Monday, 9 June 2025
ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

การอพยพพี่น้องคนไทยจากซูดาน ยามศึกเรารบ...ยามสงบเราช่วยเหลือประชาชน ตอบคำถาม..ทหารมีไว้ทำไม!

เหตุการณ์ความไม่สงบในซูดาน จากปากของนักเรียนไทยซึ่งเพิ่งลงเครื่องบินลำเลียง C-130 ของกองทัพอากาศที่ปัตตานี ว่าสถานการณ์ที่ซูดาน เลวร้าย ชนิดที่โรงพยาบาลไม่พอรองรับผู้บาดเจ็บ และมีผู้เสียชีวิตตามท้องถนนให้เห็นโดยทั่วไป


สำหรับคนไทยในซูดานมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศไปรับจากที่พักขึ้นรถบัสเพื่อไปลงเรือเดินทางไปยังเมืองเจดดาห์ ซาอุดิอาระเบีย เพื่อขึ้นเครื่องบินที่รัฐบาลไทยส่งมารับรอบแรก 73 คน ต้องเดินทางและรอ 2 วัน จึงได้ขึ้นเครื่องบินของกองทัพอากาศไทยกลับบ้าน


เรื่องที่เหนือความคาดหมายคือ บรรดาประเทศใหญ่ ๆ ที่มีสถานทูตตั้งอยู่ในซูดานในเบื้องต้นได้ทำการอพยพเฉพาะเจ้าหน้าที่สถานทูตและครอบครัวออกมาหมด ก่อนประกาศปิดสถานทูต แต่ยังไม่ได้อพยพพลเมืองของตัวเองออกมา เพียงแต่บอกว่า ให้ระวังตัว และอย่าออกมานอกบ้าน (สหรัฐฯเริ่มทำการอพยพพลเมืองที่อยู่ในซูดานเมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน) แต่ไทยซึ่งไม่มีสถานทูตตั้งอยู่ในซูดาน ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการอพยพคนไทยออกจากซูดาน ตอนนี้คนไทยอพยพออกจากกรุงคาร์ทูมซึ่งเป็นจุดที่มีการสู้รบรุนแรงที่สุดออกมาได้ คนไทยและนักศึกษาไทยทุกคนช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ พยายามหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภารกิจประสบผลสำเร็จ จึงต้องขอแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและพี่น้องคนไทยเหล่านั้นด้วย


วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พลอากาศเอก อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางมายังท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง เพื่อต้อนรับคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การสู้รบในสาธารณรัฐซูดาน ที่เดินทางกลับมายังประเทศไทยด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศ เป็นชุดแรก จำนวน 78 คน แบ่งออกเป็นผู้ชาย 38 คน และผู้หญิง 40 คน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ


เมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง แล้ว คนไทยทั้ง 78 คน ได้รับบริการตรวจสุขภาพ โดยกรมควบคุมโรค และกรมสุขภาพจิต, การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจเอกสารการเดินทาง โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, การตรวจสอบสิทธิ์และให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ โดยกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น

ย้อนประวัติโหด 2 คู่หูนักปล้น ในเขต North Hollywood สู่การยิงปะทะกับตำรวจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

สวัสดีนักอ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมหยิบยกเรื่องราวการยิงปะทะกันระหว่างคนร้ายและตำรวจสหรัฐฯ มาเล่าสู่กันฟังครับ หลายๆ ท่านคงคุ้นชินกับเรื่องการพกพาปืนของชาวสหรัฐฯ กันมาพอสมควร เนื่องด้วยมักจะมีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่าเกิดเหตุกราดยิงระทึกขวัญตามสถานที่ต่างๆ สุดท้ายมักจบลงด้วยคราบน้ำตาของผู้สูญเสีย ทว่า ปัญหากราดยิงของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขจนเป็นที่น่าพอใจของคนในประเทศ

เรื่องที่ผมยกมาเล่านี้ ต้องกล่าวย้อนกลับไปเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เกิดเหตุการปล้นในนครลอสแองเจลลิส และต่อมาก็กลายเป็นการยิงปะทะกันต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างตำรวจกับผู้ร้าย และถือเป็นการยิงปะทะที่ดุเดือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรมตำรวจแห่งนครลอสแองเจลลิส (LAPD)

เหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายสาดกระสุนใส่กันเกือบสองพันนัด โดยฝ่ายตำรวจยิงไปราว 650 นัด และคนร้ายยิงอีกราว 1,100 นัด มีผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นคนร้ายทั้งคู่ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 20 คน

นับเป็นเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจการยิงที่ด้อยกว่าคนร้าย

คนร้ายทั้งสองคือ Larry Eugene Phillips Jr. และ Ștefan Emilian ‘Emil’ Mătăsăreanu (เกิดที่ประเทศโรมาเนีย) พบกันครั้งแรกที่โรงยิม Gold เมืองเวนิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1989 พวกเขามีความสนใจร่วมกันในเรื่องการยกน้ำหนัก การเพาะกาย และอาวุธปืน

แต่ก่อนรู้จักกัน ‘Phillips’ เป็นผู้ที่พฤติกรรมเป็นคนร้ายเกี่ยวข้องกับการต้มตุ๋นด้านอสังหาริมทรัพย์ และการโจรกรรมในร้านค้า ส่วน Emil เป็นวิศวกรไฟฟ้าและทำธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จ

20 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 Phillips และ Emil ได้ปล้นรถหุ้มเกราะซึ่งจอดอยู่นอกธนาคาร First Bank ในเมือง Littleton มลรัฐโคโลราโด

วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1993 ทั้งสองถูกจับที่เมือง Glendale ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครลอสแองเจลิสในข้อหาขับรถเร็วเกินกำหนด จากการค้นรถ หลังจากที่ Phillips ยอมจำนนพร้อมอาวุธปืนที่พกติดตัว ตำรวจพบปืน AK-47 กึ่งอัตโนมัติ 2 กระบอก, ปืนพก 2 กระบอก, กระสุนปืนขนาด 7.62 × 39 มม. มากกว่า 1,600 นัด, กระสุนขนาด 9 × 19 มม. และ .45 ACP อีก 1,200 นัด, วิทยุรับฟังความถี่ตำรวจ, ระเบิดควัน, อุปกรณ์ประกอบระเบิด, เสื้อเกราะ, และป้ายทะเบียนของรัฐแคลิฟอร์เนีย 3 แผ่นที่เลขแตกต่างกัน

ในขั้นต้นทั้งสองถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิดที่จะก่อการปล้น ทั้งสองติดคุก 100 วัน และถูกคุมประพฤติ 3 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัวทั้งสองได้รับคืนทรัพย์สินส่วนใหญ่ ยกเว้นอาวุธปืนและวัตถุระเบิด

14 มิถุนายน ค.ศ. 1995 ทั้งคู่ได้ปล้นรถหุ้มเกราะของบริษัท Brinks ในเมือง Winnetka มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยได้สังหาร Herman Cook พนักงานรักษาความปลอดภัย และพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกคนถูกยิงบาดเจ็บสาหัส

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1996 ได้ปล้นธนาคารแห่งอเมริกา 2 สาขาในพื้นที่ San Fernando Valley ในนครลอสแองเจลิสได้เงินไปประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Phillips และ Emil ถูกขนานนามว่าเป็น ‘จอมโจรอุบัติการณ์สูง (High Incident Bandits)’ โดยเจ้าหน้าที่สอบสวน จากอาวุธที่ใช้ในการปล้น 3 ครั้งก่อนที่จะเกิดเหตุการยิงกันที่เขต North Hollywood

