Monday, 21 April 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

จุดจบ ‘เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) แห่งเมืองเวโก้ มลรัฐเท็กซัส

เรื่องของความเชื่อ และความศรัทธา ล้วนเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนครับ ดังที่ทราบที่ปรากฏเห็น มีเส้นบางมากๆ กั้นกลางระหว่างเรื่องของความเชื่อถือ ความศรัทธา กับความงมงายเกิดขึ้นในสังคมมากมาย 

ดังนั้นเรื่องของความเชื่อศรัทธาจึงต้องประกอบด้วย สติ และ ปัญญา ความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลับกลายเป็นความงมงายไป และมักจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม เหมือนกับเรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังในวันนี้...

ในปี ค.ศ.1993 (พ.ศ. 2536) มีข่าวช็อกโลก อย่างการยิงปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่สำนักงานควบคุมแอลกอฮอลล์ ยาสูบ และอาวุธ (ATF) ซึ่งสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) พร้อมทั้งกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ของมลรัฐเท็กซัสและมลรัฐแอลลาบาม่า กับกลุ่มลัทธิ แบรนช์ดาวิเดียน เหตุเกิดที่เมืองเวโก้ มลรัฐเท็กซัส

หรือที่เรียกกันว่า ‘การปิดล้อมเวโก้’ (Waco siege) เป็นการปิดล้อมกลุ่มอาคารเมาท์คาร์เมลเซ็นเตอร์ของกลุ่มลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นำโดยสำนักงานควบคุมแอลกอฮอล์ ยาสูบและอาวุธปืน (ATF) และสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

เดวิด โคเรช เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน

ลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน เป็นลัทธิที่เชื่อในการเสด็จมาอีกครั้งของพระเยซู เป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาจากลัทธิดาวิเดียน เซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ (Davidian Seventh-day Adventists) มีผู้นำคือ เดวิด โคเรช ที่ประกาศว่าตนเองคือผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย พฤติการณ์หลายอย่างของกลุ่ม เช่น การรับสตรีวัยรุ่นเข้ามาเป็นภรรยาของโคเรช การทำธุรกิจค้าอาวุธ และความสงสัยว่าภายในลัทธิมีการทารุณเด็กทางเพศ

กลุ่มอาคารก่อนเหตุเพลิงไหม้

ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 เจ้าหน้าที่ ATF ได้เข้าตรวจสอบภายในกลุ่มอาคาร และเกิดการยิงต่อสู้กับสมาชิกของลัทธิ ทำให้เจ้าหน้าที่ ATF 4 นายและสมาชิกของลัทธิเสียชีวิต 6 คน เสียชีวิต หลังการปะทะ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ มีการตัดระบบสาธารณูปโภครอบๆ กลุ่มอาคาร พร้อมทั้งเปิดการเจรจากับโคเรช แต่ไม่เป็นผล

กลุ่มอาคารขณะเพลิงกำลังลุกไหม้

อยากได้ผู้ว่ากรุงเทพฯ แบบนี้!! รู้จัก Jaime Lerner สุดยอดนายกเทศมนตรีแห่ง Curitiba บราซิล ผู้เปลี่ยนเมืองแห่งความสิ้นหวัง เป็นแดนศิวิไลซ์ที่ใครก็อยากเลียนแบบ

การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งที่ 11 ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 พี่น้องชาวกทม. อยากได้ผู้ว่าฯ เข้ามาบริหารจัดการกรุงเทพมหานครแบบไหนกันครับ

ถ้ายังไม่แน่ใจ ผมขอแนะนำให้ลองเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มีคุณลักษณะแบบ Jaime Lerner ผู้เป็นสุดยอดนายกเทศมนตรีแห่ง Curitiba บราซิล

ว่าแต่ Jaime Lerner เป็นใคร? แล้วเขาสุดยอดแค่ไหน ลองมาดูผลงานและประวัติของเขากันดูครับ

Jaime Lerner (17 ธันวาคม พ.ศ. 2480 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564) เป็นนักการเมืองชาวบราซิล เคยเป็นผู้ว่าการรัฐ Paraná มีชื่อเสียงในฐานะสถาปนิกและนักวางผังเมือง อีกทั้งยังเคยเป็นนายกเทศมนตรีเมือง Curitiba เมืองหลวงของรัฐ Paraná ถึง 3 สมัย (พ.ศ. 2514-2518, พ.ศ. 2522-2527 และ พ.ศ. 2533-2535)

ในปี พ.ศ. 2537 Jaime Lerner ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐ Paraná และได้รับเลือกอีกครั้งในปี พ.ศ. 2541 โดยอดีตนายกเทศมนตรีแห่ง Curitiba เมืองหลวงของรัฐ Paraná นั้น มีดีกรีเป็นนักวางผังเมืองและสถาปนิก ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก จากการช่วยออกแบบทางเดินในเมือง, ถนน และการขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่ของ Curitiba เช่น Rede Integrada de Transporte ในปี พ.ศ. 2508 เขาช่วยก่อตั้ง Instituto de Pesquisa e Planejamento Urbano de Curitiba หรือ IPPUC (สถาบันการวางผังเมืองและการวิจัยแห่ง Curitiba) และออกแบบแผนแม่บทของ Curitiba

ครั้งหนึ่งราว 50 ปีก่อน Curitiba เคยเป็นเมืองที่สิ้นหวังไม่ต่างจากเมืองอื่น ๆ ในโลกนี้ เพราะเต็มไปด้วยปัญหานานัปการ แต่ปัญหาต่าง ๆ กลับเปลี่ยนไป โดยปัจจุบัน Curitiba เป็นเมืองหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่ติดอันดับเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นเมืองสำหรับประชาชน ไม่ใช่สำหรับรถ และถูกจัดให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในอเมริกาใต้ ในการจัดอันดับเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้ง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา เหล่าเมืองที่ติดอันดับหนึ่งในสิบเกือบทั้งหมด มักอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น แคนาดา, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, เยอรมัน, เดนมาร์ก เป็นต้น แต่มีเมืองหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาติดอันดับอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ Curitiba ของบราซิล

สวนสาธารณะของเมือง Curitiba

Curitiba เป็นเมืองหลวงของรัฐ Paraná ตั้งอยู่ตอนใต้ของประเทศบราซิล สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2236 เป็นเมืองขนาดกลาง มีพื้นที่ 432 ตารางกิโลเมตร มีขนาดเศรษฐกิจเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศบราซิล ประชากร 1.9 ล้านคน และหากรวมพื้นที่เชื่อมต่อเขตมหานครมีประชากรถึง 3.3 ล้านคน

แกะเทศบาลแห่ง Curitiba

ในฐานะนายกเทศมนตรี Jaime Lerner ใช้วิธีในการแก้ปัญหานอกแบบเพื่อรับมือกับความท้าทายทางภูมิศาสตร์ของ Curitiba เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ Curitiba ล้อมรอบด้วยที่ราบน้ำท่วมถึง เมืองที่มั่งคั่งกว่าในสหรัฐอเมริกา เช่น New Orleans หรือ Sacramento ได้สร้างระบบเขื่อนในเขตที่ราบน้ำท่วมถึงที่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง แต่ในทางตรงกันข้าม Curitiba ได้ซื้อที่ดินในเขตที่ราบน้ำท่วมถึง และสร้างเป็นสวนสาธารณะ ปัจจุบันเมืองนี้ติดอันดับเมืองชั้นนำของโลกที่มีพื้นที่สวนสาธารณะต่อหัวสูง Curitiba เคยมีปัญหาเรื่องสถานะความเป็นเมืองของโลกที่สาม ขาดงบประมาณจนไม่สามารถซื้อรถแทรกเตอร์และน้ำมันเชื้อเพลิงเติมรถเพื่อตัดหญ้าในสวนสาธารณะที่มีอยู่ได้ แต่ได้รับการตอบสนองที่เป็นนวัตกรรมใหม่คือ "แกะเทศบาล" ที่ควบคุมดูแลพืชพันธุ์ในสวนสาธารณะ และขายขนแกะเป็นทุนสำหรับโครงการต่างๆ เพื่อเด็กและเยาวชน

เมื่อ Jaime Lerner เป็นนายกเทศมนตรี ในเขตเทศบาล Curitiba มีพื้นที่บางส่วนซึ่งไม่สามารถให้บริการในการจัดเก็บขยะของเสีย เพราะ “ถนน” นั้นแคบเกินไป แทนที่จะละเลยคนเหล่านี้หรือรื้อถอนสลัมที่มีอยู่ทิ้งไป Jaime Lerner ได้เริ่มโครงการในการแลกถุงเครื่องใช้ของชำและบัตรโดยสารสำหรับถุงใส่ขยะที่นำมาแลก สลัมจึงสะอาดขึ้นมาก ทำนองเดียวกัน Curitiba มีอ่าวในบริเวณใกล้เคียงเป็นพื้นที่ทิ้งขยะ ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการทำความสะอาด Jaime Lerner จึงเริ่มโครงการจ่ายเงินให้ชาวประมงสำหรับขยะที่พวกเขาเก็บมาได้ (ตามน้ำหนัก) ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถหาเงินได้ แม้จะอยู่นอกฤดูจับปลา และเป็นรายได้เสริม สามารถทำให้ Curitiba ประหยัดเงินในการจัดการขยะดังกล่าวได้มากมาย

Jaime Lerner ยังได้จัดตั้งโครงการด้านสังคมและการศึกษาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย เด็กในพื้นที่สามารถฝึกงานกับเจ้าหน้าที่ของเทศบาลได้หากไม่ต้องการไปโรงเรียน แม้ว่าวาระของเขาในฐานะนายกเทศมนตรีจะไม่ได้ปราศจากความขัดแย้ง แต่ Curitiba ก็ไม่มีกลุ่มนักเลงอันธพาลเช่นเมืองใหญ่อย่าง Rio de Janeiro

กระบวนการพัฒนา Curitiba ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งช่วงทศวรรษแห่งการพัฒนามีความก้าวหน้าตามลำดับดังนี้...

