไม่ติดคุก ก็ตายทั้งเป็นด้วยชื่อเสียงที่เน่าเหม็นยากจะมีใครกล้าเข้ามาคบค้าสมาคม 

เหล่ามิจฉาชีพ นักต้มตุ๋น นักลวงหลอกผู้คน มักมีคุณสมบัติคือ “ความย้อนแย้ง” เป็นส่วนประกอบหลัก ย้อนแย้งในคำพูด ย้อนแย้งในการกระทำ พูดจากลับไปกลับมา กลิ้งกลอกหลอกล่อผู้คนไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อหวังทรัพย์สิน เงินทอง ความนับถือ โดยปราศจาก “แก่นแท้ทางธรรม” ให้ผู้คนรู้สึกเลื่อมใสใด ๆ  

แต่ที่ยังคงลวงหลอกผู้คนให้ไป “ติดกับดัก” ได้มากมาย สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และความรู้สึกชนิดที่ยากจะประเมินได้นั่นก็เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยเรียนรู้อดีต ไม่ลงลึกเพื่อจดจำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือ “ไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต” แต่ละวันโหยหาแต่ “สิ่งที่ถูกใจ” มากกว่า “สิ่งที่ถูกต้อง” ก็เลยกลายเป็น “เหยื่อคนคดโกง” ที่แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “ลีลาโจร” มา “ต้มตุ๋น” ซ้ำใหม่ได้ง่าย ๆ 

เพียงแต่ “คนมีบุญขนานแท้” เกาะติดกายใจไปทุกชั่วขณะก็จะ “อ่านโจร” ออก จึงรอดปลอดภัยทุกสถานการณ์ ซึ่งยังโชคดีที่ว่ายังเป็น “คยไทยส่วนใหญ่” ของประเทศ แต่ใครที่คล้ายเป็น “คนไร้บุญไร้กุศล” ก็จะมืดบอดด้วยปัญญา ต่อให้ “โจรโง่แสนโง่” สักเท่าไหร่ ก็จะพ่ายแพ้ทางโจรวันยังค่ำ 

การที่สังคมไทยเกิด “อาชีพนักต้มตุ๋น” มากเป็นดอกเห็ด คงจะโทษใครไม่ได้ ต้องกลับไปที่เรื่องของ “ความละเอียดในการใช้ชีวิต” เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เพศ การศึกษา หรือนามสกุลจะใหญ่โตหรือต่ำเตี้ยสักเพียงไหน เพราะถ้าโง่ ก็รอดยาก 

คนไม่โง่ หรือโง่เพียงระยะสั้นเท่านั้น ที่จะปลอดภัยในระยะยาว 

คนที่ไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยว หรือหลงแสดงความชื่นชม “นักต้มตุ๋น” คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็น “ผู้ตื่นธรรม” โดยแท้จริง 

ทิ้งไว้ให้คิด ปริศนาธรรมจากคนที่ตื่นต่อความจริง 

เมื่อพรรคโกงจำนำข้าว แอบผสมโรงพรรคล้มล้างการปกครอง หวังขุด เจาะ ทะลวง เซาะกร่อนสถาบันผ่านสภา

(6 ม.ค. 68) ความเน่าเหม็นของรัฐบาลในหลาย ๆ เรื่อง จนเกิดเป็นความเบื่อหน่ายของประชาชนคนไทยจำนวนมาก บวกกับพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ทำงาน “ตรวจสอบความผิดปกติของรัฐบาล” เงียบปากสนิทราวกับว่าแอบทำงานรับใช้รัฐบาลอยู่ หาใช่การเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนไม่ ที่น่าทุเรศที่สุดคือการออกตัวว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเพื่อต่อสู้และกำจัด “ความเหลื่อมล้ำ” อยากเห็นสังคมไทยเท่าเทียม แต่สิ่งที่เห็น กลับไม่กล้าหืออือสักนิดกับ “เศรษฐีชั้น 14” กรณีที่วางแผนลับไม่ให้ตนเองต้องติดคุกเหมือนนักโทษทั่วไปแม้เพียงวันเดียว 

ประชาชนที่มีปัญญาวิเคราะห์ก็พอจะบอกได้ว่าทั้ง “รัฐบาลและฝ่ายค้าน” น่าจะกำลังพึ่งพากันในเรื่องสำคัญ และถ้าเดาก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ไม่หวังดีต่อสถาบันเบื้องสูง เพื่อจะใช้แผน “สามัคคีชั่วชุมนุม” ต่อรองกับพรรคการเมืองฝั่งที่จะดำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ทุกลมหายใจเข้าออกของนักการเมืองสองพรรคนี้ มีแต่การ “เล่นการเมือง” เพื่อเป้าประสงค์และผลประโยชน์ของตนเอง ไม่มีสักนิดที่จะคิดทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนคนไทย

ฝ่ายค้านเห็นรัฐบาลทำเลว ก็เงียบ ไม่เร่งตรวจสอบ ไม่กล้าทักท้วง กลายเป็น “นักการเมืองทาสนักโทษ” ที่น่าละอายที่สุด แต่กลับเอาเวลาที่มีไปทำหน้าที่อุ้มชูพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านแทน ถือว่าเป็นฝ่ายค้านที่ไร้ประโยชน์ติดอันดับต้น ๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  

ความนิ่งเฉยในการตรวจสอบรัฐบาลของฝ่ายค้าน ทำให้สังคมเริ่มได้กลิ่นการ “ผสมโรงชั่ว” ระหว่าง “นักล้มการปกครอง” กับ “นักโทษชั้น 14” เพื่อการทำลายสถาบันโชยมาเป็นระยะ จากนี้ไปคนไทยที่รักสถาบันต้องช่วยกันจับตาดูสองพรรคนี้ให้ดี ๆ เมื่อพรรคหนึ่งแม้จะได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ทำตามที่พูดไว้ไม่ได้จริง และไม่ได้ใจใครแม้แต่คนที่กาเลือกเข้ามา ทำให้คะแนนเสียงหดหาย ส่วนอีกพรรค เอาแต่คิดล้มล้างการปกครอง ทำแต่เรื่องแย่ ๆ โง่ ๆ ออกสื่อรายวัน จนคนที่เคยเลือกเริ่มจะหูตาสว่าง และถอยห่างกันมากโขแล้วในวันนี้ 

วิธีเดียวที่ทั้งสองพรรคจะต่อรองให้ตนเองมีที่ยืนเพื่อทำเรื่องชั่ว ๆ กับประเทศชาติได้อีกต่อไป ก็คือต้องหันหน้ามา “ผสมพันธุ์” กัน แล้วใช้สภาที่ตนเองอาศัยฟอกตัวอยู่รวมหัวทำร้ายสถาบันเงียบ ๆ 

ทฤษฎีที่ใครเคยบอกว่าเลือกแดงเพื่อมาล้มส้ม ผมพูดเสมอว่านั่นเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ

ย้อนมองกรณี ‘สส.พรรคส้ม’ ขึ้นป้ายแซะสวดมนต์ข้ามปี สะท้อนความคิดขวางโลกเต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ

ป้ายคัทเอาท์ “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” เป็นของ สส. ผู้ทรงเกียรติ หรือเพียงของ “คนบาปเบาปัญญา”??

เข้าใจได้ว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกแขนงอาชีพมักจะได้คนทำงานที่ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' เข้ามาทำงานในองค์กรเป็นจำนวนที่สูงมากกว่าสมัยก่อน ซึ่งก็รวมทั้ง 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ด้วยเช่นกันที่อาจจะได้นักการเมืองน้ำดีและห่วยชนิดที่ยากจะนึกภาพออกว่า 'คุณภาพคนเลือก' ต้องต่ำขนาดไหน ถึงได้เลือก 'สส. สมองกลวง' เช่นนี้เข้าสภามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน 

คนที่เกิดมาเป็น สส. อาสามาเป็นคนทำงานเพื่อส่วนรวม สำคัญกว่าใด ๆ คือต้องมี 'Mindset' ในการใช้ชีวิต และการทำงานที่ต้องสะท้อนให้เห็นอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่สังคมรู้สึกพึ่งพาได้ ไม่กังขา ไม่สงสัยทั้งความคิด และการกระทำ เพื่อจะได้นำสิ่งที่มีดีติดตัวอันมากมายนั้นมาพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง

แต่ทันทีที่สังคมไทยได้เห็นป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ ติดรูปนักการเมืองไทยคนหนึ่ง เป็น สส. จากพรรคการเมืองที่ถนัดแต่ 'ล้มล้างการปกครอง' และแทบจะทั้งพรรคมี 'พฤติกรรมย้อนแย้ง' เป็นอาชีพ มีข้อความว่า “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” ผู้คนในสังคมที่พอจะมีสติปัญญาก็จะสรุปได้ในทันทีว่าช่างเป็นข้อความที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่จรรโลงสังคม เต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ กระแซะคนชาวพุทธที่ศรัทธาเรื่อง 'การสวดมนต์ข้ามปี' ที่มีมาแต่โบราณ 

นอกจากสร้างความเกลียดชังต่อผู้คนที่พบเห็น ความหมายบนป้ายโฆษณายังมี 'ความย้อนแย้ง' ไม่ต่างจากชีวิตประจำวัน สส. ผู้ไร้ความจริงใจต่อสังคมคนนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่เรื่องโง่ ๆ เกิดขึ้นกับนักการเมืองที่เกลียดการไหว้, ชิงชังการเคารพนอบน้อม และคิดแต่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย 