วันเกิดเหตุ Phillips และ Emil ขับรถ Chevrolet Celebrity สีขาว ปี ค.ศ.1987 มาถึงธนาคารแห่งอเมริกาสาขาแยกถนน Laurel Canyon และถนน Archwood ในเขต North Hollywood ราว 09.17 น. และได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แปดนาที เป็นการประมาณเวลาที่ตำรวจจะมาถึงหลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ

ในช่วงเวลานี้ Phillips ใช้วิทยุรับฟังความถี่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของตำรวจก่อนการปล้น ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปยังธนาคารก็ถูกพบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ LAPD 2 นาย Loren Farrell และ Martin Perello ที่กำลังขับรถสายตรวจเพื่อตรวจตราตามถนน Laurel Canyon เจ้าหน้าที่ Perello แจ้งวิทยุขอความช่วยเหลือ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุ 211 ที่ธนาคารแห่งอเมริกา ‘211’ คือรหัสแจ้งว่ามีการปล้น

ขณะที่ Phillips และ Emil เข้าไปในธนาคาร พวกเขาอาวุธประกอบด้วย ปืนไรเฟิล Norinco Type 56 S-1 Phillips และ Emil สั่งให้ลูกค้าออกจากโถงที่มี ATM ใกล้กับทางเข้าธนาคารและนอนลงกับพื้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของธนาคารเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นโจร 2 คนพร้อมอาวุธหนัก จึงวิทยุเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ที่ลานจอดรถให้เรียกตำรวจ แต่ไม่มีการตอบรับ

Phillips ตะโกนว่า "ชูมือขึ้น! ก่อนที่จะเปิดฉากยิงเพดานเพื่อข่มขู่พนักงานธนาคารและลูกค้าประมาณ 30 คน เพื่อไม่ให้ขัดขืน Phillips ยิงเพื่อเปิดประตูกันกระสุน (ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันกระสุนความเร็วต่ำเท่านั้น) และสามารถเข้าถึงเคาเตอร์และตู้นิรภัย ได้บังคับให้ John Villigrana ผู้ช่วยผู้จัดการ เปิดตู้นิรภัย Villigrana จึงจำเป็นต้องเปิดและเริ่มนำเงินใส่ถุงเงิน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับมอบของธนาคารห้องนิรภัยจึงมีเงินน้อยกว่า 750,000 ดอลลาร์ตามที่ Phillips และ Emil คาดเอาไว้ ทำให้ Phillips โกรธจนเกิดการโต้เถียงกับ Villigrana และเรียกให้ Villigrana หาเงินให้มากขึ้น และแสดงความหงุดหงิดที่ชัดเจนด้วยการยิงปืนเข้าไปในตู้เซฟของธนาคารถึง 75 นัด ทำลายเงินที่เหลืออยู่ 

Phillips พยายามที่จะเปิดตู้ ATM ของธนาคาร แต่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้จัดการสาขาไม่สามารถเข้าถึงเงิน ATM ได้อีก

ก่อนจะหนี Phillips และ Emil ได้ขังตัวประกันในห้องนิรภัยของธนาคาร ท้ายที่สุดทั้งสองก็เหลือเงินสด 303,305 ดอลลาร์ ซึ่งมีสีระเบิดสามซองซึ่งต่อมาก็เกิดระเบิดทำให้เกิดตำหนิบนเงินที่พึ่งปล้นมาทั้งหมด

ด้านนอกเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดแรกได้ยินเสียงปืนจากธนาคาร และวิทยุเรียกกำลังเสริม ก่อนที่จะหลบเข้าหลังรถสายตรวจเล็งปืนไปยังประตูธนาคาร ในขณะที่โจรยังคงอยู่ข้างใน ตำรวจสายตรวจและสายสืบมาถึง และเข้าประจำตำแหน่งกำบังที่เหมาะสมทั้งสี่มุมรอบ ๆ ธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาประมาณ 9:24 น. Phillips เดินออกทางประตูทางเหนือ และพบกับตำรวจห่างราว 200 ฟุต (60 ม.) จึงเปิดฉากยิงเป็นเวลาหลายนาที ทำให้ตำรวจบาดเจ็บ 7 นาย และพลเรือนอีก 3 คน

นอกจากนี้ Phillips ยังยิงเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ตำรวจซึ่งบินตรวจการณ์ด้านบน จนต้องบินห่างออกมาในระยะปลอดภัย Phillips ถอยกลับเข้ามาข้างในสักพัก ก่อนโผล่ออกทางประตูด้านเหนือ ขณะที่ Emil เดินออกจากประตูทางทิศใต้

Phillips และ Emil เริ่มยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ โดยยิงไปยังรถสายตรวจที่จอดอยู่ตามถนน Laurel Canyon หน้าธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอาวุธปืนมาตรฐาน ได้แก่ ปืนพกแบบ Beretta 92F/FS ขนาด 9 มม. ปืนพกลูกโม่ S&W Model 15 ขนาด .38 และปืนลูกซอง Ithaca แบบโยนลำ (Pump action) Model 37 ขนาด 12 ทันทีที่เจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้กระสุนของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเจาะผ่านชุดเกราะที่ Phillips และ Emil สวมใส่ได้ ด้วยปืนพกของเจ้าหน้าที่ LAPD ส่วนใหญ่ไม่มีอานุภาพเพียงพอ และในระยะไกลมีความแม่นยำต่ำ มีเสียงตำรวจ LAPD เตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นว่า "อย่าหยุดยานพาหนะหลบหนี เพราะพวกเขามีอาวุธปืนอัตโนมัติ ไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้" 

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังถูกตรึงไว้ด้วยห่ากระสุนจาก Phillips และ Emil ทำให้ยากต่อการพยายามยิงตรงศีรษะ (ซึ่งไม่มีเกราะป้องกัน) เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายจึงได้ไปขอยืมปืน AR-15 จำนวน 5 กระบอกจากร้านขายปืนใกล้เคียงเพื่อนำมาใช้ยิงต่อสู้กับ Phillips และ Emil

มีสองตำแหน่งที่อยู่ติดกับลานจอดรถด้านทิศเหนือที่เหมาะจะกำบังเจ้าหน้าที่ และสามารถยิง Phillips ด้วยปืนพก ขณะที่ Phillips กำลังยิง และหลบใกล้กับรถ 4 คันที่จอดอยู่ติดกับกำแพงด้านเหนือของธนาคาร และสถานที่แห่งหนึ่งที่ เจ้าหน้าที่ Zielenski กองตำรวจจราจร Valley ใช้เป็นที่กำบังคือ ร้านอาหาร Del Taco สาขา West wall ห่างจาก Phillips ราว 351 ฟุต เจ้าหน้าที่ Zielenski ยิง Phillips ไป 86 นัด และอาจยิงถูกอย่างน้อยหนึ่งนัด ตำแหน่งอื่นที่เป็นประโยชน์เจ้าหน้าที่ LAPD คือสนามหลังบ้านเลขที่ 6641 ถนน Agnes ผนังบล็อกช่วยกำบังเจ้าหน้าที่ที่ทำการยิงต่อสู้ และอาจยิงถูก Phillips ด้วยกระสุน 9 มม. จากปืนพกของนักสืบ Bancroft ซึ่งยิงไป 17 นัด และนักสืบ Harley ยิงไปอีกราว 15 ถึง 24 นัด ถูก Phillips ในระยะประมาณ 55 ฟุต

