Saturday, 1 June 2024
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

“ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้” (Shanghai marriage market) เมื่ออยากช่วยลูก ’สละโสด’ !! พ่อแม่จีนจึงโปรดให้...

เรื่องของการมีครอบครัว มีชีวิตคู่ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชาวโลกตะวันออก โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งครอบครัวมักห่วงอาทรในเรื่องของมีชีวิตคู่ของบุตรหลานอยู่เสมอ จึงทำให้เกิด “ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai marriage market)” ขึ้น จึงขอนำมาเล่าในบทความประจำสัปดาห์นี้ครับ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นสถานที่จัดขึ้นเพื่อหาคู่แต่งงาน ณ People's Park ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยผู้ปกครองของหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างก็แห่แหนกันไปยังสวนสาธารณะ People's Park ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เที่ยงวันถึงห้าโมงเย็น เพื่อนำเสนอ แลกเปลี่ยน ข้อมูลเกี่ยวกับบุตรหลานของตน ซึ่งยังครองตัวเป็นโสดอยู่

ตลาดนัดคนโสด ณ People's Square มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 มีค่าใช้จ่ายประมาณ $3.20 USD สำหรับโฆษณาที่แสดงเป็นเวลาห้าเดือน และมีนายหน้าหาคู่แต่งงานโดยสามารถเข้าถึงหมายเลขโทรศัพท์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน $16.00 ตลาดนัดคนโสดที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ณ สวนสาธารณะ Longtan กรุงปักกิ่ง ผู้เกษียณที่ไปสวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกายตอนเช้ามักพบว่าในการสนทนามีเด็กที่ยังไม่แต่งงานในวัยยี่สิบกลางถึงปลาย ด้วยความกระวนกระวายที่จะแต่งงานกับลูก ๆ ของพวกเขา ผู้อาวุโสเริ่มจัดงานจับคู่ที่พวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลูก ๆ ของพวกเขา และมองหาการจับคู่ที่เป็นไปได้ ตั้งแต่นั้นมา สวนสาธารณะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เซินเจิ้น หวู่ฮั่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว และเทียนจิน ก็กลายเป็นสถานที่จับคู่อย่างไม่เป็นทางการ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นการรวมตัวของคนโสด แต่ส่วนมากจะเป็น พ่อ แม่ ที่กังวลว่า ลูกชาย ลูกสาวของตนจะไม่มีคู่ จึงมารวมตัวกัน จับคู่ หาคู่แต่งงานให้กับลูก ๆ ของตน มีการตั้งป้าย บอกคุณลักษณะ รูปร่างหน้าตา ฐานะ การศึกษา การงาน ไม่ต่างจากโปรไฟล์ที่พบเห็นตามเว็ปไซต์นัดเดทเลยแม้แต่น้อย 

ป้ายบอกคุณลักษณะในตลาดนัดหาคู่

เป้าหมายหลักในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ คือ ให้พ่อแม่หาคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับลูก ๆ ของตน มาตรฐานในการหาคู่ที่ใช่อาจขึ้นอยู่กับ (แต่ไม่จำกัดเฉพาะ) อายุ ส่วนสูง งาน รายได้ การศึกษา ค่านิยมของครอบครัว ราศีจีน และบุคลิกภาพ ผู้สูงอายุที่เกิดระหว่างปี 1950 ถึง 1960 มักจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ของตลาดนัดแห่งนี้ ผู้สูงอายุเหล่านี้ต่างพากันโฆษณาคุณสมบัติของลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน ซึ่งเกิดในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1990 โดยในตลาดนี้ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งจากนั้นจะแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ 

ป้ายโฆษณานำเสนอบุตรหลานแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้นตรงข้ามสวน People's Park ผู้ปกครองเดินไปรอบ ๆ เพื่อพูดคุยกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ เพื่อดูว่า หนุ่มสาวมีความเหมาะสมคล้องจองกันหรือไม่ หลังจากที่มาตรฐานของลูก ๆ หนุ่มสาวตรงกันแล้วก็จะมีการนัดเจอกัน

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้น

ตลาดนัดคนโสดมีสองโซนหลัก : เขตปลอดอากร และ โซนจับคู่สมัครเล่น 

เขตปลอดอากร เป็นที่ซึ่งผู้ปกครองของหนุ่มสาวมองหาคู่ที่มีเหมาะสมสำหรับลูกชายหรือลูกสาวคนเดียวของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหญ่บางคนซึ่งกำลังมองหาคู่ของตัวเอง ภายในเขตปลอดอากรมีโซนย่อยมากมายที่ผู้ปกครองสามารถติดโปสเตอร์ของบุตรหลานได้ โซนย่อยบางโซนจะแบ่งตามปีเกิด เช่น โซนทศวรรษ 1970, 1980 และ 1990 โซนอื่น ๆ ได้แก่ โซนต่างประเทศ โซน “เซี่ยงไฮ้ใหม่” เขตหย่าร้าง โซนมุสลิม และโซนภูมิภาค 

เขตจับคู่สมัครเล่น ผู้จับคู่มืออาชีพหรือแบบสมัครใจจะแบ่งปันรายชื่อผู้สมัครที่มีเหมาะสมให้กับผู้ปกครองที่เข้าร่วม มีนักจับคู่มืออาชีพในตลาดที่คิดค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษา 100-200 หยวนสำหรับหญิง และไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับชาย กล่าวกันว่า ความไม่สมดุลนี้เกิดจากหญิงในตลาดคนโสดมีมากกว่า ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นักจับคู่มืออาชีพเหล่านี้มักจะกลายเป็นนักเล่นกลที่หายตัวไปหลังจากได้รับค่าธรรมเนียมจากเหล่าบรรดาผู้ปกครองที่ต้องการหาคู่ให้กับลูก ๆ ของตน

ร่มสำหรับโฆษณา ผู้ปกครองหลาย ๆ คนไม่ได้รับความยินยอมจากลูก ๆ ให้เข้าร่วมงานนี้ และได้รับการอธิบายว่า ใช้บริการ "match.com จะตรงใจกว่า" ด้วยอัตราความสำเร็จต่ำ ในสายตาของผู้ปกครองหลาย ๆ คน การรวมตัวเพื่อจับคู่ลูก ๆ ของพ่อแม่ เช่น ตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ เป็นวิธีเดียวที่จะรักษารูปแบบการออกเดทแบบดั้งเดิมสำหรับลูก ๆ ของพวกเขาในประเทศจีนสมัยใหม่ ประเพณีในอุดมคติอันยาวนานของจีนในการสืบสานสายเลือดของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมจีนตามนโยบายลูกคนเดียว เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแต่งงานทั่วไป "ตลาดหาคู่" ของจีนจึงมีเสถียรภาพที่สั่นคลอน โดยเฉพาะสำหรับชายในจีน มหาวิทยาลัย Kent คาดการณ์ว่าภายในปี 2021 ชายจีนราว 24 ล้านคนจะยังไม่ได้แต่งงานและไม่สามารถหาภรรยาได้

โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ

รูปแบบของตลาดนัดหาคู่ ตลาดเหล่านี้ไม่มีผู้จัดงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตาม ตลาดนัดหาคู่มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ประการแรก อัตราส่วนทางเพศมักเป็นการจะมองหาฝ่ายชายมากกว่า แม้ว่าในประเทศจีนจะมีจำนวนประชากรชายมากกว่าประชากรหญิงก็ตาม ในสวนจงซานของปักกิ่ง ผู้ปกครอง 80% มองหาสามีสำหรับลูกสาวคนเดียวของพวกเขา ฝ่ายหญิงที่ถูกส่งเข้าร่วมหาคู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งมีงานทำ และเติบโตในเซี่ยงไฮ้ สาว ๆ ในเมืองเหล่านี้เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางคนใหม่ของจีน แต่มักถูกจัดอยู่ในประเภท "หญิงสาวที่เหลือ" ในตลาดนัดหาคู่ ผู้ปกครองจะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำการตลาดให้บุตรหลานของตน เช่น ทักษะที่มี การบริการลูกค้า และการเจรจาต่อรองที่ดี การออกแบบ ป้าย โปสเตอร์ อย่างรอบคอบ และการแต่งกายที่ดีเพื่อแสดงถึงการอบรมเลี้ยงดูที่ดี

แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดที่เป็นทางการสำหรับการโฆษณาในตลาด แต่ลักษณะบางอย่างถือเป็นที่ต้องการมาก สำหรับฝ่ายหญิง คือ อายุน้อย รูปร่างหน้าตาดี การศึกษาดี หัวอ่อน เชื่อฟัง จะเป็นที่ต้องการ สำหรับชาย การมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น การงานที่ดี และรายได้สูง เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยคาดว่า ฝ่ายชายจะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์และรถยนต์ การมีทะเบียนบ้านในเซี่ยงไฮ้ (Hukou) มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เข้าร่วมในตลาดนัดหาคู่ทุกคน

ตัวอย่างข้อความโฆษณา “สาวสวย เกิดปี พ.ศ. 2524 สูง 162 เซนติเมตร จบการศึกษาปริญญาตรี ทำงานเป็น Project director ของบริษัทต่างชาติ เงินเดือนมากกว่า 10,000 หยวน (ราว 52,000 บาท) ต้องการหาชายที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517-2526 จบปริญญาตรีหรือสูงกว่า และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว”

การวิจัยชาติพันธุ์วิทยาเพื่อศึกษาแรงจูงใจของผู้ปกครองในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ พบว่า ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้มีอัตราความสำเร็จต่ำ และผู้ปกครองส่วนใหญ่ยอมรับว่าไม่น่าจะพบคู่ที่ตรงกัน แต่ผู้ปกครองมักจะกลับมาที่ตลาดเพื่อโฆษณาบุตรหลานของตนต่อไป งานวิจัยชิ้นหนึ่งอธิบายว่าตลาดตอบสนองต่อความวิตกกังวลโดยรวมของสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดในปี 1950 และ 1960 ผู้คนรุ่นนี้เป็นพ่อแม่ของลูกคนเดียว เพื่อที่จะรักษาทะเบียนบ้านในเขตเมือง หลายคนยังคงเป็นโสดในวัยสามสิบ เมื่อพวกเขากลับบ้านเกิด รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงจัดการนัดพบเพื่อแก้ปัญหานี้ แหล่งที่มาของความวิตกกังวลของผู้ปกครองอีกประการหนึ่งคือ ความรู้สึกที่ครอบคลุมถึงความผันผวนและความไม่มั่นคงตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศจีน ผู้ปกครองกังวลเรื่องความมั่นคงทางการเงินของบุตรหลาน ที่พักอาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาแพงอย่างรวดเร็ว เช่น นครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีระบบสวัสดิการสังคมที่แข็งแกร่งในการจัดหาที่อยู่อาศัยและความมั่นคง 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองเหล่านี้จึงกังวลว่า ลูกเพียงคนเดียวของพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตที่ยากลำบาก และมีชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข ตลาดนัดหาคู่จึงเป็นช่องทางสำหรับผู้ปกครองที่จะแบ่งปันความกังวลส่วนตัวของพวกเขาในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเห็นว่า ไม่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ดังนั้น หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้ แรงจูงใจอื่น ๆ ในการไปตลาดนัดหาคู่รวมถึงการเน้นที่การรักร่วมเพศ เนื่องจากผู้ปกครองจำนวนมากพิจารณาเฉพาะผู้สมัครที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น และความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของลูกของตนในการหาคู่ครองที่เหมาะสม

หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ หญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงในประเทศจีน ต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะแต่งงาน พวกเธอมีทางเลือกมากกว่าหญิงในรุ่นก่อน ๆ และไม่กลัวที่จะให้ความสำคัญกับอาชีพของตนเป็นอันดับแรก การเปลี่ยนแปลงในอุดมคติในการแต่งงานทำให้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า และมีอำนาจทางสังคมมากขึ้นจากเดิมที่ชายเคยครอบงำตามประเพณี ปัจจุบันมีหญิงจำนวนมากขึ้นที่พยายามหาชายที่มีความรับผิดชอบและมีความซื่อสัตย์ แทนที่จะเป็นแค่งานที่ได้ค่าตอบแทนสูง

อัตราการแต่งงานในจีนมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะหญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคง

เช่นกันมาตรฐานของชายหลายคนเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของสถานภาพของหญิงตามหน้าที่การงานเช่นกัน พวกเขาคาดหวังจะได้ภรรยาเป็นหญิงที่ได้รับการศึกษาและอยู่ในเส้นทางอาชีพที่ดี แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือมุมมองของคนรุ่นก่อนในเรื่องนี้ พวกเขาเห็นด้วยกับคนรุ่นใหม่ โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสองประการในภรรยาคือ "ความสง่างามและเส้นทางอาชีพที่ดี" ค่อนข้างเปลี่ยนจาก "ความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจเป็น แบกรับภาระแห่งชีวิต"

ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้ยังเป็นการตอบสนองต่อความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างรวดเร็วในประเทศจีนตั้งแต่ยุคปฏิรูปตลาด การเปิดตลาดและการถอนตัวของรัฐจากบริการทางสังคมจำนวนมากทำให้เกิดความจำเป็นในการขัดเกลาทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในรุ่นนั้น ดังนั้นตลาดนัดหาคู่จึงเป็นการตอบสนองต่อความวิตกกังวลทางสังคมของชาวจีนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คนเราจะมี ‘เพื่อน’ ได้มากที่สุดกี่คน ? “Dunbar’s Number” (ตัวเลขของดันบาร์) ความสัมพันธ์ที่จำกัดจากสมองมนุษย์

มนุษย์คนหนึ่ง ๆ จะสามารถมีเพื่อนจำนวนเท่าใดจึงพอเหมาะต่อการที่จะรู้จักคุ้นเคย รักใคร่ชอบพอกันจนสนิทชิดเชื้อ และสามารถรักษาความเป็นเพื่อนไว้ได้เป็นอย่างดี ? คำตอบนี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Dunbar’s Number ขึ้น และตัวเลขจำนวนนี้มีความหมายโยงใยไปถึงหลายเรื่องในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นขนาดของธุรกิจ ขนาดของกลุ่มออกค่าย ขนาดของหน่วยรบ ขนาด Network ของ Social Media ฯลฯ 

ในปี พ.ศ. 2535 ‘Robin Dunbar’ ผู้เป็นศาสตราจารย์ทางมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Oxford ได้นำเสนอตัวเลขจำนวนนี้ต่อสาธารณะ จากการศึกษาทั้ง การแพทย์ จิตวิทยา ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา เพื่อหาจำนวนของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่สมองของมนุษย์คนหนึ่งสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี Dunbar พบว่ามนุษย์มีทางโน้มที่สามารถจัดการกลุ่มของตน (Self-organize) เองได้ดีเมื่อกลุ่มของตนมีจำนวนไม่เกิน 150 คน ดังนั้นตัวเลข 150 นี้จึงเป็นที่รู้จักกันดีในวงวิชาการและถูกเรียกว่า Dunbar’s Number 

Robin Dunbar ปัจจุบันอายุ 74 ปี ชาวอังกฤษ จบปริญญาตรีด้านจิตวิทยาและปรัชญาที่มหาวิทยาลัย Oxford และเรียนจบปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่ง Bristol จากนั้นทำงานวิจัยและสอนให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในอังกฤษก่อนที่จะมีชื่อเสียงเพราะการการนำเสนอทฤษฏี Dunbar’s Number

คำจำกัดความอย่างเป็นทางการของ Dunbar’s Number คือ “ตัวเลขของจำนวนคนที่ทำให้เกิดข้อจำกัดเชิงการใช้ความคิดที่บุคคลหนึ่งสามารถทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้” พูดง่าย ๆ คือ จำนวนตัวเลขที่สร้างข้อจำกัดในการทำงานของสมองของมนุษย์คนหนึ่ง ที่จะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี 

Dunbar ไม่ได้ยกเมฆตัวเลขจำนวนนี้ขึ้นเอง หากแต่ได้ทำการศึกษาในเชิงสังคมวิทยาอย่างรอบคอบ บทความของเขาใน Journal of Human Evolution ในปี พ.ศ. 2535 ได้อธิบายว่า การที่คนเรามีสมองขนาดใหญ่ขึ้นทำให้สามารถแก้ไขปัญหาทางสังคมได้ดียิ่งขึ้น การอยู่อาศัยเป็นกลุ่มของมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ทำให้เกิดประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันภัยจากศัตรู อย่างไรก็ดีการอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องยากเพราะสมาชิกมักแย่งชิงอาหารและเพศตรงข้ามกัน ต่างต้องระวังการถูกโกงและการถูกกดขี่ข่มเหง แต่ในขณะเดียวกันต่างก็หาช่องทางที่จะข่มขู่และกดขี่คนอื่นเพื่อการอยู่รอดอีกด้วย 

สัตว์เผ่าพันธุ์ Primates

เมื่อขนาดของกลุ่มใหญ่ขึ้น ขนาดของข้อมูลที่สมองของสัตว์เผ่าพันธุ์ Primates ซึ่งครอบคลุมลิงและมนุษย์จะต้องประมวลก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว กลุ่มที่มีคน 5 คน มี 10 คู่ของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก ถ้ากลุ่มเป็น 20 ก็มี 190 ถ้ากลุ่มเพิ่มเป็น 50 ก็มี 1,225 เมื่อความซับซ้อนของความสัมพันธ์มากขึ้นเช่นนี้สมองก็จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีหลากหลายชั้นของเซลล์สมองเพื่อจัดการความสัมพันธ์ซึ่งสมองเป็นเครื่องมือสำคัญ Dunbar ใช้โมเดลคณิตศาสตร์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของ Neocortex (ส่วนสำคัญของสมอง) ของแต่ละประเภท Primates กับขนาดของกลุ่มที่อยู่ร่วมกัน ยิ่ง Neocortex ใหญ่เท่าใดขนาดของกลุ่มที่สามารถจัดการปัญหาของตนเองได้ก็ใหญ่ขึ้น แม้แต่มนุษย์ซึ่งเป็น Primate ที่ฉลาดที่สุด ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้ 

Dunbar พบว่า สำหรับลิงประเภทต่าง ๆ มีขนาดของกลุ่มที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ 5 ถึง 80 ตัว ส่วนลิงเอป (Ape) หรือลิงไม่มีหาง มีขนาดของกลุ่มประมาณ 5 ตัว และขนาดของกลุ่มของมนุษย์คือ 147.8 คน และ Dunbar ยังพบข้อมูลจากประวัติศาสตร์ว่า ขนาดของกลุ่มทหารโรมัน กลุ่มทหารในศตวรรษที่ 16 กลุ่มชนที่เดินทางเร่ร่อนในสมัยโบราณ กลุ่มชนที่อาศัยในถิ่นต่าง ๆ ล้วนมีจำนวนประมาณ 150 คน เช่นเดียวกับที่เขาคำนวณได้จากโมเดลทางคณิตศาสตร์ งานศึกษาของ Dunbar จนได้ตัวเลข 150 สร้างความฮือฮาในทางวิชาการในทศวรรษ 1990’s จนถึงปัจจุบัน มีคนนำไปประยุกต์ใช้ในทางการทหาร ทางธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง Social Media

กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ลองผิดลองถูกกับขนาดของหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพที่สุดมายาวนานและใช้ตัวเลข 150 เป็นจำนวนของทหารหนึ่งกองร้อยของหน่วยรบในปัจจุบัน สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐอเมริกา เช่น Gore-Tex นั้น หากสาขามีจำนวนลูกจ้างถึง 150 คน ก็จะแยกออกเป็นอีกสาขาหนึ่ง และสำหรับชุมชนปกครองตนเองในสหรัฐอเมริกา (เช่น พวก Hutterites ซึ่งคล้ายพวก Amish ซึ่งยึดการใช้ชีวิตแบบโบราณดั้งเดิม) หากสมาชิกเกิน 150 คน ก็จะแยกออกเป็นอีกชุมชนหนึ่ง

ชาว Hutterites

ในโลกของ Social Media นั้น Dunbar’s Number ถูกนำมาทดสอบเพื่อยืนยันจำนวนเพื่อนที่สมาชิกคนหนึ่งสามารถมีความสัมพันธ์ได้อย่างยั่งยืน ตัวเลขนี้มีความสำคัญเพราะเป็นขนาดของ Network ที่จะต้องนำเอามาออกแบบเชิงธุรกิจ Facebook สนใจ Dunbar’s Number เช่นเดียวกับ Path ซึ่งช่วยให้สมาชิกโพสต์รูปและความเห็นผ่านสมาร์ทโฟนตลอดจนบอกเวลานอนและตื่นได้อีกด้วย ผู้บริหาร Path พบว่า แต่ละ Network ไม่ควรมีขนาดใหญ่กว่า 150 คน Path ประสบความสำเร็จจากการใช้จำนวนนี้จนปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 5 ล้านคน

ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ Dunbar’s Number ปัจจุบัน มีนักวิชาการ/นักวิจัยซึ่งทำการวิจัยได้โต้แย้งการสังเกตเชิงประจักษ์ของขนาดกลุ่มมนุษย์พบว่า มีจำนวนประมาณ 150 คนโดยเฉลี่ย โดยนำเสนอการสังเกตเชิงประจักษ์ของขนาดกลุ่ม ซึ่งบ่งชี้ถึงจำนวนอื่น ๆ ที่หลากหลาย (กลุ่มอายุ 46-53) ดังนั้นการวิจัยเชิงนิเวศวิทยาเกี่ยวกับสังคมของ ความเป็นเอกลักษณ์ของความคิดของมนุษย์และการสังเกตเชิงประจักษ์ ล้วนบ่งชี้ว่าไม่มีข้อจำกัดด้านความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ การวิเคราะห์ใหม่ของเราให้หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่จำเป็นต่อการเพิกเฉยต่อ 'Dunbar's number' โดยสรุปการอนุมานขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์จากการถดถอยของข้อมูล Primates ที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นมีค่าจำกัด ด้วยเหตุผลทั้งทางทฤษฎีและเชิงประจักษ์ เป็นความหวังของเรา แม้ว่าอาจจะไร้ประโยชน์ แต่การศึกษาครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการยุติการใช้ 'Dunbar’s Number' ในวิทยาศาสตร์ และในสื่อยอดนิยมต่าง ๆ ว่า 'Dunbar's number' เป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานทางทฤษฎีที่จำกัด ซึ่งยังคงขาดข้อมูลเชิงประจักษ์ในการสนับสนุน ด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความต่อเนื่องกับมนุษย์คนอื่น ๆ ถ้ามีจำนวนน้อยเกินไปก็จะไม่เกิดประโยชน์เต็มที่ แต่หากมีมากจนเกินไปก็ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อย่างดีไว้ได้อย่างยั่งยืน ตัวเลข 150 ของ Dunbar จึงอาจเหมาะสมพอดีกับวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งมีลักษณะเฉพาะในการรักษาความสัมพันธ์อันแตกต่างจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ก็เป็นได้ ในสังคมตะวันออกโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา การให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมเป็นพิเศษเพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายมิใช่น้อย (เช่น ของฝาก การไปร่วมงานพิธีต่าง ๆ ของขวัญฯ) จึงมีความเป็นไปได้ที่จำนวนตัวเลข 150 นี้อาจไม่ถูกต้องตามบริบทของสังคมตะวันออกก็เป็นได้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)” ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก หนามยอกเอาหนามบ่ง !!