ทศวรรษแรก ยุคแห่งขยายตัวอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทาง ในปี พ.ศ. 2511 นายกเทศมนตรี Ivo Arzua สั่งการให้เตรียมเมือง Curitiba สำหรับการขยายตัวในอนาคต มีทีมสถาปนิก นักผังเมืองจากมหาวิทยาลัย Paraná นำโดย Jaime Lerner รับผิดชอบจัดทำแผนแม่บท Curitiba มีสาระสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ (1) ลดการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง (2) ลดการจราจรบริเวณใจกลางเมือง (3) อนุรักษ์พื้นที่ประวัติศาสตร์ และ (4) จัดระบบขนส่งมวลชนที่เข้าถึงง่ายและราคาถูก (BRT : Bus Rapid Transit) ใน 5 สายทางที่กระจายออกจากศูนย์กลางเมือง

ทศวรรษที่ 2 การปฏิบัติตามแผนแม่บท ในปี พ.ศ. 2514 Jaime Lerner ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี ได้สร้างนวัตกรรมในการพัฒนาเมืองโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และงบประมาณไม่มากนัก เขาตั้งหน่วยวางแผนและผังเมืองเพื่อจัดระบบและพัฒนาฟื้นฟูเมือง ผลงานสำคัญได้แก่ ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง เป็นถนนคนเดินสายแรกของบราซิล และเริ่มพัฒนาเขตอุตสาหกรรมบริเวณนอกเมือง

ทศวรรษที่ 3 ยุคสมัยแห่งสิ่งแวดล้อม Curitiba ได้จัดทำโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและโครงการทางสังคมจำนวนมากคุ้มครองพื้นที่สีเขียวจากการพัฒนา ขยายระบบขนส่งมวลชน BRT และจัดตั้งกลไกบริหารระดับภาคเพื่อกระจายอำนาจและการตัดสินใจสู่ท้องถิ่น

ทศวรรษที่ 4 การยอมรับในฐานะเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. 2533 Curitiba ได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมจากองค์การสิ่งแวดล้อมโลก และในปี พ.ศ. 2535 Curitiba เป็นสถานที่จัด World Cities Forum มีการสร้างสวนพฤกษศาสตร์แห่งใหม่และโรงโอเปร่าบริเวณเหมืองเก่า มีอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ตั้งในเขตอุตสาหกรรมของเมือง

ทศวรรษที่ 5 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจเมือง เพิ่มรถเมล์ชมเมืองในระบบ BRT เทศบาลเริ่มสร้างสวนเทคโนโลยีเพื่อดึงดูดธุรกิจสมัยใหม่ และลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ในปี 2553 Curitiba ได้รับรางวัล Globe Sustainable City Award ในฐานะเทศบาลที่มีความโดดเด่นในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน และได้รับยกย่องจาก นิตยสารรีดเดอร์ส์ไดเจสต์ ได้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในบราซิล

ย่านใจกลางเมือง Curitiba

ปัจจุบัน Curitiba เป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในฐานะต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่ดี และมีนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ก้าวหน้า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เทศบาล Curitiba ได้ริเริ่มระบบขนส่งมวลชนแบบ BRT เพิ่มสวนสาธารณะมากกว่า 24 แห่ง เพื่อสันทนาการและเป็นแก้มลิง และรองรับน้ำที่จะไหลบ่าท่วมในเมือง รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากรจาก 0.5 ตารางเมตรต่อคน เป็น 52 ตารางเมตรต่อคน

เปิดข้อเท็จจริง!! ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

จากคำขอของพี่นวลอนงค์ สุวรรณเรือง ซึ่งบอกมาว่า “อาจารย์คะ รบกวนเล่าที่มาของสนธิสัญญา อินโด-แปซิฟิก หน่อยได้มั้ยคะ ขอบคุณค่ะ” ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้เล่าถึงองค์การ SEATO ซึ่งเปรียบเสมือนองค์การ NATO แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (แต่แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย) จนยุบเลิกไปในที่สุด โดยเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องราวส่วนแรกของ ‘ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก’ ครับ

ฉะนั้นสำหรับบทความรอบนี้ จึงขอเล่าเรื่องราวส่วนที่สอง อันเป็นภาคจบด้วยข้อเท็จจริงของ ‘ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก’ ซึ่งได้ขอความอนุเคราะห์มาจาก ท่านหน่อย ‘ธานี แสงรัตน์’ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ท่านเป็นเพื่อนของรุ่นน้องที่สนิทสนมกัน และราว 30 ปีก่อนเคยไปเยี่ยมท่านที่ขณะเป็นนักศึกษาปริญญาโท University of Pittsburgh  

ถ้าพร้อมแล้ว ก็มาเริ่มกันเลยครับ...

ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 รถถังของเวียดนามเหนือสนธิกำลังกับเวียดกงชนประตูรั้วเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้

แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวข้อเท็จจริงของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่มาจากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเล่าถึงเหตุการณ์หลังจากความพ่ายแพ้ของทุกรัฐบาลในอินโดจีนที่สหรัฐฯ สนับสนุน และเหตุการณ์ต่อจากนั้นกระทั่งถึงยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกในยุคปัจจุบันกันก่อน 

ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อรถถังของเวียดนามเหนือสนธิกำลังกับเวียดกงชนประตูรั้วเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้อันเป็นการแสดงถึงชัยชนะต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ต้องถอนกำลังออกจากสามประเทศอินโดจีน อันได้แก่ ลาว, กัมพูชา และเวียดนามใต้ อย่างบอบช้ำ และชัยชนะดังกล่าวทำให้ทั้งสามประเทศสถาปนาตัวเองเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์

แต่หลังจากชัยชนะของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ที่เกิดขึ้นทั้งในสามประเทศไม่นาน ก็ดันเกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและกัมพูชาประชาธิปไตย โดยสงครามเริ่มขึ้นด้วยการปะทะตามพรมแดนทางบกและทางทะเลของเวียดนามและกัมพูชาระหว่าง พ.ศ. 2518 ถึง 2520 

ต่อมาในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เวียดนามเริ่มปฏิบัติการรุกรานกัมพูชาเต็มขั้นและยึดครองประเทศได้หลังล้มล้างรัฐบาลเขมรแดง โดยวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ทหารเวียดนาม 150,000 นาย บุกเข้ายึดครองกัมพูชาประชาธิปไตย และสามารถชนะกองทัพปฏิวัติกัมพูชาได้ในเวลาเพียงสองสัปดาห์

วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2522 มีการจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาที่นิยมเวียดนามในกรุงพนมเปญ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองกัมพูชาของเวียดนามยาวนานนานสิบปี แต่ระหว่างการยึดครองนั้นรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยของเขมรแดงยังคงได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติว่าเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมของกัมพูชา พร้อมทั้งมีการจัดตั้งกลุ่มต่อต้านติดอาวุธหลายกลุ่มขึ้นเพื่อสู้รบกับการยึดครองของเวียดนาม 

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แห่งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ซึ่งนิยมเวียดนาม ได้พยายามเจรจากับรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย เพื่อเริ่มการเจรจาสันติภาพ ภายใต้แรงกดดันทางการทูตและเศรษฐกิจอย่างหนักจากประชาคมนานาชาติ รัฐบาลเวียดนามจึงเริ่มนำการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจและต่างประเทศหลายอย่างมาใช้ และนำไปสู่การถอนตัวออกจากกัมพูชาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2532 

ในระหว่างการยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง อาทิ 17 กุมภาพันธ์ - 16 มีนาคม พ.ศ. 2522 จีนได้การโจมตีเวียดนามตามแนวชายแดนจีน-เวียดนาม และจีนสามารถยึดครองเมืองเกาบังได้ในวันที่ 2 มีนาคม และเมืองลาวเซินในวันที่ 4 มีนาคม จากนั้นมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงฮานอย แม้การส่งกำลังบำรุงไม่ดีพอ แต่อีกไม่กี่วันต่อมากองกำลังของจีน ก็สามารถเข้าสู่เวียดนามตอนเหนือและยึดเมืองต่างๆ ของเวียดนามได้หลายเมืองใกล้ชายแดน กระทั่ง วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2522 ประเทศจีนประกาศว่า ประตูสู่กรุงฮานอยได้ถูกเปิดออกแล้ว และสรุปว่า ภารกิจลงโทษลุล่วงแล้ว ก่อนถอนทหารทั้งหมดออกจากประเทศเวียดนาม โดยทั้งประเทศจีนและเวียดนามต่างอ้างชัยชนะในสงครามครั้งนี้

ในส่วนของประเทศไทยเอง ก็ได้รับผลกระทบจากการยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม โดยเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-เวียดนาม ด้วยกองกำลังทหารกัมพูชาส่วนใหญ่ที่ได้อพยพมาอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งติดกับชายแดนไทย โดยมีกลุ่มกัมพูชาติดอาวุธที่ต่อต้านการยึดครองของเวียดนามอยู่ 3 กลุ่ม คือ...

