Friday, 3 May 2024
โศกนาฏกรรม

25 กันยายน พ.ศ. 2537 น้ำป่าถล่ม ‘วังตะไคร้’ ฉับพลัน โศกนาฏกรรมกลืน 21 ชีวิต

วันนี้ เมื่อ 28 ปีก่อน เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของไทย เมื่อเกิดเหตุน้ำป่าไหลหลากอย่างฉับพลัน ถล่มอุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ จ.นครนายก ที่คร่าชีวิตผู้คนที่มาท่องเที่ยวในวันหยุดไปถึง 21 ราย 

ช่วงบ่ายวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2537 ขณะนักท่องเที่ยวพาครอบครัวลูกหลานมาเที่ยวชมธรรมชาติในวันหยุด ผู้คนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 400-500 คน ทั้งเด็กผู้ใหญ่กำลังสนุกสนานกับการลงเล่นน้ำ ท่ามกลางฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทันใดนั้นหตุภัยธรรมชาติจากน้ำป่าจำนวนมหึมาไหลเป็นคลื่นยักษ์ทะลักเข้าอุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก ชนิดที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว 

เหตุการณ์ครั้งนั้น กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของไทย มีผู้เสียชีวิตมากถึง 21 คน ที่ถูกกระแสน้ำสีแดงขุ่นอันเชี่ยวกรากพัดพาร่างหายไปกับน้ำ

ตามข่าวระบุว่า ในวันนั้นผู้คนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 400-500 คน ทั้งเด็กผู้ใหญ่กำลังสนุกสนานกับการลงเล่นน้ำ ท่ามกลางฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

อย่างไรก็ดี ตามรายงานข่าวระบุว่า เบื้องต้นก่อนเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ได้รับการติดต่อจากฝ่ายต้นน้ำวังตะไคร้บริเวณเขาใหญ่ว่า มีมวลน้ำป่าขนาดใหญ่กำลังตรงไปทางจุดเล่นน้ำตกวังตะไคร้

ที่สุดเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ได้ใช้จักรยานยนต์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวให้ขึ้นจากน้ำแล้วได้มีการเป่านกหวีดและเรียกให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งบางคนต่างงงว่าเกิดอะไรขึ้น

3 ธันวาคม พ.ศ. 2527 โรงงานยูเนียนคาร์ไบด์ เมืองโบพาล อินเดีย ระเบิด โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตกว่า 15,000 คน

3 ธันวาคม พ.ศ. 2527 ก๊าซเมทิลไอโซไซยาไนด์กว่า 40 ตัน รั่วไหลในโรงงานยาฆ่าแมลงที่เมืองโภปาล อินเดีย ก๊าซแพร่ไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เสียชีวิตทันทีราว 3 พันคน ยอดรวมจากนั้นตาย 15,000 คน บาดเจ็บนับแสนคน 

ได้เกิดอุบัติเหตุโรงงานบริษัทยูเนียนคาร์ไบด์ ที่เมืองโบพาล รัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย เกิดระเบิดขึ้น จากนั้นสารเคมีก๊าซเมทิลไอโซไซยาไนด์กว่า 40 ตัน เกิดการรั่วไหล โดยก๊าซพิษได้แพร่กระจายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 3 พันคน โดยในสัปดาห์แรกมีผู้เสียชีวิตกว่า 8 พันคน และเจ็บป่วยกว่า 5 แสนคน ซึ่งต่อมามีรายงานว่าเหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1.5 หมื่นคน และผู้ที่รอดชีวิตแม้จะดูเหมือนโชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็โชคร้ายมากเพราะต้องเผชิญกับความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ มีลูก ลูกก็ป่วยออทิสติกหรือด้อยพัฒนาการบางประการ ซึ่งเหตุดังกล่าวนับเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการอุตสาหกรรม

โศกนาฏกรรมตุรเคีย-ซีเรีย

สะเทือนฟ้ามหาวิปโยค
ความเศร้าโศกบรรเลงเพลงงานศพ
รายเรี่ยเสียชีวิตทุกทิศทบ   
จุดจบกลบกลายสู่วายชนม์

อาคารโค่นทรุดทับลงกับพื้น   
หยิบยื่นความตายในห้วงหน
ผู้สูญหายในท่ามความมืดมน   
แขวนบนเส้นแดงแห่งความตาย

16 เมษายน พ.ศ. 2557 ‘เรือเซวอล’ อับปาง ขณะเดินทางไปเกาะเชจูโศกนาฏกรรมคร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้กว่า 304 คน

ในวันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้ นั่นก็คือ โศกนาฏกรรม ‘เรือเซวอล’ อับปาง ที่คร่าชีวิตไปกว่า 304 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยม

โดยเหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) เรือเซวอลกำลังมุ่งหน้าจากเมืองอินชอนสู่เกาะเชจูตามตารางเวลาที่กำหนด โดยบนเรือส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนดันวอน ที่กำลังออกไปทัศนศึกษา

เมื่อรวมจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือแล้ว เรือลำนี้บรรจุผู้โดยสารกว่า 476 ชีวิต ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของน้ำหนักผู้โดยสาร ที่เจ้าของเรืออ้างว่าเซวอลสามารถบรรทุกได้

ในวันเกิดเหตุ กัปตันอีจุนซอก วัย 69 ปี ผู้กุมชะตาชีวิตคนบนเรือเกือบ 500 คน กลับไม่ได้อยู่ในห้องควบคุมเรืออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับสั่งให้ลูกเรือเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างแทน ซึ่งเมื่อเรือเข้าสู่ช่องแคบ ที่เต็มไปด้วยโขดหินและคลื่นแรงใต้ทะเล ลูกเรือที่ไม่มีประสบการณ์มากพอก็ตัดสินใจผิดพลาดได้หันหัวเรือกะทันหัน และกระปุกพวงมาลัยเรือที่ทำงานขัดข้อง จึงเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้เซวอลศูนย์เสียการทรงตัว

นอกจากความหละหลวมในการทำหน้าที่ของเขาแล้ว เรือลำนี้ยังบรรทุกสินค้าที่ไม่สมดุลและเกินน้ำหนักมาตรฐาน คอนเทนเนอร์สินค้าที่จัดวางอย่างไม่รัดกุม รวมถึงน้ำอับเฉาที่มีน้อยกว่าที่ทางการกำหนด โดยเรือเซวอลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้ซื้อมาเพื่อใช้งานต่อเมื่อปี 2012

หลังจากนั้น บริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้มีการปรับปรุงเรือและทำการต่อเติม เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้เองจึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เพราะการต่อเติมเรือ ทำให้ศูนย์ถ่วงเรือมีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทฯ ยังได้ยื่นขอบรรทุกสินค้าเกือบ 2,000 ตัน ซึ่งต่อมากรมทะเบียนเรือ ได้ปรับลดน้ำหนักบรรทุกสินค้าของเซวอลลงเหลือครึ่งหนึ่ง และกำหนดให้ต้องบรรทุกน้ำอับเฉาถึง 2,000 ตัน เพื่อให้เรือสามารถทรงตัวอยู่ได้

‘ชาวเซอร์เบีย’ ส่งมอบปืนคืนรัฐฯ กว่าหมื่นกระบอก หลังเกิดโศกนาฏกรรมกราดยิงในโรงเรียน

‘เซอร์เบีย’ เป็นประเทศที่มีอัตราการถือครองอาวุธปืนมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรป ปัจจุบันจากจำนวนชาวเซอร์เบียราว 7 ล้านคน มีการถือครองปืนมากถึง 2.7 ล้านกระบอก และมากกว่าครึ่งเป็นอาวุธปืนที่ครอบครองโดยผิดกฎหมาย