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โทษหนักเป็นเบา ‘California Proposition 47’ กฎหมายลดความผิดจากโทษทางอาญา เป็นความผิดลหุโทษ แต่กลายเป็นสาเหตุของอาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้น

เหรียญมีสองด้านเสมอ เช่นเดียวกับกฎหมายฉบับนี้ California Proposition 47 ซึ่งเป็นกฎหมายปรับการกระทำความผิดบางเรื่องจากความผิดที่มีโทษทางอาญาให้กลายเป็นความผิดที่ถือเป็นลหุโทษ กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายใช้เฉพาะภายในรัฐ California เพราะออกโดยรัฐสภาแห่งรัฐ California ไม่ใช่กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา California Proposition 47 ฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ส่งผลกระทบมากมายต่อสังคมของรัฐ California ดังที่จะเล่าให้ทราบต่อไปนี้

Proposition 47 หรือที่รู้จักในชื่อ การลงคะแนนว่าด้วยโทษอาญา อันเป็นธรรมนูญแห่งความคิดริเริ่ม เป็นการลงประชามติที่ผ่านกฎหมายโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐ California เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ผู้ที่ลงคะแนนสนับสนุนยังเรียกมาตรการนี้ว่า รัฐบัญญัติว่าด้วยความปลอดภัยละแวกบ้านและโรงเรียน โดยได้จัดประเภทความผิดที่ไม่รุนแรงบางอย่างใหม่ให้เป็นความผิดลหุโทษ แทนที่จะเป็นความผิดทางอาญา ตามที่เคยได้จัดประเภทไว้ก่อนหน้านี้

การกระทำความผิดหรืออาชญากรรมที่ได้รับผลกระทบ คือ 
- การขโมยของตามร้าน โดยที่มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป ไม่เกิน $950
- การโจรกรรม โดยที่มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกขโมยไป ไม่เกิน $950
- การรับทรัพย์สินที่ถูกขโมย (การรับของโจร) โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน ไม่เกิน $950
- การปลอมแปลง โดยที่มูลค่าของเช็คปลอม พันธบัตร หรือเอกสาร ไม่เกิน $950
- การฉ้อโกง โดยที่มูลค่าของเช็ค ดราฟต์ หรือการกระทำที่เป็นการฉ้อโกง ไม่เกิน $950
- การจ่ายเช็คไม่มีเงิน โดยที่มูลค่าของเช็ค ไม่เกิน $950
- การใช้ยาโดยส่วนตัวที่ผิดกฎหมาย ซึ่งปริมาณ / น้ำหนักในการครอบครอง / ใช้น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

ผลกระทบหลักของมาตรการตาม California Proposition 47 คือการเปลี่ยนความผิดที่ไม่รุนแรงหลายอย่าง เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและทรัพย์สิน จากที่เป็นความผิดทางอาญากลายเป็นความผิดลหุโทษ ความผิดเหล่านี้รวมถึงการขโมยของในห้างร้านต่าง ๆ การใช้เช็คโดยเจตนาที่ผิดกฎหมาย และการครอบครองยาที่ผิดกฎหมาย มาตรการดังกล่าวยังกำหนดให้เงินค่าปรับอันเป็นผลมาจากมาตรการดังกล่าว จะต้องใช้ใน "การป้องกันการละทิ้งโรงเรียน และป้องกันการไม่ให้ออกโรงเรียนกลางคัน ชดใช้เยียวยาเหยื่ออาชญากรรม และการบำบัดผู้ติดยาเสพติด ตลอดจนโปรแกรมอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อกันผู้กระทำความผิดให้พ้นคุกและไม่ติดคุก" 

มาตรการดังกล่าวรวมถึงข้อยกเว้นสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับ มากกว่า $950 และอาชญากรที่มีประวัติความรุนแรงหรือความผิดทางเพศ ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้การปลอมแปลงเป็นความผิดที่อัยการอาจตั้งข้อหาว่า เป็นความผิดทางอาญา ด้วยเจตนารมย์ของ California Proposition 47 อัยการไม่สามารถตั้งข้อหาปลอมแปลง ที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายที่น้อยกว่า $950 ว่าเป็นความผิดทางอาญาได้ เว้นแต่จำเลยมีประวัติอาชญากรรม ส่งผลกระทบต่อการตัดสินลงโทษในอนาคต และอนุญาตให้บุคคลที่ถูกจองจำในคดีอาญาซึ่ง California Proposition 47 ครอบคลุม สามารถยื่นคำร้องให้พิพากษาอีกครั้ง

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 รายงานของโครงการ Stanford Justice Advocacy ซึ่งเขียนโดย Michael Romano ผู้ร่วมเขียน California Proposition 47 พบว่า Prop 47 สามารถลดจำนวนนักโทษในเรือนจำของรัฐ California ลง 13,000 คน และจะช่วยรัฐ California ประหยัดงบประมาณลงได้ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ในปีนั้น ในส่วนของบทบัญญัติที่อนุญาตให้ผู้กระทำความผิดในอดีตสามารถยื่นคำร้องต่อการพิจารณาโทษหมดอายุในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 โดย Jerry Brown ผู้ว่าการรัฐ California ได้อนุมัติร่างกฎหมายซึ่งขยายกำหนดเวลาไปจนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 กองบรรณาธิการของ The New York Times ยกย่อง  Prop 47 ว่าเป็นวิธีการลดความแออัดในเรือนจำของรัฐ นอกจากนี้กองบรรณาธิการของ Los Angeles Times ซึ่งสรุปว่า Prop 47 เป็น "มาตรการที่ดีและทันเวลา ซึ่งสามารถช่วยให้รัฐใช้ความยุติธรรมทางอาญาและทรัพยากรในการกักขังได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น" และ The American Civil Liberties Union (ACLU) ยังสนับสนุน Prop 47 และบริจาคเงิน 3.5 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนมาตรการตาม Prop 47 ด้วย

Mark A. Peterson อัยการเขตของ Contra Costa County ระบุก่อนที่จะมี Prop 47 ว่า มาตรการตาม Prop 47 "จะทำให้ละแวกใกล้เคียงและโรงเรียนของเราปลอดภัยน้อยลง"

ผู้ต่อต้านมาตรการตาม Prop 47 รวมถึง Mark A. Peterson อัยการเขตของ Contra Costa County ผู้ซึ่งระบุก่อนที่จะมี Prop 47 ว่า มาตรการตาม Prop 47 "จะทำให้ละแวกใกล้เคียงและโรงเรียนของเราปลอดภัยน้อยลง" นอกจากนี้ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จาก Nancy E. O'Malley อัยการเขตของ Alameda County ซึ่งกล่าวว่า "จะทำให้ชาว California ได้รับอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ" และเรียกมันว่า "ม้าโทรจัน" 

ข้อโต้แย้งที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับกฎหมายคือ การครอบครองยา Rohypnol ที่มักถูกนำไปใช้ในการมอมสตรีเพื่อจะข่มขืนภายใต้มาตรการตาม Prop 47 จะได้รับการลงโทษเป็นความผิดลหุโทษมากกว่าเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งนักวิจารณ์อธิบายว่าเป็น "การลงโทษที่ไม่มีผลต่อผู้ต้องโทษ" นักวิจารณ์ยังโต้แย้งว่า การที่ไม่สามารถใช้การกักขังเพื่อบังคับให้ผู้ใช้ยาเข้ารับการบำบัดได้ จะทำให้ผู้ใช้ยาเข้าสู่โปรแกรมการบำบัดรักษาได้ยากขึ้น

Nancy E. O'Malley อัยการเขตของ Alameda County กล่าวว่า "มาตรการตาม Prop 47 จะทำให้ชาว California ได้รับอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ"

George Gascón อัยการเขตของ San Francisco กล่าวว่า Prop 47 "ทำให้ผู้กระทำความผิดเรื่องยาเสพติดหลีกเลี่ยงโปรแกรมการรักษาที่ได้รับคำสั่งได้ง่ายขึ้น" (ปัจจุบัน George Gascón อัยการเขตของนคร Los Angeles)

ผลกระทบต่ออัตราการเกิดอาชญากรรม ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) Los Angeles Times รายงานว่า "บรรดาเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายตำหนิ Prop 47 ที่ยอมให้ผู้กระทำผิดซ้ำ ถูกดำเนินคดีโดยมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" นอกจากนี้แล้วในปีนั้นเอง George Gascón อัยการเขตของนคร San Francisco กล่าวว่า Prop 47 "ทำให้ผู้กระทำความผิดเรื่องยาเสพติดหลีกเลี่ยงโปรแกรมการรักษาที่ได้รับคำสั่งได้ง่ายขึ้น" Eric Garcetti นายกเทศมนตรีนคร Los Angeles ยังเสนอว่า Prop 47 อาจอธิบายได้ว่าทำไมอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองของเขาจึงเปลี่ยนจากการลดลงเป็นเพิ่มขึ้น 

Eric Garcetti นายกเทศมนตรีนคร Los Angeles เสนอว่า Prop 47 อาจอธิบายได้ว่าทำไมอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองของเขาจึงเปลี่ยนจากการลดลงเป็นเพิ่มขึ้น

Shelley Zimmerman หัวหน้าตำรวจของนคร San Diego ได้อธิบายใน The Washington Post ว่า Prop 47 เป็น "เสมือนบัตรสำหรับออกจากคุก" (ปัจจุบันเธอเป็น ศาสตราจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัย National)

ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) เช่นกัน Shelley Zimmerman หัวหน้าตำรวจของนคร San Diego ได้อธิบายใน The Washington Post ว่า Prop 47 เป็น "เสมือนบัตรสำหรับออกจากคุก" เธอและหัวหน้าตำรวจคนอื่น ๆ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เพิ่มขึ้นของอาชญากร "ผู้เร่ร่อน" ซึ่งใช้ประโยชน์จาก Prop 47 เพื่อก่ออาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรายหนึ่งถูกกล่าวหาว่า นำเครื่องคิดเลขเข้ามาในร้านเพื่อหลีกเลี่ยงการขโมยสินค้ามูลค่ากว่า 950 ดอลลาร์ แต่ ACLU ตอบโต้ด้วยการออกรายงานซึ่งกล่าวว่า ผู้ที่เชื่อมโยง Prop 47 กับอาชญากรรมกำลัง "แสดงข้อความที่ขาดความรับผิดชอบและไม่ถูกต้อง" Michael Romano ผู้อำนวยการโครงการ Stanford Justice Advocacy และผู้ร่วมเขียน Prop 47 กล่าวในเดือนพฤศจิกายน 2015 ว่า ในแง่ของ Prop 47 "ในระยะยาว การจัดสรรทรัพยากรใหม่ควรนำมาปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ" Romano จึงเขียนผลการศึกษาที่สนับสนุนข้อสรุปของเขา

Michael Romano ผู้อำนวยการโครงการ Stanford Justice Advocacy และผู้ร่วมเขียน Prop 47 กล่าวว่า ในแง่ของ Prop 47 "ในระยะยาว การจัดสรรทรัพยากรใหม่ควรนำมาปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ"

รายงานประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ที่เผยแพร่โดยศูนย์กลางเยาวชนและความยุติธรรมทางอาญาได้สรุปว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า Prop 47 มีผลกระทบต่ออัตราการเกิดอาชญากรรมในรัฐ California หรือไม่ การศึกษาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 โดยสถาบันนโยบายสาธารณะแห่งแคลิฟอร์เนียพบหลักฐานว่า Prop 47 อาจมีส่วนทำให้เกิดการโจรกรรมและการโจรกรรมสิ่งของในรถยนต์เพิ่มขึ้น การศึกษาระบุพบว่า การกระทำผิดซ้ำลดลง และไม่มีหลักฐานว่าอาชญากรรมรุนแรงเพิ่มขึ้นเมื่อเชื่อมโยงกับ Prop 47 อย่างไรก็ตาม การศึกษาในปี พ.ศ. 2561 โดยมหาวิทยาลัย California, Irvine ระบุว่า Prop 47 ไม่ใช่ "ตัวขับเคลื่อน" สำหรับการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม โดยอิงจากการเปรียบเทียบข้อมูลจากมลรัฐต่าง ๆ อาทิ New York Nevada Michigan และ New Jersey (รัฐที่มีความคล้ายใกล้เคียงกับรัฐ California เป็นอย่างมาก) แนวโน้มอาชญากรรม พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ถึง พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) แต่ "สิ่งที่มาตรการตาม Prop 47 ทำให้อันตรายและความทุกข์ต่อผู้ถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมนั้นลดลง"

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

สื่อหลายแห่งยังคงรายงานการเพิ่มขึ้นของการโจรกรรมร้านค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับ Prop 47 ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ Safeway, Target, Rite Aid และ CVS เครือข่ายร้านขายยารายงานในปี พ.ศ. 2559 ว่าการขโมยของในร้านเพิ่มขึ้น (ในบางกรณี) จาก 15% เป็น มากกว่า 50% ตั้งแต่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอนุมัติ Prop 47 โดย Los Angeles Times รายงานในปี พ.ศ. 2560 ว่า ศาลฎีกาแห่งรัฐ California ตัดสินว่า บุคคลที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานขโมยรถอาจมีความผิดลดลงเป็นความผิดลหุโทษ หากยานพาหนะมีมูลค่าไม่เกิน $950 และในปี พ.ศ. 2561 นักวิจัยพบว่า Prop 47 มีส่วนทำให้เกิดการโจรกรรมในรถยนต์ การขโมยของตามร้าน และการโจรกรรมอื่น ๆ San Francisco Chronicle รายงานในปี พ.ศ. 2561 ว่า Prop 47 นำไปสู่อัตราการโจรกรรมที่เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับอัตราที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2557

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

ภายในปี พ.ศ. 2562 มีการโจรกรรมในร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น ตำรวจและเจ้าของร้านค้าอ้างว่า เป็นเพราะ Prop 47 สถานีโทรทัศน์ Fox News รายงานว่า กรณี Prop 47 ทั้งโจรที่ขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้าน และผู้ที่รับของโจรที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยจะไม่ต้องรับโทษ โดยทั้งอาชญากรและเจ้าของร้านตระหนักดีว่า นโยบายบังคับใช้แบบคัดเลือกหมายความว่า ตำรวจส่วนใหญ่ต่างเพิกเฉยต่อรายงานการขโมยของในห้างร้าน หรือตอบสนองช้าเกินไป Rachel Michelin ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งรัฐ California กล่าวว่า โจรจะนำเครื่องคิดเลขมาเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เกินวงเงิน $950 และ “คน ๆ หนึ่งจะไปที่ร้านหยิบฉวยเอาสินค้าข้าวของเติมกระเป๋าเป้ ขนออกมา ทิ้งไว้ข้างนอก แล้วกลับเข้าไปทำใหม่ซ้ำอีกครั้ง” นอกจากนี้ เธอยังรายงานด้วยว่า เครือข่ายกลุ่มอาชญากรนอกรัฐ California ยังใช้เด็กทำความผิด เนื่องจากพวกเขามีโอกาสถูกดำเนินคดีน้อยกว่า และแม้ว่าตำรวจจะทำการจับกุม อัยการเขตก็แจ้งข้อกล่าวหาที่อ่อนหรือถูกลดระดับตาม Prop 47

Prop 47 ทำให้โจรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า $950 กลายเป็นลหุโทษ ทำให้การขโมยสินค้าข้าวของตามห้างร้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจาก 15% เป็นมากกว่า 50% พนักงานรักษาความปลอดภัยทำได้แต่เพียงการบันทึกภาพและคลิป VDO

คนไม่ได้ขโมยอาวุธปืนไปเพื่อการสะสม แต่เขาขโมยไปเพื่อก่ออาชยากรรมอื่น ๆ รวมทั้งฆาตกรรม

กฎหมายของรัฐ California ว่าด้วยการโจรกรรมย่อย การโจรกรรม และการขโมยของตามห้างร้านต่าง ๆ ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐ California ให้คำจำกัดความการโจรกรรมว่า เป็นการขโมยทรัพย์สินโดยการลักขโมย การเสแสร้งหลอกลวง หรือการยักยอกทรัพย์สินโดยมีเจตนาที่จะนำทรัพย์สินไปเสียจากเจ้าของทรัพย์สินอย่างถาวร การลักขโมยคือการยึดเอาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยเจตนาและไม่ชอบด้วยกฎหมาย การขโมยโดยการเสแสร้งหลอกลวงเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยการหลอกลวง การฉ้อฉลเกิดขึ้นเมื่อการครอบครองทรัพย์สินดั้งเดิมของผู้ต้องหานั้นชอบด้วยกฎหมาย แต่ต่อมาผู้ต้องหาได้แปลงทรัพย์สินนั้นไปใช้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย สำหรับความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมอื่น ๆ กฎหมายว่า ด้วยการโจรกรรมของรัฐ California ยังรวมถึงความผิดเฉพาะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรม อาทิ การไม่คืนทรัพย์สินที่เช่าหรือยืมมา การปลอมแปลงข้อมูลเพื่อขายสินค้าให้โรงรับจำนำ การโอนเงินทุนเพื่อการบริการ แรงงาน หรือวัสดุโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การฉ้อโกงโครงการบ้านจัดสรร การขายหรือโอนหรือใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตอย่างผิดกฎหมาย และ การยึดเอาทรัพย์สินที่เก็บได้ โดยไม่ต้องพยายามตามหาเจ้าของตามสมควร

Walgreens ต้องปิดร้านค้าในนคร San Francisco เนื่องจากการขโมยของในร้านเพิ่มมากขึ้นจนรับไม่ไหว การโจรกรรมข้าวของในร้านค้าของนคร San Francisco เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ 

Thomas Fuller ผู้สื่อข่าว / นักเขียนประจำมลรัฐ California ของ The New York Times

Thomas Fuller ผู้สื่อข่าว/นักเขียนประจำมลรัฐ California ของ The New York Times ได้เล่าว่า ไม่นานหลังจากผมย้ายไปนคร San Francisco ในปี พ.ศ. 2559 ผมเดินเข้าไปในห้าง Walgreens ในเขต North Beach เพื่อซื้อแปรงสีฟันไฟฟ้า ขณะที่ผมจ่ายเงินอยู่ ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้าน หยิบเนื้อเค็มแท่ง (Beef jerky) หนึ่งกำมือแล้วเดินออกไป ผมมองไปยังพนักงานคนหนึ่งที่ยักไหล่ จากนั้นผมก็ไปที่ Safeway ข้างบ้านเพื่อซื้อของชำ และผมเห็นชายคนหนึ่งใส่ไวน์สามขวดใส่กระเป๋าเป้ และเดินไปที่ทางออกอย่างสบาย ๆ ระหว่างทางออกไป เขาหยิบขนมอีกห่อ ผมถามเสมียน Safeway เกี่ยวกับการโจรกรรมครั้งนี้ “ผมยังใหม่กับ Francisco” ผมพูดว่า “ที่นี่สามารถเลือกจ่ายสิ่งของได้หรือไม่” ห้าปีต่อมา การแพร่ระบาดของการขโมยของในร้านใน San Francisco ยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้น ตัวแทนจาก Walgreens กล่าวว่าการโจรกรรมที่ร้านค้าในนคร San Francisco นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศของเครือสี่เท่า และได้ปิดร้าน 17 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเพราะจำนวนของการโจรกรรมมากจนธุรกิจไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้

ร้านขายยาของเครือร้านขายยา CVS Health

Brendan Dugan ผู้อำนวยการแผนกอาชญากรรมค้าปลีกเครือร้านขายยา CVS Health เรียก นคร San Francisco ว่า “หนึ่งในศูนย์กลางของการก่ออาชญากรรมในร้านค้าปลีก” และกล่าวว่าพนักงานได้รับคำสั่งไม่ให้ไล่ตามผู้ต้องสงสัยขโมย เนื่องจากการเผชิญหน้านั้นอันตรายเกินไป “เรามีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเราถูกทำร้ายเป็นประจำในนคร San Francisco” Dugan กล่าว ผู้บริหารร้านค้าปลีกและเจ้าหน้าที่ตำรวจเน้นย้ำถึงบทบาทขององค์กรอาชญากรรมในการโจรกรรม และพวกเขาบอกผู้บังคับบัญชาว่า Prop 47  ซึ่งเป็นมาตรการจากลงคะแนนเสียงในปี พ.ศ. 2557 ที่จัดประเภทการโจรกรรมอย่างไม่รุนแรงเป็นความผิดลหุโทษ หากสินค้าที่ถูกขโมยมีมูลค่าน้อยกว่า $950 “แนวโน้มเดียวที่เราเห็นคือความรุนแรงและทวีความรุนแรงมากขึ้น และกล้ามากขึ้น” Raj Vaswani หัวหน้าสำนักงานสืบสวนของกรมตำรวจนคร San Francisco กล่าว “เราพบเห็นผู้กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง” นคร San Francisco ได้รับความเดือดร้อนในหลาย ๆ ด้านในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เมืองนี้มีการใช้ยาเกินขนาดที่ทำให้เสียชีวิตได้มากเป็นสองเท่าของการเสียชีวิตจาก COVID-19 กระโจมคนไร้บ้านตั้งเรียงรายตลอดช่วงการ Lock down แต่การพิจารณาคดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมุ่งเน้นไปที่บางสิ่งบางอย่างที่แสนจะธรรมดากว่ามาก 

Raj Vaswani หัวหน้าสำนักงานสืบสวนของกรมตำรวจนคร San Francisco กล่าว “เราพบเห็นผู้กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง”


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“The Roof Koreans” เมื่อชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ต้องจับปืนป้องกันตัวบนดาดฟ้า จากการจลาจลครั้งใหญ่ใน LA

Roof Koreans หรือที่เรียกว่า Rooftop Koreans เป็นศัพท์สแลงที่หมายถึงเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี-อเมริกันที่ปกป้องอาคารร้านค้าของพวกเขาในระหว่างการจลาจลในนครลอสแองเจลิส ในปี พ.ศ. 2535 ภาพของเจ้าของธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่บนหลังคาถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อต่าง ๆ ทำให้พวกเขาได้กล่าวถึงในความกล้าและห้าวหาญ โดยคนอเมริกันเชื้อสายเกาหลีพร้อมอาวุธปืนขึ้นไปตั้งหลักบนหลังคาดาดฟ้าอาคารที่พวกตนประกอบธุรกิจอยู่ เพื่อป้องกันอาคารร้านค้าตลอดจนทรัพย์สินให้พ้นจากการปล้นโดยผู้ก่อการจลาจล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสปานิก จากเหตุการณ์จลาจลกรณีตำรวจผิวขาวของกรมตำรวจแห่งนครลอสแองเจิลลิส (LAPD) 4 นายรุมทุบตี Rodney King ชายผิวสี และมีการการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส ในปี พ.ศ. 2535 อันเป็นการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่เทศมณฑลลอสแอนเจลิส ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 

โดยความไม่สงบเริ่มขึ้นในวันที่ 29 เมษายน เมื่อมีคำพิพากษาให้ตำรวจ 4 นายพ้นผิดจากข้อหากระทำการเกินกว่าเหตุและทำร้ายร่างกายขณะจับกุม Rodney King ชายผิวสีที่ก่อเหตุเมาแล้วขับ การจลาจลดำเนินอยู่ 6 วันก่อนจะจบลงในวันที่ 4 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิต 63 คน ทรัพย์สินเสียหายคิดเป็นมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มูลค่าในขณะนั้น)

ภาพเหตุการณ์ที่ตำรวจผิวขาวของ Los Angeles Police Department (LAPD) 4 นายรุมทุบตี Rodney King ชายผิวสี จนทำให้เกิดการการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส ในปี พ.ศ. 2535

Latasha Harlins (ซ้าย) เด็กสาวผิวสีวัย 15 ปี เสียชีวิตหลังจากถูก Soon Ja Du (ขวา) ยิง