(1) กลุ่มกัมพูชาประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) หรือกลุ่มเขมรแดงของ พล พต และเขียว สัมพันธ์ มีสมาชิกประมาณ 40,000 นาย มีฐานที่ตั้งอยู่บริเวณพนมกระวันและบริเวณตะวันตกของจังหวัดพระตะบอง

(2) กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมร (Khmer People’s National Liberation Front - KPNLF) ภายใต้การนำของซอนซาน มีสมาชิกประมาณ 4,000 นาย 

และ (3) กลุ่มพรรคฟุนซินเปก (Front d"union national pour un Cambodge independant, pacifiaue et cooperatif - FUNCINPEC) ภายใต้การนำของสมเด็จนโรดม สีหนุ กลุ่มต่อต้านทั้งสามกลุ่มนี้มีฐานกองกำลังใกล้กับชายแดนไทยเพื่อง่ายต่อการหลบหนีเมื่อถูกกำลังเวียดนามบุกเข้าโจมตี กำลังกัมพูชาก็หลบหลีกเข้าสู่ดินแดนไทย ในการนี้เวียดนามเห็นว่าไทยยินยอมให้ชาวกัมพูชาฝ่ายต่อต้านใช้พื้นที่เป็นที่หลบหนีและคุ้มกันการโจมตีของกำลังเวียดนามและกำลังของเฮง สัมริน

หลายครั้งที่การโจมตีของกำลังเวียดนามต่อกลุ่มกัมพูชาติดอาวุธที่ต่อต้านการยึดครองของเวียดนามทั้ง 3 กลุ่ม มักมีการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ซึ่งขณะนั้นถือได้ว่ากองทัพไทยหากเปรียบเทียบกับกองทัพเวียดนามแล้ว ต้องบอกว่าว่าเทียบกันไม่ติด เนื่องจากกองกำลังทางทหารของฝ่ายไทยไม่เคยผ่านการรบมาก่อนหรือถ้าผ่านก็เป็นการรบแบบสมัยใหม่ ซึ่งมีแนวทางในปฏิบัติการรบแบบสหรัฐอเมริกา แตกต่างกับเวียดนาม

พิจารณาได้จากกองกำลังของเวียดนามซึ่งมีทักษะในการรบที่ดีกว่า และรู้วิธีการรบแบบกองโจร แถมทหารของเวียดนาม ก็ยังมีประสบการณ์รบจากสงครามเวียดนาม 

โดยขณะที่เวียดนามบุกกัมพูชานั้น กองกำลังทางทหารของเวียดนามมีจำนวน 875,000 นาย โดยที่ยังไม่รวมกำลังทหารของฝ่ายเฮง สัมริน ที่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน ภายใต้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจร และการรบแบบสมัยใหม่ 

ส่วนฝ่ายไทยนั้นมีประสบการณ์เพียงเรื่องการปราบปรามกองโจร และมีกำลังทหารหน่วยที่ผ่านสงครามในลาวและเวียดนาม แต่ก็ชำนาญการรบตามหลักนิยมของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งต้องอาศัยอำนาจการยิงที่เหนือกว่า จึงจะทำการรบได้ 

นอกจากนี้เวียดนามยังมีอาวุธของสหรัฐฯ ที่เหลือทิ้งไว้จากยุคสงครามเวียดนามอยู่มาก รวมทั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2521 - 2531 นี้ เวียดนามก็ได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อพัฒนากองทัพให้ทันสมัย และเพื่อการปราบปรามฝ่ายต่อต้านในกัมพูชา จึงกล่าวได้ว่า ไทยมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่าเวียดนามอยู่มาก 

ทั้งนี้ ข้อตกลงสันติภาพปารีส การเจรจาสันติภาพยังคงดำเนินต่อไป โดยการประชุมสันติภาพปารีสเกี่ยวกับกัมพูชาครั้งแรกจัดขึ้นใน พ.ศ. 2532 หลังจากการถอนทหารเวียดนาม ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ได้จัดการประชุมจาการ์ตาครั้งที่สาม และจัดตั้งสภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชา เพื่อรับรองอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ในเวลาเดียวกัน ฮุน เซนได้เปลี่ยนชื่อพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชามาเป็นพรรคประชาชนกัมพูชา

Laptop from Hell 'แฉ​ -​ เรื่องจริง หรือ​ ทฤษฎีสมคบคิด​'​ ด้านมืด​ 'วงศ์วาน'​ ของผู้นำแห่ง​ USA

Hunter และ ประธานาธิบดี Joe Biden ผู้เป็นบิดา

เรื่องราวเล่าลือของ Laptop from Hell นั้น มีการอ้างว่า เกิดจากการ Hunter Biden บุตรชายคนที่สองของประธานาธิบดี Joe Biden ที่ไม่ได้ไปรับคืน Laptop (MacBook Pro) ซึ่งได้ส่งไปซ่อมที่ร้านซ่อม Mac แห่งหนึ่งในมลรัฐ Delaware ในฤดูใบไม้ผลิของปี พ.ศ. 2562 เป็นเวลาเพียงหกวันก่อนที่ Joe Biden บิดาของเขาจะประกาศสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตามกฎหมายแล้ว Laptop เครื่องนี้จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของร้านซ่อม Mac ดังกล่าวในทันทีที่ปรากฏว่า ลูกค้าไม่จ่ายเงิน แต่เรื่องเล็ก ๆ นี้กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อ John Paul Mac Isaac เจ้าของร้านเปิดเครื่องดูข้อมูลภายในพบการโต้ตอบอีเมลจำนวนมากกว่า 26,000 ฉบับ รวมถึงภาพและคลิปโป๊ มันจึงกลายเป็นระเบิดเวลาในเงามืดระหว่างการรณรงค์หาเสียงของ Jo Biden

หนึ่งในภาพฉาวของ Hunter Biden ซึ่งอ้างว่า มาจาก Laptop เครื่องดังกล่าว

มีการกล่าวอ้างว่า มีการพบความลับสุดสกปรกปรากฏอยู่ใน Laptop ของ Hunter ซึ่งเกือบทำให้การรณรงค์หาเสียงในตำแหน่งประธานาธิบดีของบิดาของเขาพังพินาศ และกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการปกปิดข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นเรื่องราวที่ยังเปิดเผยเรื่องราวที่อยู่ภายใน Laptop และทำให้จีนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Biden โดยนักข่าว New York Post ซึ่งเป็นผู้ที่เปิดเผยเรื่องนี้ แต่การเปิดโปงถูกดำเนินการเซ็นเซอร์ซึ่งประสานกันโดย Big Tech ในการจัดตั้งสื่อและอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเพื่อระงับยับยั้งการรายงานข่าวของ New York Post ในการใช้อำนาจทางการเมืองสามสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2563 ข้อมูลต่าง ๆ นั้นประกอบด้วยเอกสารขององค์กร อีเมล ข้อความ รูปถ่าย และคลิปบันทึกเสียง ซึ่งเก็บไว้ร่วมทศวรรษใน Laptop เครื่องดังกล่าวปรากฏเป็นหลักฐานชั้นต้นว่า ประธานาธิบดี Joe Biden มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการของบุตรชายใน จีน ยูเครน และที่อื่น ๆ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม

นอกจากนั้นยังมีการระบุว่า มีคลิปโป๊ที่ไม่ธรรมดาเป็นคลิปแสดงการร่วมเพศกับหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าอายุไม่ถึง 20 ปี แล้วมีการคุย Sex Phone กับบุตรสาวของวุฒิสมาชิกคนหนึ่งโดยทั้งคู่อยู่ในสภาพเปลือย มีการกล่าวอ้างว่า เจ้าของร้านได้ส่งหลักฐานทั้งหมดให้หน่วยงานรัฐบาลคือ FBI และตำรวจของมลรัฐเดลาแวร์ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ และเป็นถิ่นที่อยู่ของตระกูล Biden แต่เมื่อส่งหลักฐานต่าง ๆ ไปแล้วในปี พ.ศ. 2562 แต่กลับไม่มีการตรวจสอบใดๆ เกิดขึ้น ทั้งยังมีการโยงไปถึงอดีตประธานาธิบดี Trump ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่อริกับ FBI ดังนั้นทุกคนจึงมองว่า FBI กำลังช่วยเหลือ Biden และลูกชายในการปกปิดความจริงอะไรบางอย่างอยู่

โดยที่เจ้าของร้านซ่อม Mac รายดังกล่าวเกรงว่า ตนเองและครอบครัวจะไม่ปลอดภัย เพราะส่งเรื่องนี้ไปให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อทำการสอบสวน จึงก๊อบปี้ไฟล์ทั้งหมดส่งให้กับ หนังสือพิมพ์ New York Post จึงเกิดการแฉครั้งใหญ่ขึ้น เพราะนอกจากจะเรื่องของภาพอนาจารเด็ก (Child pornography) แล้ว แต่ที่เสียหายมากที่สุดคือ การที่บุคคลในครอบครัวเข้ามาแทรกแซงการทำงานในการบริหารประเทศซึ่งถือว่า เป็นความผิดอย่างรุนแรง จนนักการเมืองที่เกี่ยวข้องไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อได้ ด้วยมีการอ้างว่า ปรากฏข้อความในอีเมล์ว่า เมื่อตอน Biden เยือนจีน ใครที่ต้องการจะเข้าพบ Biden ต้องจ่ายเงินให้ Hunter ก่อน โดย Hunter ตั้งบริษัทในจีนชื่อว่า Chino Hawk และทั้งคู่ก็ได้เงินมหาศาลจากการติดต่อทำการค้ากับจีน โดยมีอดีตหุ้นส่วนออกมาแฉว่า Biden และ Hunter บุตรชายได้ใช้บริษัทนี้ในการฟอกเงิน