ตอกย้ำแน่ชัดอยู่สองเรื่องหลัก ๆ ว่า หนึ่งเมื่อใดที่เราได้ สส. ที่ขาดความเคารพต่อสังคมชาติ และสถาบัน ก็ยากจะเคารพต่อขนบ วัฒนธรรม เรื่องที่สองคือคนในแบบเดียวกันก็จะถูกดึงรวมอยู่ใน 'คอกบาป' เดียวกัน เวลาทำเรื่องเลวร้ายใด ๆ ก็จะไม่มีใครห้ามปราม จะปล่อยกันให้ 'ตายทั้งเป็น' คาสังคม ด้วยคนที่คิดข้อความไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ แม้เพียงคิดในใจก็น่าอับอายไปถึงกระดูกแล้ว แต่หากคิดแล้วกลับอยากให้ผู้คนรับรู้ ก็เท่ากับว่าตั้งใจ 'ประกาศสันดาน' ต่อสังคมว่าตัวเองนั้นเป็นคนประเภทใด

ถ้าตอนคิดก่อนลงมือทำ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าผลจะออกมานั้นตนเองจะดูดี จะมีผู้คนชื่นชอบ ก็ต้องพูดว่าเป็น สส. ที่โง่เง่าเป็นทวีคูณ 

ยากจะหาบทสรุปอื่นได้เลย  

ระหว่างกาช่อง ‘โหวตโน’ กับเลือกที่ ‘ไม่เข้าขั้นแย่’ แบบใดจะนำพาประเทศชาติหลุดพ้นจากวังวนเดิม ๆ

อยู่ประเทศไทยหากจะหานักการเมืองที่ซื่อตรงต่อประชาชนอย่างจริงแท้ คนส่วนใหญ่จึงเลือกพรรคการเมืองที่แย่น้อยหน่อยตามความนึกคิดของตัวเองให้เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง เพราะถ้าจะหาในแบบที่ดีบริสุทธิ์ 100% ตายแล้วเกิดใหม่อีกหลายครั้งก็ใช่ว่าจะพบเจอ เป็นการลดความคาดหวังออกจากอุดมคติของตนเอง มาก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เห็นจริงตรงหน้า เพื่อให้สังคมไทยได้เดินต่อ แม้จะเป็นการก้าวเหยียบดินไม่เต็มฝ่าเท้าก็ตาม 

เพราะการมองและเลือกมุมนี้เท่ากับว่า คนไทยส่วนนี้สิ้นหวังแล้วว่าจะไม่พบเจอนักการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ทุจริต และทำงานรับใช้ชาติเพื่อส่วนรวม จึงจำใจกาเลือกไปตามสติปัญญาของตัวเอง 

คนจำนวนนี้คิดว่าการ 'โหวตโน' เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นการเสียสิทธิ์ สู้เลือกพรรคการเมืองที่ยัง 'ไม่เข้าขั้นแย่' ก็น่าจะดีกว่า จะได้เอาไว้คานอำนาจ ไว้ต่อสู้กับพรรคการเมืองที่ 'เลวทั้งโคตร' หรือ 'เป็นอันตรายต่อสถาบันไทย' ย่อมจะมีประโยชน์กว่าการออกไป 'โหวตโน' ให้บัตรทิ้งเสียไปเฉย ๆ 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลของคนที่ไม่กาช่อง 'โหวตโน' แม้สิ่งที่เลือกจะไม่ใช่ในแบบที่ใฝ่ฝันไว้ก็ตาม

แต่ประโยชน์ของช่อง 'โหวตโน' ที่ซ่อนอยู่ คือจะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ไม่ได้มีคุณค่า หรือมีความหมายต่อคนไทยอีกต่อไปแล้ว คนไทยจึงพร้อมใจกันกาเลือก 'ช่องที่ไม่ต้องเลือกใคร' เพราะมองไม่เห็นว่าคนหรือพรรคการเมืองใดควรคู่กับ 'ความไว้วางใจ' ของประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว 

เข็ด เบื่อ เหลืออด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง คนใหม่ก่นด่าว่าคนเก่าแต่พอเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ทำในสิ่งที่แย่กว่า และปัญหาการคอร์รัปชันก็ไม่เคยหมดหายไปจริง ๆ แล้วจะให้ประชาชนกาเลือกในสิ่งที่มีอยู่อีกทำไม? นี่คือเหตุผลหลักของคนที่เลือกช่อง 'โหวตโน' 