การจลาจลในลอสแอนเจลิส ปี พ.ศ. 2535 เป็นผลพวงมาจากหลายสาเหตุ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2534 ความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันกับชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเพิ่มสูงขึ้นเมื่อ Soon Ja Du เจ้าของร้านค้าผู้มีเชื้อสายเกาหลียิง Latasha Harlins เด็กสาวผิวสีวัย 15 ปีจนเสียชีวิตหลัง Soon Ja Du กล่าวหาว่า Harlins พยายามขโมยของในร้าน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2534 คณะลูกขุนมีความเห็นให้ดูมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (Voluntary manslaughter) มีโทษสูงสุดคือจำคุก 16 ปี แต่จอยซ์ คาร์ลิน ผู้พิพากษาตัดสินให้ Soon Ja Du ถูกคุมประพฤติ 5 ปี บำเพ็ญงานสาธารณประโยชน์ 400 ชั่วโมง และปรับ 500 ดอลลาร์สหรัฐ

ในเดือนเดียวกันกับที่ Soon Ja Du ก่อเหตุ Rodney King และเพื่อนอีก 2 คนถูกตำรวจจับกุมจากหลังเมาแล้วขับและพยายามหลบหนีการจับกุม King และเพื่อนถูกตำรวจรุมทำร้ายระหว่างการจับกุม ซึ่งมีผู้บันทึกวิดีโอเหตุการณ์ไว้ได้แล้วส่งไปให้สำนักข่าวท้องถิ่น KTLA เดือนเมษายน พ.ศ. 2535 หลังอัยการเขตเทศมณฑลลอสแอนเจลิสตั้งข้อหาตำรวจ 4 นายว่ากระทำการเกินกว่าเหตุและใช้กำลังประทุษร้าย คณะลูกขุนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันผิวขาวมีความเห็นให้ตำรวจทั้ง 4 นายไม่มีความผิด หลังจากตีความเหตุการณ์ในวิดีโอว่า King พยายามขัดขืนการจับกุม

ตำรวจ 4 นายที่ร่วมกันทำร้าย King โดย 2 นายได้รับโทษจำคุก 30 เดือน ฐานละเมิดสิทธิพลเมือง ส่วนอีก 2 นายถูกไล่ออกจากกรมตำรวจลอสแอนเจลิส

หลังมีคำพิพากษาในวันที่ 29 เมษายน จึงเกิดการชุมนุมที่หน้ากรมตำรวจลอสแอนเจลิส และชาวผิวสีบางกลุ่มที่โกรธแค้นเริ่มไล่ทำร้ายชาวอเมริกันผิวขาวในนครลอสแอนเจลิสโซนใต้ ก่อนที่วันต่อมามีการประกาศเคอร์ฟิว และความรุนแรงแผ่ขยายไปเป็นการวางเพลิงและปล้นทรัพย์ในนครลอสแอนเจลิสโซนกลาง รวมถึงการปะทะกันระหว่างชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันกับชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเมื่อมีผู้ก่อการจลาจลบุก Korea Town 

วันที่ 1 พฤษภาคม Rodney King เรียกร้องให้มีการยุติการจลาจล มีการเคลื่อนกำลังทหารจากรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐบาลกลางรวมกว่า 10,000 นาย เข้ามาในเมือง วันที่ 4 ของการจลาจล (2 พฤษภาคม) มีการเพิ่มกำลังเสริมรวมเป็น 13,500 นาย ทำให้ลอสแอนเจลิสกลายเป็นเมืองที่ถูกกองประจำการสหรัฐยึดครองมากที่สุดนับตั้งแต่การจลาจลในวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2511 การจลาจลจบลงในวันที่ 4 พฤษภาคม เมื่อกองกำลังรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และมีการยกเลิกเคอร์ฟิว แต่ให้คงกำลังทหารไว้จนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม

หลังเหตุการณ์สงบ มีผู้เสียชีวิต 63 คน บาดเจ็บ 2,383 คน และถูกจับกุม 12,111 คน อาคารบ้านเรือนถูกเผาทำลายกว่า 3,767 แห่ง กรมตำรวจลอสแอนเจลิสถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทในการควบคุมและจัดการสถานการณ์ที่ผิดพลาด จน แดริล เกตส์ ผู้บัญชาการของกรมตำรวจลอสแอนเจลิสต้องประกาศลาออก ส่วนคดี Rodney King ได้รับการพิจารณาใหม่ในปี พ.ศ. 2536 นำไปสู่การตัดสินโทษตำรวจ 4 นายที่ร่วมกันทำร้าย King โดย 2 นายได้รับโทษจำคุก 30 เดือนฐานละเมิดสิทธิพลเมือง ส่วนอีก 2 นายถูกไล่ออกจากกรมตำรวจลอสแอนเจลิส ส่วน King ได้รับเงินชดเชย 3.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Korea Town นครลอสแอนเจลิส

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิด The Roof Koreans (The Rooftop Koreans) ด้วยนครลอสแอนเจลิสเป็นที่พำนักอาศัยของชาวเกาหลีกว่า 300,000 คน เป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ของผู้อพยพชาวเกาหลี หลายคนมาถึงในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 เมื่อสภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในขณะนั้นมีความแตกต่างอย่างมากกับเกาหลีใต้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากขาดโอกาสในการทำงานและเงินทุนที่จำกัด ชาวเกาหลีจำนวนมากจึงซื้อร้านค้าในพื้นที่ของคนผิวสีเป็นส่วนใหญ่ มักจะมาจากเจ้าของสีขาวย้ายออก นอกจากนี้ราคาค่าเช่าในพื้นที่เหล่านี้ยังถูกมากจนสามารถที่จะเปิดทำธุรกิจได้ด้วยเงินทุนไม่มากนัก

นครลอสแอนเจลิสกลายเป็นอนาธิปไตยอย่างรวดเร็ว มีทั้ง การลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการอาละวาดปล้นสะดม ตำรวจนครลอสแอนเจลิสละทิ้งย่าน Korea Town ตลาดแคลิฟอร์เนีย นครลอสแอนเจลิส ในระหว่างการจลาจลในปี 1992

เมื่อเกิดการประท้วงในเรื่องของการพ้นผิดของตำรวจที่รุมทำร้าย Rodney King นครลอสแอนเจลิสกลายเป็นอนาธิปไตยอย่างรวดเร็ว มีทั้งการลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการอาละวาดปล้นสะดม ความตึงเครียดทางชาติพันธุ์เริ่มก่อตัวขึ้นในชุมชนเกาหลี ชาวเกาหลีจำนวนมากถูกทำร้ายจนบาดเจ็บตายล้มตายระหว่างการปล้นตามร้านค้าต่าง ๆ และการจลาจลในนครลอสแอนเจลิสเริ่มเลวร้ายลง ชาวเกาหลีรู้แล้วว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรบางอย่าง สถานีวิทยุเกาหลีในนครลอสแอนเจลิสเริ่มเรียกร้องให้อาสาสมัครชาวเกาหลีออกมาช่วยเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี ซึ่งไม่นานก็นำไปสู่กลุ่มอาสาสมัครที่บรรทุกทุกอย่างตั้งแต่อาวุธทำเองไปจนถึงปืนเล็กยาวจู่โจม ในช่วงเริ่มต้นของการจลาจล กรมตำรวจลอสแอนเจลิสได้รับคำร้องเรียนจากเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี โดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใด ๆ และตำรวจส่วนใหญ่ล่าถอยออกจากทุกเรื่องเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงเรื่อย ๆ และเมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เจ้าของธุรกิจชาวเกาหลีที่ถูกปิดล้อมจะได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายทุกรูปแบบ พวกเขาจึงเริ่มมาตรการปกป้องตนเอง ดังนั้นเรื่องของ The Roof Koreans จึงถือกำเนิดขึ้น

หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของหลังคาของชาวเกาหลีอยู่ที่ย่าน Korea Town ตลาดแคลิฟอร์เนียในนครลอสแอนเจลิส นักธุรกิจเจ้าของร้าน เสริมความแข็งแกร่งให้อาคารร้านค้าของเขา ด้วยการติดอาวุธปืนให้พนักงานครบทั้ง 20 คนผูกผ้าคาดหัวแบบเกาหลี ภาพลักษณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของ The Roof Koreans

Chang Lee ชาวเกาหลี-อเมริกัน กำปืนและตะโกนใส่ผู้ลักขโมยข้าวของจากดาดฟ้าของห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ ที่เขายืนอยู่ ชายวัย 35 ปีคนนี้ไม่เคยถือปืนมาก่อนการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส Lee ได้กลิ่นไฟที่ลุกโชนในย่าน Korea Town ของนครลอสแอนเจลิส "ตำรวจอยู่ที่ไหน ตำรวจอยู่ที่ไหน" Lee กระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากหลังคาร้านของเขา Lee จะไม่เห็นการบังคับใช้กฎหมายเป็นเวลาสามวัน มีเพียงเพื่อนชาวเกาหลี-อเมริกันเท่านั้นที่ถูกสำนักข่าวถ่ายภาพไว้ ซึ่งดูเหมือนทหารที่ติดอาวุธดูราวกับเป็นสงครามกองโจรบนท้องถนน วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2535 เมืองแห่งทูตสวรรค์ได้ถูกโหมกระหน่ำด้วยการปล้นสะดม เป็นวันที่สองของการโจมตีด้วยอาวุธและการลอบวางเพลิง ภายหลังการพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจของกรมตรวจนครลอสแอนเจลิสผิวขาวสี่นาย เนื่องจากใช้ความรุนแรงด้วยการทุบตี Rodney King ระหว่างการจับกุม

เพื่อนบ้านของ Chang Lee ออกมาช่วยเขาทำความสะอาดหลังจากที่ปั๊มน้ำมันของเขาถูกไฟไหม้

การจลาจลที่กินเวลานานเกือบสัปดาห์และคร่าชีวิตผู้คนไป 63 คน บาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน และสร้างความเสียหายประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งเป็นธุรกิจที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเป็นเจ้าของ ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่คุกรุ่นมายาวนานระหว่างเจ้าของธุรกิจชาวอเมริกัน-เกาหลีผู้อพยพและลูกค้าชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มีอำนาจเหนือกว่า คำตัดสินของ Rodney King และการจลาจลที่ตามมามักถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับการบังคับใช้กฎหมายและชุมชนชาวแอฟริกัน-อเมริกัน Edward Taehan Chang ศาสตราจารย์ด้านชาติพันธุ์ศึกษา และผู้ก่อตั้ง Young Oak Kim Center for Korean American Studies แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ กล่าวว่า งานดังกล่าวยังเป็นงานสมัยใหม่ที่สำคัญที่สุดเพียงงานเดียวสำหรับชาวเกาหลี-อเมริกัน “แม้ว่าพ่อค้าชาวเกาหลี-อเมริกันจะตกเป็นเหยื่อ แต่ไม่มีใครได้รับการดูแล เพราะขาดทั้งการมองเห็นและอำนาจทางการเมืองของเรา” Chang กล่าว “ผู้อพยพชาวเกาหลีจำนวนมากที่มาถึงในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 80 ได้เรียนรู้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเพียงลำพัง แต่จะไม่รับประกันตำแหน่งของพวกเขาในสังคมอเมริกัน เมื่ออะไรเริ่มเปลี่ยนไป อัตตลักษณ์ของเกาหลี-อเมริกันจึงถือกำเนิดขึ้น” และ “การจลาจลแอลเอคราวนั้น กลายเป็นเสียงปลุกอย่างโหด ๆ ให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีตื่นจากการหลับใหลและตื่นตัวขึ้นจากการนิ่งเฉยรอ

Richard Rhee เจ้าของร้านถือปืนพกและพกโทรศัพท์มือถือ ยืนเฝ้าระวังบนหลังคาร้านขายของชำของเขาในย่าน Korea Town ของนครลอสแองเจลิสเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2535

การจลาจลทำให้ย่าน Korea Town ตกเป็นเป้าของถูกทั้งเหล่าพวกแก๊งอันธพาลและพวกก่อการจลาจลในนครลอสแองเจลิสเล็งเอาไว้อย่างเจาะจง ด้วยหวังจะเข้าปล้นชิงฉกฉวยหาประโยชน์ระหว่างที่เกิดความวุ่นวายโกลาหล ในสภาพที่เวลานั้นทั้งกรมตำรวจนครลอสแองเจลิส (Los Angeles Police Department : LAPD) และทหารกองกำลังพิทักษ์ชาติต่างปฏิบัติภาระหน้าที่กันจนสุดกำลังอยู่แล้ว ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหล่านี้ซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ต้องหาทางป้องกันพวกเขากันเอง พวกเขาจึงใช้สิทธิของพวกเขาตามที่ระบุเอาไว้ในบทแก้ไขที่ 2 (Second Amendment) ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ด้วยการจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัคร (Militia) ขึ้นมา โดยจัดวางกำลังคนติดอาวุธเข้ายึดที่มั่นเพื่อการป้องกันตัวตามยอดตึกดาดฟ้าหลังคาอาคาร ตลอดจนบริเวณรอบ ๆ อาคารห้างร้านอันเป็นที่ตั้งธุรกิจทั้งหลายของพวกเขา และได้สมญานามว่า “Roof Koreans” (ชาวเกาหลีบนดาดฟ้า/หลังคา/ยอดตึก)

ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลียืนหยัดรักษาที่มั่น ณ ลานดาดฟ้าบนตึกของพวกเขาเอาไว้ และเริ่มต้นยิงตอบโต้กลับไปในทันทีที่พวกแก๊งอันธพาลและพวกก่อจลาจลเริ่มบุกเข้ามาปล้นชิงข้าวของ

พลเมืองในพื้นที่ 150 ช่วงตึกของ Korea Town แม้จะถูกปล่อยทิ้งโดยกรมตำรวจนครลอสแองเจลิส (Los Angeles Police Department : LAPD) และทหารกองกำลังพิทักษ์ชาติ ซึ่งพวกเขาได้รับแจ้งให้ขนข้าวของต่าง ๆ และอพยพออกจากพื้นที่ไปเสีย และผู้อพยพจำนวนมากซึ่งหลบหนีจากไปภายหลังก็พบว่า ธุรกิจของพวกเขาถูกเผาจบราบเรียบไปเสียแล้ว แต่ยังมีชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีอื่น ๆ ที่ปฏิเสธไม่ยอมตกเป็นเหยื่อรับเคราะห์ และตัดสินใจที่จะอยู่จับอาวุธขึ้นมาปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา และ “ปกป้องและรับใช้” กันและกันภายในชุมชนของพวกเขา ถึงแม้มีจำนวนน้อยกว่าพวกก่อจลาจลที่ติดอาวุธ ซึ่งพยายามเข้าปล้นชิงข้าวของจากธุรกิจต่าง ๆ ของ Korea Town แต่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหล่านี้ก็ยังคงยืนหยัดรักษาที่มั่น และลานดาดฟ้าบนตึกของพวกเขาเอาไว้ และเริ่มต้นยิงตอบโต้กลับไป ในทันทีที่พวกแก๊งอันธพาลและพวกก่อจลาจลเริ่มบุกเข้ามาปล้นชิงข้าวของสมาชิกของ Roof Koreans ก็เริ่มต้นยิงปืนใส่ทันที

ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลียืนหยัดรักษาที่มั่นบนตึกของพวกเขาเอาไว้ จนกลายเป็นตำนาน Roof Koreans

ชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลีสมาชิกของ Korea Town เหล่านี้จำนวนมากทีเดียวเคยเป็นทหารผ่านศึกที่ประจำการอยู่ในกองทัพสหรัฐฯ หรือไม่ก็เป็นอดีตทหารเกณฑ์ในกองทัพเกาหลีใต้ ทั้งนี้เกาหลีใต้กำหนดให้ชายทุกคนต้องรับราชการเป็นทหารเป็นเวลา 2 ปี รวมทั้งชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีด้วย ด้วยสภาวะขาดแคลนกำลังคน อาวุธปืนที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหล่านี้มีอยู่ในครอบครองมีทั้งพวกปืนเล็กยาวในรูปลักษณ์แบบปืนเล็กยาวแบบ AK-pattern, ปืนพก Glock 17, ปืนเล็กยาว Ruger Mini-14, ปืนเล็กสั้นแบบ SKS carbines, ปืนเล็กยาว AR-15, ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ TEC-9, ปืนพกกึ่งอัตโนมัติแบบปืนกลมือ Uzi-pattern, ปืนลูกซอง Remington 870, ปืนเล็กยาวแบบ Bolt-action, ปืนพกนานาชนิด, และปืนเล็กสั้นกึ่งอัตโนมัติแบบ Daewoo K-1 ซึ่งเป็นอาวุธปืนประจำกายของทหารเกาหลีใต้ในสมัยนั้น

Charles Whitman มือปืนชาวอเมริกันที่เป็นฆาตกรสังหารหมู่ 18 ศพ (รวมทั้งตัว Whitman เอง) ซึ่งได้รับฉายาอันไม่น่าอภิรมย์ว่า “นักฆ่าแห่งตึกสูงของเท็กซัส” (Texas Tower Sniper)

ถึงแม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พวกชาวบ้านซึ่งเป็นอเมริกันเชื้อสายเกาหลีของ Korea Town ถูกทอดทิ้ง โดยตำรวจของกรมตำรวจนครลอสแองเจลิสที่ทำตัวเหนียมราวกับลูกแกะเชื่อง ๆ แต่สื่อมวลชนกลับเสนอข่าวเกี่ยวกับกองกำลัง Roof Koreans ในเชิงวิพากษ์โจมตี โดยการกระทำของพวกเขาถูกระบุว่าเป็น “การก่อกวนความสงบเรียบร้อย” รวมทั้ง Roof Koreans ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Charles Whitman มือปืนชาวอเมริกันที่เป็นฆาตกรสังหารหมู่ซึ่งได้รับฉายาอันไม่น่าอภิรมย์ว่า “นักฆ่าแห่งตึกสูงของเท็กซัส” (Texas Tower Sniper) แต่ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ก็คือ เมื่อในที่สุดกำลังตำรวจของ กรมตำรวจนครลอสแองเจลิสกลับเข้ามาหลังจากเรื่องราวต่าง ๆ สงบเงียบเรียบร้อยลงแล้ว ตำรวจได้จับกุมคุมขังสมาชิก Roof Koreans เอาไว้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งยึดอาวุธปืนต่าง ๆ ของพวกเขาไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากยังคงยกย่องชมเชยสมาชิก Roof Koreans ในเรื่องความกล้าหาญและความยืดหยุ่นในระหว่างที่เกิดการจลาจลโกลาหลอลหม่านครั้งนั้น และภาพของกลุ่มชายถืออาวุธบนดาดฟ้ายอดอาคารห้างร้านต่าง ๆ ก็กลายเป็นภาพหนึ่งที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ICON อย่างถาวรของการจลาจลในนครลอสแองเจลิส ปี พ.ศ. 2535 และ Roof Koreans ยังคงเป็นที่รู้จักจดจำในคนรุ่นต่อ ๆ มา ทั้งถูกนำไปใช้ผลิตเป็นสินค้าที่ระลึกมากมาย

Roof Koreans ยังคงเป็นที่รู้จักจดจำในคนรุ่นต่อ ๆ มา ทั้งถูกนำไปใช้ผลิตเป็นสินค้าที่ระลึกมากมาย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โศกนาฏกรรม “โคเรียนแอร์ไลน์” (Korean Air Lines) เที่ยวบิน 007 ปริศนา? หายนะกลางอากาศ

มีผู้อ่านท่านหนึ่งเขียน In box ใน Facebook ดร.โญ มีเรื่องเล่า ว่า “ สวัสดีครับอาจารย์ ผมอยากได้ข่าวเก่า ๆ อดีตสหภาพโซเวียตส่งเครื่องบินรบไล่ยิงเครื่องบินโดยสารเกาหลีใต้ อยากทราบว่ายิงทำไมครับ ? ” เรื่องนี้ ถือเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลกในยุคนั้น (พ.ศ. 2526) เลย ขอจัดให้ในบทความนี้ ซึ่งผนวกเรื่องราวเช่นนี้ที่เคยเกิดขึ้นกับเครื่องบินโดยสารของ Korean Air Lines และโดยเครื่องบินรบของสหภาพโซเวียตแบบเดียวกันเมื่อ 5 ปี ก่อนหน้าเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้น

เครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747-230B (HL-7442) ลำดังกล่าว

ข่าวใหญ่ระดับโลกที่โด่งดังมากที่สุดในปี พ.ศ. 2526 คือ ข่าวโศกนาฏกรรม Korean Air เที่ยวบิน 007 ซึ่งถูกเครื่องบินขับไล่ของสหภาพโซเวียตในขณะนั้นยิงตก ทำให้ลูกเรือและผู้โดยสารบนเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747-230B (HL-7442) เสียชีวิตทั้งหมด ถึง 269 ราย และมีคนไทยรวมอยู่ด้วย 5 ราย

เครื่องบินโดยสารของ Korean Air แบบ Boeing 707 (HL-7429) ลำที่ถูกยิง

เหตุการณ์เครื่องบินขับไล่ของโซเวียต ยิงเครื่องบินโดยสารของ Korean Air ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น โดย 5 ปีก่อนหน้านี้เมื่อวันที่  20 เมษายน พ.ศ. 2521 ก็มีเหตุเครื่องบินขับไล่ของสหภาพโซเวียตยิงเครื่องบินโดยสารของ Korean Airเที่ยวบินที่ 902 (KAL 902 หรือ KE 902) มาแล้ว ครั้งนั้นเป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 707 (HL-7429) จากกรุงปารีส ฝรั่งเศส มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ กรุงโซล เกาหลีใต้ โดยมีกำหนดแวะพักเติมน้ำมันที่ท่าอากาศยานนานาชาติเทด สตีเวนส์ เมืองแองคอเรจ มลรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา มีผู้โดยสาร 97 คน ลูกเรือ 12 คน

เครื่องบินสอดแนมแบบ Boeing RC-135 ซึ่งพัฒนาจากเครื่องบิน Boeing 707

เหตุการณ์ Korean Air เที่ยวบินที่ 902 มีผู้โดยสารเสียชีวิต 2 คน เครื่องบินถูกบังคับให้ลงจอดฉุกเฉินบนทะเลสาบน้ำแข็ง Korpijärvi ทางทิศใต้ของเมืองเมอร์มานส์ ใกล้ชายแดนฟินแลนด์

เครื่องบินโดยสาร Korean Air เที่ยวบินที่ 902 หลังจากถูกบังคับให้ลงจอดฉุกเฉินบนทะเลสาบน้ำแข็ง Korpijärvi

ต่อมาเมื่อ 38 ปีก่อน เครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 747 -230B เที่ยวบิน KAL 007 สายการบิน Korean Air ของเกาหลีใต้ถูกสหภาพโซเวียตยิงตก หลังจากที่พลัดหลงเข้ามาในเขตน่านหวงห้ามของโซเวียต ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และทั้ง 269 ชีวิตบนเครื่องเสียชีวิต โดยหาศพไม่เจอ และกระทั่งถึงปัจจุบันก็ยังสรุปไม่ได้แน่ชัดว่าใครผิดใครถูก ระหว่างโซเวียตที่เป็นคนยิง เกาหลีใต้ที่เป็นเจ้าของและผู้บังคับเครื่องบิน หรือสหรัฐอเมริกา เที่ยวบิน KAL 007 บินจากนครนิวยอร์กสู่กรุงโซล โดยแวะพักที่เมืองแองเคอเรจ มลรัฐอะแลสกา และในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2526 เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินดังกล่าวถูกเครื่องบินสกัดกั้น SU-15 ของสหภาพโซเวียตยิงตกใกล้เกาะโมเนรอน ทางตะวันตกของเกาะซาฮาลิน ในทะเลญี่ปุ่น นักบินของเครื่องบินสกัดกั้นลำนั้น คือ นาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich โดยผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 269 คนบนเครื่องเสียชีวิตทั้งหมด รวมทั้ง Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากรัฐจอร์เจีย เครื่องบินลำดังกล่าวกำลังอยู่ในเส้นทางจากเมืองแองเคอเรจสู่กรุงโซลเมื่อบินผ่านน่านฟ้าโซเวียตซึ่งเป็นเขตหวงห้ามในเวลาไล่เลี่ยกับภารกิจของเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ

โดยตอนแรก สหภาพโซเวียตปฏิเสธการรู้เห็นในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ภายหลังยอมรับว่า เครื่องบินขับไล่ของโซเวียตเป็นผู้ยิง โดยอ้างว่าเครื่องบินโดยสารลำดังกล่าวอยู่ระหว่างภารกิจสอดแนม คณะตรงโปลิตบูโรแถลงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการยั่วยุโดยเจตนาของสหรัฐ เพื่อทดสอบความพร้อมทางทหารของสหภาพโซเวียต หรือกระทั่งยั่วยุให้เกิดสงคราม ทำเนียบขาวก็กล่าวหาสหภาพโซเวียตว่า ขัดขวางปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย กองทัพโซเวียตระงับการค้นหาหลักฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อใช้ในการสอบสวนสาเหตุ โดยเฉพาะ เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน หรือกล่องดำ ซึ่งสุดท้ายก็มีการเผยแพร่ในแปดปีหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดขณะหนึ่งของสงครามเย็นและส่งผลให้การต่อต้านโซเวียตทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ มุมมองตรงข้ามต่อเหตุการณ์ไม่เคยยุติอย่างสมบูรณ์ ต่อมามีอีกหลาย ๆ กลุ่มได้ดำเนินการเกี่ยวกับรายงานอย่างเป็นทางการในกรณีพิพาทและเสนอทฤษฎีทางเลือกของเหตุการณ์นี้ มีการเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ และข้อมูลเครื่องบันทึกของเที่ยวบิน KAL 007 ภายหลังโดยสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งได้เปิดเผยรายละเอียดบางอย่างซึ่งยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

ระบบ GNSS ของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นความลับอยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. 2526)

ผลของเหตุการณ์ สหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนวิธีดำเนินการติดตามเครื่องบินที่บินออกจากมลรัฐอะแลสกา พัฒนาโปรแกรมต่อประสานนักบินอัตโนมัติที่ใช้ในสายการบินโดยได้รับการออกแบบใหม่ให้สมบูรณ์มากขึ้น นอกเหนือจากนี้แล้วเหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นเหตุการณ์เดี่ยวที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดี Reagan อนุญาตให้ทั่วโลกเข้าถึงระบบ GNSS ของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยังเป็นความลับอยู่ในขณะนั้น ปัจจุบันระบบดังกล่าวรู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อว่า GPS (Global Positioning System)

เครื่องบินของ Korean Air เที่ยวบินที่ 007 คือ เครื่องบินพาณิชย์แบบ Boeing 747-230B ส่งมอบเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2515 เลขทะเบียน CN20559/186 และ D-ABYH ซึ่งให้บริการโดยสายการบิน Condor ก่อนจะมาจดทะเบียนเป็น HL7442 ของ Korean Air KAL 007 ออกจากประตูที่ 15 ของท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2526 มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพ ในเขตกังเซโอ กรุงโซล โดยออกเดินทางช้ากว่ากำหนด 35 นาที จากกำหนดเดิม 23:50 เขตเวลาตะวันออก (03:50 UTC ของวันที่ 31 สิงหาคม) เที่ยวบินนี้บรรทุกผู้โดยสาร 246 คนและลูกเรือ 23 คน หลังจอดเติมน้ำมันที่ท่าอากาศยานนานาชาติแองเคอเรจ ในเมืองแองเคอเรจ มลรัฐอะแลสกาแล้ว เครื่องบินดังกล่าว ซึ่งกัปตันของผลัดนี้คือ กัปตัน Chun Byung-in จึงได้ออกเดินทางสู่กรุงโซลเมื่อเวลา 04:00 ตามเวลาอะแลสกา (13:00 UTC) ของวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526

Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากมลรัฐจอร์เจีย หนึ่งในผู้โดยสาร

เที่ยวบินนี้มีสัดส่วนลูกเรือต่อผู้โดยสารสูงผิดปกติ โดยมีลูกเรือที่โดยสารแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (Deadheading) 6 คนบนเครื่อง ผู้โดยสาร 12 คนอยู่ในห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่งส่วนบน ขณะที่ที่นั่งชั้นธุรกิจมีผู้โดยสาร 24 ที่นั่ง ในชั้นประหยัดว่างราว 80 ที่นั่ง บนเครื่องมีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 22 คน ผู้โดยสาร 130 คนมีกำหนดการบินเชื่อมไปยังจุดหมายอื่น เช่น กรุงโตเกียว นครฮ่องกง และกรุงไทเป Larry McDonald สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจากมลรัฐจอร์เจีย ซึ่งขณะนั้นยังเป็นประธานคนที่สองของสมาคม John Birch Society อยู่บนเครื่องด้วย โซเวียตยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ริชาร์ด นิกสันจะนั่งติดกับ Larry McDonald บน KAL 007 แต่ CIA ได้เตือนไม่ให้ไป จากข้อมูลของ นิวยอร์กโพสต์ และสื่อของสหภาพโซเวียต แต่นิกสันปฏิเสธข่าวดังกล่าว

จุดอ้างอิงในเส้นทางการบิน R-20

หลังจากบินขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแองเคอเรจ เที่ยวบิน KAL 007 ได้รับคำสั่งจากการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ให้เลี้ยวหันหน้าไป 220 องศา ประมาณ 90 วินาทีต่อมา ATC สั่งให้เที่ยวบิน "มุ่งหน้าตรงสู่เบเธลเมื่อทำได้" เมื่อมาถึงเบเธล รัฐอะแลสกา เที่ยวบินที่ 007 จะเข้าสู่เหนือสุดของเส้นทางการบินกว้าง 80 กิโลเมตร ที่เรียก เส้นทาง NOPAC (แปซิฟิกเหนือ) ซึ่งเชื่อมชายฝั่งอะแลสกากับญี่ปุ่น เส้นทางการบินของ KAL 007 คือ R-20 (โรมีโอ 20) ผ่านห่างจากน่านฟ้าโซเวียตนอกชายฝั่งคัมชัตกาเพียง 28.2 กิโลเมตร ระบบนักบินอัตโนมัติที่ใช้ในขณะนั้นทำงานควบคุมระบบพื้นฐานสี่อย่าง ได้แก่ HEADING, VOR/LOC, ILS, และ INS สภาวะ HEADING รักษาเส้นทางแม่เหล็กคงที่ตามที่นักบินเลือก สภาวะ VOR/LOC รักษาเครื่องบินให้อยู่ในเส้นทางเฉพาะ การส่งสัญญาณจาก VOR ภาคพื้นดินหรือเครื่องบอกตำแหน่ง Localizer ตามที่นักบินเลือก สภาวะ ILS (ระบบลงจอดด้วยเครื่อง) ทำให้เครื่องบินติดตามทั้งเครื่องบอกตำแหน่งเส้นทางแนวตั้งและแนวระนาบ ซึ่งนำไปสู่ทางวิ่ง (Runway) ที่นักบินเจาะจงเลือกสภาวะ INS (Inertial navigation system : ระบบเดินอากาศยานเฉื่อย) ทำหน้าที่รักษาเครื่องให้อยู่ในเส้นทางแนวระนาบระหว่างพิกัดจุด (Waypoint) ตามแผนการบินที่เลือกที่ตั้งโปรแกรมเข้าสู่คอมพิวเตอร์ของระบบ INS

อุปกรณ์ HEADING Mode

ประมาณ 10 นาทีหลังจากเครื่องขึ้น โดยบินหันหัวทาง 245 องศา KAL 007 เริ่มเบี่ยงไปทางขวา (เหนือ) ของเส้นทางที่กำหนดไปยังเบเธล และยังคงบินต่อไปอีกห้าชั่วโมงครึ่ง การจำลองและวิเคราะห์เครื่องบันทึกข้อมูลการบินของ ICAO ระบุว่า การเบี่ยงเบนนี้อาจเกิดจากระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของเครื่องบินที่ทำงานในโหมด HEADING หลังจากจุดที่ควรเปลี่ยนเป็นโหมด INS ตามที่ ICAO ระบุ นักบินอัตโนมัติไม่ทำงานในโหมด INS เนื่องจากนักบินไม่ได้เปลี่ยนระบบอัตโนมัติเป็นโหมด INS หรือพวกเขาเลือกโหมด INS แต่คอมพิวเตอร์ไม่ได้เปลี่ยนการนำทางไปที่โหมด INS เนื่องจากเครื่องบินได้เบี่ยงเบนออกนอกเส้นทางเกินพิกัดความเผื่อ 7.5 ไมล์ (12.1 กม.) ที่อนุญาตโดยคอมพิวเตอร์ INS ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักบินอัตโนมัติยังคงอยู่ในโหมด HEADING และนักบินไม่ได้พบปัญหา

หลังจากบินขึ้น 28 นาที เรดาร์ของพลเรือนที่คาบสมุทร Kenai บนชายฝั่งตะวันออกของ Cook Inlet และด้วยเรดาร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ 175 ไมล์ (282 กม.) ทางตะวันตกของแองเคอเรจ ติดตาม KAL 007 5.6 ไมล์ (9.0 กม.) ทางเหนือของจุดที่ควรจะเป็น เมื่อ KAL 007 ไม่ถึงเบเธลในเวลา 50 นาทีหลังจากเครื่องบินขึ้น เรดาร์ของกองทัพสหรัฐฯที่ King Salmon รัฐอะแลสกา ได้ติดตาม KAL 007 ที่ระยะทาง 12.6 ไมล์ทะเล (23.3 กม.) ทางเหนือของจุดที่ควรจะเป็น ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศพลเรือนหรือเจ้าหน้าที่ทหารประจำเรดาร์ที่ฐานทัพอากาศ Elmendorf (ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะรับผลการวิเคราะห์จากเรดาร์ King Salmon) ทราบถึงความเบี่ยงเบนของ KAL 007 แบบเรียลไทม์ จึงสามารถเตือนได้ เครื่องบิน เพราะเกินค่าเบี่ยงเบนสูงสุดที่คาดไว้ถึงหกเท่า ข้อผิดพลาด 2 ไมล์ทะเล (3.7 กม.) เป็นค่าเบี่ยงเบนสูงสุดที่คาดหวังจากเส้นทางหาก INS (ระบบนำทางเฉื่อย) เปิดใช้งาน

ด้วย KAL 007 ไม่สามารถส่งตำแหน่งผ่านคลื่นความถี่สูงมาก (VHF) ที่มีช่วงสั้นกว่า ดังนั้นจึงขอให้ KAL 015 ซึ่งกำลังเดินทางไปยังกรุงโซลถ่ายทอดรายงานไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ KAL 007 ขอให้ KAL 015 ถ่ายทอดตำแหน่งสามครั้ง เมื่อเวลา 14:43 (UTC) KAL 007 ได้ส่งการเปลี่ยนแปลงเวลาที่ประมาณการมาถึงโดยตรงไปยังสถานีบริการเที่ยวบินระหว่างประเทศที่แองเคอเรจ แต่ได้ส่งผ่านคลื่นความถี่สูง (HF) ที่มีพิสัยไกลกว่า แทนที่จะเป็น VHF การส่งสัญญาณ HF สามารถไปได้ไกลกว่า VHF แต่เสี่ยงต่อการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าและไฟฟ้าสถิต VHF มีความชัดเจนกว่าและมีสัญญาณรบกวนน้อยกว่า การที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารทางวิทยุโดยตรงเพื่อให้สามารถส่งตำแหน่งได้โดยตรง เพื่อเตือนนักบินของ KAL 007 ทราบถึงการเบี่ยงออกนอกเส้นทางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติโดยผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ระยะครึ่งทางระหว่างเบเธลและจุดอ้างอิง NABIE KAL 007 ได้บินผ่านส่วนใต้ของเขตกันชนของหน่วยบัญชาการป้องกันการบินและอวกาศอเมริกาเหนือ โซนนี้อยู่ทางเหนือของเส้นทางการบิน Romeo 20 และจำกัดเฉพาะเครื่องบินพลเรือน หลังจากออกจากน่านฟ้าอเมริการะยะหนึ่ง KAL Flight 007 ได้บินข้ามเส้นแบ่งวันที่สากล วันที่ท้องถิ่นจึงเปลี่ยนจาก 31 สิงหาคม พ.ศ. 2526 เป็น 1 กันยายน พ.ศ. 2526 KAL 007 เดินทางต่อไป โดยความเบี่ยงเบนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนออกนอกเส้นทาง 60 ไมล์ทะเล (110 กม.) ที่จุดอ้างอิง NABIE และออกนอกเส้นทาง 100 ไมล์ทะเล (190 กม.) ที่จุดอ้างอิง NUKKS และออกนอกเส้นทางถึง 160 ไมล์ (300 กม.) ณ จุดอ้างอิง NEEVA จนกระทั่งบินถึงคาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายและเป็นเขตหวงห้ามที่สำคัญที่สุดของสหภาพโซเวียตในเขตตะวันออกไกล

หมู่เรือในการซ้อมรบทางทะเล FleetEx '83 ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึง 17 เมษายน พ.ศ. 2526

ด้วยช่วงเวลานั้น ไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ แต่เป็นช่วงระหว่างสงครามเย็นระหว่างเสรีนิยมกับสังคมนิยมกำลังตึงเครียดอย่างมาก จากการที่สหรัฐฯ นำขีปนาวุธ Pershing II มาประจำการในยุโรป การซ้อมรบทางทะเล FleetEx '83 ที่เป็นการซ้อมรบขนาดใหญ่ในแปซิฟิกเหนือ โดยเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ USS Midway และ USS Enterprise บินเข้ามาในลักษณะยั่วยุถึงเขตที่มั่นทางการทหารของโซเวียตบนเกาะคูริลในช่วงการซ้อมรบดังกล่าว จนสหภาพโซเวียตสั่งปลดนายทหารที่รับผิดชอบด้านการป้องกันพื้นที่ที่ไม่สามารถยิงเครื่องบินสหรัฐให้ตกได้ ดังนั้นโซเวียตจึงต้องป้องกันน่านฟ้าของตนอย่างเต็มที่ และในวันเดียวกับที่เกิดเหตุ สหภาพโซเวียตก็มีแผนจะซ้อมยิงขีปนาวุธ จึงมีการเตือนภัยทั่วเขตคาบสมุทรคัมชัตกา ขณะที่สหรัฐฯ ก็ส่งเครื่องบินแบบ RC-135 ออกสอดแนม (เหมือนกับกรณี Korean Air เที่ยวบินที่ 902)

15:51 น. (UTC) KAL 007 ได้เข้าสู่น่านฟ้าหวงห้ามของคาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งห่างจากน่านฟ้าเขตชายฝั่ง 200 กิโลเมตร และตำแหน่งที่อีก 80 กิโลเมตร KAL 007 จะเข้าสู่น่านฟ้าของคาบสมุทรคัมชัตกา โซเวียตจึงได้ส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-23 ลำหนึ่ง และ SU-15 Flagon อีก 3 ลำเข้าสกัด แต่ฝ่ายโซเวียตมีปัญหามากมาย ทั้งเรื่องการบัญชาการ เรื่องทางเทคนิค รวมถึงเรื่องสภาพอากาศ ทำให้ทั้ง 4 ลำไม่สามารถทำอะไรเครื่องบินโดยสารได้ จนกระทั่งมันออกจากน่านฟ้าของคัมชัตกา เข้าสู่น่านน้ำสากลโดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด หลังจากพิจารณาถึงเส้นทางการบินของ KAL 007 ฝ่ายโซเวียตเห็นว่า KAL 007 น่าจะบินฝ่าเข้ามายังน่านฟ้าหวงห้ามของโซเวียตอีกครั้ง น่าจะเป็นบริเวณเกาะซาคาลิน จึงสั่งการให้เครื่องบินขับไล่จัดการทำลาย KAL 007 แม้ว่า KAL 007 จะอยู่ในเขตน่านฟ้าสากล หากสามารถแน่ใจว่า บนเครื่องบินไม่มีผู้โดยสาร แต่นายทหารระดับสูงอีกคนกลับบอกว่า ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้วกับเครื่องบินที่ละเมิดน่านฟ้าของโซเวียตถึง 2 ครั้ง เมื่อ KAL 007 รุกล้ำน่านฟ้าเป็นครั้งที่ 2 โซเวียตได้ส่งเครื่องบินขับไล่ MiG-23 ลำหนึ่ง และ SU-15 Flagon อีก 3 ลำแบบเดิม รวม 4 ลำขึ้นไปเพื่อหาทางสื่อกับนักบิน KAL 007 แต่การติดต่อทางวิทยุ ไม่ประสบผล เพราะนักบินเกาหลีไม่ตอบกลับ เครื่อง บิน SU-15 ที่นำฝูง ก็ได้ยิงปืนเตือนไป 243 นัด แต่ก็ไม่มีการตอบสนอง ซึ่งกระสุนดังกล่าวเป็นกระสุนเจาะเกราะธรรมดา ไม่ใช่กระสุนส่องวิถี นักบิน KAL 007 จึงอาจจะไม่ทราบเรื่องการยิงเตือน

ในระหว่างนั้น กัปตัน KAL 007 ได้ติดต่อไปยังศูนย์ควบคุมการบินของญี่ปุ่น เพื่อขอเพิ่มเพดานบิน เพราะจะทำให้เครื่องบินประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อเพิ่มเพดานบินแล้ว พวกเขาจึงต้องลดความเร็วลงกะทันหัน แต่สำหรับนักบินเครื่องบินขับไล่ที่ติดตามอยู่ กลับเห็นว่าเป็นความพยายามในการหลบหนี เพราะทำให้เครื่องบินรบที่บินเร็วกว่า ต้องบินเลย KAL 007 ออกไป ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งจากหน่วยบัญชาการให้จัดการกับ KAL 007 ก่อนที่ KAL 007 จะออกไปพ้นน่านฟ้าของโซเวียตเป็นครั้งที่ 2 นักบินจึงต้องบินวนกลับมาด้านหลังของ KAL 007 อีกครั้ง ด้วยการสั่งการ 6 ขั้นของสายการบังคับบัญชา หลังจาก KAL 007 รุกล้ำน่านฟ้าโซเวียตกว่า 2 ชั่วโมง ในเวลา 18.26 น. (UTC) เครื่องบินรบแบบ SU-15 ที่บินนำฝูง โดยนาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich ก็ได้ยิงขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศ Kaliningrad K-8  จำนวน 2 ลูกใส่บริเวณส่วนหางของเครื่องบิน (เพราะกระสุนปืนถูกใช้ไปหมดแล้ว)  ทำให้เครื่องบินไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และที่สุดก็ตกลงในทะเลญี่ปุ่น ในเวลาต่อมา นาวาอากาศตรี Gennadiy Osipovich ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เขารู้แน่ว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing จากหน้าต่าง 2 แถว และรู้ว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินพลเรือน แต่สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่มีความหมายอะไร เพราะสามารถดัดแปลงเครื่องบินพลเรือนเป็นเครื่องบินทางการทหารได้ไม่ยาก รายละเอียดสัญชาติของผู้โดยสารและลูกเรือเที่ยวบิน : ออสเตรเลีย 4 ฮ่องกง 12 แคนาดา 8 สาธารณรัฐโดมินิกัน 1 อินเดีย 1 อิหร่าน 1 ญี่ปุ่น 28 มาเลเซีย 1 ฟิลิปปินส์ 16 เกาหลีใต้ 105 สวีเดน 1 ไต้หวัน 23 ไทย 5 สหราชอาณาจักร 2 สหรัฐอเมริกา 62 เวียดนาม 1 รวม 269 เป็นผู้โดยสาร 76 คน ลูกเรือ 23 คน และลูกเรือที่โดยสารแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย (Deadheading) 6 คน

หลังเครื่องบินหายไป หลายฝ่ายก็มีการออกค้นหาซากเครื่องบินและศพผู้เสียชีวิต แต่โซเวียตก็ไม่ให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการค้นหาภายในเขตของโซเวียตด้วย ในส่วนของการค้นหาในเขตน่านน้ำสากล เกาหลีใต้ในฐานะเจ้าของเครื่องบินมอบหมายให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯเป็นผู้ค้กนหาซากเครื่องบิน ในทางปฏิบัติก็เท่ากับว่าสหรัฐฯสามารถยิงฝ่ายโซเวียตได้ หากเข้ามาขโมยซากเครื่องบินในเขตน่านน้ำสากล ทำให้ทั้งสองฝ่ายส่งเรือรบเข้ามาในเขตมากมายราวกับเตรียมจะทำสงครามกัน นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็มีการก่อกวนยั่วยุกันตลอด แต่ในเขตน่านน้ำสากลไม่พบชิ้นส่วนอะไร ส่วนในฝั่งโซเวียตก็ไม่มีการแจ้งว่าพบอะไรบ้าง แต่ในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1991) มีการเปิดเผยว่า ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือที่ทันสมัย เจ้าหน้าที่ค้นหาของโซเวียตพบซากเครื่องบินอยู่ใกล้กับเกาะโมเนรอนที่ระดับความลึก 174 เมตร แต่เมื่อส่งประดาน้ำลงไปในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ก็ไม่พบว่ามีซากศพติดอยู่ภายในซากเครื่องบินแต่อย่างใด เท่าที่ฝ่ายโซเวียตพบก็มีเพียงแค่เศษซากชิ้นส่วนของมนุษย์ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น

รองเท้าและเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิต

8 วันต่อมาหลังการตก ศพผู้เสียชีวิตเริ่มลอยมายังญี่ปุ่น แต่อยู่ในสภาพชิ้นเล็กชิ้นน้อย และไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นชิ้นส่วนของใคร และ 26 วันหลังการตกของ KAL 007 โซเวียตได้นำรองเท้าและเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตที่เก็บได้ส่งคืนให้ตัวแทนสหรัฐ – ญี่ปุ่น เมื่อรวมกับที่ค้นพบในน่านน้ำสากล รองเท้า เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของผู้ที่อยู่บนเครื่องบิน 213 คน ด้วยคำแนะนำจากรัฐมนตรีมหาดไทย ในเบื้องต้น ยูริ อังโดรปอฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตในฐานะผู้นำประเทศ ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าโซเวียตเป็นผู้ยิงเครื่องบิน KAL 007 เพราะเชื่อว่า คงไม่มีใครพิสูจน์เรื่องนี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯซึ่งเป็นคู่อริจึงใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นในการโจมตีโซเวียต โดยการนำเทปบันทึกเสียงติดต่อของนักบินโซเวียตกับฐานที่ดักฟังได้ ไปเปิดในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เข้าฝ่ายโซเวียตจึงต้องออกมายอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน ก็แฉกลับว่า จนทำให้โลกรู้เป็นครั้งแรกว่า สหรัฐฯได้ส่งเครื่องบินลาดตระเวนแบบ RC-135 เข้ามาสอดแนมในน่านฟ้าของโซเวียต และเส้นทางการบินก็อยู่ในแนวเดียวกับ KAL 007 ที่ถูกยิงตก

ท่าทีของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ผู้นำสหรัฐ ซึ่งจ้องจะเอาผิดกับโซเวียตในเรื่องนี้ยิ่งทำให้ฝ่ายโซเวียตเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเจตนาร้ายและเป็นการวางแผนของฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯเดินหน้าตอบโต้ฝ่ายโซเวียตต่อไป โดยการห้ามสายการบินแอโรฟล็อตบินเข้าสหรัฐฯ ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียตต้องยกเลิกการเดินทางมาสหประชาชาติ และจากการที่สหรัฐฯไม่ยอมให้เครื่องบินของเจ้าหน้าที่โซเวียตที่จะมาร่วมประชุมสหประชาชาติลงจอด ซึ่งเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ โซเวียตก็จึงแก้เผ็ดโดยการจุดประเด็นว่า ควรย้ายสำนักงานใหญ่สหประชาชาติไปที่อื่นน่าจะดีกว่า และเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงจะมีมติประณามโซเวียตเรื่องการยิงเครื่องบิน โซเวียตจะใช้อำนาจ VETO ในการบล็อคมติดังกล่าวทุกครั้งไป