วัฒนธรรมการถือครองปืนของชาวเซอร์เบีย เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามยูโกสลาเวียในปี 1989 ซึ่งชาวเซอร์เบียมองว่า การมีอาวุธปืนในครอบครองถือเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการป้องกันตนเอง อีกทั้งการใช้ปืน ยังเป็นส่วนหนึ่งในพิธีแต่งงาน งานเฉลิมฉลองในวันเกิดทารก หรือแม้แต่เป็นหนึ่งในสมบัติประจำครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่ทั้งนี้ คดีอาชญากรรมที่ใช้ปืนเป็นอาวุธในเซอร์เบียอยู่ในระดับกลาง ราวๆ 0.3 คดีต่อประชากร 100,000 คน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย อาจทำให้ชาวเซอร์เบียชะล่าใจว่า การถือครองปืนไม่ได้ส่งผลต่อระดับคดีอาชญากรรมในประเทศ จนกระทั่ง เกิดเหตุโศกนาฎกรรม กราดยิงครั้งใหญ่ ติดต่อกันถึง 2 แห่งภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในโรงเรียน Vladislav Ribnikar Model Elementary School ชานกรุงเบลเกรด โดยนักเรียนอายุ 13 ปี ใช้ปืนของพ่อกราดยิงเพื่อน และ ครูในโรงเรียน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน หลังจากนั้นเพียง 2 วัน เกิดเหตุชายวัย 21 ขับรถไล่ยิงคนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ทางใต้ของกรุงเบลเกรด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 รายในคืนเดียว

จากเหตุสลดดังกล่าว ทำให้ชาวเซอร์เบียเริ่มตระหนักถึงอันตราย จากการมีอาวุธใกล้มือเกินไปที่บ้าน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูซิส ออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนโดยทันที

ด้านผู้นำเซอร์เบีย ก็ได้ออกคำสั่งกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และเพิ่มโทษการถือครองอาวุธปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ด้วยโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ประธานาธิบดี วูซิส ได้ประกาศช่วงนิรโทษกรรม 1 เดือนให้กับชาวเซอร์เบียทุกคนที่ยังครอบครองอาวุธปืนเถื่อน ให้นำมาส่งมอบคืนกับรัฐบาล จะได้รับการยกเว้นโทษ ซึ่งช่วงนิรโทษกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ไปจนถึง 8 มิถุนายนนี้ หากพ้นชวงนี้ไป ทางรัฐบาลเซอร์เบียจะเริ่มนโยบายกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และใครที่ยังถือครองอยู่จะได้รับโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น

ซึ่งทันทีที่มีประกาศ ชาวเซอร์เบียก็ได้นำอาวุธไปคืนให้กับรัฐบาลเซอร์เบียเป็นจำนวนมาก จนกองพะเนินเป็นภูเขา และยังเป็นที่น่าตกตะลึงว่า ในจำนวนปืนที่นำมาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ นอกจากจะมีปืนกล ปืนกึ่งอัตโนมัต ที่เป็นกลุ่มอาวุธที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้พลเรือนครอบครองอยู่แล้ว ยังพบปืนต่อสู้รถถัง และ ปืนยิงขีปนาวุธ บางส่วนด้วย ซึ่งนับรวมแล้วตอนนี้มีปืนจากประชาชน ส่งคืนให้รัฐบาลไม่น้อยกว่า 13,500 กระบอก

แม้ว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมการครอบครองปืนของชาวเซอร์เบียจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยผู้นำเซอร์เบียได้ออกมากล่าวชื่นชมชาวเซอร์เบียที่นำอาวุธมาส่งคืนให้ เพราะมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในจำนวนปืนราวหมื่นกระบอกนี้ กว่าครึ่งเป็นปืนที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ชาวเซอร์เบียบางส่วนก็ยินดีส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาล เพราะเห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืนเหล่านี้แล้ว อีกทั้งไม่อยากเห็นเหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเซอร์เบียอีก

การออกมาตรการควบคุมอาวุธปืนในเซอร์เบีย กำลังจะเป็นที่สนใจอย่างมากในอีกประเทศที่มีปัญหาคดีอาชญากรรมจากอาวุธปืนอย่างหนัก นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา

โดยสื่อในสหรัฐ พยายามถอดรหัส ‘เซอร์เบียโมเดล’ การปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนลดการถือครองอาวุธปืน และสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยได้โดยปราศจากอาวุธ

แต่โมเดลเซอร์เบีย อาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายที่สหรัฐ เนื่องจากในเซอร์เบียไม่มี ‘สมาคมปืนแห่งชาติ’ ที่พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อล็อบบี้นักการเมืองอเมริกัน ในการยกมือคัดค้านกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยอ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ มานานนับร้อยปีนั่นเอง

‘บิ๊ก ตร.โซล’ เจอตั้งข้อหาประมาทเลินเล่อ ปมโศกนาฏกรรมอิแทวอน ด้านครอบครัวเหยื่อ ซัด!! กระบวนการล่าช้า-เรียกร้องให้ลาออกทันที

(20 ม.ค. 67) ความคืบหน้าเหตุโศกนาฏกรรมเบียดกันตายที่อิแทวอน ย่านสถานบันเทิงยามราตรีชื่อดังในกรุงโซลของเกาหลีใต้ เมื่อคืนวันที่ 29 ตุลาคมปี 2022 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลดมากถึงเกือบ 160 รายนั้น มีรายงานล่าสุดว่า ‘นายคิม ควาง-โฮ’ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจนครบาลโซล ที่มีส่วนรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคืนวันเกิดเหตุนั้น ได้ถูกอัยการตั้งข้อหาแล้วฐานปล่อยปละละเลย จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในโศกนาฏกรรมดังกล่าว

ในแถลงการณ์ที่ออกโดยสำนักงานอัยการแขวงตะวันตกของกรุงโซล เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า ในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจนครบาลโซล เขาไม่ได้ใช้มาตรการที่จำเป็น เช่น การระดมกำลังตำรวจให้เพียงพอ และควบคุมการบังคับบัญชา และการกำกับดูแลที่เหมาะสมในวันเกิดเหตุ แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ จากความแออัดยัดเยียดในย่านสถานบันเทิงยามราตรีแห่งนั้น

‘คิม ควาง-โฮ’ ซึ่งเป็นนายตำรวจระดับสูงสุดที่เผชิญการสอบสวนในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ได้ถูกตั้งข้อหาโดยปราศจากการถูกควบคุมตัว

ด้านครอบครัวของเหยื่อได้ออกมาแสดงความไม่พอใจ หลังสำนักงานอัยการแถลงการณ์ตั้งข้อกล่าวหาบิ๊กตำรวจนครบาลโซลผู้นี้ โดยกล่าวว่าพวกเขารู้สึกเสียใจกับกระบวนการตัดสินใจที่ยาวนานของสำนักงานอัยการ ก่อนจะมีการตั้งข้อหานายคิม และว่านายคิมต้องลาออกจากตำแหน่งในทันที และเผชิญกับการถูกไต่สวนคดี

“ประธานาธิบดียุน ซอกยอล จะต้องปลดเขานายคิมออกทันที” ครอบครัวเหยื่อโศกนาฏกรรมอิแทวอนกล่าว

เดือนมกราคมปีที่แล้ว คิม ควาง-โฮ และเจ้าหน้าที่อีก 22 คน จากสำนักงานตำรวจ กู้ภัยและสำนักงานเขต ได้ถูกทีมตำรวจชุดสืบสวนพิเศษส่งไปดำเนินคดี เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาล ในเหตุโศกนาฏกรรมเบียดกันตายที่อิแทวอน ในช่วงการฉลองเทศกาลฮาโลวีน ที่มีนักท่องราตรีหนุ่มสาวหลายหมื่นคน ออกมาเที่ยวในย่านสถานบันเทิงดังกล่าว จนเป็นผลให้เกิดการเบียดเสียดเหยียบกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 160 ราย ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top