หากมองในมุมโลกสวยขึ้นมาอีกนิด คนไทยที่เลือกช่อง 'โหวตโน' หรือเลือกพรรคที่ 'ไม่เข้าขั้นแย่' คนไทยสองกลุ่มนี้ก็ยังเป็นกลุ่มคนที่พอจะหวังพึ่งพิงได้ของประเทศชาติ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่บ้องตื้นกาเลือกพรรคการเมืองที่วัน ๆ คิดแต่จะล้มล้างการปกครอง หรือพรรคการเมืองที่นอกจากเคยโกงจำนำข้าว, มีนักโทษลวงโลกบนชั้น 14 ก็ยังมีนายกนอมินีที่ติดอันดับโง่จนทำให้ประเทศชาติอับอายแทบจะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์สื่อ

ถึงมีคำกล่าวที่ว่า นายกเป็นแบบใด คนเลือกเข้ามามันก็เป็น..แบบนั้น

ตื่นธรรม ต้องตื่นที่ใจ มิใช่ตื่นเพราะลืมตา แต่ยังหลงวนในดงคนบาป ปั้นตัวให้ดูแตกต่างเพื่อต้มตุ๋นเงินทอง

เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นชัดว่า 'คนไทยยุคใหม่' ขาดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอ่อนแอ เปราะบาง พร้อมจะโอนเอนเข้าหาการโน้มน้าวจาก 'ของปลอม' ที่คอยปักธงปล้นเงินในกระเป๋าไว้อย่างรัดกุม ด้วยเพราะรู้ใน 'จุดอ่อน' ของ 'คนหลับธรรม' จำนวนมากในสังคมไทย 

สังคมไทยยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งการถือดีแต่ไม่มีดี อวดฉลาดแต่ก็โง่เขลาเบาปัญญา จึงพร้อมใจกันสาละวนอยู่กับการถูกหลอกลวงจากคนรูปลักษณ์ใหม่ ๆ ในวิธีการลวงล่อที่ไม่ต่างจากอดีต แต่ด้วยเพราะสังคมขาดความรู้ ขาดการลงลึกเพื่อจดจำประวัติศาสตร์ ขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างจริงจัง และไม่ชอบ 'อ่านหนังสือ' ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานของคนในชาติที่เจริญแล้ว เมื่อชาติใดมีประชากรที่ฉลาด ชาตินั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามมา โจรก็จะน้อยลงเป็นเงาตามตัว

แต่สังคมไทยให้ความสำคัญแต่กับเปลือกปลอม ข่าวซุบซิบเรื่องของชาวบ้าน สอดส่องแอบดูความร่ำรวยของผู้คน และการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตัวเอง เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยถึงน้อยมากที่จะให้เวลาหมดไปกับการ 'ศึกษาเรียนรู้' เพื่อที่จะไม่เป็นเหยื่อโจร ซึ่งแปลงโฉมมาต้มตุ๋นสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่เว้นวัน ยุคนี้จึงมุ่งมาหากินกับกลุ่มคนที่ยัง 'หลับธรรม' เพราะเป็นผู้คนที่ 'หลอกง่าย' ด้วยไร้แสงสว่างทางใจแบบฝังลึก

มองมุมหนึ่งกลุ่มคนที่โอนเงินไปบริจาคให้กับ 'นักต้มตุ๋น' ไม่ว่าจะเคยเป็นมาในรูปแบบใด ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าน่าสงสาร เห็นใจ แต่ถ้ามองในมุมใหญ่ก็จะพบว่ายังคงเป็น 'คนกลุ่มเดิม' ที่ยังเดินหน้าให้โจรหลอกซ้ำหลอกซาก แค่โจรเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนวิธีมาดึงดูดเงินทองของเหยื่อที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง  

ตราบที่สังคมไทยยังคงหลับใหล ไม่ตื่นในรสพระธรรมคำสอนที่จริงแท้ของพระพุทธเจ้า ก็จะมองคนสะอาดเป็นคนที่สกปรก และมองคนที่ประสงค์ร้ายต่อสังคมเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อผู้คน สมควรต้องยกย่อง สรรเสริญ และนำเงินทองไปประเคนร่วมบุญตามคำชวน โดยไม่คิดจะตั้งคำถาม หรือสงสัยเส้นสายการเดินทางของเงินอภิมหาบุญเหล่านั้นผ่านช่องทางใคร? ไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน? และนำไปทำสิ่งใดเพื่อสังคมบ้าง? 

ที่สุดก็ไม่พ้นกลุ่มคนที่มีสติ ซึ่ง 'ตื่นธรรม' อยู่ก่อนแล้วโดยที่ไม่ต้องรอคนขึ้นมึง ขึ้นกู มาสั่งสอน ต่างลงแรงช่วยกัน “ยุติโจรในคราบนักบุญ” เสียทุกราย 

คนกลุ่มนี้นี่ต่างหาก สมควรเรียก 'คนตื่นธรรม' โดยแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top