Gennadiy Osipovich ผู้ยิงขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศ Kaliningrad K-8  จำนวน 2 ลูกใส่ KAL 007 จนตก

หลังสรุปเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ฝ่ายโซเวียตกล่าวหาว่า เป็นแผนการต่าง ๆ ของสหรัฐ ทั้งการซ้อมรบ การนำขีปนาวุธมาไว้ในยุโรป และอื่น ๆ บ่งบอกว่ากรณีแบบ KAL 007 จะต้องเกิดขึ้นแน่ โซเวียตบอกว่า ภารกิจของ KAL 007 คือการสอดแนม เป็นการยั่วยุของฝ่ายสหรัฐฯ และเพื่อทดสอบความพร้อมทางการทหารของโซเวียต หรือไม่ก็หวังให้เกิดสงครามขึ้น รัฐบาลโซเวียตขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิต แต่ไม่ขอโทษ และไม่ชดเชยต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นก็ยังตำหนิ CIA กลับไปด้วย โดยบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหลือเชื่อมาก เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงจากนักบินที่เคยบินกับเครื่องบิน Boeing เป็นพัน ๆ ชั่วโมง ต่างก็บอกว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องบนเครื่องบิน ไม่น่าจะเสียได้ในเวลาเดียวกันได้  เช่นเดียวกับเครื่องส่งสัญญาณวิทยุทั้ง 5 เครื่อง จึงไม่ต้องสงสัยอะไรอีกเกี่ยวกับความตั้งใจของ KAL 007 ลำนี้ 

ส่วนนักบินที่บินขึ้นสกัดนั้น ก็อาจไม่รู้ว่าแน่ชัดว่า KAL 007 เป็นเครื่องบินพลเรือน เพราะ KAL 007 บินโดยไม่มีไฟนำร่อง ท่ามกลางสภาพทัศนวิสัยการมองเห็นที่ไม่ดี และการไม่ตอบสนองต่อสัญญาณวิทยุ ในรายงานของ ICAO ที่ตรวจสอบเรื่องนี้ สรุปในปีปลายปี พ.ศ. 2526 ว่า เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ โดยมีสาเหตุมาตจากการใช้งานระบบ Auto pilot ของนักบิน แต่อีก 10 ปีต่อมา ICAO ก็ออกมาประณามโซเวียตที่ตอนแรกแจ้งว่า ไม่พบกล่องดำ แต่ต่อมามีการเปิดเผยเอกสารที่ระบุว่า โซเวียตพบกล่องดำของ KAL 007 และผลจากการตกของเครื่องบิน KAL 007 ทำให้สหรัฐฯต้องปรับเปลี่ยนวิธีการติดตามเฝ้าดูเครื่องบินที่บินออกจากน่านฟ้าของมลรัฐอลาสกา ในส่วนของเครื่องบินโดยสารเองก็มีการออกแบบหน้าปัดของระบบ Auto pilot ใหม่เพื่อให้มองเห็นความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ยังสั่งให้มีการพัฒนาระบบ GPS สำหรับกิจการพลเรือน เพื่อว่าจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการนำร่องเช่นที่เกิดกับเที่ยวบิน KAL 007 อีกครั้ง

เส้นทางการบิน R-20 (เส้นประ) เส้นทางการบิน KAL 007 เส้นทึบ

องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ได้ปิดเส้นทางการบิน R-20 ชั่วคราว ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางอากาศที่ Korean Air Flight 007 ตั้งใจจะบิน ในวันที่ 2 กันยายน สายการบินต่าง ๆ คัดค้านการปิดเส้นทางยอดนิยมนี้อย่างดุเดือด ด้วยเป็นทางเดินอากาศที่สั้นที่สุดในห้าทางเดินอากาศระหว่างมลรัฐอลาสกากับตะวันออกไกล FAA จึงเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2526 หลังจากมีการตรวจสอบความปลอดภัยและอุปกรณ์ช่วยนำทางแล้ว ต่อมา NATO ได้ตัดสินใจภายใต้แรงผลักดันของฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีเรแกน ในการปรับใช้ขีปนาวุธ Pershing II และขีปนาวุธร่อนในเยอรมนีตะวันตก โดยการติดตั้งขีปนาวุธเหล่านี้นี้จะทำให้ขีปนาวุธอยู่ห่างจากกรุงมอสโกเพียง 6-10 นาที การสนับสนุนการปรับใช้กำลังถูกสั่นคลอนและน่าสงสัยว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ แต่เมื่อสหภาพโซเวียตยิงเครื่องบิน KAL 007 ตก สหรัฐฯ ก็สามารถกระตุ้นการสนับสนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างเพียงพอเพื่อให้การติดตั้งและใช้งานขีปนาวุธดำเนินต่อไปได้

มีการเปิดเผยข้อมูลการสื่อสารที่ถูกเฝ้าฟังโดยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เปิดเผยให้เห็นข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับระบบข่าวกรองและความสามารถของพวกเขา ต่อมาสมาคมเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย KAL 007 อเมริกัน ภายใต้การนำของ Hans Ephraimson ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้รัฐสภาแห่งสหรัฐฯและอุตสาหกรรมการบินยอมรับข้อตกลงที่จะรับประกันว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ของสายการบินในอนาคตจะได้รับการชดเชยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยการเพิ่มค่าตอบแทนและค่าชดเชย ภาระการพิสูจน์การประพฤติมิชอบของสายการบิน กฎหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบในทางบวกต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากภัยพิบัติเครื่องบินต่อ ๆ มาเป็นอย่างมาก สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้เรดาร์ทางทหารเพื่อขยายความครอบคลุมเรดาร์ควบคุมการจราจรทางอากาศจาก 200 ถึง 1,200 ไมล์ (320 ถึง 1,930 กม.) จากแองเคอเรจ โดย FAA ยังได้จัดตั้งระบบเรดาร์สำรอง (ATCBI-5) บนเกาะเซนต์พอล  ในปี พ.ศ. 2529 สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งระบบควบคุมการจราจรทางอากาศร่วมกันเพื่อตรวจสอบเครื่องบินที่บินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ซึ่งทำให้สหภาพโซเวียตมีความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการในการตรวจสอบการจราจรทางอากาศของพลเรือน และตั้งค่าความเชื่อมโยงการสื่อสารโดยตรงระหว่างผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศของทั้งสามประเทศ

ประธานาธิบดีเรแกนประกาศเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2526 ว่า ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) จะพร้อมใช้งานสำหรับพลเรือนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อการติดตั้งระบบเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการนำทางที่คล้ายกันในอนาคต นอกจากนี้อินเทอร์เฟซของนักบินอัตโนมัติที่ใช้กับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไม่ว่าจะทำงานในโหมด HEADING หรือโหมด INS มีการเปิดเส้นทางการบินปกติระหว่างกรุงโซลและกรุงมอสโกเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2533 อันเป็นผลมาจากนโยบาย Nordpolitik ของเกาหลีใต้ ซึ่งดำเนินการโดยสายการบิน Aeroflot และKorean Air ในขณะเดียวกัน เส้นทางยุโรปทั้ง 9 เส้นทางของ Korean Air จะเริ่มบินผ่านน่านฟ้าของโซเวียต ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เครื่องบินของ Korean Air ได้รับอนุญาตให้บินผ่านน่านฟ้าของโซเวียตอย่างเป็นทางการ

ในปี พ.ศ. 2558 กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้ยกเลิกการจัดประเภทเอกสารทางการทูต ซึ่งเปิดเผยว่าสองเดือนหลังจากเหตุการณ์ KAL 007 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ได้แจ้งกับนักการทูตของญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ ว่าสหภาพโซเวียตได้เข้าใจผิดว่า เครื่องบิน KAL 007 เป็นเครื่องบินลาดตระเวนแบบ RC-135 ของกองทัพสหรัฐฯ ปัจจุบัน Korean Air ยังคงให้บริการเส้นทางการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์ก ไปยังกรุงโซล อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินไม่ได้แวะหยุดที่แองเคอเรจหรือบินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคิมโพอีกต่อไป โดยตอนนี้ทำการบินตรงไปยังท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน เที่ยวบินหมายเลข 007 ถูกยกเลิกตั้งแต่นั้นมา โดยใช้หมายเลขเที่ยวบินสำหรับสองเที่ยวบินแยกกันเป็นเส้นทางการบินจากท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี นครนิวยอร์กไปยังกรุงโซล (KAL/KE 82, 85 และ 250)


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘Checkpoint Charlie’ (เช็กพอยท์ชาลี) จุดตรวจต่างแดน ตัวแทนการแบ่งแยก ในยุคสงครามเย็น

ในยุคสงครามเย็นมีเรื่องราวของ Checkpoint Charlie มากมายด้วยจุดตรวจผ่านแดนในอดีต ที่กั้นประชาชนชาวเยอรมัน 2 ฝ่าย คือฝั่งเสรีประชาธิปไตย (ฝั่งของเยอรมันตะวันตก) และฝ่ายคอมมิวนิสต์ (ฝั่งของเยอรมันตะวันออก) ซึ่งอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียต ปัจจุบันเมื่อรวมเป็นเยอรมันเดียวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 แล้ว Checkpoint Charlie จึงกลายเป็น Landmark ของกรุง Berlin ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยี่ยมชม เลยขอนำมาเขียนเป็นบทความนี้ครับ

Walter Ulbricht ผู้นำเยอรมันตะวันออกในขณะนั้นได้รับความเห็นชอบจากสหภาพโซเวียต ให้สร้างกำแพงเบอร์ลินในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจผ่านแดนที่รู้จักกันดีที่สุดระหว่างเบอร์ลินตะวันออก และเบอร์ลินตะวันตกในช่วงสงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) ตามที่พันธมิตรตะวันตกตั้งชื่อ Checkpoint Charlie เกิดจากการที่ Walter Ulbricht ผู้นำเยอรมันตะวันออกในขณะนั้นได้รับความเห็นชอบจากสหภาพโซเวียตให้สร้างกำแพงเบอร์ลินในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เพื่อยุติการอพยพ และการหลบหนีไปเยอรมันตะวันตก เป็นการป้องกันการหลบหนีข้ามพรมแดนจากเบอร์ลินตะวันออกไปยังเบอร์ลินตะวันตก 

Checkpoint Charlie จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น ซึ่งเป็นตัวแทนของการแบ่งแยกระหว่างเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตก รถถังโซเวียตและอเมริกันเคยเผชิญหน้ากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดนี้ในช่วงวิกฤต Berlin ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2506 ประธานาธิบดี John F. Kennedy แห่งสหรัฐอเมริกาได้เยี่ยมชม Checkpoint Charlie และมองเข้าไปใน Berlin ตะวันออกจากแท่นบนกำแพง Berlin

ชาวเยอรมันตะวันออกหลบหนีออกจาก Berlin ตะวันออกด้วยวิธีการต่างๆ

ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 วิธีการจำกัดการย้ายถิ่นฐานของสหภาพโซเวียตได้รับการเลียนแบบโดยกลุ่มตะวันออกที่เหลือส่วนใหญ่ รวมทั้งเยอรมนีตะวันออกด้วย อย่างไรก็ตามในเยอรมนีที่ถูกยึดครองจนถึงปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) เส้นแบ่งระหว่างเยอรมนีตะวันออกกับเขตที่ถูกยึดครองทางตะวันตกส่วนใหญ่ยังคงสามารถข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย ต่อมาพรมแดนเยอรมันชั้นในระหว่างสองประเทศในเยอรมนีถูกปิด และมีการสร้างรั้วลวดหนามขึ้น

พรมแดนของเขต Berlin จึงเป็น "ช่องโหว่" ที่ประชาชนเยอรมันตะวันออกยังสามารถใช้หลบหนีได้

แม้หลังจากปิดพรมแดนเยอรมันชั้นในอย่างเป็นทางการในปี ปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) เขตแดนของเมือง Berlin ตะวันออกและ Berlin ตะวันตกยังคงสามารถข้ามไปมาได้ง่ายกว่าพรมแดนอื่น ๆ ที่เหลือ เนื่องจากถูกปกครองโดยพันธมิตรทั้งสี่ (สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สหภาพโซเวียต) ดังนั้น Berlin จึงกลายเป็นเส้นทางหลักที่ชาวเยอรมันตะวันออกออกอพยพเข้าเยอรมันตะวันตก ดังนั้นพรมแดนของเขต Berlin จึงเป็น "ช่องโหว่" ที่ประชาชนเยอรมันตะวันออกยังสามารถใช้หลบหนีได้

ทหารเยอรมันตะวันออก หลบหนีออกจาก Berlin ตะวันออก

ชาวเยอรมันตะวันออก 3.5 ล้านคน ที่อพยพออกมาในปี พ.ศ. 2504 คิดเป็นจำนวนรวมประมาณ 20% ของประชากรชาวเยอรมันตะวันออกทั้งหมด ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นมักเป็นเยาวชนและผู้ที่มีการศึกษาดี ความสูญเสียดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้จำนวนผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร ช่างเทคนิค แพทย์ ครู ทนายความ และช่างฝีมือ ไม่สมส่วนและขาดแคลน สภาวะสมองไหลของผู้เชี่ยวชาญได้ทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมืองและความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันออกอย่างมาก จำเป็นต้องจัดตั้งด่านและระบบการควบคุมชายแดนตามแบบสหภาพโซเวียต ระหว่างปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949)  ถึง พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ชาวเยอรมันตะวันออกกว่า 2.5 ล้านคน หลบหนีไปยังเยอรมันตะวันตก และจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงสามปีก่อนที่กำแพง Berlin จะถูกสร้างขึ้น โดยมีจำนวน 144,000 คน ในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959), และ 199,000 คน ในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) และ 207,000 คน ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออกได้รับความเดือดร้อน และเสียหายอย่างมาก

กำแพงลวดหนามกลายเป็นกำแพงที่แยก Berlin ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันตะวันออก

วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 กำแพงลวดหนามกลายเป็นกำแพง ซึ่งแยก Berlin ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันตะวันออก สองวันต่อมาวิศวกรของตำรวจและกองทัพเริ่มสร้างกำแพงคอนกรีตถาวรขึ้นตลอดแนวเขตแดนยาว 830 ไมล์ (1336 กม.) ข้างกำแพงนั้นกว้าง 3.5 ไมล์ (5.6 กม.) ทางด้านเยอรมันตะวันออกในบางส่วนของเยอรมนี โดยมีรั้วตาข่ายเหล็กสูงทอดยาวไปตาม "แถบมรณะ" ที่ล้อมรอบด้วยทุ่นระเบิด เช่นเดียวกับช่องทางไถดินเพื่อชะลอการหลบหนี และแสดงรอยเท้าได้ง่ายขึ้น

Checkpoint Charlie เป็นจุดผ่านแดนของกำแพง Berlin ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางแยก Friedrichstraße กับ Zimmerstraße และ Mauerstraße (ซึ่งด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่เก่ากว่านั้นบังเอิญหมายถึง 'Wall Street') อยู่ในย่าน Friedrichstadt โดย Checkpoint Charlie ถูกกำหนดให้เป็นจุดข้ามแห่งเดียว (ด้วยการเดินเท้าหรือโดยรถยนต์) สำหรับชาวต่างชาติและสมาชิกของกองกำลังพันธมิตร (สมาชิกของกองกำลังพันธมิตรไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จุดผ่านแดนจุดอื่น ๆ ที่กำหนดไว้สำหรับใช้โดยชาวต่างชาติ เช่น สถานีรถไฟ Friedrichstraße)

ชื่อ Charlie มาจากตัวอักษร C ตามอักษรรหัสของ NATO ในทำนองเดียวกันสำหรับด่านอื่น ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรบน Autobahn จากตะวันตก เรียกว่า Checkpoint Alpha ที่ Helmstedt และ Checkpoint Bravo ที่เทียบเท่ากันที่ Drelinden, Wannsee ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้ของ Berlin และ โซเวียตเรียกว่า จุดผ่านแดน KPP Fridrikhshtr ชาวเยอรมันตะวันออกเรียก Checkpoint Charlie อย่างเป็นทางการว่า Grenzübergangsstelle ("Border Crossing Point") Friedrich-/Zimmerstraße

Cafe Adler ("Eagle Café") ตั้งอยู่ที่จุดตรวจ เป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการชม Berlin ตะวันออกขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่ม

Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจที่กำแพง Berlin ที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด จึงปรากฏในภาพยนตร์และหนังสือ ร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงและจุดชมวิวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสัมพันธมิตร กองกำลังติดอาวุธ และผู้มาเยือน Cafe Adler ("Eagle Café") ตั้งอยู่ที่จุดตรวจ เป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการชม Berlin ตะวันออก ขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่ม

Checkpoint Charlie มีความไม่สมดุลอย่างน่าประหลาด ในช่วงที่ใช้งาน 28 ปี โครงสร้างพื้นฐานทางฝั่งตะวันออก ได้ขยายให้ครอบคลุมไม่เพียงแค่กำแพง หอสังเกตการณ์ และแนวซิกแซกเท่านั้น แต่ยังมีโรงจอดรถหลายช่องทางสำหรับตรวจสอบรถยนต์และผู้โดยสาร อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรไม่เคยสร้างอาคารถาวรใด ๆ เลย และสร้างขึ้นเป็นเพิงไม้ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกแทนที่ในช่วงทศวรรษ 1980 ด้วยโครงสร้างโลหะที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พันธมิตรใน Berlin เหตุผลของพวกเขา คือพวกเขาไม่ได้ถือว่าเขตแดนของ Berlin ชั้นในเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ

รถถังโซเวียตและอเมริกันเคยเผชิญหน้ากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดนี้ในช่วงวิกฤต Berlin ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

ไม่นานหลังจากการก่อสร้างกำแพง Berlin ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2504 เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างรถถังสหรัฐและโซเวียตที่ด่านชาร์ลีทั้งสองด้าน เริ่มเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม จากข้อโต้แย้งว่า เจ้าหน้าที่รักษาชายแดนของเยอรมันตะวันออกได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบเอกสารการเดินทางของนักการทูตสหรัฐฯ ที่อยู่ใน Berlin ตะวันตกชื่อ Allan Lightner มุ่งหน้าไปยัง Berlin ตะวันออกเพื่อชมการแสดงโอเปร่าที่นั่นหรือไม่ เนื่องจากตามข้อตกลงระหว่างทุกฝ่าย สี่มหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรที่ยึดครองเยอรมนี จะต้องอนุญาตให้กองกำลังพันธมิตรในกรุง Berlin เดินทางได้อย่างอิสระเสรี และไม่มีกองกำลังทหารเยอรมัน จากทั้งเยอรมนีตะวันตกหรือเยอรมนีตะวันออกมาประจำการในตัวเมือง และยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐอเมริกา (ในขั้นต้น) ไม่ได้ยอมรับความเป็นรัฐตะวันออกของเยอรมนี และสิทธิที่จะคงอยู่ในเมืองหลวง Berlin ตะวันออกที่ประกาศตนเอง ในทางกลับกัน ชาวอเมริกันยอมรับเพียงอำนาจของโซเวียตเหนือเบอร์ลินตะวันออก มากกว่าความเป็นเยอรมันตะวันออก 

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2504 รถถังโซเวียตสิบคันและรถถังอเมริกันจำนวนเท่ากันจอดห่างกัน 100 หลา ณ จุดตรวจทั้งสองฝั่ง การเผชิญหน้าครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยความสงบในวันที่ 28 ตุลาคม หลังจากการทำความเข้าใจระหว่างสหรัฐฯ-โซเวียตในการถอนรถถังและลดความตึงเครียด การเจรจาระหว่างรัฐมนตรียุติธรรม (อัยการสูงสุด) ของสหรัฐอเมริกา Robert F. Kennedy และหัวหน้า KGB Georgi Bolshakov มีส่วนอย่างสำคัญในการบรรลุข้อตกลงนี้โดยปริยาย

พลเมืองของเยอรมันตะวันออกได้ขับรถฝ่าสิ่งกีดขวางด้วยรถเปิดประทุน โดยถอดกระจกบังลมออกก่อน และพุ่งลอดใต้ที่กั้น

กำแพง Berlin ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วโดยรัฐบาลเยอรมันตะวันออกในปี พ.ศ. 2504 แต่มีวิธีการหลบหนีมากมายที่ไม่คาดคิด ตัวอย่างเช่น Checkpoint Charlie ในขั้นต้นถูกปิดกั้นโดยประตูเท่านั้น และพลเมืองของเยอรมันตะวันออกได้ขับรถฝ่าผ่านเข้าไปเพื่อหลบหนี จึงมีการสร้างเสาที่แข็งแรงมั่นคง ผู้หลบหนีอีกคนหนึ่งพยายามฝ่าสิ่งกีดขวางด้วยรถเปิดประทุน โดยถอดกระจกบังลมออกก่อน และพุ่งลอดใต้ที่กั้น สิ่งนี้ถูกทำซ้ำในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ดังนั้นเยอรมันตะวันออกจึงลดความสูงของเครื่องกั้น และเพิ่มเสากั้นให้มากขึ้น

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2505 Peter Fechter วัยรุ่นชาวเยอรมันตะวันออกถูกยิงที่กระดูกเชิงกรานโดยทหารเยอรมันตะวันออกขณะพยายามหลบหนีจาก Berlin ตะวันออก ร่างของเขาติดอยู่ในรั้วลวดหนาม และเลือดออกจนตาย ในมุมมองของสื่อทั่วโลกทหารอเมริกันไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ เพราะเขาอยู่ในเขตโซเวียตไม่กี่เมตร ทหารรักษาการณ์ชายแดนของเยอรมันตะวันออกไม่เต็มใจที่จะเข้าไปช่วยเขา เพราะเกรงว่าจะเป็นการยั่วยุทหารฝั่งตะวันตก ซึ่งหนึ่งในนั้นได้ยิงตำรวจชายแดนของเยอรมันตะวันออกเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาร่างของ Fechter ก็ถูกทหารเยอรมันตะวันออกนำออกมา การประท้วงเกิดขึ้นเองที่จุดตรวจฝั่งอเมริกัน เป็นการประท้วงต่อต้านการกระทำของตะวันออกและความเฉยเมยของตะวันตก

อนุสรณ์สถานสงครามโซเวียต ซึ่งตั้งอยู่ใน Tiergarten ในเขตของอังกฤษ (ในขณะนั้น)

สองสามวันต่อมา ฝูงชนขว้างก้อนหินใส่รถบัสของสหภาพโซเวียตที่ขับไปยังอนุสรณ์สถานสงครามโซเวียต ซึ่งตั้งอยู่ใน Tiergarten ในเขตของอังกฤษ โซเวียตซึ่งพยายามคุ้มกันรถบัสด้วยรถหุ้มเกราะ (APCs) หลังจากนั้น โซเวียตได้รับอนุญาตให้ข้ามได้เฉพาะทางข้ามสะพาน Sandkrug (ซึ่งใกล้ Tiergarten ที่สุด) และห้ามมิให้นำรถหุ้มเกราะ (APCs) เข้ามา หน่วยทหารเยอรมันตะวันตกถูกส่งไปปฏิบัติการในตอนกลางดึกของต้นเดือนกันยายน พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเพื่อบังคับใช้คำสั่งห้าม

คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่วนหนึ่งของกำแพง Berlin ถูกเปิดออก

ในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่วนหนึ่งของกำแพง Berlin ถูกเปิดออก แม้ว่ากำแพง Berlin จะถูกรื้อทุบในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 และ ส่วนที่กำบังของ Checkpoint Charlie ถูกรื้อออกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เพิงตรวจของ Checkpoint Charlie ยังคงเป็นจุดผ่านแดนอย่างเป็นทางการสำหรับชาวต่างชาติและนักการทูต จนกระทั่งการรวมชาติเยอรมันสำเร็จในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2533 Checkpoint Charlie ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุง Berlin ที่ซึ่งเศษชิ้นส่วนของจุดผ่านแดนดั้งเดิมบางส่วนผสมกับชิ้นส่วนที่สร้างขึ้นใหม่ เป็นอนุสรณ์สถานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว อาคารหลังที่สองในฝั่งอเมริกันถูกย้ายออกไปในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) 

เพิงตรวจปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ของพิพิธภัณฑ์พันธมิตรใน Berlin-Zehlendorf ป้อมยามจำลองและป้ายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดผ่านแดนถูกสร้างใหม่ในภายหลัง ในขนาดเดียวกันโดยคร่าว ๆ คล้ายกับเรือนยามหลังแรกที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยอยู่หลังแนวกั้นกระสอบทราย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ป้อมนี้ถูกแทนที่หลายครั้งด้วยป้อมยามที่มีขนาดและรูปแบบต่างกัน ที่ถูกรื้อออกระหว่างปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) มีขนาดใหญ่กว่าอันแรกมาก และไม่มีกระสอบทราย นักท่องเที่ยวเคยสามารถถ่ายรูปได้โดยเสียค่าธรรมเนียม โดยมีนักแสดงที่แต่งตัวเป็น ตำรวจ ทหารฝ่ายพันธมิตรยืนอยู่หน้าป้อม แต่ทางการ Berlin ได้สั่งห้ามในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) โดยระบุว่านักแสดงได้เอาเปรียบนักท่องเที่ยวด้วยการเรียกร้องเงินเพื่อถ่ายรูป

ชิ้นส่วนและเศษซากของกำแพง Berlin ถูกนำมาตั้งแสดง

เส้นทางของกำแพงและชายแดนเดิม ตอนนี้ถูกทำเครื่องหมายไว้ที่ถนนด้วยหินปูถนน การจัดแสดงกลางแจ้งเปิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2549 ผนังห้องแสดงภาพตามถนน Friedrichstraße และ Zimmerstraße แสดงข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามในการหลบหนี การขยายจุดตรวจ และความสำคัญในช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้าของรถถังโซเวียตและอเมริกาในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) นอกจากนี้ยังมี Gallery รวมภาพของอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการแบ่งประเทศเยอรมนีและกำแพง Berlin

Checkpoint Charlie ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการรื้อถอนหอสังเกตการณ์ของเยอรมันตะวันออกในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เพื่อเปิดทางสำหรับสำนักงานและร้านค้าต่าง ๆ หอสังเกตการณ์เป็นอาคารสุดท้ายของ Checkpoint Charlie ดั้งเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ เทศบาลกรุง Berlin พยายามรักษาหอคอยไว้แต่ล้มเหลว เนื่องจากไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ กระนั้น โครงการพัฒนานั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงจนถึงทุกวันนี้ พื้นที่ระหว่าง Zimmerstraße และ Mauerstraße/Schützenstraße (จุดผ่านแดนทางฝั่งเยอรมันตะวันออก) ยังคงว่างอยู่ทำให้มีพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวและอนุสรณ์สถานชั่วคราวจำนวนมาก แผนใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 บนเว็บไซต์สำหรับโครงการโรงแรมทำให้เกิดการถกเถียงทางการเมืองเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่อย่างเหมาะสม หลังจากการขึ้นทะเบียนสถานที่สุดท้ายให้เป็นพื้นที่มรดกที่ได้รับการคุ้มครองในปี พ.ศ. 2561 แผนต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปในแนวทางที่เป็นมิตรต่อความเป็นมรดกที่ได้รับการคุ้มครองมากขึ้น

นิทรรศการ “BlackBox Cold War”

นิทรรศการ “BlackBox Cold War” ได้จุดประกายให้กับรัฐบาลเยอรมันและนคร Berlin ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 การจัดแสดงกลางแจ้งฟรี นำเสนอส่วนกำแพง Berlin ดั้งเดิม และข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การจัดแสดงในร่มแสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของ Berlin ด้วยสถานีสื่อ 16 แห่ง โรงภาพยนตร์ วัตถุสิ่งของ และเอกสารต้นฉบับ (ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชม) ดำเนินการโดย NGO Berliner Forum fuer Geschichte und Gegenwart e.V.

พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie

พิพิธภัณฑ์ Checkpoint Charlie ใกล้กับที่ตั้งของป้อมยามคือ Haus am Checkpoint Charlie " พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie" เปิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2506 ใกล้กับกำแพง Berlin แสดงให้เห็นภาพถ่าย และเรื่องราวของการแบ่งแยกเยอรมนี ป้อมชายแดนและ "ความช่วยเหลือของผู้มีอำนาจที่ปกป้อง" แสดงไว้ นอกจากภาพถ่ายและเอกสารประกอบความพยายามในการหลบหนีที่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์หลบหนี เช่น บอลลูนลมร้อน รถหนีภัย ลิฟต์เก้าอี้ และเรือดำน้ำขนาดเล็ก ตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2547 ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2548 มีอนุสรณ์สถานเสรีภาพ (The Freedom Memorial) ซึ่งประกอบด้วยส่วนผนังดั้งเดิมและไม้กางเขนที่ระลึก 1,067 อันตั้งอยู่บนพื้นที่ (เช่า) พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie ดำเนินการโดยสมาคม Arbeitsgemeinschaft 13 สิงหาคม สมาคมจดทะเบียนก่อตั้งโดย Dr. Rainer Hildebrandt ผู้จัดการคือ Alexandra Hildebrandt ภรรยาม่ายของผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคาร "House at Checkpoint Charlie" โดยสถาปนิก Peter Eisenman ด้วยผู้เข้าชม 850,000 คนในปี พ.ศ. 2550 พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie จึงเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของนคร Berlin และเยอรมนี 

ไม้กางเขนที่ระลึก 1,067 อัน ใน The Freedom Memorial

Checkpoint Charlie มีบทบาทในการจารกรรมในยุคสงครามเย็นและนวนิยายและภาพยนตร์ทางการเมือง ตัวอย่างบางส่วน ได้แก่ 

James Bond (แสดงโดย Roger Moore) กับ Checkpoint Charlie

- James Bond (แสดงโดย Roger Moore) เดินผ่าน Checkpoint Charlie ในภาพยนตร์ 007 ตอน Octopussy (1983) จากเยอรมันตะวันตกไปเยอรมันตะวันออก

- Checkpoint Charlie เป็นจุดเด่นในฉากเปิดของภาพยนตร์ปี 1965 เรื่อง The Spy Who Came in from the Cold (นำแสดงโดย Richard Burton และ Claire Bloom) ซึ่งสร้างจากนวนิยายของ John le Carré ที่มีชื่อเดียวกัน

Francis Gary Powers (ซ้าย) กับ Rudolf Abel (ขวา)

- ในภาพยนตร์ Bridge of Spies นักศึกษาชาวอเมริกัน Frederic Pryor ที่ถูกคุมขังได้รับการปล่อยตัวที่ Checkpoint Charlie โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนตัว Francis Gary Powers นักบินของ U-2 กับ Frederic Pryor โดยแลกกับ Rudolf Abel สายลับโซเวียตที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด การปล่อยตัวไพรเออร์เกิดขึ้นนอกจอในขณะที่การแลกเปลี่ยน Francis Gary Powers กับ Rudolf Abel เกิดขึ้นที่สะพาน Glienicke

เกมอินดี้ Papers Please โดย Lucas Pope

- Checkpoint Charlie เป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมอินดี้ Papers Please โดย Lucas Pope ที่ซึ่งผู้เล่นทำหน้าที่ของหน่วยยามชายแดนสำหรับเวอร์ชั่นสมมติของ Berlin ตะวันออก

ฉากเปิดตัวของ The Man from U.N.C.L.E ณ Checkpoint Charlie

- นอกจากนี้ยังปรากฎในฉากเปิดตัวของ The Man from U.N.C.L.E ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) อีกด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) กับความเชื่อ 'ลัทธิคอมมิวนิสต์ครองโลก' และการสิ้นสุดที่หยุดลงตรงราชอาณาจักรไทย

คนที่อายุน้อยกว่าสี่สิบปีอาจไม่รู้ว่า โลกเคยผ่านช่วงของสงครามเย็น (Cold war) อันเป็นยุคสมัยที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐอเมริกากับฟากฝ่ายคอมมิวนิสต์แข่งขันในการเผยแพร่และต่อต้านความเชื่อและลัทธิทางการเมืองอย่างหนัก นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และสิ้นสุดลงพร้อมกับความล่มสลายของสหภาพโซเวียต จึงขอเล่าเรื่องราวของทฤษฎีโดมิโนให้ทราบพอสังเขปด้วย บทความนี้

ผลกระทบแบบโดมิโน (Domino effect)

ทฤษฎีโดมิโนเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับนโยบายด้านการต่างประเทศ โดยอุปมาขึ้นจากลักษณะของการตั้งเรียงของตัวโดมิโน ซึ่งถ้าตัวโดมิโนตัวแรกล้มลงแล้ว จะทำให้ตัวโดมิโนตัวอื่น ๆ ซึ่งตั้งเรียงถัดมาพลอยล่มด้วยทั้งหมด ทฤษฎีโดมิโนจึงมีความหมายว่า ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดหันไปใช้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์แล้ว จะส่งผลให้ประเทศรอบข้างก็จะกลายเป็นระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย ซึ่งเรียกว่า "ผลกระทบแบบโดมิโน (Domino effect)” 

ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นในช่วงปี 1950 ถึง 1980 จากการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ในทวีปยุโรปจากกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนในทวีปเอเชีย เมื่อจีน เกาหลีเหนือ และเวียตนามเหนือกลายเป็นคอมมิวนิสต์ จึงมีความเชื่อว่า ประเทศอื่น ๆ ทีเหลือ เช่น ลาว กัมพูชา เวียตนามใต้ ไทย มาเลเซีย ฯลฯ ที่สุดจะถูกครอบงำโดยระบบคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย การล้มของแต่ละตัว “โดมิโน” จึงหมายถึงการล่มสลายของระบอบประชาธิปไตยในแต่ละประเทศ ทั้ง ๆ ที่ประเทศเหล่านั้นอาจไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยเลยก็ตาม เพียงแต่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ เห็นดีและเห็นด้วยกับนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอเมริกา 

ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower

ทฤษฎีโดมิโนได้ถูกใช้โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องในช่วงสงครามเย็น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกของสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นจากประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower อธิบายทฤษฎีโดมิโนเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2497 ในการแถลงข่าวเมื่อกล่าวถึงลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “สุดท้ายเรามีข้อพิจารณาที่กว้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นไปตามสิ่งที่เราจะเรียกว่า หลักการล้มของตัว "โดมิโน" เมื่อตัวมีโดมิโนที่ตั้งอยู่อันแรกล้มลง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอันสุดท้ายคือความมั่นใจว่า มันจะเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงอาจมีจุดเริ่มต้นของการล่มสลายที่จะมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งที่สุด แต่เมื่อเรามาถึงลำดับเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ที่จะมีการสูญเสียอินโดจีน พม่า ไทย คาบสมุทรมาลายา (มาเลเซียและสิงคโปร์) และอินโดนีเซีย ตอนนี้เราพูดถึง…ผู้คนนับล้าน ๆ ๆ” 

พลเอก Douglas MacArthur

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเชื่ออย่างลึกซึ้งของประธานาธิบดี Eisenhower เกี่ยวกับทฤษฎีโดมิโนในเอเชียทำให้เกิด “ต้นทุนการรับรู้ของสหรัฐอเมริกาในการไล่ตามลัทธิพหุภาคี” เนื่องจากเหตุการณ์ในหลายแง่มุมรวมถึง “ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี  พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) การบุกเกาหลีใต้ของเกาหลีเหนือในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) วิกฤตการณ์เกาะนอกชายฝั่ง Quemoy ของไต้หวัน ในปี พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) และความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นความท้าทายในวงกว้างไม่เพียงแต่เป็นเพียงแค่เรื่องที่เกี่ยวกับประเทศเดียวหรือสองประเทศ แต่เป็นปัญหาของทั้งทวีปเอเชียและภูมิภาคแปซิฟิก” สิ่งนี้สื่อถึงพลังแม่เหล็กที่แข็งแกร่งที่กำลังจะถูกควบคุมโดยคอมมิวนิสต์ ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายของพลเอก Douglas MacArthur ที่ว่า “ชัยชนะจะเป็นแม่เหล็กที่แข็งแกร่งในตะวันออก” 

ดร. Victor Cha

นอกเหนือจากคำอธิบายของประธานาธิบดี Eisenhower แล้ว ดร. Victor Cha นักวิชาการชาวอเมริกัน อดีตผู้อำนวยการฝ่ายกิจการเอเชียของสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ยังได้อธิบายทฤษฎีโดมิโนในหนังสือ Powerplay : The Origins of the American Alliance System in Asia ซึ่ง ดร. Cha วิเคราะห์ทฤษฎีโดมิโน โดยอ้างอิงโดยยึดถือเอาภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเขาได้ระบุว่า "การล่มสลายของประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเอเชีย อาจทำให้เกิดเครือข่ายของประเทศที่จะเข้าสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์"

แม้ว่า ทฤษฎีโดมิโนจะเกิดในทศวรรษ 1950 แต่ประเทศเสรีตะวันตก มีความหวาดระแวงเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และด้วยวาระของความเป็นคอมมิวนิสต์สากลซึ่งมีมานานแล้ว ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ความหวาดระแวงนี้เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นทฤษฎีโดมิโน อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ซึ่งขณะนั้นนำโดย Josef Stalin ไปยังยุโรปตะวันออก และชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีน ผู้นำตะวันตกเชื่อว่า เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ตั้งหลักในประเทศหนึ่ง เพื่อนบ้านของประเทศจะถูกแทรกซึม บุกรุก และยึดครองโดยคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็ว เหมือนกับกลุ่มโดมิโนที่ยืนเรียงกันล้มลง คนหนึ่งล้มทับคนถัดไปจนทั้งหมดพังทลาย ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นคนแรกที่ใช้การเปรียบเทียบของโดมิโนที่ล้มลงหรือเป็นผู้บัญญัติศัพท์ ทฤษฎีโดมิโน แต่การกล่าวถึงต่อสาธารณะครั้งแรกเกิดขึ้นโดยประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ในสุนทรพจน์เมื่อปี พ.ศ. 2497 ซึ่งอธิบายว่า ทำไมอเมริกาจึงให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน (เวียดนาม) ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

Josef Stalin ผู้นำของสหภาพโซเวียตตลอดสงครามโลกครั้งที่สองและช่วงต้นของสงครามเย็น

สองฟากฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่สอง “สัมพันธมิตร (Allies)” และ “อักษะ (Axis)”

ความกลัวของสหรัฐฯ ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ในยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 1930 จากการที่ประเทศในยุโรปไม่อาจต้านทาน Adolf Hitler ได้ และสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งการขยายตัวของจักรวรรดิญี่ปุ่นที่แม้แต่จีนก็ไม่สามารถต้านทานได้ จนกระทั่งกลายเป็นการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นไปทั่วทั้งเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังมีปัจจัยเพิ่มเติมคือความกังวลที่บางประเทศไม่สามารถต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการยึดครองในภูมิภาคของตน ในขณะนั้นประเทศในยุโรปส่วนใหญ่เหนื่อยล้า และอ่อนล้าทางเศรษฐกิจหลังจากสงครามอีกหลายปี รัฐบาลอ่อนแอและประชาชนต่างก็ หดหู่ สิ้นหวัง และหิวโหย สิ่งนี้ทำให้ตกเป็นเหยื่อของการแทรกซึมและการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ได้โดยง่าย

เอเชียอ่อนแอพอ ๆ กับการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ รัฐบาลและกองกำลังทหารของประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนแอ ประชากรส่วนใหญ่เป็น ชาวไร่ ชาวนา ซึ่งอ่อนไหวต่อการโฆษณาชวนเชื่อ และง่ายต่อการชักจูงให้เป็นแนวร่วมและสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งขบวนการชาตินิยม และการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชในเอเชียถือเป็น "ที่หลบซ่อน" ในอุดมคติสำหรับผู้แทรกซึมของคอมมิวนิสต์ พรมแดนในเอเชียไม่ได้รับการดูแลอย่างดี และส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นคอมมิวนิสต์จึงสามารถย้ายเข้าและออกจากประเทศเป้าหมายได้โดยแทบจะไม่มีความยากลำบากเลย ทั้งยังมีความเสี่ยงและความอ่อนแอต่อการรับมือของลัทธิคอมมิวนิสต์ในทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกาใต้

การขยายตัวของจีนทำให้ทฤษฎีโดมิโนได้รับแรงหนุนจากสมมติฐานจากการขยายตัวของจีน นักยุทธศาสตร์ตะวันตกเชื่อว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจะกลายเป็นแนวหน้าในการขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย เช่นเดียวกับที่สหภาพโซเวียตเคยทำในยุโรปตะวันออก เหตุการณ์สงครามเกาหลี (พ.ศ. 2493-2496) ดูเหมือนจะเป็นสนับสนุนความเชื่อนี้ จีนสนับสนุนการรุกรานเกาหลีใต้ของคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ และขณะเดียวกันปักกิ่งก็ให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และการขนส่งผ่านจากสหภาพโซเวียตแก่ Ho Chin Minh และขบวนการเวียตมินห์ที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของเวียดนามอีกด้วย และเมื่อความสามารถทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนเพิ่มมากขึ้น ทางตะวันตกเชื่อว่า ปักกิ่งจะขยายลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อสร้างกันชนระหว่างตัวเองและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้หลายประเทศเสี่ยงต่อการรุกรานของคอมมิวนิสต์ ได้แก่ เกาหลีใต้ เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย พม่า ทิเบต มาลายา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

Harry S. Truman, Dwight D. Eisenhower และ John F. Kennedy / Lyndon B. Johnson (ขวา) และ Richard M. Nixon

จากประธานาธิบดี Henry S. Truman จนถึงประธานาธิบดี Richard M. Nixon ต่างก็สนับสนุนทฤษฎีโดมิโน แม้ว่าประธานาธิบดี Truman จะไม่เคยใช้การกล่าวเปรียบเทียบแบบโดมิโน แต่ก็ยอมรับหลักการทั่วไปของทฤษฏีโดมิโน และใช้เป็นพื้นฐานในหลักการของ Truman (Truman doctrine) ประธานาธิบดี John F. Kennedy ได้กล่าวถึงทฤษฎีโดมิโน และบอกใบ้ถึงทฤษฎีนี้ในสุนทรพจน์เปิดตัวโดยเตือนว่า “ความปลอดภัยของเราอาจสูญหายไปทีละประเทศทีละประเทศ” ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson และประธานาธิบดี Richard Nixon ต่างยอมรับว่า ทฤษฎีโดมิโนเป็นความจริง ซึ่งเป็นจุดยืนในการสนับสนุนความต่อเนื่องและการลุกลามของสงครามเวียดนาม ความพ่ายแพ้ราคาแพงของอเมริกันในเวียดนามทำให้ทฤษฎีโดมิโนเป็นกลายเป็นเรื่องที่น่าอดสูอย่างยิ่ง ซึ่งทุกวันนี้ยังคงเป็นประเด็นความคิดที่มีการถกเถียงกันอยู่ทั่วไป โดยผู้คัดค้านจะมีจำนวนมากกว่าผู้สนับสนุน บางคนอ้างว่า ทฤษฎีโดมิโนนั้นถูกต้อง และได้รับการตรวจสอบ โดยการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย การแทรกแซงของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้เท่านั้นที่สามารถหยุดความคืบหน้า บ้างก็ว่า ทฤษฎีโดมิโนเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย แต่ไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของขบวนการปฏิวัติในเอเชีย ซึ่งเป็นพวกชาตินิยมและสังคมนิยมมากกว่าคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง

แนวคิดของทฤษฎีโดมิโนในระหว่างสงครามเย็น

1.) ทฤษฎีโดมิโนเป็นความเชื่อที่ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่กระจายจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เปรียบเหมือนตัวโดมิโนที่ล้มลงไล่เรียงต่อกันไป และเริ่มเป็นที่รู้จักและใช้อ้างอิงในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1950 กระทั่งสงครามเย็นสิ้นสุด

2.) ทฤษฎีดังกล่าวเกิดจากอุดมการณ์ของ Vladimir Lenin ผู้ซึ่งเรียกร้องให้มี “การปฏิวัติระหว่างประเทศ” และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตจะเป็นแกนในการสนับสนุนการปฏิวัติของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ

3.) การใช้การเปรียบเทียบแบบโดมิโนครั้งแรกเกิดขึ้นโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ Dwight D. Eisenhower ซึ่งเตือนว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์สามารถแพร่กระจายไปทั่วเอเชีย และเข้าควบคุมครอบงำผู้คนนับล้าน ๆ ได้

4.) ประเทศในเอเชียถูกมองว่า มีความอ่อนแอต่อการรับมือกับลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นพิเศษ ด้วยรัฐบาลและกองทัพอ่อนแอ สังคมไร้การศึกษา และพรมแดนของประเทศเหล่านี้ไม่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง

5.) ทฤษฎีโดมิโน ได้รับการยอมรับว่าเป็นความจริง โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯหลายท่าน ด้วยความเชื่อจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งสนับสนุนต่อหลักการของ Truman รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ตามนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

หลักการ Truman (Truman doctrine)

นายพล Lon Nol / เจ้าสุวรรณภูมา / นายพล Dương Văn Minh

หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สหรัฐฯให้การสนับสนุนซึ่งพ่ายแพ้แก้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ อันได้แก่ รัฐบาลสาธารณรัฐกัมพูชานำโดยนายพล Lon Nol เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ต่อกองกำลังเขมรแดง รัฐบาลสาธารณรัฐเวียตนามนำโดยนายพล Dương Văn Minh เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 ต่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนเวียตนามและกองลำลังเวียตกง และรัฐบาลราชอาณาจักรลาวนำโดย เจ้าสุวรรณภูมา เมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ต่อกองกำลังของขบวนการปลดปล่อยประเทศลาว ทั่วทั้งโลกต่างจับจ้องมายังราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของทั้งลาวและกัมพูชา และเวียดนามก็อยู่ถัดไปจากทั้งสองประเทศดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นแล้วรัฐบาลไทยยังอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้ฐานทัพในประเทศส่งเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดทำลาย สร้างความเสียหายแก่ทั้งสามประเทศดังกล่าวมากมายจนเหลือคณานับ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและพระบรมวงศานุวงศ์ทรงงานเพื่อพสกนิกรอย่างหนัก