เชื่อกันว่ามีการเซ็นเซอร์ข่าวฉาวดังกล่าวโดยกลุ่ม Big Tech ด้วยการจัดตั้งทีมงานรับมือกับสื่อโดยมีอดีตสมาชิกของหน่วยข่าวกรองเพื่อยับยั้งการรายงานข่าวของ New York Post 2-3 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2563

ทั้งยังมีการอ้างถึงการค้นพบว่า Hunter ใช้อำนาจในฐานะบุตรชายของรองประธานาธิบดี เข้าไปมีส่วนในธุรกิจในประเทศยูเครนมากมายมหาศาล อันเป็นที่มาของการที่อดีตประธานาธิบดี Trump ใช้ในการฟาดฟัน Biden ในเรื่องการคอร์รัปชันทั้งในการดำเนินนโยบายกับจีนและยูเครนมาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่ Biden ประกาศลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยอ้างว่า Biden ผู้ลูกเป็นกรรมการและที่ปรึกษาของบริษัทก๊าซในยูเครน แถมยังมีข่าวว่าในอีเมลที่หลุด ๆ นั้นได้เอ่ยถึงการแบ่งผลประโยชน์ให้ Big Boss ซึ่งก็น่าจะเป็น Biden ผู้พ่อ ในหนังสือฯ มีกล่าวถึงว่า Biden ผู้ลูกน่าจะได้รับผลตอบแทนจากคอร์รัปชันในยูเครน รวมถึงจากนักธุรกิจจีนมากกว่า 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

Miranda Devine คอลัมนิสต์ New York Post ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Laptop from Hell

Miranda Devine คอลัมนิสต์ New York Post และ Fox News ผู้ซึ่งติดตามเรื่องราวอื้อฉาวของ Hunter และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Laptop from Hell เธอยังทำงานให้กับสื่อออสเตรเลียในฐานะคอลัมนิสต์ของ Daily Telegraph และ Sky News เกิดใน เขตควีนส์ มลรัฐนิวยอร์ก เติบโตในกรุงโตเกียวและนครซิดนีย์ และเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในนครชิคาโก เป็นนักคณิตศาสตร์ปฏิรูปและคุณแม่ลูกสอง ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในนครนิวยอร์กกับสามี

ทฤษฎีสมคบคิด Biden-ยูเครน เป็นเรื่องราวอื้อฉาวที่ยังไม่มีการยืนยัน ซึ่งมีประเด็นอยู่ที่ข้อกล่าวหาเท็จว่า ในขณะที่ Joe Biden ยังเป็นรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เขามีส่วนร่วมในการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบุตรชาย Hunter Biden โดย Burisma บริษัทก๊าซของยูเครน ข่าวลือถูกแพร่กระจายในความพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของ Joe Biden ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2563 จากการวิเคราะห์ของชุมชนข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ระบุว่า มีการรับงานจากหน่วยข่าวกรองของรัสเซียเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่เรื่องราวที่ทำให้เข้าใจผิดหรือไม่มีมูลเกี่ยวกับ Biden "ต่อองค์กรสื่อของสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และบุคคลที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ รวมทั้งบุคคลบางส่วนที่ใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดี Trump และคณะบริหารของเขา โดย The New York Times รายงานเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 ว่า การสอบสวนทางอาญาของรัฐบาลกลางกำลังตรวจสอบบทบาทที่เป็นไปได้โดยเจ้าหน้าที่ยูเครนทั้งปัจจุบันและอดีต รวมทั้งระบุว่า Rudy Giuliani อดีตทนายความส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดี Trump ว่า อาจมีส่วนทำให้ผลการสอบสวนของรัฐบาลกลางแตกต่างกันไป เพื่อทำให้เกิดกระจายเรื่องของการกล่าวหาที่ไม่มีมูล (ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาสองครั้งหลัง มักมีข่าวว่า รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง)

Viktor Shokin อัยการยูเครนผู้ถูกกล่าวหามากมายหลายประเด็นจนรัฐสภายูเครนต้องปลดจากตำแหน่ง ด้วยแรงกดดันจาก รัฐบาลสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

และนักทฤษฎีสมคบคิดยังอ้างด้วยว่า รองประธานาธิบดี Biden ในขณะนั้นระงับการค้ำประกันเงินกู้เพื่อกดดันให้ยูเครนปลดอัยการเพื่อป้องกันการสอบสวนการทุจริตใน Burisma และเพื่อปกป้องบุตรชายของเขาด้วย ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ระงับความช่วยเหลือของรัฐบาลเพื่อกดดันให้ยูเครนถอดถอนอัยการ ตามนโยบายอย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมกับ สหภาพยุโรป ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เชื่อว่าอัยการรายดังกล่าวทุจริตและไร้ประสิทธิภาพ ทั้งยังมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนปรนจนเกินไปในขณะทำการสืบสวนสอบสวน Burisma และผู้มีอำนาจ ตลอดจนเจ้าของบริษัท มีคลิปวิดีโอเมื่อมกราคม พ.ศ. 2561 แสดงให้เห็นว่า Biden ได้รับเครดิตในการระงับการค้ำประกันเงินกู้เพื่อให้ยูเครนปลดอัยการรายดังกล่าว โดยทำหน้าที่นำนโยบายพรรคสองฝ่ายของสหรัฐอเมริกามาใช้แทนเหตุผลตามที่ทฤษฎีสมคบคิดกล่าวอ้าง

Rudy Giuliani อดีตทนายความส่วนตัว (ซ้าย) และ Steve Bannon อดีตหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ (ขวา) ของอดีตประธานาธิบดี Trump)

ตัวตนที่เลือนลาง!! หวนรำลึก SEATO องค์การ ‘เสือกระดาษ’ แห่งภูมิภาคอาเซียน

ตอนนี้หลายท่านอาจจะคุ้นหูกับคำว่า NATO ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization) องค์กรความร่วมมือทางการเมืองและการทหารของประเทศค่ายเสรีประชาธิปไตย 

เชื่อว่าหลายท่านอาจจะไม่คุ้นกับองค์การ SEATO หรือ Southeast Asia Treaty Organization องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.) ซึ่งมีสถานะเป็นองค์การความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็น ‘เสือกระดาษ’ ใช่ไหมครับ?

วันนี้เลยจะขอเล่าเรื่องราวขององค์การ SEATO ที่เปรียบเสมือนองค์การ NATO แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (แต่แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย) ด้วยมีคำขอจากพี่สาวท่านหนึ่งใน เพจ FB ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ซึ่งบอกมาว่า “อาจารย์คะ รบกวนเล่าที่มาของสนธิสัญญา อินโด-แปซิฟิก หน่อยได้มั้ยคะ ขอบคุณค่ะ”

จัดให้เลยครับ!! แต่ต้องขอเล่าเท้าความย้อนไปยุคหลังสงครามโลกที่สอง (ยุคสงครามเย็น) ซึ่งโลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจนคือ ขั้วสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และขั้วประชาธิปไตย (และเผด็จการ) โดยองค์การ SEATO ถือเรื่องราวเป็นส่วนแรกของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ตามรายละเอียดดังนี้...

องค์การ SEATO ซึ่งตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2497 มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงสงครามเย็น เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทรูแมน (Truman Doctrine) ในการสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในระดับทวิภาคีและส่วนร่วมในสนธิสัญญาป้องกันระดับภูมิภาค

สนธิสัญญาและข้อตกลงเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างพันธมิตรที่จะควบคุมอำนาจคอมมิวนิสต์ (ในกรณีของ SEATO คือคอมมิวนิสต์จีนหรือสาธารณรัฐประชาชนจีน) ซึ่งขยายแนวคิดในการป้องกันของกลุ่มประเทศที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรองประธานาธิบดี Richard Nixon ในขณะนั้นสนับสนุนให้มีองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมแห่งเอเชียตามแบบองค์การ NATO หลังจากกลับมาจากการเดินทางเยือนเอเชียปลายปี พ.ศ. 2496 จึงได้ใช้องค์การ NATO เป็นแบบอย่างในการจัดตั้งองค์การใหม่ โดยมีกองกำลังทหารของชาติสมาชิกซึ่งตั้งใจที่จะประสานการปฏิบัติร่วมกันในอันที่จะทำการป้องกันประเทศสมาชิกโดยรวม

การประชุมองค์การ SEATO ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

องค์การ SEATO เป็นองค์การที่ก่อตั้งขึ้นตามสนธิสัญญามะนิลาในช่วงสงครามเย็น โดยมีการลงนามเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ประกอบด้วยสมาชิก 8 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ปากีสถาน, ไทย (ปี พ.ศ. 2497 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ตัดสินใจลงนามในสนธิสัญญามะนิลา เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การ SEATO) และฟิลิปปินส์

ประชาชนคนไทยเข้าแถว-ถือป้ายต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี SEATO ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

ในภาคอารัมภบทของสัญญานี้ บรรดาประเทศสมาชิกต่างแสดงความปรารถนาที่จะประสานความพยายามของตนที่จะป้องกันร่วมกัน เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยเฉพาะข้อ 4 ของสนธิสัญญาเป็นข้อสำคัญที่สุด คือ แต่ละประเทศภาคีคู่สัญญาตกลงเห็นพ้องกันว่า หากดินแดนของประเทศใดถูกรุกรานจากการโจมตีด้วยกำลังอาวุธ ประเทศภาคีทั้งหมดที่เหลือจะถือว่าเป็นอันตรายร่วมกัน และจะปฏิบัติการเพื่อเผชิญหน้ากับอันตรายร่วมกัน หรือถ้าหากพื้นที่ภายในเขตครอบคลุมของสนธิสัญญาถูกคุกคามด้วยประการใดๆ ประเทศภาคีทั้งหมดจะปรึกษากันในทันที เพื่อตกลงในมาตรการเพื่อการป้องกันร่วมกัน 