หลังจากที่ Emil เคลื่อนรถ Chevrolet Celebrity ออกจากพื้นที่จอดรถคนพิการในลานจอดรถทางตอนเหนือ Phillips อาจถูกยิงที่มือซ้าย (อ้างอิงจากภาพข่าวเฮลิคอปเตอร์ที่แสดงให้เห็นว่า เขามีอาการบาดเจ็บ) ในเวลาเดียวกันกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ LAPD ยิงถูกปืน H&K 91 ที่ Phillips ใช้ยิงจนขัดข้องและใช้งานไม่ได้ เจ้าหน้าที่ LAPD ยิง Phillips บาดเจ็บจากสองจุดกำบังและป้องกันไม่ให้ Phillips สามารถหลบหนีได้ง่าย ๆ

อีกหนึ่งข่าวดีของไทยในเวทีโลก! ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี 2026

 

อีกหนึ่งข่าวดีของไทยในเวทีโลก!
ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี ค.ศ. ๒๐๒๖

ผู้แทนของไทยประจำ IMF ได้แจ้งแก่เอกอัครราชทูตไทยประสหรัฐฯ ว่า ตามที่กลุ่ม Executive Board ได้เสนอต่อ Board of Governors ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี สภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2569 ระหว่าง 16-18 ตุลาคม พ.ศ.2569 ซึ่งไทยได้เสนอตัว โดยไทยสามารถเอาชนะกาตาร์ในการลงคะแนนรอบสุดท้ายได้ ซึ่งก่อนนี้มีประเทศเข้าสมัครเพื่อรับการคัดเลือกทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กรีซ ไทย และกาตาร์ โดยหลังจากนี้ Board of Governors จะพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะประกาศผลดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในช่วงการประชุม Spring Meeting เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

การประชุมดังกล่าว จะจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั่วโลก ทั้งผู้เข้าร่วมการประชุม และการประชุมอื่น ๆ คู่ขนานในช่วงเดียวกันรวมประมาณ 14,000 คน โดยผู้แทนกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคุณ Wempi Saputra มาจากอินโดนีเซียและคุณ Rosemary Lim จากสิงคโปร์ ได้ทำงานประสานกับผู้แทนไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ในการสนับสนุนให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี 2026 โดยร่วมกับสำนักงานที่ปรึกษาการคลังและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และจัดให้ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และ เจ้าหน้าที่ทีมเศรษฐกิจได้ร่วมทำงานในการขอรับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกทั้ง WB/IMF โดยเฉพาะ Board of Governors โดยจัดงานเลี้ยงรับรองได้จัดให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กล่าวสุนทรพจน์แนะนำความพร้อมของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ที่ไทยเคยจัดการประชุม IMF/WB มาแล้ว การเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างประเทศทุกระดับ ล่าสุดไทยยังเป็นประธานอาเซียนที่มีการผลักดันการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี RCEP ขยะทะเลและทะเลจีนใต้ รวมทั้งเป็นเจ้าภาพเอเปคเมื่อปีที่แล้ว ที่ผลักดันวางกรอบเวลาการเจรจาเขตการค้าเสรีเอเปค หรือ ‘FTAAP’ ความเชื่อมโยงในทุกมิติเพื่อเตรียมความพร้อมหลังโควิด และปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วย BCG นำเรื่องความยั่งยืนเข้าไปใส่ในวาระของเอเปคอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก

หาก ‘กกต’ จับมือ ‘iLaw’ ตั้งทีมสังเกตการณ์เลือกตั้ง 66 ทั้งที่รับเงินจากต่างชาติ หวังร้ายต่อประชาธิปไตยไทย

จากเมื่อวันที่ 23 เม.ย. พ.ศ. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ได้เข้าพบกับ ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 3 ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง มอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานกับ iLaw เกี่ยวกับการแจ้งเหตุการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เพื่อสัมภาษณ์และจัดทำคลิปเผยแพร่เกี่ยวกับการแจ้งเหตุ แจ้งข้อมูล เบาะแสการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เงินรางวัล และการคุ้มครองพยาน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กับ iLaw เพื่อให้การเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

การที่กกต.ร่วมมือกับ iLaw ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การจัดทำคลิปแจ้งเหตุ-เบาะแสทำผิดเลือกตั้งนั้น อาจจะด้วยเป็นเจตนาดีของกกต.เอง แต่กกต.ก็ควรจะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงหน่วยงานหรือองค์กรที่จะทำกิจกรรมร่วมกันด้วย เพราะภารกิจหลักที่สำคัญยิ่งของ กกต. คือ จัดการเลือกตั้งตามหลัก “สุจริต โปร่งใส เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย”

โดยตัวเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งเอง น่าจะทราบดีว่า iLaw เป็นกลุ่มองค์กรเอกชนที่รับเงินสนับสนุนจาก NED ของสหรัฐฯ (หรือเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็น CIA ภาคประชาชน) เพื่อมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศ ซึ่ง iLaw ก็ยอมรับเองว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึง พ.ศ. 2565 iLaw ได้รับการสนับสนุนงบประมาณหลักสำหรับการดำเนินงาน จากองค์กรต่าง ๆ ดังนี้

1. Open Society Foundation (OSF)

2. National Endowment for Democracy (NED)

3. Fund for Global Human Rights (FGHR)

4. American Jewish World Service (AJWS)

ที่มา : https://www.ilaw.or.th/about

ทั้ง ๆ ที่มีหน่วยงานทั้งเอกชนและรัฐของไทยเองตั้งมากมายออกมาช่วยกันตรวจสอบเลือกตั้งให้สุจริต แต่กกต.กลับไปร่วมมือกับองค์กร NGO ที่รับเงินต่างประเทศ ซึ่งกกต.อาจจะเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเสียเอง

โปรดอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก “ความจริงที่คนไทยต้องทำใจ!! หาก 'สหรัฐฯ' และ 'โซรอส' ยังไม่หยุด ความพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งของไทยจะไม่สูญสิ้น” https://thestatestimes.com/post/2023042648

ความจริงที่คนไทยต้องทำใจ!! หาก 'สหรัฐฯ' และ 'โซรอส' ยังไม่หยุด ความพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งของไทยจะไม่สูญสิ้น

ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของชาติตะวันตกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะมีขึ้น กลุ่มฝ่ายค้านที่พยายามเข้ามามีอำนาจทางการเมือง และอ้างสารพัดเหตุว่า กองทัพซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงพลังที่สุดของไทยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไทย โดยมี NGO นักเคลื่อนไหว พรรคการเมือง และนักการเมือง ได้รับเงินทุนสนับสนุนและการสนับสนุนทางการเมืองอย่างเต็มที่จาก วอชิงตัน ลอนดอน บรัสเซลส์ และองค์กรชาติตะวันตก รวมถึงมูลนิธิที่มีชื่อเสียงที่สุดของGeorge Soros นั่นก็คือ มูลนิธิ Open Society (OSF)

หนึ่งในผู้เคลื่อนไหวแถวหน้าดังกล่าว คือ Human Rights Watch (HRW) ซึ่งเคยเผยแพร่รายงานประณามการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 ว่าบ่อนทำลาย ‘สิทธิในการลงคะแนนเสียง’ เพื่อทำความเข้าใจกับโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก Soros ที่เผยแพร่โดย HRW ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงตกเป็นเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองตั้งแต่แรก

ทำไมต้องประเทศไทย? ราชอาณาจักรไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคทั้งในด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน และยังคงเป็นเพียงชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงชาติเดียวที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก

ในขณะที่นักวิเคราะห์บางคนยังคงยึดติดกับการเหมารวมในยุคสงครามเย็นเกี่ยวกับบทบาทของไทยในสงครามที่นำโดยสหรัฐฯ แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไทยได้หันเหออกจากวอชิงตันเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพของไทยได้เริ่มเปลี่ยนอาวุธของอเมริกาที่มีอายุมากแล้วด้วยอาวุธของจีน รัสเซีย และยุโรป ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่อาวุธขนาดเล็กไปจนถึงเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง Mi-17 ของรัสเซีย เครื่องบินรบของยุโรป รถถังหลักของจีน และเรือบรรทุกบุคลากรติดอาวุธ (APCs) และแม้แต่เรือและเรือดำน้ำที่สร้างโดยจีน ทั้งไทยยังได้เป็นหุ้นส่วนหลักในโครงการ One Belt, One Road (OBOR) ของจีนอีกด้วย และเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมทั้งสองประเทศกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

ในขณะที่ประเทศไทย โดยความจำเป็น ยังคงต้องรักษาความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกและพันธมิตรของชาติตะวันตกอย่างเช่น ญี่ปุ่น ซึ่งที่สุดแล้วไทยสามารถรักษาสมดุลของความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นอย่างดี แม้จะมีแรงกดดันมากมายมหาศาลให้ไทยต้องเลือกข้างฝ่ายก็ตามที ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้และอื่น ๆ อีกมากมาย สหรัฐฯ ได้มีส่วนร่วมในความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างน้อยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ที่ ทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐี และอดีตที่ปรึกษาของ Carlyle Group ก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง

ภายในปี พ.ศ. 2544 เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า การผงาดขึ้นของจีนในระดับภูมิภาคและระดับโลกนั้นใกล้เข้ามาทุกที และกระบวนการปิดล้อมและโดดเดี่ยวปักกิ่งได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ การให้ผู้รับมอบหมายอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่อำนาจทางการเมืองในไทยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแนวร่วมที่เป็นหนึ่งเดียวของพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่รายรอบจีน

Soros กับประเทศไทย จากบทความของ Jean Perier นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์เรื่อง ‘หลังจาก สูบเลือดไทยจนแห้งแล้ว Soros ก็เข้าสู่กระบวนการสังหาร’ นำเสนอเรื่องราวโดยละเอียดของวิกฤตการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี พ.ศ. 2540 และบทบาทในการเก็งกำไรทางการเงินของ Soros เริ่มจากขั้นแรก เร่งรัดกดดันด้วยกลยุทธทางการเงินต่าง ๆ แล้วจึงหาประโยชน์จากความเสียหายของไทย วิกฤตการณ์ดังกล่าวยังสร้างโอกาสในการโค่นล้มทางการเมืองของรัฐบาลไทยด้วยฝีมือของชาติตะวันตกอีกด้วย

การขึ้นสู่อำนาจของทักษิณหลังจากหายนะทางการเงินนั้นหมายถึงการสร้างประเทศไทยขึ้นใหม่ตามการออกแบบของวอชิงตัน ทักษิณรวบรวมอำนาจทางการเมืองอย่างรวดเร็ว พยายามสร้างพรรคการเมืองพรรคเดียวภายใต้การควบคุมของเขาและผู้สนับสนุนชาติตะวันตก

นอกจากนี้ เขายังได้ดำเนินการในหลากหลายขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนแปลงไทยให้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐฯ รวมทั้งการส่งทหารไทยเข้าร่วมการรุกรานอิรักของสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2546 เชิญชวนให้ CIA ของสหรัฐฯ ใช้ดินแดนของไทยเป็นฐานปฏิบัติการ การแปรรูป ปตท. กลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซ อันเป็นรัฐวิสาหกิจของชาติ และพยายามที่จะผ่านข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-ไทย แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

นอกจากนี้ เขายังหลงระเริงไปกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างมากมาย ซึ่งในที่สุดทำให้มีเหตุผลในการโค่นเขาออกจากอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ในขณะที่ผู้สนับสนุนทักษิณ รวมถึงสื่อตะวันตก อ้างว่า ข้อกล่าวหาการคอร์รัปชันของเขา เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง จาก Wikileaks ซึ่งเปิดเผยว่า สถานทูตสหรัฐฯ ส่งข้อมูลกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่า มีการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีในวันเดียวกับที่เขาขายหุ้นบริษัทของเขาให้กับกลุ่มทุนของสิงคโปร์โดยปลอดภาษี

แม้ว่า สถานทูตสหรัฐฯ จะรับรู้ถึงการทุจริตของทักษิณ แต่ก็ยังคงสนับสนุนเขา และตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้กฎหมายการถือครองของชาวต่างชาติมีโอกาสที่จะเปิดเสรีมากขึ้น โดยอ้างว่า : “ข้อเท็จจริงที่ว่าข้อตกลงดังกล่าวมีโครงสร้างเพื่อให้ครอบคลุมข้อจำกัดของประเทศไทยในการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ทำให้เกิดคำถามร้อนแรงเกี่ยวกับบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของการเปิดเสรีจนถึงปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่หวังว่าจะก้าวไปข้างหน้าคือการถกเถียงทางการเมืองภายในประเทศเกี่ยวกับประเด็นนโยบาย เช่น การถือครองสินทรัพย์โทรคมนาคมของต่างชาติอาจทำให้คนไทยบางส่วนเลิกกลัวการเปิดเสรีตลาด และโดยการต่ออายุข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา”

ตั้งแต่นั้นมา เนื่องจากทักษิณถูกดำเนินคดี และถูกตัดสินว่า มีความผิดในคดีทุจริตและถูกตัดสินจำคุก 2 ปี จึงทำให้เขาต้องหลบหนีตั้งแต่นั้นมาในฐานะผู้หลบหนีที่ซ่อนตัวในต่างประเทศ ทักษิณได้พยายามกลับคืนสู่อำนาจผ่านระบอบการปกครองแบบตัวแทนต่าง ๆ ที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยโดยสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งน้องเขยของเขา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2551 ก่อนที่จะถูกศาลพิพากษาถอดถอน และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ซึ่งทำหน้าที่เป็น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 - 2557 จนกระทั่งมีการรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อโค่นเธอออกจากอำนาจเช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ

Soros และพรรคพวก ให้การสนับสนุนการกลับมาของทักษิณ เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้จากทักษิณในฐานะพรรคพวกของสหรัฐฯ และความพยายามอย่างกระตือรือร้นของเขาในช่วงปี พ.ศ. 2544 - 2549 ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่มีการบูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ จึงเห็นได้ชัดว่า เหตุใดสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป พยายามที่จะพาเขาและพรรคพวกกลับคืนสู่อำนาจ

อย่างไรก็ตาม มันได้กลายเป็นการต่อสู้ที่ยากเย็นแสนเข็ญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังสามารถโกงการเลือกตั้งผ่านการซื้อเสียงอย่างโจ่งแจ้งในต่างจังหวัด และการใช้การก่อการร้ายอย่างเป็นระบบเป็นประจำ ตัวทักษิณเองก็ผ่านความล้มเหลวทางการเมืองต่อเนื่อง และการถูกยึดทรัพย์สินโดยศาลไทย ขยับจากอันดับ 4 ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยตกลงมาอยู่อันดับที่ 14 การประท้วงต่อต้านทักษิณที่มีคนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาลในปี พ.ศ. 2557 ถือเป็นการต่อต้านทั่วประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อไม่ให้เขากลับคืนสู่อำนาจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีแนวโน้มนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่ถึงแม้เขาจะไม่สามารถกลับคืนสู่อำนาจได้ แต่ความสามารถของเขาในการสร้างความแตกแยก และความพยายามในการทำให้ประเทศไทยถอยหลัง รวมถึงการใช้ความรุนแรงมากขึ้น ก็เป็นการสนองตอบวัตถุประสงค์ของวอชิงตันและวอลล์สตรีทในการต่อต้านประเทศที่ไม่พึงประสงค์อย่างจีนได้