และไทยเองยังคงมีปัญหาความไม่สงบในประเทศจากการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในแทบทุกภาคของประเทศนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 พอปี 2518 เมื่อกัมพูชาถูกเขมรแดงยึดครอง และเวียตนามใต้ก็พ่ายแพ้แก่เวียตนามเหนือและเวียตกง ผู้สังเกตการณ์ต่างชาติจำนวนหนึ่งคิดว่าไทยจะต้องกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามทฤษฏีโดมิโน แต่คนไทยมีชื่อเสียงในด้านการโอนอ่อนไปตามลมที่พัดผ่าน เช่นเดียวกับไม้ไผ่ที่จะไม่แตก และจะโค้งงอลู่ไปตามแรงของลมพายุ นักธุรกิจต่างชาติบางคนคิดว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายถึงขนาดยอมขายบริษัทของตนในราคาที่ถูกมาก การลงทุนของต่างชาติในไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางทางภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง ชาวอเมริกันเคยได้รับการบอกเล่าจากเหล่าบรรดาผู้นำของตนว่า ประเทศไทยจะล่มสลายหากเพื่อนบ้านในอินโดจีนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 

โดยที่ผู้นำอเมริกันได้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงสงครามเวียดนามว่า จีนอยู่เบื้องหลังเวียดนามเหนือ และเรียกร้องให้ทำสงครามต่อไป ดังที่ Lyndon B. Johnson แถลงที่มหาวิทยาลัย John Hopkins ในปี พ.ศ. 2508 ว่า หากจีนและเวียดนามเหนือชนะในเวียดนามใต้ ''การต่อสู้จะเกิดขึ้นใหม่ในประเทศหนึ่งและจากนั้นอีกประเทศหนึ่ง” ทำให้ขณะนั้นเกิดปรากฏการณ์ “ฝันร้ายเกิดซ้ำในทุกวันของทั้งนักลงทุนต่างชาติและเหล่าคหบดีชาวไทยคือ พวกเขาอาจจะต้องต่อสู้แย่งกันเพื่อที่จะขึ้นเฮลิคอปเตอร์อพยพเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากกรุงเทพฯ'' Jeffrey Race, นักวิชาการชาวอเมริกัน จาก Institute of Current World Affairs กล่าวในเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 แต่เขาคาดว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเขาคาดการณ์ได้ถูกต้อง 

ฐานที่มั่นของกองกำลังติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

การที่ไทยไม่เป็นโดมิโนตัวต่อไป อันเนื่องปัจจัยภายในประเทศดังนี้ : 
(1) เพราะการทรงงานเพื่อพสกนิกรอย่างหนักในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและพระบรมวงศานุวงศ์ “ด้วยในแผ่นดินประเทศไทยนี้ไม่มีจังหวัดใด อำเภอไหน ที่ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยือนอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์” การเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกเชื้อชาติศาสนา ถือเป็นพระบรมราโชบายที่จะได้ทรงทำความรู้จักกับราษฎร ทรงรับฟังความทุกข์ และทอดพระเนตรสภาพปัญหาที่แท้จริงของราษฎรด้วยพระองค์เอง และเมื่อทรงทราบถึงปัญหาแล้วจะพระราชทานความช่วยเหลือ ทั้งพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ หรือพระราชทานพระราชดำริถึงวิธีแก้ปัญหา บางปัญหาทรงทดลองหาทางแก้ไขด้วยพระองค์เอง ก่อนจะพระราชทานเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในด้านต่างๆ 

(2) การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในแทบทุกภาคของประเทศ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้กองกำลังต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือมีบทบาทในการสู้รบ กองทัพไทยได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ และการฝึกฝนอบรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) แต่ไม่อนุญาตหรือยินยอมให้กองทหารหรือเจ้าหน้าที่ต่างชาติใด ๆ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการต่อต้านความไม่สงบในประเทศเลย เช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ปละการฝึกฝนอบรมจากพรรคคอมมิวนิสต์ต่างชาติ แต่ก็ไม่ยินยอมให้กองกำลังต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสู้รบกับรัฐบาลไทยด้วยเช่นกัน 

(3) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่อง “นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์” คำสั่งนี้ได้วางแนวปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือผู้หลงผิดที่เข้ามอบตัว หรือที่จับได้ อย่างเพื่อนประชาชนร่วมชาติ โดยไม่มีการดำเนินคดีย้อนหลัง ยกเว้นบางคนที่มีคดีอาญาร้ายแรง รวมทั้ง ช่วยเหลือให้ใช้ชีวิตใหม่ร่วมกันต่อไปในสังคมอย่างเหมาะสม อันเป็นแนวคิดของ พล.ต.เปรม (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีต นายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ) ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พล.ท. เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2517-2520 และต้องเผชิญสงครามแย่งชิงมวลชนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อท่านเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พล.อ.เปรม และคณะทำงานคือ พล.ต.ปฐม เสริมสิน, พ.อ.หาญ ลีนานนท์, พ.อ.เลิศ กนิษฐะนาคะ เริ่มตระหนักว่าวิธีการปราบปรามอย่างเดียวไม่น่าจะได้ผล เพราะชาวบ้านก็ไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ จำเป็นต้องใช้วิธีต่อสู้ทางความคิด และดึงเอาประชาชนมาเป็นฝ่ายเดียวกับราชการ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2523 พล.อ.เปรม ได้รับแต่งตั้งจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก หลังจากนั้น 1 เดือน ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หลังจากนั้นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และมวลชนที่เข้าป่าไปจับปืนต่อสู้ทยอยเดินทางออกจากป่าในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการยึดครองของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการหยุดทฤษฎีโดมิโนไปอย่างถาวร

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีต นายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ผู้ริเริ่มคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่อง “นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์”

กองกำลังเวียดนามในกัมพูชา

ไม่พียงแต่ปัญหาอันเป็นปัจจัยภายในที่ได้กล่าวมาเท่านั้น ยังมีปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงที่ไทยต้องประสบพบเจอคือ แผนตัดขาดและยึดภาคอีสานของไทยตามยุทธการตัว L (L Operation) และรวมภาคอีสานของไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นสหพันธ์อินโดจีน โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำ โดยมีลักษณะภูมิประเทศรูปตัวแอลใหญ่ (L) คือพื้นที่ป่าภูเขาบริเวณรอยต่อจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย ทอดตัวยาวลงมาทางใต้ตามแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ มาบรรจบกันบริเวณเขาใหญ่ บริเวณรอยต่อ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดสระบุรี ซึ่งทอดตัวยาวมาจากทิศตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก เขาบรรทัด เขากำแพง และบรรจบกันที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 

ซึ่งต่อมากำลังทหารเวียดนามบุกเข้ากัมพูชาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เพื่อล้มล้างระบอบเขมรแดง กำลังทหารกัมพูชาส่วนใหญ่ได้อพยพมาอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศที่ติดกับชายแดนไทย โดยมีกลุ่มชาวกัมพูชาที่ต่อต้านการยึดครองของเวียดนามอยู่ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มกัมพูชาประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) หรือกลุ่มเขมรแดงของ พล พต และ เขียว สัมพันธ์ มีสมาชิกประมาณ 40,000 คน มีฐานที่ตั้งอยู่บริเวณพนมกระวันและบริเวณตะวันตกของจังหวัดพระตะบอง กลุ่มแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติของประชาชนเขมร (Khmer People’s National Liberation Front - KPNLE) ภายใต้การนำของซอนซาน มีสมาชิกประมาณ 4,000-12,000 คน และกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติเพื่อเอกราช ความเป็นกลาง และสันติภาพในกัมพูชา (Front d"union national pour un Cambodge independant, pacifiaue et cooperatif : FUNCINPEC) ภายใต้การนำของสมเด็จนโรดม สีหนุ การที่กลุ่มต่อต้านทั้งสามกลุ่มนี้มีฐานกองกำลังใกล้กับชายแดนไทยเพื่อเป็นง่ายต่อการหลบหนีเมื่อกำลังเวียดนามบุกเข้ามา กำลังกัมพูชาก็หลบหลีกเข้าสู่ดินแดนไทย ในการนี้เวียดนามเห็นว่าไทยยินยอมให้ชาวกัมพูชาฝ่ายต่อต้าน ใช้พื้นที่เป็นที่หลบหนีและคุ้มกันการโจมตีของกำลังเวียดนามและกำลังของ เฮง สัมริน 

ขณะนั้นกองทัพไทยเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามแล้วนั้นถือได้ว่าเทียบกันไม่ติด ในขณะนั้นมีการจัดอันดับความเข้มแข็งทางทหารของเวียดนามว่า อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยไม่ติดอันดับหนึ่งในยี่สิบเลย เนื่องจากกองกำลังทางทหารของฝ่ายไทยไม่เคยผ่านการรบมาก่อนหรือถ้าผ่านก็เป็นการรบแบบสมัยใหม่ ซึ่งมีแนวการรบแบบสหรัฐอเมริกาอันแตกต่างกับเวียดนามซึ่งกองกำลังของเวียดนามมีทักษะในการรบที่ดีกว่าและรู้วิธีการรบแบบกองโจร 

นอกจากนี้ทหารของเวียดนามก็ยังมีประสบการณ์รบจากสงครามเวียดนาม ขณะที่เวียดนามบุกกัมพูชานั้น กองกำลังทางทหารของเวียดนามมีจำนวนมากถึง 875,000 คน โดยที่ยังไม่รวมกำลังทหารของฝ่ายเฮง สัมริน ที่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน ด้วยการรบทั้งแบบกองโจรและการรบแบบสมัยใหม่ ขณะที่ฝ่ายไทยนั้นมีประสบการณ์เพียงเรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และมีกำลังทหารที่ผ่านสงครามในลาวและเวียดนาม ซึ่งชำนาญการรบตามหลักนิยมของกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องมีอำนาจการยิงที่เหนือกว่าจึงจะทำการรบได้ นอกจากนี้เวียดนามยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหลือจากสงครามเวียตนามอยู่มาก รวมทั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2521 - 2531 นี้เวียดนามได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อพัฒนากองทัพให้ทันสมัยและเพื่อการปราบปรามฝ่ายต่อต้านในการกัมพูชา จึงกล่าวได้ว่า ขณะนั้นไทยมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่าเวียดนามอยู่มาก

การคงอยู่ในกัมพูชาของกองกำลังเวียดนามในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2522–2532 ถือเป็นช่วงวิกฤตของไทยเลยทีเดียว การจัดการกับปัจจัยภายนอกในกรณีนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงต่างประเทศได้ทำงานอย่างหนักและได้ผล ด้วยการ 

(1) ใช้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ดำเนินการกดดันเวียดนามในกรณีนี้ในทุกเวทีนานาชาติ ซึ่งประสบผลสำเร็จโดยเวียดนามถูกโดดเดี่ยวในทางการเมืองและเศรษฐกิจ 

(2) ใช้ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจที่เป็นคู่ขัดแย้งกับเวียดนามเช่น จีนดำเนินการกดดันเวียดนาม และยอมให้จีนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ผ่านไทยไปสนับสนุนกองกำลังกัมพูชาที่ต่อต้านเวียดนาม (รวมทั้งเขมรแดง) 

(3) สหประชาชาติยังคงให้การรับรองรัฐบาลเขมรสามฝ่าย ซึ่งเป็นฟากฝ่ายที่ต่อต้านเวียดนาม ประกอบกับนโยบายของนานาชาติเกี่ยวกับกัมพูชาส่งผลต่อเศรษฐกิจของเวียดนาม สหรัฐประกาศคว่ำบาตรเวียดนาม และมีหลายประเทศในสหประชาชาติไม่รับรองเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา และมีการปฏิเสธสมาชิกภาพขององค์กรระดับนานาชาติ เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ใน พ.ศ. 2522 ญี่ปุ่นได้กดดันโดยลดความช่วยเหลือต่อเวียดนาม ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และปัญหาเรือมนุษย์ ทำให้สวีเดนที่เคยสนับสนุนเวียดนามถอนการรับรองด้วย การโดดเดี่ยวในระดับนานาชาติ และปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้เวียดนามต้องพึ่งสหภาพโซเวียตมากขึ้น 

โดยเฉพาะหลังจากการทำสงครามกับจีนใน พ.ศ. 2522 สหภาพโซเวียตให้ความช่วยเหลือเวียดนาม 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงที่สุดใน พ.ศ. 2524 – 2528 ใน พ.ศ. 2529 สหภาพโซเวียตประกาศลดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อเวียดนามลง 20% และลดความช่วยเหลือทางทหารลง 1 ใน 3 ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 คณะกรรมการโปลิตบูโรของเวียดนามได้ปรับนโยบายการต่างประเทศโดยจะเปิดประเทศรับการลงทุนและความช่วยเหลือจากต่างชาติ เวียดนามยุติการประณามสหรัฐอเมริกา จีน อาเซียน และเริ่มมีการถอนทหารออกจากกัมพูชาโดยลำดับ รัฐบาลเวียดนามได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เพื่อฟื้นฟูสันติภาพในกัมพูชา เวียดนามและจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 การสิ้นสุดความขัดแย้งในกัมพูชา ทำให้ประเทศในอินโดจีนได้แก่ ลาว และกัมพูชา เข้าร่วมกับอาเซียน ในช่วง พ.ศ. 2534 – 2535 เวียดนามได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิกอาเซียน และการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวียดนามระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2537 คิดเป็น 15% ของการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม 

ต่อมาในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกอันดับที่ 7 ของอาเซียนอย่างเป็นทางการ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2538 เวียดนามได้ประกาศยกระดับจากตัวแทนจากเป็นสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาหลังจากที่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติต่อกันตั้งแต่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 รวมทั้งการเข้าร่วมองค์การการค้าโลกเมื่อปี พ.ศ. 2550 และการเข้าร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ทำให้การโดดเดี่ยวเวียดนามออกจากสังคมโลกสิ้นสุดลง และทฤษฎีโดมิโน ซึ่งว่าด้วยความเชื่อที่ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะครองโลก หยุดลงที่ราชอาราจักรไทยโดยสิ้นเชิง


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Operation Ranch Hand ปฏิบัติการ ‘ฝนเหลือง’ อาวุธเคมีของกองทัพสหรัฐฯ สู่สมรภูมิในเวียดนามใต้ ที่มากที่สุดในโลก    

สงครามเวียดนาม แม้จะจบลงไปแล้ว 46 ปีก็ตาม แต่เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ได้จบตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่จะเล่าในครั้งนี้ คือ เรื่องของ “ฝนเหลือง (Agent Orange)” ซึ่งเป็นสารเคมีที่กองทัพสหรัฐฯ นำมาใช้ในสงครามเวียดนามด้วย และยังคงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของเวียดนามจนทุกวันนี้ ด้วยมีผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับฝนเหลืองมากมาย จึงขอเขียนเรื่องราวโดยรวมและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบ้านเราครับ

ฝนเหลือง (Agent Orange) เป็นสารกำจัดวัชพืชที่มีความเข้มข้นสูงที่กองกำลังสหรัฐฯ ใช้ในช่วงสงครามเวียดนามเพื่อกำจัด ต้นไม้ และวัชพืช ซึ่งปกคลุมป่า อันเป็นที่ซ่อนและซ่องสุมกำลังของกองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกง โดยมีชื่อรหัสปฏิบัติการว่า Operation Ranch Hand กองกำลังสหรัฐฯ ได้โปรยพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชหลายชนิดมากกว่า 20 ล้านแกลลอนทางอากาศใน เวียดนามใต้ กัมพูชา และลาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2514

Agent Orange ซึ่งมีสารเคมีประเภท Dioxin ซึ่งมีความร้ายแรง และเป็นสารกำจัดวัชพืชที่ใช้กันมากที่สุด ในเวลาต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง ซึ่งรวมถึง โรคมะเร็ง ความพิการ และปัญหาทางด้านจิตใจและระบบประสาทที่รุนแรงในหมู่ชาวเวียดนาม รวมถึงในกลุ่มทหารที่กลับมาสหรัฐฯ รวมถึงครอบครัวของทหารเหล่านั้นด้วย

ถังบรรจุ Agent Orange

สารกำจัดวัชพืชที่ใช้โปรยพ่น มีความเข้มข้นสูงกว่าที่ใช้ในการเกษตรทั่วไปถึงราว 50 เท่า สารกำจัดวัชพืชที่ใช้บ่อยที่สุดคือ Herbicide Orange หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Agent Orange เป็นส่วนผสม 50 : 50 ของสารเคมีกำจัดวัชพืช 2 ชนิด 2,4 -D (2,4-Dichlorophenoxyacetic acid) และ 2,4,5-T (2,4,5-Trichlorophenoxyacetic acid) ผลิตตามคำสั่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา โดย Monsanto Corporation และ Dow Chemical เป็นหลัก สารกำจัดวัชพืชใน Operation Ranch Hand ใช้การกำหนดด้วยรหัสสี และที่พบมากที่สุดคือ Agent Blue (กรด Cacodylic) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับพืชอาหาร และ Agent White ซึ่งมักใช้เมื่อ Agent Orange ไม่พร้อมใช้งาน

แผนที่แสดงเส้นทางการบินโปรยพ่น Agent Orange

Operation Ranch Hand เป็นปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯโดยการโปรยสารกำจัดวัชพืชทางอากาศในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ถึง พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) โดยได้รับแนวคิดจากการที่กองทัพอังกฤษใช้สาร 2,4,5-T และ 2,4-D (Agent Orange) ในช่วงภาวะฉุกเฉินในมาลายาในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสงครามกำจัดวัชพืชโดยรวมในช่วงสงครามที่เรียกว่า "Operation Trail Dust" เป็นการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชประมาณ 20 ล้านแกลลอน (76,000 ลบ.ม.) ในพื้นที่ชนบทของเวียดนามใต้ เพื่อพยายามกำจัดแหล่งอาหารและพืชผลของเวียดกง รวมทั้งพื้นที่ในลาว และกัมพูชา ก็ถูกพ่นด้วยในปริมาณที่น้อยกว่า มีการบินโปรยสารเกือบ 20,000 เที่ยว ในช่วงสิบปีของการบินโปรยพ่นในพื้นที่ป่ากว่า 5 ล้านเอเคอร์ (20,000 ตร.กม.) และไร่นาอีก 500,000 เอเคอร์ (2,000 ตร.กม. ) ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือถูกทำลายอย่างหนัก ป่าไม้ของเวียดนามใต้ราว 20% ถูกโปรยพ่นอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

หมู่บินของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 นามเรียกขานว่า "Hades" ขณะทำการบินโปรยพ่น Agent Orange

สารเคมีกำจัดวัชพืชถูกโปรยพ่นโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 โดยใช้นามเรียกขานว่า "Hades" เครื่องบินจะติดตั้งถังสเปรย์ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งมีความจุสารเคมีกำจัดวัชพืช 1,000 แกลลอน (4 ลบ.ม.) เครื่องบินลำหนึ่งพ่นพื้นที่กว้าง 80 เมตร และยาว 16 กิโลเมตร (10 ไมล์) ในเวลาประมาณ 4½ นาทีในอัตรา 3 แกลลอนสหรัฐฯ (3.785 ลิตร) ต่อเอเคอร์ (3 ลบ.ม. / ตร.กม. ) การบินเรียงลำดับประกอบด้วยเครื่องบินสามถึงห้าลำที่บินเคียงกัน 95% ของสารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้ในสงครามถูกฉีดพ่นโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Operation Ranch Hand ส่วนที่เหลืออีก 5% ได้รับการฉีดพ่นโดย US Chemical Corps และกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม โดยใช้เครื่องพ่นสารเคมี รถสเปรย์ เฮลิคอปเตอร์ และเรือ โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปฏิบัติงานทางทหารของสหรัฐฯ

หมู่บินของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 นามเรียกขานว่า "Hades" ขณะทำการบินโปรยพ่น Agent Orange

Operation Ranch Hand หน่วยปฏิบัติตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศ Bien Hoa (พ.ศ. 2509-2513) สำหรับปฏิบัติการในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงบริเวณที่เรือลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐฯ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากพื้นที่พงป่าริมฝั่งน้ำ พื้นที่จัดเก็บ การผสม การบรรทุก และการล้างทำความสะอาด และทางลาดจอดรถตั้งอยู่ไม่ไกลจากฐานด้านในของทางเดินระหว่างทางระบายสินค้าและหอบังคับการบิน 

สำหรับการปฏิบัติการตามชายฝั่งตอนกลาง และพื้นที่เส้นทางโฮจิมินห์ (Ho Chin Minh Trail) Operation Ranch Hand ได้ปฏิบัติการจากฐานทัพอากาศ Da Nang (พ.ศ. 2507–2514) ส่วนฐานปฏิบัติการอื่น ๆ ได้แก่ ฐานทัพอากาศ PhùCát (พ.ศ. 2511-2513) ฐานทัพอากาศ Tan Son Nhut (พ.ศ. 2505–2509) ฐานทัพอากาศ Nha Trang (พ.ศ. 2511–2512) ฐานทัพอากาศ Phan Rang (พ.ศ. 2513–2515) และฐานทัพอากาศ Tuy Hoa (พ.ศ. 2514–2515) ฐานทัพอากาศอื่น ๆ ยังใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการชั่วคราว สำหรับ Operation Ranch Hand ฐานทัพอากาศ Da Nang, Bien Hoa และ Phu Cat ยังคงมีการปนเปื้อนสารเคมีประเภท Dioxin จากสารเคมีกำจัดวัชพืชอย่างมาก และได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับความสำคัญในการกันเขต และการทำความสะอาดโดยรัฐบาลเวียดนามจนปัจจุบัน

การโปรยพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชทางอากาศครั้งแรก เป็นการทดลองในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ในหมู่บ้านทางเหนือของอำเภอ Đắk Tô (เขตชนบทของจังหวัด Kon Tum ในภาคกลางของเวียดนาม) ด้วยสารเคมีกำจัดใบไม้ การทดสอบยังคงดำเนินต่อไปในปีต่อมา และแม้ว่าจะมีข้อสงสัยของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และทำเนียบขาวเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารเคมีกำจัดวัชพืช แต่ Operation Ranch Hand ก็เริ่มขึ้นในต้นปี พ.ศ. 2505 การบินโปรยพ่นจะต้องได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดี John F. Kennedy จนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2505 เมื่อประธานาธิบดี Kennedy ให้อำนาจในการอนุมัติการโปรยพ่นส่วนใหญ่ไปยังหน่วยความช่วยเหลือทางทหาร กองบัญชาการทหารสหรัฐฯในเวียดนาม และเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนามใต้ Operation Ranch Hand ได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายให้ทำการบินโปรยพ่นเป้าหมายในลาวทางตะวันออกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2508 

Dean Rusk รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กับประธานาธิบดี John F. Kennedy

ประเด็นที่จะอนุญาตให้ทำลายพืชผลได้หรือไม่นั้น มีการถกเถียงกันอย่างหนักเนื่องจากอาจละเมิดพิธีสารเจนีวา (Geneva Protocol) อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อเมริกันชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้อังกฤษเคยใช้ 2,4,5-T และ 2,4-D (แทบจะเหมือนกับที่กองทัพอเมริกันใช้ในเวียดนาม) ในปริมาณมากตลอดช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินมาลายาในทศวรรษ 1950 เพื่อทำลายพุ่มไม้, พืชผล, และต้นไม้ เพื่อพยายามที่จะปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบคอมมิวนิสต์ด้วยการทำลายที่กำบังที่ใช้ซุ่มโจมตีขบวนรถที่ผ่านมา 

รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ Dean Rusk กล่าวกับประธานาธิบดี Kennedy เมื่อ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 ว่า “การใช้ยาละลายน้ำแข็งไม่ได้ละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามเคมี และเป็นยุทธวิธีในการทำสงครามที่ได้รับการยอมรับ โดยอังกฤษในช่วงภาวะฉุกเฉินในแหลมมลายูโดยการใช้เครื่องบินด้วยการโปรยพ่นสารเคมีทำลายพืชผล