กองพันทหารพลร่ม กองทัพบกไทย ขณะร่วมพิธีสวนสนามในการฝึกร่วมขององค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (องค์การ SEATO) ภายใต้รหัสการฝึก ‘Firm Link’ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ณ จังหวัดพระนคร ประเทศไทย โดยผู้บังคับกองพันในขณะนั้นคือ พันโท เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ (ยศสุดท้ายพลเอก)

อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วองค์การ SEATO ก็ประสบความล้มเหลวในการเข้าแทรกแซงความขัดแย้งในประเทศลาว และเวียดนาม เนื่องจากการตัดสินใจนั้นต้องการมติเอกฉันท์ แต่ฝรั่งเศสและฟิลิปปินส์กลับไม่เห็นด้วย

การประชุมคณะมนตรี SEATO ทั้งแปดประเทศ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

ในการประชุมคณะมนตรี SEATO ครั้งที่ 1 (23-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498) ที่ประชุมตัดสินเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ เพราะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีนายพจน์ สารสิน จากประเทศไทย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำอย่างเป็นทางการขององค์การ ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2507 (ปัจจุบันนี้บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์การ ที่ถนนศรีอยุธยา ได้กลายเป็นที่ตั้งของกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย) 

สาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในปี พ.ศ. 2514

อย่างไรก็ตาม เมื่อสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศแบบสุดขั้ว ด้วยการรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) การดำเนินงานแบบเดิมขององค์การ SEATO จึงไม่ได้ผล และถูกลดบทบาทและระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ จนถูกวิจารณ์ว่าเป็น ‘เสือกระดาษ’ กอปรกับภาคีหลายประเทศถอนตัว ในที่สุดรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ได้ตกลงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518 ให้ยุบเลิกองค์การ SEATO

น่าเสียดาย!! Ghost of Kyiv (ปีศาจแห่งเคียฟ) ‘เสืออากาศ’ ที่มีอยู่แค่ในโลก Social ของยูเครน

กลายเป็นอีกปรากฏการณ์แห่งโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อเรื่องราวของ Ghost of Kyiv ที่ถูกเผยแพร่เล่าลือกันในโลก Social Media ระหว่างที่ใครหลายคนกำลังติดตามข่าวสารการรบระหว่าง Russia กับ Ukraine 

Ghost of Kyiv เป็นฉายาของนักบินเครื่องบินขับไล่แบบ MiG-29 ของยูเครนผู้หนึ่ง ซึ่งสามารถยิงเครื่องบินรบของรัสเซียตกถึงหกลำภายในวันแรกของสงคราม และได้รับการขนานนามว่า Ghost of Kyiv เหตุเพราะ Ghost of Kyiv สามารถบรรลุความเป็น ‘เสืออากาศ’ ได้ภายในวันเดียว (*** คำว่า ‘เสืออากาศ (Flying Ace)’ หมายถึงนักบินรบที่สามารถยิงเครื่องบินรบของศัตรูตกตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไป)

เครื่องบินรบแบบ MiG-29 ของกองทัพอากาศยูเครน

ในวันแรกที่รัสเซียบุกยูเครน ข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยันนี้ ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอลงสื่อ Social Media กล่าวอ้างถึงเรื่องราวของนักบินรบ MiG-29 ชาวยูเครนผู้ลึกลับนายหนึ่ง ซึ่งสามารถสังหารเครื่องบินข้าศึก 6 ลำภายใน 30 ชั่วโมงแรกของสงคราม โดยเครื่องบินที่ถูกสอยร่วงนั้นเป็นเครื่องบินรบแบบ SU-35 จำนวน 2 ลำ, SU-25 จำนวน 2 ลำ, SU-27 จำนวน 1 ลำ และ MiG-29 อีกหนึ่งลำ และจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงส่งผลให้ประชาชนชาวยูเครนต่างพากันให้ฉายานักบินผู้นี้ว่า Ghost of Kyiv ที่เข้าโหมด ‘เสืออากาศภายในวันเดียว’ (Ace in a Day) คนแรกของศตวรรษที่ 21 เลยก็ว่าได้

ทว่า วิดีโอและภาพถ่ายส่วนใหญ่ที่แสดงให้เห็นการสู้รบในอากาศของเครื่องบินรบแบบ MiG-29 ของยูเครนที่แชร์บน Social Media กลับได้รับการพิสูจน์โดยผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและนักวิจัยว่า...เก่า - ล้าสมัย และในบางกรณีก็มีการนำ Footage จากวิดีโอเกมจำลองการบินยอดนิยมกลับมาใช้ใหม่ 

นอกจากนี้แล้วรายงานเครื่องบิน MiG-29 ของยูเครนที่สามารถยิงเครื่องบินรัสเซียหลายลำตกตั้งแต่เริ่มการบุกรุก ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากสื่อสากลใด ๆ อีกด้วย 

แต่ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็ไม่หลุดรอดและหยุดยั้งการเดินเครื่องโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อของรัฐบาล และนักการเมืองยูเครนไปได้ เพราะพวกเขายังพยายามเผยแพร่เรื่องราวของ ‘Ghost of Kyiv’ ทางโลกออนไลน์ ด้วยหวังว่าจะเป็นการเสริมสร้างและเพิ่มเติมขวัญกำลังใจให้ชาวยูเครนเกิดแรงฮึดในการป้องกันประเทศ 

อาทิ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 กระทรวงกลาโหมของยูเครน ก็ได้ปลุกกระแสข่าวลือด้วยการทวีตว่า Ghost of Kyiv อาจเป็นหนึ่งในอดีตนักบินนอกประจำการที่กลับมาสู้รบอีกครั้งหลังจากถูกรัสเซียรุกราน “นักบินทหารผู้มากประสบการณ์หลายสิบคน ยศตั้งแต่เรืออากาศเอกไปจนถึงนายพล ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกปลดเป็นกองหนุนกำลังกลับสู่กองทัพอากาศ” และ “ใครจะไปรู้ว่า บางทีหนึ่งในนั้นอาจเป็นนักบิน MiG-29 ซึ่งชาว Kyiv มักได้เห็นบ่อย ๆ !"

ฉะนั้น ปรากฏการณ์ Ghost of Kyiv จึงเหมือนเป็นการปรับภาพให้ผู้คนทั่วโลกและชาวยูเครนเห็นว่า ความจริงแล้วรัสเซียยังไม่ได้สร้างความเหนือชั้นกว่าในการครองอากาศได้เลย

โดยทางด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ก็ดูจะโหนกระแสเรื่องนี้อีกคำรบ โดยเขาได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนหน้านี้ด้วยว่า “การป้องกันทางอากาศของยูเครนยังคงใช้งานได้” และบนอากาศยัง “มีการสู้รบกันอย่างมีพลวัตสูงมากอยู่ (กองทัพอากาศยูเครนยังรับมือกับรัสเซียได้อยู่)” 

ยิ่งไปกว่านั้น การขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากทั้งรัฐบาลรัสเซียและยูเครนเกี่ยวกับจำนวนตัวเลขความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตาย ก็ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความลึกลับให้แก่ Ghost of Kyiv ได้ดียิ่งขึ้น โดยกระทรวงกลาโหมของยูเครนอ้างว่า กองกำลังของรัสเซียเกือบ 6,000 นายและเครื่องบิน 30 ลำถูกทำลายโดยกองกำลังของตนเมื่อเช้าวันพุธ ต่อมาในวันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมของรัสเซียอ้างว่า ทหาร 500 นายเสียชีวิต แต่ไม่ได้เปิดเผยว่า มีเครื่องบินถูกทำลายหรือสูญหาย ซึ่งทำให้ The Ghost of Kyiv กลายเป็นขวัญและกำลังใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ชาวยูเครนที่ต่างเต็มใจจับอาวุธเข้าต่อต้านกองทัพรัสเซีย

Chechen VS Chechen เปิดสมรภูมิรบ Ukraine แต่นักรบ Chechen ต้องมารบราฆ่าฟันกันเอง

สำหรับวันนี้อยากชวนทุกท่านไปรู้จักเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสโลกอย่างสงคราม ‘รัสเซีย-ยูเครน’ กัน 

ธงของสาธารณรัฐเชเชนในปัจจุบัน

เรื่องของชาว Chechen ซึ่งเป็นประชากรของสาธารณรัฐเชเชน (Chechen Republic) หรือ เชชเนีย (Chechnya) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของประเทศรัสเซีย 

เชชเนีย ตั้งอยู่ในเขตคอเคซัสเหนือ อันเป็นส่วนใต้สุดของยุโรปตะวันออก และอยู่ในรัศมี 100 กิโลเมตรจากทะเลแคสเปียน มีเมืองหลวงคือ กรุงกรอซนีย์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2553 ระบุว่า มีประชากรชาวเชชเนียราว 1,268,989 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ โดยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย บริเวณเทือกเขาคอเคซัส มีอาณาเขตติดต่อกับจอร์เจีย 

ธงของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตัวเองเชเชน-อินกุช (Chechen-Ingush ASSR)

ภายหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายใน พ.ศ. 2534 ขบวนการชาตินิยมกลุ่มมุสลิมหัวใหม่ในรัสเซียต้องการที่จะผนวกดินแดน 4 สาธารณรัฐคือ สาธารณรัฐอิงกูเชเตีย, คาร์บาดีโน-บัลคาเรีย, ดาเกสถาน และนอร์ทออสซีเชีย เข้าด้วยกัน เรียกว่า "สหพันธรัฐอิสลามคาลีฟัด (Islamic Caliphate)" ภายใต้การสนับสนุนจากประเทศในตะวันออกกลาง และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตัวเองเชเชน-อินกุช (Chechen-Ingush ASSR) แบ่งออกเป็นสองสาธารณรัฐ คือ สาธารณรัฐอินกูเชเตียและสาธารณรัฐเชเชน 

ธงของสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน

สาธารณรัฐเชเชนได้รับการประกาศเป็นสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน ซึ่งต้องการเป็นเอกราช หลังสงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งกับรัสเซีย เชชเนียได้รับเอกราชโดยพฤตินัยเป็นสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน ระบอบการควบคุมจากส่วนกลางของรัสเซียได้รับการฟื้นฟูระหว่างสงครามเชเชนครั้งที่สอง ปัจจุบันยังมีการสู้รบประปรายไปในเขตภูเขาและทางใต้ของเชชเนีย

นายพลโซคคาร์ ดูดาเยฟ (ประธานาธิบดีเชชเนียคนแรก ผู้ซึ่งประกาศให้สาธารณรัฐเชชเนียเป็นเอกราช)

ปัญหาของเชชเนียเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2535 เมื่อนายพลโซคคาร์ ดูดาเยฟ ประธานาธิบดีเชชเนีย ประกาศให้สาธารณรัฐเป็นเอกราช แต่รัสเซียยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ดินแดนในปกครองเป็นอิสระ ด้วยเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัสเซียอีกด้วย จึงได้มีการส่งทหารจำนวน 40,000 นาย เข้าไปยังเชชเนีย เพื่อปราบปรามการแบ่งแยกดินแดน ทำให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อเป็นเวลาเกือบ 2 ปี (พ.ศ. 2537-2539) แต่ได้สิ้นสุดลง เมื่อรัสเซียตกลงให้สิทธิปกครองตนเองชั่วคราวแก่กลุ่มกบฏ และยอมถอนทหารออกจากเชชเนียทั้งหมด และสนับสนุนให้ อัสลาน มาสคาดอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเชชเนียในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 สืบแทนประธานาธิบดีดูคาเยฟที่เสียชีวิตไปในช่วงสงคราม 

อัสลาน มาสคาดอฟ อดีตประธานาธิบดีเชชเนีย ผู้ซึ่งถูกหน่วย FSB สังหาร

ต่อมาอำนาจของประธานาธิบดีมาสคาดอฟได้ลดลงเป็นลำดับ เนื่องจากอดีตหัวหน้ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ซึ่งกระจายอยู่ตามดินแดนส่วนต่างๆ ของเชชเนีย เริ่มตั้งตนขึ้นมามีอำนาจอย่างเป็นเอกเทศ และจากการที่ประธานาธิบดีมาสคาดอฟ ได้ดำเนินนโยบายแยกตัวเป็นเอกราชจากรัสเซียในภายหลัง ทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องการจับกุมตัวประธานาธิบดีมาสคาดอฟ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ขณะที่สุดท้ายประธานาธิบดีมาสคาดอฟ เสียชีวิตด้วยฝีมือของหน่วย FSB ขณะเข้าทำการจับกุมเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2548

นายพลชามิล บาซาเยฟ (อดีตหัวหน้ากลุ่มกบฏเชชเนีย)

อย่างไรก็ตาม สงครามเชชเนียครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2542) ก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อนายพลชามิล บาซาเยฟ หัวหน้ากลุ่มกบฏเชชเนีย ซึ่งมีอำนาจมากที่สุด นำกำลังเข้ายึดสาธารณรัฐดาเกสถานทางตะวันออกของเชชเนีย พร้อมประกาศจะปลดปล่อยดินแดนทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัสออกจากรัสเซีย และเปลี่ยนให้เป็นรัฐอิสลามทั้งหมด ทำให้รัสเซียต้องส่งทหารเข้าโจมตีที่ตั้งของนายพลบาซาเยฟในเชชเนียตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยสามารถยึดพื้นที่ไว้ได้ทั้งหมด รวมทั้งกรุงกรอซนีย์เมืองหลวงของเชชเนีย เหลือแต่เพียงบริเวณเทือกเขาตามแนวชายแดนเท่านั้น ที่มักเกิดการสู้รบกับกลุ่มกบฏในลักษณะการซุ่มโจมตี และต่อมา อัคมัด คาดีรอฟ ซึ่งย้ายข้างมาสนับสนุนรัสเซียได้ขึ้นเป็นผู้นำเชชเนีย และถูกลอบสังหารเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 และปัจจุบัน รัมซาม คาดีรอฟ บุตรชายของ อัคมัด คาดีรอฟ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐเชเชน ภายใต้สหพันธรัฐรัสเซียซึ่งมี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นผู้นำ

ใครเจ๋งกว่า? เปรียบเทียบแสนยานุภาพทาง ‘ทหาร’ ระหว่าง ‘Russia VS Ukraine’

ขณะที่เขียนบทความนี้ (วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้ลงนามรับรองสถานะความเป็นรัฐเอกราชในพื้นที่โดเนตสค์-ลูฮันสก์ ในภูมิภาคดอนบาสของ Ukraine พร้อมส่งกองกำลังทหารเพื่อ “รักษาสันติภาพ” เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว อันเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ฝักใฝ่รัสเซียเคลื่อนไหวอยู่ โดยรัสเซียได้ฉีกสนธิสัญญากรุงมิสก์ (Minsk Protocol) เพื่อยุติสงครามชายแดนระหว่าง Russia กับ Ukraine การส่งทหารเข้าไปในดินแดนของยูเครนครั้งใหม่นี้เป็นการเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย ยูเครน และชาติตะวันตก โดยเฉพาะ NATO ให้มากยิ่งขึ้น

ยูเครนเคยเป็นรัฐภายใต้สหภาพโซเวียตตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และประกาศเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2534 หลังจากนั้นก็มีการปะทะตามแนวชายแดนระหว่าง Russia กับ Ukraine จนกระทั่งสามารถเจรจาสงบศึกด้วยการทำสนธิสัญญากรุงมิสก์ (เมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2557) ในการแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ความยาวเกือบหนึ่งชั่วโมง ประธานาธิบดีปูติน ผู้นำรัสเซียได้กล่าวถึงเหตุผลในการส่งกองกำลังทหารเข้าในพื้นที่โดเนตสค์-ลูฮันสก์ ของยูเครนไว้หลายประเด็นได้แก่

(1) เพื่อรับรองภูมิภาคดอนบาส (สาธารณรัฐโดเนตสค์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์)

(2) ยูเครนไม่ทำตามข้อตกลงที่เคยให้ไว้ในปี พ.ศ. 2537 ว่าจะไม่เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรตะวันตก

(3) การป้องกันภัยคุกคามจากโลกตะวันตกต่อรัสเซีย 

เมื่อดูแสนยานุภาพของทั้งสองชาติเปรียบเทียบกันในมิติต่าง ๆ พอจะสรุปได้ดังนี้
>> Russia vs Ukraine (อัตราส่วน)
ประชากร : 145,478,097 vs 41,167,336 คน (ราว 3.53 : 1)
GDP : US$ 4,328,000,000,000 vs 622,000,000,000 (ราว 6.95 : 1)
งบประมาณกลาโหม : US$ 61,000,000,000 vs 6,000,000,000 (ราว 10.16 : 1)
กำลังทหารประจำการ : 1,014,000 vs 255,000 นาย (3.97 : 1)
กำลังสำรอง : 2,000,000 vs 250,000 นาย (8 : 1)
ประชากรในวัยพร้อมรบ : 3,014,000 vs 1,155,000 คน (ราว 2.6 : 1)

>> กองกำลังทางบก
ทหาร : 280,000 vs 125,600 นาย (2.22 : 1)
รถถัง : 13,367 vs 2,119 คัน (6.30 : 1)
ปืนใหญ่ (ลากจูง+อัตตาจร) : 5,934 vs 2,040 ระบบ (2.9 : 1)
ยานรบหุ้มเกราะ : 27,100 vs 11,435 คัน (2.36 : 1)

>> กองกำลังทางเรือ
ทหาร : 150,000 vs 15,000 นาย (10 : 1)
เรือผิวน้ำ : 74 vs 2+13 (ขนาดเล็ก) = 15 ลำ (4.93 : 1)
เรือดำน้ำ : 51 vs 0 (51 : 0)

ความลับไม่มีในโลก!! ‘Xkeyscore’ ระบบคอมพิวเตอร์ลับ เจาะโลกอินเทอร์เน็ต 

XKeyscore (XKEYSCORE หรือ XKS) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ลับที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) ใช้เพื่อค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ซึ่งรวบรวมแบบ Real Time โดย NSA ได้แบ่งปันข้อมูลจาก XKeyscore กับหน่วยงานข่าวกรองอื่น ๆ รวมถึง Signals Directorate ออสเตรเลีย / Communications Security Establishment แคนาดา / Government Communications Security Bureau นิวซีแลนด์ / Government Communications Headquarters (GCHQ) สหราชอาณาจักร  / Defense Intelligence Headquarters ญี่ปุ่น และ Bundesnachrichtendienst เยอรมนี

Edward Snowden

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 Edward Snowden อดีตลูกจ้างของ NSA และ CIA เปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดประสงค์ของโปรแกรมและการใช้ XKeyscore โดย NSA ในหนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Herald และ O Globo ว่า... 