นับตั้งแต่ทักษิณถูกขับไล่ในปี พ.ศ. 2549 เขาและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กลุ่ม “สิทธิต่าง ๆ นักศึกษา  นักกิจกรรม และสื่อต่าง ๆ” ได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจาก วอชิงตัน ลอนดอน และบรัสเซลส์ ผ่านการสนับสนุนทางการเมืองและการล็อบบี้โดยตรง และผ่านสหรัฐฯ และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร (องค์กรพัฒนาเอกชน) ซึ่งเกือบทั้งหมดได้รับทุนบางส่วนจากมูลนิธิ Open Society ของ Soros ด้วย

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง (2) เหตุใด ‘คสช.’ ไม่ใช้ ม.44 จัดการ ปม ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่แม้ไม่ได้ดึงพลังงานมาใช้ แต่รัฐก็ต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้า

 

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผู้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ถูกโจมตีเรื่องค่าไฟฟ้าแพงเป็นอย่างหนัก โดยถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ในสภาวะอากาศร้อนขนาดนี้บ้านเรายังคงมีไฟฟ้าใช้อย่างไม่ขาดแคลน ด้วยเพราะมาตรการจัดการสำรองกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่งทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งประเด็นที่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวมากมายหลายคนมักจะหยิบยกขึ้นมาพูดคือ โรงงานไฟฟ้าสำหรับผลิตไฟฟ้าของกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้าบางโรงนั้นไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเลย แต่ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้ด้วย แน่นอนสถานการณ์ที่กระแสไฟฟ้าพอใช้โรงงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าสำรองจึงไม่ต้องเดินเครื่องทำงาน เพราะไม่มีความจำเป็น หากแต่กระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งานแล้วโรงงานเหล่านั้นถึงจะเดินเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า แต่โรงงานเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาต มีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าต้องจ่ายเอง ไม่ใช้เงินงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด คนที่พูดนั้นไม่ได้รับผิดชอบต้องการลงทุนมูลค่ามหาศาลเหล่านี้เลย แถมยังเจตนาจงใจที่จะไม่พูดถึงอีกด้วย 

เราท่านในฐานะเจ้าของสิทธิในการเลือกตั้งอันมีค่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนการใช้สิทธิกาบัตรลงคะแนนจึงต้องคิด ทบทวน และพิจารณาโดยใช้สติและปัญญาอย่างรอบคอบด้วยเหตุและผลที่ถูกต้องและแท้จริงประกอบ ผู้เขียนได้เคยเสนอบทความเรื่อง ‘การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ’ https://thestatestimes.com/post/2023042021 ซึ่งผู้อ่านสามารถใช้เพื่อประกอบการพินิจพิจารณาให้รอบด้านและถูกต้องได้ 

อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกันก็คือ แล้วทำไมรัฐบาลคสช. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จึงไม่นำ ม.44 มาใช้ในกรณีนี้ หากเราท่านได้ย้อนไปดูถึงการใช้ ม.44 ของรัฐบาลคสช. นั้น ส่วนใหญ่มาก ๆ จะใช้เป็นคำสั่งในทางปกครองเพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างรวดเร็วแทนที่กระบวนการปกติซึ่งมีความล่าช้า ด้วยกระบวนการปกติมีระบบระเบียนขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย การบริหารบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความถูกต้องโปร่งใส ลดการทุจริตโกงกิน แก้ปัญหาความล่าช้าในการแก้ปัญหาอันเป็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนให้รวดเร็วขึ้น ต่างจากการใช้กฎหมายพิเศษลักษณะนี้ในอดีต อาทิ ม.17 (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร และศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์) ม. 21 และ ม.27 (พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่) ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาสังคมและอาชญากรรม เช่น ใช้ประหารชีวิตผู้กระทำผิดคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ ต่อประชาชน ฯลฯ ซึ่งการใช้ ม.44 แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงดังที่ได้กล่าวมา ด้วยไม่มีใครที่บาดเจ็บล้มตายด้วย ม.44 ของรัฐบาลคสช.เลย

การใช้ ม.44 โดยรัฐบาลคสช.ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีน้อยเรื่องน้อยรายมากในกรณีที่มีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนแกประชาชนจริง ๆ อย่างเช่นกรณีการใช้ ม.44 ในการปิดเหมืองทองคำชาตรีที่ดำเนินกิจการโดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ด้วยเหตุผลว่าทางเหมืองทองคำชาตรีสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่าง ๆ หลายด้าน แต่ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2559 ได้ถูกเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่สัมปทานเหมืองล้วนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการสร้างปัญหามลพิษปัญหาสุขภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม มีการเคลื่อนไหวคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่และหยุดกิจการเหมือง จากปัญหาร้องเรียนจากชาวบ้านซึ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากมลพิษจากเหมือง ที่ให้เกิดปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารพิษปนเปื้อนที่มากับดิน น้ำ และอากาศ รวมถึงยังมีสภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากเสียงของอุตสาหกรรม และกลายเป็นข้อพิพาทต่อมาอีกหลายปี

ถ้าการทำรัฐประหารแล้วกลุ่มทุนผูกขาดประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแต่กลุ่ม SM ที่ผูกขาดแทบทุกธุรกิจ การที่รัฐบาลคสช.ไม่ได้ยกเลิกสัญญาการผลิตกระแสไฟฟ้าสำรอง โดยใช้ ม.44 ถือเป็นการใช้กฎหมายพิเศษอย่างถูกต้อง เหมะสม ไม่ลุแก่อำนาจ ด้วยการใช้กระบวนการทางศาลปกติ ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตีความมานานแล้วว่า สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนในลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถยกเลิกได้ และถ้าหากรัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 กับเอกชนในทางธุรกิจ จะทำให้นานาชาติไม่ยอมรับประเทศไทย และไม่มีบริษัทต่างชาติใดเข้ามาลงทุนเลย ด้วยประเทศล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเพียงแค่รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกการทำเหมืองทองชาตรี โดย บมจ.อัคครา ชั่วคราว เพื่อให้ปรับปรุงเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็มีสารพัดกลุ่มทั้งไทยและฝรั่งร้อง คัดค้าน ต่อต้าน กันจนระงม หรือ ถ้า รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกสัมปทานขุดน้ำมันในอ่าวไทย กับเชฟรอน จากสหรัฐอเมริกา จะเกิดอะไรขึ้น นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลคสช. ไม่นำ ม.44 มาบังคับใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

คะแนนเสียงของเราท่านจะมีค่ามากที่สุดในอีกประมาณ 20 วันเท่านั้น ทุกคะแนนเสียงจะสามารถกำหนดอนาคตและความเป็นไปของชาติบ้านเมืองได้ทั้งสิ้น ใช้คะแนนของท่านสร้างประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ด้วยการเลือกพรรคการเมืองและนักการที่ดีที่สุด ไม่ทุจริตโกงกิน ไม่สร้างปัญหา ให้กับชาติบ้านเมืองในอนาคต 

 