Ngo Dinh Diem ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ เริ่มผลักดันให้เหล่าที่ปรึกษาทางทหารสหรัฐฯประจำเวียดนามใต้และทำเนียบขาว เริ่มทำการทำลายล้างการเพาะปลูกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2504 แต่ยังไม่ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2505 ทำเนียบขาวให้การอนุมัติสำหรับการทดสอบ Agent Blue กับพืชผลในพื้นที่ซึ่งเชื่อว่าถูกควบคุมโดยเวียดกง หลังจากนั้นไม่นานการโปรยพ่นสารเคมีทำลายพืชผลก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ Operation Ranch Hand

เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธขณะโปรยพ่น Agent Orange

เป้าหมายสำหรับการฉีดพ่น ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีเพื่อตอบสนองเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ และปฏิบัติการทางจิตวิทยาของกองทัพสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ มีการสำรวจเพื่อระบุพื้นที่เป้าหมาย จากนั้นจัดวางรายการลำดับความสำคัญ เนื่องจากระดับความสูงที่ต่ำ (150 ฟุต (46 ม.) จำเป็นสำหรับการบินโปรยพ่นของเครื่องบินลำเลียงแบบ C-123 จึงถูกนำมาโปรยพ่นโดยเครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ เพื่อที่จะกราดยิงหรือทิ้งระเบิดในพื้นที่เป้าหมายเพื่อให้เกิดการทำลายเป้าหมายบนภาคพื้นดิน หากพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็น 'เป้าหมายที่มีความเร่งด่วน' มีการวางแผนการบินโปรยพ่นเพื่อให้สามารถบินเป็นเส้นตรงได้มากที่สุด เพื่อจำกัดระยะเวลาที่เครื่องบินซึ่งต้องบินในระดับความต่ำ ข้อมูลเกี่ยวกับการบินโปรยพ่น เป้าหมาย สารกำจัดวัชพืชที่ใช้ และปริมาณที่ใช้ สภาพอากาศ และรายละเอียดอื่น ๆ ได้รับการบันทึก และนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่เรียกว่า แถบบันทึก Herbicide Reporting System (HERBS)

สภาพป่าโกงกางที่ถูกโปรยพ่นด้วย Agent Orange

ประสิทธิผลของการบินโปรยพ่นมาจากองค์ประกอบหลายปัจจัยรวมทั้ง สภาพอากาศ และภูมิประเทศ การบินโปรยพ่นเกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ก่อนที่อุณหภูมิจะสูงกว่า 85 องศา และลมพัดแรง ป่าโกงกางในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำต้องการการบินโปรยพ่นเพียงครั้งเดียว และไม่สามารถอยู่รอดได้เมื่อมีการผลัดใบ ในขณะที่ป่าทึบในพื้นที่สูงต้องใช้การบินโปรยพ่นอย่างน้อยสองครั้ง ภายในสองถึงสามสัปดาห์ของการบินโปรยพ่น ใบจะร่วงหล่นจากต้นไม้ ซึ่งจะยังคงไร้ใบจนถึงฤดูฝนถัดไป เพื่อที่จะทำให้ป่าไม้ลดลง จำเป็นต้องมีการบินโปรยพ่น และติดตามผลอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้นไม้ที่ถูกโปรยพ่นประมาณร้อยละ 10 ตายจากการบินโปรยพ่นเพียงครั้งเดียว การบินโปรยพ่นหลาย ๆ ครั้ง ส่งผลให้ต้นไม้ตายเพิ่มขึ้น ดังที่การติดตามภารกิจกำจัดวัชพืชด้วยการทิ้งระเบิดนาปาล์ม (ระเบิดเพลิง) หรือการวางระเบิดทำลาย

ปฏิกิริยาของชุมชนทางวิทยาศาสตร์ การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในสงครามเวียดนามเป็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการโปรยพ่นสารเคมีทำลายพืช ชุมชนวิทยาศาสตร์เริ่มประท้วงการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เมื่อสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันคัดค้านการใช้สารกำจัดวัชพืช หรือ American Association for the Advancement of Science (AAAS) ได้ออกมติในปี พ.ศ. 2509 เรียกร้องให้มีการตรวจสอบโครงการกำจัดวัชพืชในเวียดนามใต้ในภาคสนาม ในปี พ.ศ. 2510 ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 17 คน และนักวิทยาศาสตร์อีก 5,000 คนลงนามในคำร้องเพื่อขอให้ยุติการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในเวียดนามใต้โดยทันที มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในเวียดนามเพิ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1960

สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน

ในปี 1970 AAAS ได้ส่งทีมนักวิทยาศาสตร์ - คณะกรรมการประเมินสารกำจัดวัชพืช (HAC) ซึ่งประกอบด้วย Matthew Meselson, Arthur Westing, John Constable และ Robert Cook ไปทำการทดสอบภาคสนามเกี่ยวกับผลกระทบทางนิเวศวิทยาของโครงการกำจัดวัชพืชในเวียดนาม รายงานในปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ที่เขียนโดย K. Diane Courtney และคณะพบว่า 2,4,5-T อาจทำให้เกิดความผิดปกติและข้อบกพร่องของการคลอดในหนูได้ การศึกษาและการติดตามผลนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัด การใช้ 2,4,5-T ในสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ตามด้วยกระทรวงกลาโหมฯระงับการใช้ Agent Orange ในเวียดนามใต้เป็นการชั่วคราว แม้ว่าพวกเขาจะยังคงพึ่งพา Agent White จนกระทั่งอุปกรณ์หมด และการฉีดพ่นสำหรับการกำจัดใบครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 การทำลายพืชผลแบบประปรายโดยใช้ Agent Blue และ Agent White ดำเนินต่อไปตลอดปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) จนกระทั่งครั้งสุดท้ายของ Operation Ranch Hand เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2514 

ชาวเวียดนามราว 150,000 คน ที่พิการแต่กำเนิด ต้องเผชิญและทนทุกข์ทรมาน จากผลกระทบของสารเคมีต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้

ผลกระทบต่อมนุษย์ การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมีผลในการทำลายล้างในระยะยาวต่อผู้คนในเวียดนามรวมถึงดินแดนและระบบนิเวศ รวมถึงผู้ที่อพยพจากพื้นที่ที่มีการโปรยพ่น Agent Orange จำนวนมาก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ตามรายงานของรัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า ชาวเวียดนามราว 4.8 ล้านคนได้รับผลจาก Agent Orange ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 400,000 คน เนื่องจากโรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ 

การศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาในภายหลังระบุว่า การประมาณการก่อนหน้านี้ของการได้รับสาร Agent Orange มีความเอนเอียงจากการแทรกแซงของรัฐบาล และการคาดเดาที่ต่ำเกินไป ซึ่งทำให้การประมาณการในปัจจุบันสำหรับการล่อยสาร Dioxin นั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เกือบสองเท่า ข้อมูลการจากสำรวจสำมะโนประชากรระบุว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้โปรยพ่นใส่ชาวเวียดนามหลายล้านคนโดยตรงระหว่างการใช้งาน Agent Orange ประชาชนเวียดนามได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคต่าง ๆ 

ผลกระทบต่อมนุษย์ การใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมีผลต่อการทำลายล้างในระยะยาว และต่อผู้คนในเวียดนามรวมถึงพื้นดินและระบบนิเวศน์ รวมถึงผู้ที่อพยพจากพื้นที่ที่มีการโปรยพ่น Agent Orange จำนวนมาก ตามรายงานของรัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ชาวเวียดนามราว 4.8 ล้านคนได้รับผลจาก Agent Orange ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 400,000 คน อันเนื่องมาจากโรคมะเร็ง และโรคอื่น ๆ การศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาในภายหลังระบุว่า การประมาณการก่อนหน้านี้ของการได้รับสาร Agent Orange มีความเอนเอียงจากการแทรกแซงของรัฐบาลฯ และการคาดเดาที่ต่ำเกินไป ซึ่งทำให้การประมาณการในปัจจุบันสำหรับการล่อยสาร Dioxin นั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เกือบสองเท่า ข้อมูลการจากสำรวจสำมะโนประชากรระบุว่า กองทัพสหรัฐฯได้โปรยพ่นใส่ชาวเวียดนามโดยตรงระหว่างการใช้งาน Agent Orange เป็นจำนวนหลายล้านคน ประชาชนเวียดนามได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคต่าง ๆ โดยมีชาวเวียดนามราว 3  ล้านคนที่ประสบปัญหาสุขภาพ เจ็บป่วย และพิการ ฯลฯ อันเกิดจากการสัมผัสกับ Agent Orange โดยตรง และ 24% ของพื้นที่ของประเทศเวียดนามถูกทำลาย นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯในการจัดการสารเคมีดังกล่าวข้างต้น รวมถึงผู้ที่เกิดในและรอบ ๆ พื้นที่โปรยพ่น Agent Orange เป้าหมายจำนวนมากตลอดช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทำให้มีผลต่อประชาชนเวียดนามอย่างน้อย 2.8 ล้านคน  และเด็ก ๆ ลูกหลานของพวกเขาอีกราว 150,000 คนต้องพิการแต่กำเนิด ต้องเผชิญ และทนทุกข์ทรมานจากผลกระทบของสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งถูกนำมาใช้ใน Operation Ranch Hand


ชาวเวียดนามราว 150,000 คนที่พิการแต่กำเนิด ต้องเผชิญ และทนทุกข์ทรมานจากผลกระทบของสารเคมีต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้

โครงการกำจัด Agent Orange ปนเปื้อนที่สนามบิน Da Nang

United States Agency for International Development หรือ USAID แถลงว่า โครงการกำจัด Agent Orange ปนเปื้อนที่สนามบิน Da Nang เสร็จสิ้นเมื่อเดือน พ.ย. พ.ศ. 2561 ต่อเนื่องตามด้วยโครงการกำจัด  Agent Orange ที่สนามบิน Bien Hoa เวียดนาม ซึ่งเป็นพื้นที่ปนเปื้อน Agent Orange มากที่สุดในประเทศเวียดนาม โดยเป็นโครงการระยะ 10 ปี งบประมาณ 183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,700 ล้านบาท สนามบิน Bien Hoa อยู่นอกนครโฮจิมินห์ เป็นพื้นที่ที่มีสาร Agent Orange ปนเปื้อนมากที่สุดในประเทศเวียดนาม ปนเปื้อนดิน และไหลซึมลงแม่น้ำใกล้เคียงหลายแห่งตรวจพบ Agent Orange ปนเปื้อนมากกว่า 4 เท่าของปริมาณที่พบที่สนามบิน Da Nang 

ส่วนในสหรัฐฯ นั้น ทบวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ประมาณการว่า ทหารอเมริกัน จำนวน 2.8 ล้านคน ที่เคยไปปฏิบัติการ หรือ เหยียบแผ่นดินเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. 2505-2518 ล้วนมีโอกาสได้สัมผัสกับสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดใบไม้ กระทรวงฯ ได้ระบุอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการได้รับผลกระทบเอาไว้ส่วนหนึ่ง และถ้าหากทหารผ่านศึกคนใดมีอาการต่าง ๆ เหล่านั้น ก็จะสามารถขอรับการรักษาพยาบาลเป็นสวัสดิการจากรัฐได้ ซึ่งจำนวนผู้ที่เข้าขอรับการช่วยเหลือมีเพิ่มขึ้นทุกปี ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ได้จ่ายชดเชยให้ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมี แต่ไม่ได้จ่ายชดเชยให้กับฝ่ายเวียดนามแต่อย่างใด

ป้ายแสดงที่ระลึกโครงการกำจัด Agent Orange ปนเปื้อนที่สนามบิน Da Nang

Agent Orange ได้รับการทดสอบโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยในช่วงสงครามเวียตนาม ในปี พ.ศ. 2542 คลองที่ถูกกลบได้ถูกขุดออก และพบถังบรรจุสารเคมี ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็น Agent Orange คนงานที่ขุดเปิดคลองนั้นล้มป่วยขณะปรับปรุงพื้นที่สนามบินบ่อฝ้ายใกล้อำเภอหัวหินทางใต้ของกรุงเทพฯราว 100 กม. ทหารผ่านศึกชาวไทยที่เข้าร่วมสงครามเวียตนามระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 ถึง 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 อาจได้รับสารเคมีกำจัดวัชพืช และอาจมีสิทธิ์ได้รับสิทธิประโยชน์จากทบวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯที่ไม่ได้รับการจัดประเภทชั้นความลับ ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2516 ชี้ให้เห็นว่ามีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชอย่างมีนัยสำคัญรอบ ๆ ฐานทัพที่มีรั้วรอบขอบชิดในประเทศไทยเพื่อกำจัดใบไม้ที่อาจปิดบังการตรวจหากองกำลังฝ่ายศัตรู ในปี พ.ศ. 2556 ทบวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ระบุว่า สารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้ในพื้นที่ฐานทัพในประเทศไทยอาจเป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชชนิดเชิงพาณิชย์ที่มีฤทธิ์คล้ายสารเคมีกำจัดวัชพืชทางยุทธวิธีที่ใช้ในสงครามเวียดนาม ทุกวันนี้ยังมีหลาย ๆ ประเทศสะสมอาวุธเคมีชีวะเพื่อใช้ทำสงครามอยู่ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทเรียนจากเรื่องราวที่ผ่านมาจะทำให้โลกใบนี้ไม่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวที่สุดจะเลวร้ายเช่นนี้อีก


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘Chuck Feeney’ (ชัก ฟีนีย์) อภิมหาเศรษฐีใจบุญ ยอดนักบริจาค ผู้เป็นต้นแบบของ Warren Buffett และ Bill Gates

Chuck Feeney (ชัก ฟีนีย์) ชายชราที่มัธยัสถ์และสุดแสนที่จะธรรมดา แต่สิ่งที่เขาลงมือทำกลายเป็นแบบอย่างให้อภิมหาเศรษฐีของโลกอย่าง Warren Buffett และ Bill Gates ยอมรับ ยกย่อง ชื่นชม นับถือ และนำมาเป็นแบบอย่าง Chuck Feeney (เกิด 23 เมษายน พ.ศ.2474) เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ DFS บริษัทจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีอันดับ 1 ของโลก (ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือ LVMH : Moët Hennessy Louis Vuitton SE) ร่วมกับ Robert Warren Miller โดย Chuck Feeney ได้ขายหุ้นส่วนของตัวเองไปเพื่อนำเงินไปใช้ทำกองทุนการกุศล The Atlantic Philanthropies (AP)
 

DFS (DFS Group) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2503 เครือข่ายประกอบด้วยสาขากว่า 420 แห่ง รวมถึงร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินหลัก 18 แห่ง และร้านค้าในตัวเมือง 14 แห่ง ปัจจุบันบริหารโดย บริษัท Moët Hennessy Louis Vuitton (LVMH) ร่วมกับผู้ร่วมก่อตั้งและผู้ถือหุ้นของ DFS Robert Warren Miller เมื่อ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2540 DFS Group ดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทลูกของ LVMH สำนักงานใหญ่ของ DFS ตั้งอยู่ในฮ่องกง และมีสำนักงานใน ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น มาเก๊า นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม DFS Group มีพนักงานมากกว่า 9,000 คนดำเนินงานใน 14 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ.2560 มีนักเดินทางเกือบ 160 ล้านคนเข้าเยี่ยมชมและใช้บริการในร้านค้าของ DFS

Chuck Feeney ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ธรรมดา ๆ ในนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟลอเนีย กับภรรยา Helga Feeney

Chuck Feeney อาศัยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟลอเนีย กับภรรยา Helga Feeney เขาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง พำนักในอพาร์ทเมนต์ที่มีความเข้มงวดราวกับหอพักของนักศึกษาน้องใหม่ ไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่ชอบทานอาหารหรูหรา อาหารโปรดที่เขาชอบที่สุดคือแซนด์วิชชีสย่างมะเขือเทศราคาแสนถูก ใช้แว่นตาเก่า ๆ ใส่นาฬิกาธรรมดา และไม่มีรถขับ การเดินทางก็มักใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 

แต่เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดในเรื่องการบริจาคขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ใช้โชคที่ได้รับส่วนใหญ่มาก ๆ ไปกับการบริจาคให้กับการกุศลครั้งใหญ่ แทนที่จะเป็นการบริจาคเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว “เพราะคนเราไม่สามารถนำเงินติดตัวไปในสัมปรายภพได้ ทำไมไม่บริจาคไปทั้งหมด ซึ่งจะสามารถควบคุมการบริจาคได้ว่า เงินบริจาคจะไปให้ใคร ที่ไหน อย่างไร และได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาของคุณเอง” Chuck Feeney กล่าวว่า “เราได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เราจึงเลือกทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป แต่ผมพอใจมาก และรู้สึกดีมากที่ได้ทำสิ่งนี้ได้เสร็จขณะมีชีวิตอยู่” Feeney กล่าวกับ Forbes ว่า “ขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมกับผมในการเดินทางครั้งนี้ และสำหรับผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับ Giving While Living ขอให้ลองดู แล้วคุณจะชอบ”

ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา Chuck Feeney ได้บริจาคเงินกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับองค์กรการกุศล มหาวิทยาลัย และมูลนิธิต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านมูลนิธิ The Atlantic Philanthropies ของเขา เมื่อนิตยสาร Forbes พบเขาครั้งแรกในปี พ.ศ.2555 เขาคาดว่า เขาจะมีเงินเหลือประมาณ 2 ล้านดอลลาร์สำหรับการเกษียณอายุของเขาและภรรยา กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาได้รับเงินมากกว่ามูลค่าสุทธิในปัจจุบันถึง 375,000% และเขาบริจาคไปโดยไม่ระบุชื่อ ในขณะที่ผู้ใจบุญที่ร่ำรวยหลายคนต่างก็เกณฑ์กองทัพนักประชาสัมพันธ์เพื่อปาวประกาศถึงการบริจาคของพวกเขา Chuck Feeney ก็พยายามอย่างมากที่จะเก็บงำการบริจาคของเขาไว้เป็นความลับ เนื่องจากการบริจาคเพื่อการกุศลที่เป็นความลับ และกระจายไปทั่วโลก นิตยสาร Forbes จึงเรียก Chuck Feeney ว่า James Bond of Philanthropy

“การให้ในขณะที่ยังมีชีวิต ทำให้เกิดความแตกต่าง”
Chuck Feeney

ก่อนชายผู้แสนมัธยัสถ์นี้จะอายุ 85 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง ?

1.) บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล โดยห้ามไม่ให้มหาวิทยาลัยประกาศชื่อผู้บริจาค

2.) บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย 

3.) บริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต

4.) ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ

5.) จัดตั้งกองทุนการกุศล The Atlantic Philanthropies (AP) ให้การรักษาพยาบาลฟรีสำหรับเด็กปากแหว่งในประเทศที่กำลังพัฒนา

6.) ได้บริจาคเงินไปทั้งสิ้น 8,000,000,000 เหรียญสหรัฐ เมื่ออายุ 89 ปี

วันที่ 14 กันยายน 2020 Chuck Feeney พร้อมด้วยภรรยา Helga Feeney ได้ลงนามในเอกสาร ณ นครซานฟรานซิสโกอันเป็นการปิดการบริจาคให้ The Atlantic Philanthropies (AP)

แม้ว่า Chuck Feeney จะรักในการหาเงิน แต่ก็ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมาก Chuck Feeney มีความปรารถนาว่า ก่อนปี พ.ศ.2559 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด เพื่อจะได้ตายอย่างตาหลับ โดยเงินของเขาได้กระจายไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็นในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี และในเดือนกันยายน พ.ศ.2563 Chuck Feeney ก็ทำได้สำเร็จ โดยเขาเหลือเงินเพื่อใช้ดำรงชีวิตกับภรรยาเพียงสองล้านเหรียญเท่านั้น 

วันที่ 14 กันยายน ค.ศ.2020 Chuck Feeney พร้อมด้วยภรรยา Helga Feeney ได้ลงนามในเอกสาร ณ นครซานฟรานซิสโกอันเป็นการปิดการบริจาคให้ The Atlantic Philanthropies (AP) หลังจากบริจาคมาแล้วทั่วโลกเป็นเวลาสี่ทศวรรษ The Atlantic Philanthropies พิธีซึ่งกระทำบนระบบ Zoom กับ The Atlantic Philanthropies รวมถึงข้อความวิดีโอจาก Bill Gates และอดีตผู้ว่าการมลรัฐแคลิฟลอเนีย Jerry Brown ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ Nancy Pelosi ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการจากสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อขอบคุณ Feeney สำหรับการบริจาคของเขา

“ผมมีหนึ่งความคิดในใจ ซึ่งไม่เคยเปลี่ยน นั้นคือ เราต้องใช้ความมั่งคั่งที่มีเพื่อช่วยเหลือผู้คน” Chuck Feeney

เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวยที่ว่า "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิต ต้องแบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย" การทำการกุศลของ Chuck Feeney เป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางไปยังบ้านของเขา แล้วทุกคนก็ล้วนแต่แปลกใจ และถาม Chuck Feeney ว่า “คุณมีทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตที่สวยหรู" 

เพื่อตอบข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้ม และบอกเล่าเรื่องราว 

"สุนัขจิ้งจอก พบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไร่องุ่นไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง จนมุดผ่านรั้วเข้าไปในไร่องุ่นได้ ! 

เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้อีก ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือก มันจึงต้องอดน้ำ อดอาหารอีกสามวันสามคืน จนสุดท้ายแล้ว ท้องของมันตอนที่ออกมาจากไร่องุ่น ก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไปในไร่องุ่น" 

เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeney กล่าวว่า "บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็จากไปแบบมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งไปกับความตายได้" และเมื่อมีสื่อถาม Chuck Feeney ทำไมต้องบริจาคเงินออกไปจนหมด คำตอบของเขาง่ายมาก ๆ และไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงใส่ศพนั้นไม่มีกระเป๋า" อันที่จริงแล้วความจนของเขาเกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล สิ่งที่เขาได้มา ได้ส่งคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันช่วยทำให้เขามีความสุขมากกว่ามีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านเสียอีก


Chuck Feeney กับ Warren Buffett

Chuck Feeney จึงมีอิทธิพลต่อทั้ง Warren Buffett และ Bill Gates เมื่อพวกเขาเปิดตัว การให้คำมั่นสัญญาในปี พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นการรณรงค์เชิงรุกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก บริจาคทรัพย์สมบัติอย่างน้อยครึ่งหนึ่งสำหรับการกุศล ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต “Chuck Feeney เป็นต้นแบบที่สำคัญในแง่ของแรงบันดาลใจในการให้และทำตามคำมั่นสัญญา” Warren Buffett กล่าวว่า “เขาเป็นต้นแบบสำหรับพวกเราทุกคน ซึ่งจะต้องใช้เวลาราว 12 ปีหลังจากที่เสียชีวิตเพื่อทำสิ่งที่เขาทำภายในช่วงชีวิตของเขา” สำหรับ Bill Gates ได้กล่าวถึง Chuck Feeney ว่า “Chuck ได้สร้างเส้นทางให้ผู้ใจบุญคนอื่น ๆ เดินตาม ผมจำได้ว่า พบเขาก่อนเริ่มการให้คำมั่นสัญญา เขาบอกผมว่า เราควรสนับสนุนผู้คน ไม่ให้เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา ไม่มีใครเป็นตัวอย่างที่ดีไปกว่า Chuck หลายคนพูดกับผมว่า Chuck Feeney เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้อย่างไร ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”

“Chuck ได้สร้างเส้นทางให้ผู้ใจบุญคนอื่น ๆ เดินตาม ผมจำได้ว่า พบเขาก่อนเริ่มการให้คำมั่นสัญญา เขาบอกผมว่า เราควรสนับสนุนผู้คนไม่ให้เพียงแค่ 50% แต่ให้มากที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา” Bill Gates
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top