XKeyscore เป็นโปรแกรมระบบที่มีความซับซ้อน และมีผู้ร่วมเขียนโปรแกรมหลายคน มีการตีความความสามารถที่แท้จริงของ XKeyscore ที่แตกต่างกัน ซึ่ง Edward Snowden และ Glenn Greenwald (The Guardian) อธิบายว่า XKeyscore เป็นระบบที่ช่วยให้สามารถสอดส่องผู้ใดก็ได้ในโลกโดยแทบไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่ NSA ได้กล่าวปฏิเสธว่า การใช้งานของระบบ XKeyscore นั้นถูกจำกัด

ตามรายงานของ The Washington Post โดย Marc Ambinder นักข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า XKeyscore เป็นระบบการดึงข้อมูลของ NSA ซึ่งประกอบด้วยชุดอินเทอร์เฟซผู้ใช้ ฐานข้อมูลแบ็กเอนด์ เซิร์ฟเวอร์ และซอฟต์แวร์ที่เลือกข้อมูลบางประเภท และข้อมูล Meta ที่ NSA ได้ทำการรวบรวมด้วยวิธีอื่น ๆ

26 มกราคม พ.ศ. 2557 Edward Snowden ให้สัมภาษณ์กับ Norddeutscher Rundfunk (NDR) ทีวีเยอรมันว่า "Xkeyscore” เป็นเครื่องมือค้นหาส่วนหน้า "ซึ่ง” สามารถอ่าน E-mail ของใครก็ได้ในโลก ทุกคนที่มีที่อยู่ E-mail ในเว็บไซต์ใด ๆ สามารถดูปริมาณการใช้ข้อมูลไปและกลับจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ แล็ปท็อปเครื่องใดก็ตามที่กำลังติดตาม สามารถติดตามในขณะที่เครื่องเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งทั่วโลก เป็นจุดรวมที่ครบวงจรสำหรับการเข้าถึงข้อมูลของ NSA ซึ่งสามารถแท็กบุคคลใดก็ได้ 

การทำงานของ Xkeyscore สมมติว่า ต้องการติดตามเป้าหมายที่ทำงานในองค์กรใหญ่ของเยอรมัน และต้องการเข้าถึงเครือข่ายนั้น Xkeyscore สามารถติดตามชื่อผู้ใช้เป้าหมายบนเว็บไซต์ในฟอรัมที่ใดที่หนึ่ง สามารถติดตามชื่อจริงของเป้าหมาย สามารถติดตามและเชื่อมโยงกับเพื่อนของเป้าหมาย และสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ลายนิ้วมือ” ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของเป้าหมายที่มีกิจกรรมบนเครือข่ายโดยเฉพาะ นั่นหมายความว่า ทุกที่ที่เป้าหมายไปในโลก ทุกที่ที่เป้าหมายพยายามจะซ่อนตัวตนในโลกออนไลน์ 

Glenn Greenwald จาก The Guardian ระบุว่า นักวิเคราะห์ NSA ระดับปฏิบัติการสามารถที่จะเรียก "ดู E-mail ใด ๆ ก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะโทรศัพท์ เรียกดูประวัติ เอกสาร Microsoft Word และทำทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหัวหน้างานในส่วนของนักวิเคราะห์" เขาเสริมว่า ฐานข้อมูลของการสื่อสารที่รวบรวมได้ของ NSA ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถฟัง "การโทรหรืออ่าน E-mail ของทุกอย่างที่ NSA เก็บไว้หรือดูประวัติการเรียกดูหรือคำค้นหาของ Google ที่คุณป้อนและยังแจ้งเตือนพวกเขาต่อไป กิจกรรมที่ผู้คนเชื่อมต่อกับที่อยู่ E-mail นั้นหรือที่อยู่ IP นั้นในอนาคต"

แถลงการณ์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 NSA กล่าวว่า "XKeyscore ใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรวบรวมข่าวกรองสัญญาณต่างประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายของ NSA" เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับ "เป้าหมายข่าวกรองต่างประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดตามที่ผู้นำของเราต้องการข้อมูลที่จำเป็นในการปกป้องประเทศและผลประโยชน์ของประเทศ... เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ช่วยให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ เพื่อปกป้องประเทศ และเพื่อปกป้องกองกำลังของสหรัฐฯ และกองกำลังของชาติพันธมิตรในต่างประเทศ" 

ในแง่ของการเข้าถึง แถลงการณ์ของ NSA ระบุว่าไม่มี "การเข้าถึงข้อมูลการรวบรวมของ NSA ของนักวิเคราะห์ที่ไม่ได้ตรวจสอบ การเข้าถึง XKeyscore รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์ทั้งหมดของ NSA นั้นจำกัดเฉพาะบุคลากรที่ต้องการเข้าถึงสำหรับงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น" และมี "กลไกการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามที่เข้มงวดที่สร้างขึ้นในหลายระดับ คุณลักษณะหนึ่งคือ ความสามารถของระบบในการจำกัดสิ่งที่นักวิเคราะห์สามารถทำได้ด้วยเครื่องมือ โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของการรวบรวมและความรับผิดชอบที่กำหนดไว้ของนักวิเคราะห์แต่ละคน" 

XKeyscore เป็น "ส่วนหนึ่งของซอฟต์แวร์ Linux ที่มักใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ Red Hat มันใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์ Apache และจัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมไว้ในฐานข้อมูล MySQL" XKeyscore ถือเป็นโปรแกรม "แฝง" โดยจะรับแต่ไม่ส่งสิ่งใดบนเครือข่ายที่เป็นเป้าหมาย แต่สามารถจุดระบบอื่น ๆ ซึ่งทำการโจมตีแบบ "แอ็กทีฟ" ผ่าน Tailored Access Operations ตัวอย่างเช่น ตระกูลโปรแกรม QUANTUM รวมถึง QUANTUMINSERT, QUANTUMHAND, QUANTUMTHEORY, QUANTUMBOT และ QUANTUMCOPPER และ Turbulence เหล่านี้ดำเนินการใน "สถานที่ซึ่งได้รับการป้องกัน" ซึ่งรวมถึงฐานทัพอากาศ Ramstein ในเยอรมนี ฐานทัพอากาศ Yokota ในญี่ปุ่น และสถานที่ทางทหารและที่ไม่ใช่ทางทหารอีกจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา Trafficthief ซึ่งเป็นโปรแกรมหลักของ Turbulence สามารถแจ้งเตือนนักวิเคราะห์ NSA เมื่อเป้าหมายของพวกเขามีการสื่อสารกัน และเรียกใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์อื่น ๆ ดังนั้นข้อมูลที่เลือกจึง "ได้รับการส่ง" จากที่เก็บข้อมูล XKeyscore ในเครื่องไปยัง "ที่เก็บขององค์กร" ของ NSA สำหรับการจัดเก็บระยะยาว

แหล่งข้อมูลของ XKeyscore ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 700 เซิร์ฟเวอร์ในไซต์ประมาณ 150 แห่งที่ NSA รวบรวมข้อมูล เช่น "กองทัพสหรัฐและพันธมิตร รวมถึงสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ" ในหลายประเทศทั่วโลก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้มี 4 ฐานปฏิบัติการในออสเตรเลียและอีกหนึ่งแห่งในนิวซีแลนด์ ตามเอกสารจากเว็บไซต์ภายในของ GCHQ ซึ่งเปิดเผยโดยนิตยสารเยอรมัน Der Spiegel ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 ระบบ Xkeyscore มีสามแบบ ได้แก่

แบบดั้งเดิม XKeyscore เวอร์ชันเริ่มต้นจะดึงข้อมูลจากสัญญาณข้อมูลอัตราต่ำ หลังจากที่ประมวลผลโดยระบบ WEALTHYCLUSTER เวอร์ชันดั้งเดิมนี้ไม่ได้ถูกใช้โดย NSA เท่านั้น แต่ยังถูกใช้ที่ Site อีกหลายแห่งของ GCHQ ด้วย

แบบที่ 2 XKeyscore เวอร์ชันนี้ใช้สำหรับอัตราข้อมูลที่สูงกว่า ข้อมูลจะได้รับการประมวลผลครั้งแรกโดยระบบ TURMOIL ซึ่งส่ง 5% ของแพ็กเก็ตข้อมูลอินเทอร์เน็ตไปยัง XKeyscore GCHQ ใช้เวอร์ชันนี้สำหรับคอลเลกชันภายใต้โปรแกรม MUSCULAR เท่านั้น

แบบเจาะลึก เวอร์ชันล่าสุดนี้สามารถประมวลผลการรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่อัตราข้อมูล 10 กิกกะบิตต่อวินาที ข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับวัตถุประสงค์ด้านข่าวกรองจะถูกเลือกและส่งต่อโดยใช้ "ภาษาสำหรับการเลือก GENESIS" GCHQ ยังดำเนินการ XKeyscore เวอร์ชัน Deep Dive จำนวนหนึ่งที่ตำแหน่งสามแห่งภายใต้ชื่อรหัส TEMPORA