ขอสัญชาติ...ไม่ง่าย ส่อง15 ประเทศที่ให้สัญชาติแก่ต่างชาติยากที่สุด!! ด้วย ‘ขั้นตอน-เงื่อนไข-เวลา’ 3 ตัวแปรที่อาจทำให้ท้อใจ

 

            

เรื่องนี้ คนที่สนใจอยากจะอพยพไปอยู่ในบ้านอื่นเมืองอื่นคงสนใจ แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีมากมายหลายประเทศที่ยอมให้สัญชาติแก่ผู้คนที่อพยพมาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ก็มีรัฐบาลของหลายประเทศเช่นกันที่ชาวต่างชาติจะขอสัญชาติได้ยากยิ่ง หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างถาวรในประเทศนั้น ๆ ได้ ในบทความนี้มี 15 ประเทศที่ขอสัญชาติเพื่อเป็นพลเมืองได้ยากที่สุด
 

                

1. กาตาร์ (Qatar) เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติ กระบวนการนี้ยาวนานและมีความซับซ้อน และมีช่องทางน้อยมากที่จะสมัครเป็นพลเมืองได้ พลเมืองส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวชาวกาตาร์หรือได้รับสัญชาติผ่านการแต่งงานกับชาวกาตาร์ มิฉะนั้นโดยทั่วไปแล้ว สัญชาติจะให้เฉพาะผู้ที่รัฐบาลจ้างมาติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี หรือเป็นผู้ที่มีการลงทุนเป็นจำนวนมากในประเทศเท่านั้น

                   

2. นครรัฐวาติกัน (Vatican City) นครรัฐวาติกันเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก มีประชากรเพียง 800 กว่าคน และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติอีกด้วย มีเพียงสองวิธีในการเป็นพลเมืองของนครวาติกันคือ (1) เกิดที่นั่น หรือ (2) ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา หากคุณไม่ได้เกิดในนครรัฐวาติกัน 

ความหวังเดียวในการเป็นพลเมืองคือการได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา และนั่นค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะสมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงแต่งตั้งบุคคลเป็นพลเมืองสำหรับผู้ที่มีบทบาทเฉพาะภายในวาติกันเท่านั้น เช่น เป็นพระคาร์ดินัลที่อาศัยอยู่ในนครรัฐวาติกันหรือกรุงโรม หรือหากอาศัยอยู่ในนครวาติกันเพราะเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการของคริสตจักรคาทอลิก นักการทูต หรือสมาชิกของ Swiss Guard ดังนั้นจึงยากมาก ๆ ที่จะได้เป็นพลเมืองของนครรัฐวาติกัน
                    

3. ลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein) เป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุโรป โดยอาณาเขตซึ่งตั้งอยู่ระหว่างออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรเพียง 37,000 คน ข้อกำหนดการเป็นพลเมืองของประเทศนี้เป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดที่สุดในโลก ผู้สมัครจะต้องอาศัยอยู่ในลิกเตนสไตน์เป็นเวลาอย่างน้อย 30 ปี หรือหากแต่งงานกับพลเมืองลิกเตนสไตน์ และอาศัยอยู่ในประเทศลิกเตนสไตน์อยู่แล้ว ระยะเวลาก็จะสั้นลงเหลือ 5 ปีของการแต่งงาน และต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีความมั่นคงทางการเงิน และได้รวมเข้ากิจกรรมต่าง ๆ กับชุมชน แล้วยังต้องผ่านการทดสอบภาษาด้วย ด้วยข้อกำหนดเหล่านี้ จึงไม่แปลกใจเลยที่การได้รับสัญชาติลิกเตนสไตน์เป็นเรื่องยากมาก ๆ ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละปีมีเพียงประมาณ 20 คนเท่านั้นที่ได้รับสัญชาติด้วยการอนุมัติจากรัฐสภาของลิกเตนสไตน์

                  

4. ภูฏาน (Bhutan) เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติ ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลบนเทือกเขาหิมาลัย มีประชากรเพียง 700,000 คน และมีอัตราการแปลงสัญชาติที่ต่ำมาก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา มีชาวต่างชาติเพียงประมาณ 1,000 คนที่ได้รับสัญชาติภูฏาน ขั้นตอนการเป็นพลเมืองภูฏานนั้นใช้เวลานานและซับซ้อน ผู้ยื่นขอสัญชาติจะต้องอาศัยอยู่ในประเทศอย่างน้อยเป็นเวลา 20 ปี ไม่มีประวัติอาชญากรรม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงไม่มีประวัติการพูดหรือการกระทำการอันเป็นการต่อต้านพระมหากษัตริย์หรือประเทศมาก่อน มีความเชี่ยวชาญในภาษาซองคา และยังต้องผ่านการสอบอันเข้มงวดเพื่อทดสอบความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนาของภูฏาน ถึงกระนั้น ก็ไม่รับประกันการเป็นพลเมือง ด้วยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐบาลว่า จะให้สัญชาติแก่ผู้สมัครหรือไม่ เหตุที่การเป็นพลเมืองภูฏานเป็นเรื่องยากมาก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภูฏานต้องการรักษาวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ รัฐบาลยังกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจากผู้อพยพ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินเดีย และจีน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เห็นได้ชัดว่า การขอสัญชาติภูฏานไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย

                 
5. ซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia) ถือเป็นประเทศที่ขอ Permanent Residence (PR) หรือใบอนุญาตอยู่ถาวรยากที่สุดในโลก มีเหตุผลหลายประการ รวมถึงความจริงที่ว่า ซาอุดีอาระเบียไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนต้องเป็นมุสลิม นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงอายุขั้นต่ำ 21 ปีและข้อกำหนดในการพำนักในประเทศเป็นเวลาห้าปี

                    
6. คูเวต (Kuwait) เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากที่สุดในการขอสัญชาติ สาเหตุหลักเป็นเพราะคูเวตมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก ซึ่งพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น 

รัฐบาลมีการคัดเลือกอย่างมากกว่าจะอนุญาตให้ใครเข้ามาในประเทศ และพวกเขามีข้อกำหนดที่เข้มงวดซึ่งต้องปฏิบัติตามจึงจะได้รับสัญชาติ ในการได้รับการพิจารณาให้เป็นพลเมืองคูเวต ต้องได้รับใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่ก่อน นี่อาจเป็นกระบวนการที่ยากในตัวเอง เนื่องจากมีจำนวนใบอนุญาตที่จำกัดในแต่ละปี เมื่อได้รับใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่แล้ว ต้องอาศัยอยู่ในคูเวตเป็นเวลา 20 ปีหรือ 15 ปีสำหรับพลเมืองของประเทศอาหรับอื่น ๆ สามารถยื่นขอสัญชาติได้ แต่ต้องเป็นมุสลิมโดยกำเนิดหรือเปลี่ยนใจเลื่อมใส หากเปลี่ยนศาสนา ต้องผ่านการฝึกฝนด้านศาสนามาแล้วห้าปี และต้องพูดภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว และแม้ว่าจะมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ทั้งหมด แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับสัญชาติ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับรัฐบาลคูเวต และพวกเขาสามารถปฏิเสธใบสมัครขอสัญชาติไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
                    

7. สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและหมู่บ้านที่งดงาม รวมถึงนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด การเป็นพลเมืองในสวิตเซอร์แลนด์เป็นเรื่องยากกว่าจะได้มา และกระบวนการอาจใช้เวลายาวนานและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง มีข้อกำหนดหลายประการที่ต้องปฏิบัติตามจึงจะมีสิทธิ์ได้รับสัญชาติสวิส ประการแรก ผู้สมัครขอสัญชาติจะต้องอาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ปี โดยมีใบอนุญาตทำงานที่เรียกว่าใบอนุญาต C ซึ่งอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานในประเทศได้ ประการที่สอง เขาต้องแสดงให้เห็นถึงการรวมเข้ากับสังคมสวิสผ่านความรู้ในภาษาประจำชาติและการมีส่วนร่วมในชุมชน ในที่สุดจะต้องผ่านการสอบพลเมืองซึ่งทดสอบความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสวิส แม้ว่าจะเป็นไปตามข้อกำหนดเหล่านี้ทั้งหมด ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับสัญชาติ เพราะที่สุดแล้วการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับหน่วยงานของรัฐที่ตรวจสอบแต่ละคำขอเป็นกรณีไป

                    
8. จีน (China) หากกำลังคิดว่าประเทศใดยากที่สุดในการขอสัญชาติ คำตอบคือประเทศจีน ในการเป็นพลเมืองจีน ผู้สมัครขอสัญชาติต้องมีเชื้อสายจีน ซึ่งหมายความว่า ต้องมีญาติพี่น้องที่มีสัญชาติจีนอย่างน้อยหนึ่งคน หากไม่มีเชื้อสายจีนแล้วจะไม่มีสิทธิ์ได้รับสัญชาติเลย แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการสำหรับกฎนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ สัญชาติจีนสามารถได้รับจากการแต่งงานกับพลเมืองจีน อย่างไรก็ตามการสมรสจะต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐบาลจีนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ นอกจากนี้ ทั้งคู่ต้องอาศัยอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลาอย่างน้อยสองปีก่อนที่จะสามารถยื่นขอสัญชาติได้ หากมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด สามารถเริ่มขั้นตอนการสมัครได้โดยส่งเอกสารที่จำเป็นไปยังสถานทูตหรือสถานกงสุลจีนที่ใกล้ที่สุด ขั้นตอนการสมัครอาจใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ (แนะนำให้ใช้บริการทนายความเพื่อช่วยในเรื่องเอกสาร)
                       

9. เกาหลีเหนือ (North Korea) เป็นอีกประเทศที่ยากที่สุดในการขอ Permanent Residence (PR) หรือใบอนุญาตอยู่ถาวร เหตุผลหลายประการรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเกาหลีเหนือไม่อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนต้องสละสัญชาติเดิมของตน นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้สมัคร ซึ่งรวมถึงอายุขั้นต่ำ 21 ปี ประวัติอาชญากรรมที่สะอาด และการศึกษาในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ผู้ขอสัญชาติเกาหลีเหนือยังต้องผ่านขั้นตอนการสมัครที่ใช้เวลานานและยุ่งยาก ซึ่งรวมถึงการสัมภาษณ์และการสอบที่ไม่ง่ายเลยอีกด้วย

                      

10. ญี่ปุ่น (Japan) ประเทศหมู่เกาะซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ขอสัญชาติได้ยากที่สุดประเทศหนึ่ง กระบวนการนี้ใช้เวลานานและลำบาก และต้องใช้ทั้งเวลาและเงินจำนวนมาก ในการเริ่มต้น ผู้สมัครที่คาดหวังจะต้องอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเป็นเวลาอย่างน้อยห้าปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ต้องมีวีซ่าทำงานที่ถูกต้องและไม่มีประวัติอาชญากรรม และยังต้องผ่านการทดสอบภาษาญี่ปุ่นที่เข้มงวดด้วย เมื่อคุณสมบัติครบตามข้อกำหนดเหล่านี้แล้ว จะต้องส่งใบสมัครโดยละเอียดไปยังกระทรวงยุติธรรม ใบสมัครประกอบด้วยลายนิ้วมือ รูปถ่าย และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ โดยอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะได้รับการตอบกลับจากกระทรวงว่า ใบสมัครได้รับการอนุมัติหรือปฏิเสธ และแม้ว่าผู้สมัครจะโชคดีพอที่จะได้รับสัญชาติญี่ปุ่น แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่มาพร้อมกับการขอสัญชาติ ตัวอย่างเช่น ชาวญี่ปุ่นไม่ได้รับอนุญาตให้ถือสองสัญชาติ โดยต้องสละสัญชาติเดิม และสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ

ประเด็น ‘ค่าไฟฟ้าแพงมหาโหด’ กลายเป็นข่าวใหญ่ของสื่อหลายสำนัก เป็นประเด็นหาเสียงของนักการเมืองและพรรคการเมือง และถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีของนักเคลื่อนไหว โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นคือจัดให้มีกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นประเด็นที่ใช้โจมตีว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรองกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก เป็นพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนพลังงาน กระทั่งมีคนบางพวกบางกลุ่มกล่าวหาว่า มีการสมรู้กันทุจริตฉ้อโกงประเทศชาติและฉ้อโกงประชาชนด้วยการกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรองมากจนล้นเกิน

ทำไมประเทศไทยจึงต้องจัดให้มีกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก? เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริการกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนย่อมต้องทราบดีว่าแต่ละปี แต่ละห้วงเวลา ประเทศไทยต้องใช้กระแสไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าใด จะต้องเตรียมกระแสไฟฟ้าปริมาณเท่าใด เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ของผู้บริโภคในทุกฤดูกาล เมื่อประเทศจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าและจำเป็นต้องมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้ให้เพียงพอต่อการใช้สอยโดยไม่ขัดสน ซึ่งปริมาณการสำรองที่พอเหมาะพอดีจะมีผลต่อประสิทธิภาพและสมรรถนะในการทำกำไรของการประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้สติปัญญาความสามารถและเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบจึงจะสามารถรักษาประโยชน์แห่งรัฐและองค์กร ตลอดจนประโยชน์ของประชาชนได้ 

เพราะหากการสำรองกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้แล้วก็จะเกิดผลกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะถ้ากระทบต่อการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็จะกลายความเสียหายมากมาย ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้จนมากเกินต่อความจำเป็น และเกินกว่าอัตรามาตรฐานปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ควรสำรอง ก็จะเกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน เพราะทุกจำนวนที่มีการสำรองกระแสไฟฟ้านั้นจะต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้จำหน่าย ไม่ว่าจะมีการใช้กระแสไฟฟ้านั้นหรือไม่ก็ตาม เพราะปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดย่อมต้องทราบดีอยู่แล้ว เพราะสถิติบันทึก จึงสามารถประมาณการความต้องการกระแสไฟฟ้าได้ 

‘การสำรองไฟฟ้า’ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ
1. กำลังผลิตสำรองของระบบผลิตไฟฟ้า (Standby Reserve) เป็นโรงไฟฟ้าสำรองตามแผนการผลิตไฟฟ้า โดยมาตรฐานสากลจะกำหนดไว้ราว 15 เปอร์เซ็นต์ ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเนื่องจากในการวางแผนการผลิตไฟฟ้า จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างรอบคอบ อาทิ ความต้องการไฟฟ้าที่อาจเพิ่มสูงกว่าการพยากรณ์ การหยุดซ่อมโรงไฟฟ้า การเสื่อมสภาพของโรงไฟฟ้า ความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง ข้อจำกัดของระบบส่งในแต่ละพื้นที่ และลักษณะทางเทคนิคของ โรงไฟฟ้าแต่ละประเภท

2. กำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Spinning Reserve) เป็นกำลังผลิตสำรองจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ หรือ สามารถ สั่งเพิ่มการจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ระบบมีความต้องการ ซึ่งตามมาตรฐานจะอยู่ที่ 800-1,600 เมกะวัตต์ หรือ อย่างน้อยมากกว่า กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด เพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้องที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดใหญ่ เช่น กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติก็สามารถสั่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทันที ป้องกันปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ ซึ่งอาจลุกลามจนเกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง (Blackout) ได้

อย่างไรก็ตาม ‘การสำรองไฟฟ้า’ ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นกับเงื่อนไขและฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานไฟฟ้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่าความต้องการค่อนข้างสูง โดย กฟผ. ได้ศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าของหลายประเทศเอาไว้ ดังนี้ (ข้อมูลของปี พ.ศ. 2563)

-สเปน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 100% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 80% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 180%

-อิตาลี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 81% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 55% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 136%

-โปรตุเกส มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 65% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 65% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 130%

-เดนมาร์ค มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 32% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 98% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 130%

-เยอรมนี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 13% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบอีก 98% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 111%

-เนเธอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 65% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 28% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 93%

-สวิสเซอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 81% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 11% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิต ที่มากกว่าความต้องการ 92%

-จีน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 68% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 23% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 91%

-ออสเตรเลีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 44% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 21% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 65%

-สวีเดน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 36% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 21% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 57%

-มาเลเซีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 47% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 4% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 51%

-ไทย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 22% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 17% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 39% 
(ที่มา : The Bangkok Insight)

เลือกตั้ง 66 ตัวกำหนดจุดยืนไทย ในขณะ 'จีน-สหรัฐฯ' ขับเคี่ยวกัน หากได้ผู้นำอ่อนประสบการณ์ อาจเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

                  

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรื่องที่สำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งที่คนไทยไม่ได้ใส่ใจ ด้วยคิดว่า เป็นเรื่องไกลตัวคือ “ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในเกมช้างชนกัน (ระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน) ในบริบทของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยมาก ๆ เพราะที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ตำแหน่งที่ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดีที่สุดในทวีปเอเชีย

                          

การเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลถึงผู้ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งต้องมีความรู้ ความสามารถ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และมีแนวคิดตลอดจนวิธีที่จะทำให้ประเทศชาติ บ้านเมือง รอดพ้นจากผลกระทบจากเกมช้างชนกันครั้งนี้ไปได้อย่างดีที่สุด กล่าวคือ ประเทศชาติ บ้านเมือง และคนไทยทั้งหมดทั้งมวลจะเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้อย่างน้อยที่สุด... เพราะการเจรจา ไม่สามารถใช้ที่ปรึกษาแทนได้ ต้องเป็นระดับ ผู้นำต่อผู้นำ…ซึ่งต้องเป็นผู้นำที่มีประสบการณ์ชีวิตสูง เพราะเดิมพันหนนี้สูงมากด้วยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเกิดความผิดพลาดจะร้ายแรงและรุนแรงมาก จนไม่อาจจะคาดคิดได้

                       

ในอดีตไม่กี่สิบปีก่อน ประเทศไทยเกือบจะเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเหมือนเช่นประเทศยูเครนในปัจจุบัน เพราะในช่วงสงครามเวียดนาม ไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบกับสหรัฐ ยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา ตาคลี อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ รวมทั้งที่ดอนเมือง เพื่อให้สหรัฐฯได้ขนระเบิดไปทิ้งที่เวียดนาม กัมพูชา และลาว จนทำให้ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก (โดยเครื่องบินของสหรัฐฯนำระเบิดมาทิ้งในดินแดนลาว ระหว่างปี ค.ศ. 1964-1973 กว่า 5.8 แสนเที่ยว หนักรวมกว่า 2 ล้านตัน)

                   

เมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้ในการทำสงครามเวียดนาม ต้องขนทหารสหรัฐฯ กลับ โดยทิ้งให้ประเทศไทยต้องปากกัดตีนถีบในการช่วยเหลือตัวเองเพื่อป้องกันประเทศ ในช่วงนั้นไทยเราไม่สามารถหนีภาพการเป็นสาวกประเทศที่สวามิภักดิ์สหรัฐฯ อย่างที่สุดไม่ได้ และเวียดนามก็ประกาศบุกไทยเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ไทยยอมให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในประเทศ

                 

เมื่อสหรัฐฯ ขนทหารออกจากประเทศไทยไป รัฐบาลไทยก็ต้องช่วยตัวเองในการป้องกันประเทศ แต่ก็ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอต่อการต้านกองทัพเวียดนาม (ซึ่งขณะนั้นถูกจัดให้มีความแข็งแกร่งอันดับที่ 4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยในยุคนั้นยังไม่ติด 20 อันดับแรกเลย) รัฐบาลไทยจึงร้องขอต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขอใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่สหรัฐขนกลับไม่หมด แต่คำตอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ คือ ไม่อนุญาตให้รัฐบาลไทย นำอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ไปใช้ในการป้องกันประเทศ พร้อมทั้งจัดการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตกค้างในไทยกลับประเทศจนหมด

ประชาธิปไตยของแมลงวัน มองการเมืองตาม ‘พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)’ เมื่อเสียงข้างมาก ‘อาจ’ ไม่ใช่ฝ่ายที่ถูกต้องเสมอไป

                   

หลวงปู่ชา สุภทฺโท ขณะมีชีวิตอยู่ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พุทธศาสนา ทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งบังเกิดผลทำให้ผลงานที่เป็นประโยชน์อเนกอนันต์แก่พระศาสนา ทั้งที่เป็นพระธรรมเทศนา และสำนักปฏิบัติธรรมในนามวัดสาขาวัดหนองป่าพงมากมาย ซึ่งแม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่ศิษยานุศิษย์ของท่านก็ยังคงรักษาแนวทางปฏิบัติธรรมที่ท่านได้สั่งสอนไว้จนถึงปัจจุบัน

                              

หลวงปู่ชา แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี  เคยพูดเรื่องประชาธิปไตย พอสรุปได้ว่า... 

"...ประชาธิปไตย คือ เสียงของคนหมู่มาก ไม่ถูกต้องเสมอไป  หากคนหมู่มากนั้น ไม่มีปัญญา..."  

แสดงว่า ท่านยอมรับเสียงข้างมาก แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเป็นเสียงข้างมากของคนดี การตัดสินด้วยหลักประชาธิปไตยบางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่เอาหลักธรรมาธิปไตยเข้าไปตัดสิน
                                  

ครั้งหนึ่งมีโยมเข้าไปกราบหลวงพ่อแล้วนำเรื่องการเมืองเข้าไปสนทนาด้วย

โยม : หลวงพ่อครับผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก
หลวงพ่อชา : มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม
โยม : ไม่ถูกต้องยังไงครับ

                     

หลวงพ่อชา : ยกตัวอย่าง มีแมลงวัน 20 ตัว มีแมลงผึ้ง 10 ตัว มาลงมติกันกับของ 2 สิ่งได้แก่ 1) อุจจาระ และ 2) น้ำผึ้ง เมื่อใดที่ลงมติว่าอะไรหอม แมลงวันจะชนะทุกครั้งถ้าพูดเรื่องอุจจาระ แต่ถ้าเปลี่ยนหัวข้อเป็นน้ำผึ้ง ตัวผึ้งแพ้ทุกครั้ง ด้วย 2 เหตุผล คือ 1) จำนวนน้อยกว่า และ 2) ความหอมหวานของน้ำผึ้ง เปลี่ยนเจตคติของแมลงวันไม่ได้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top