รายงานปี พ.ศ. 2554 หน่วย NSA ใน Dagger Complex (ใกล้กับ Griesheim ในเยอรมนี) กล่าวว่า XKeyscore ทำให้การกำหนดเป้าหมายการเฝ้าระวังง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อนหน้านี้ การวิเคราะห์มักเข้าถึงข้อมูลที่ NSA ไม่สนใจ XKeyscore ช่วยให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่หัวข้อที่ตั้งใจไว้ ในขณะที่ละเลยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง XKeyscore ยังได้รับการพิสูจน์ว่าโดดเด่นในการติดตามกลุ่มเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนิรนามในเยอรมนี เนื่องจากช่วยให้ค้นหารูปแบบต่าง ๆ ได้ แทนที่จะค้นหาเฉพาะระดับบุคคล โดยนักวิเคราะห์สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อใดที่เป้าหมายจะค้นคว้าหัวข้อใหม่หรือพัฒนาพฤติกรรมใหม่

‘Gaston Glock’ วิศวกรอัจฉริยะ!! ผู้ออกแบบและสร้างอาวุธ ‘ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK’

ปัจจุบันอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อ GLOCK มีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดปืนพกพลเรือน และเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาใช้ถึง 65% ของอาวุธปืนพก

ความสำเร็จที่ไม่คาดฝันมาก่อนของ GLOCK นั้นเกิดขึ้นได้จากการเป็นบริษัทผู้ผลิตปืนพกคุณภาพเยี่ยมราคาประหยัดออกมาแข่งกับบริษัทที่มีชื่อเสียงอาทิ Smith & Wesson และ Beretta ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดปืนพกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จเชิงกลยุทธ์เกิดจากการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการทำการตลาด การโฆษณา และการส่งเสริมการขายไปยังกลุ่มตลาดหลัก ๆ

GLOCK GmbH ตั้งอยู่ใน Deutsch-Wagram ออสเตรีย และไม่ได้เข้าสู่ตลาดอาวุธปืนจนกระทั่งปี 1980 แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ผู้ก่อตั้ง Gaston Glock วิศวกรที่มีประสบการณ์ในการผลิตเรซินสังเคราะห์ขั้นสูง

ช่วงต้นปี 1980 Gaston Glock ได้ไปเยือนสำนักงานใหญ่ของกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) เพื่อเสนอขายอุปกรณ์ทางทหารที่เขาผลิต อาทิ เข็มขัดสำหรับยึดสัมภาระที่ผลิตจาก polymer พลั่ว ลูกระเบิดมือฝึก และเครื่องมือแบบ Multifunction

ขณะที่รอการประชุม Glock ได้ยินการสนทนาของนายทหารระดับสูงสองนาย จึงแอบฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งหารือกันเกี่ยวกับข้อกำหนดอย่างเป็นทางการเพื่อเสนอข้อเสนอ (RFP) ให้กับบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืน 5 รายในโครงการผลิตปืนพกแทนที่ ปืนพก Walther P38 ที่ล้าสมัยแล้ว

สองพันเอกโอดครวญถึงความคืบหน้าของคำขอและปืนพกซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาราว 4-5 ปี จำเป็นต้องผ่านคุณสมบัติบังคับ 17 ประการ เพื่อให้เป็นไปตาม RFP ของ AMD ซึ่งกำหนดให้ปืนพกต้องแม่นยำ น้ำหนักเบา และทนทาน พร้อมซองกระสุนซึ่งจุกระสุนได้มาก (ลูกดก) และใช้กระสุนปืนพกตามมาตรฐาน NATO (9x19 มม.)

การสนทนาของนายทหารทั้งสองยังทำให้ Glock ทราบว่า เมื่อได้รับอาวุธปืนพกแล้วตามกำหนดเวลาแล้ว AMD จะต้องประเมินความคาดหวังของ AMD ให้ได้ถึง 70% ของคุณสมบัติที่จำเป็นเหล่านี้ ข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านี้ทำให้วิศวกรนักออกแบบอาวุธปืนฝันร้าย บริษัทผู้ผลิตปืนยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำหนด ตามกระบวนการผลิตเริ่มต้นจากโครงปืนด้วยเครื่องมือที่มีอยู่เดิมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับรายละเอียดตามข้อกำหนดเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำมานานหลายทศวรรษแล้ว ปืนพกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแนวคิดเดิม ๆ ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ 45-60 ชิ้น Glock จึงได้แนะนำตัวกับนายทหารทั้งสอง และเสนอว่า เขาต้องการได้รับการพิจารณาในการผลิตอาวุธปืนพกสำหรับ AMD ด้วย 

และหลังจากอธิบายธุรกิจและทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับเรซินแล้ว ไม่นานก็ถูกปฏิเสธอย่างเหยียดหยามแบบออสเตรีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถแสดงออกกับ Glock ด้วยความชาญฉลาด Glock ซึ่งได้ลงทะเบียนในรายชื่อผู้ประมูลของ AMD สถานะของเขาจึงอยู่ในฐานะผู้จัดหาสินค้าในปัจจุบัน ทำให้ได้รับข้อมูลจำเพาะและข้อกำหนดการปฏิบัติตามกระบวนการเสนอราคาและกำหนดเวลา จากนั้น Glock ก็ทำงานทั้งวันทั้งคืนต่อมาอีก 2 ปี

Glock ได้ซื้อปืนพกทุกแบบในตลาด และทำการถอดประกอบเข้า-ออกทั้งหมด ด้วยการที่ไม่รู้ถึงกระบวนการผลิตอาวุธปืนจึงกลายเป็นข้อดี เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ Glock จึง “ไม่มีข้อปัญหาในการพัฒนาวิธีคิดเกี่ยวกับการผลิตอาวุธปืน” ซึ่ง Glock ได้บอกในภายหลังว่า เพื่อเสริมความไม่มีประสบการณ์เขาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านอาวุธปืนที่เก่งมาก 2 คน และมี 'กลุ่มสนใจ' อีกหลายกลุ่มเพื่อช่วยออกแบบและสร้างอาวุธปืน

จากการที่ Glock มีประสบการณ์ในการพัฒนา polymer สูงมาก และมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอย่างมากด้วย และเมื่อผสานทักษะเหล่านั้นเข้ากับการออกแบบอาวุธปืนพกปืนที่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว 34 ชิ้นบรรจุกระสุน 17 นัด และมีน้ำหนักน้อยกว่าอาวุธปืนพกแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ได้รับการออกแบบที่ดีกว่า ผลิตได้แม่นยำกว่า และถูกกว่าด้วยการออกแบบที่ไม่น่าจะสำเร็จ แต่ก็คุ้มกับการลองอาวุธปืนพกที่มีความซับซ้อน แต่มีราคาเพียงประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ ที่จะอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ใช้โครงปืนเป็น polymer สไลด์ (ลำเลื่อน) ผลิตด้วยเหล็กจากเบ้าพิมพ์มีความแม่นยำสูง และการชุบเคลือบผิวด้วยความร้อนที่จดสิทธิบัตรเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการสึกหรอและการเกิดสนิม ไม่มีอะไรที่เหมือนและพิสูจน์แล้วว่า เชื่อถือได้ ทนทาน และแม่นยำ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK 17 ได้รวมคุณสมบัติที่จำเป็นทั้งหมดตาม RFP ของ AMD ทั้ง 17 ประการไว้ และเข้าร่วมในการทดสอบของกองทัพออสเตรียเพื่อจัดหาอาวุธปืนพกในปี 1982 แน่นอนที่สุด GLOCK 17 ชนะการแข่งขัน

อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK เอาชนะอาวุธปืนที่ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตรายสำคัญอีก 5 ราย เมื่อกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) ได้ทำสัญญาสั่งซื้อปืนไฮบริดจ์เหล็กกล้าคาร์บอนกับ polymer จำนวน 25,000 กระบอกจาก GLOCK และกลายเป็นผู้นำในการผลิตอาวุธปืนเชิงพาณิชย์ เข้าสู่อันดับดีเยี่ยมของบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนของโลก ปืนพก GLCK 17 ต่อมาถูกนำมาใช้โดยทหารและตำรวจออสเตรีย และถูกกำหนดเป็นปืนพกแบบ P80 โดยคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Smith & Wesson ซึ่งทำธุรกิจมาตั้งแต่ ปี 1850 พ่ายแพ้แบบหมดท่าเลยทีเดียว

GLOCK GmbH เป็นบริษัทเอกชน ดังนั้นกำไรจะไปยัง Gaston Glock เท่านั้น และจากการประมาณการ ตามเอกสารที่ยื่นโดย GLOCK ในคดีสิทธิบัตรเมื่อปี 1992 กำไรขั้นต้นเฉลี่ย ณ โรงงานคือ 68% องค์กรที่ทันสมัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมาก โดยไม่ต้องแบ่งกับใครเลย Gaston Glock ได้ก้าวเดินไปตามคมมีดนี้อย่างประสบความสำเร็จ และในตลาดสมัยใหม่ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างผูกขาดเป็นเอกเทศ ยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ GLOCK ทั้งหมดเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่เปิดตัวปืนพก GLOCK 17 ปัจจุบันปืนพกยี่ห้อ GLOCK วางจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

GLOCK GmbH มีบริษัท Holding ตั้งอยู่ใน Lichtenstein ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด เนื่องจากมีการเก็บภาษีนิติบุคคลแบบเฉพาะจาก บริษัท Holding ตั้งอยู่ในอาณาเขต Lichtenstein นั้น (1) คิดอัตราภาษีที่คงที่ 12.5% (2) ไม่มีภาษีกำไรจากการขาย และ (3) มีการลดหย่อนภาษีพิเศษในกรณีที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และ Gaston Glock มี Charles Ewert อัจฉริยะทางการเงินเป็นที่ปรึกษาของเขา

Charles Ewert ขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top