Wednesday, 26 June 2024
หิมาลัย_ผิวพรรณ

เปิดความจริงจากปาก 'เสธ.หิ' เหตุผลที่รัฐประหารต้องบังเกิด และนักวิชาเกินยังลอยชายในวันที่อ้างไทยเป็นรัฐเผด็จการ

ไม่นานมานี้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวกับ THE STATES TIMES ถึงเหตุผลในการเกิดรัฐประหาร ยึดอำนาจ เพราะ ‘ลุงตู่’ เผด็จการจริงไหม? ว่า...

คำพูดนี้ ผมเห็นว่าได้มีการกล่าวหาท่านมาตลอดเวลา เราต้องกลับไปดู ว่าทำไมวันนั้นต้องทำการรัฐประหารยึดอำนาจ หากใครที่อยู่ในสมัยนั้นจำได้ ณ เวลานั้น สภาวะของประเทศเรานั้น อยู่ในสภาวะของ ‘รัฐล้มเหลว’ คือ การบริหารงานของรัฐบาลนั้น ไม่สามารถทำได้ นโยบายของรัฐบาลไม่ได้รับการตอบสนองในปฏิบัติการราชการ ขาดภาวะของนิติรัฐ การปกครองประเทศ ณ เวลานั้น ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เลย 

ที่สำคัญที่สุดในเวลานั้น ที่เป็นอันตรายอย่างมาก คือ มีการใช้อาวุธ จนถึงขั้นใช้อาวุธสงครามในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นประชาชนด้วยกันเอง และมีการบาดเจ็บล้มตายรายวัน 

ในกระบวนการหาทางออก ณ เวลานั้น ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามเป็นกาวใจผสานพรรคการเมืองทุกพรรค ผสานบุคคลที่เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็นขั้วอะไรก็ตาม ให้มาพูดคุยกันหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ต่างคนต่างยืนยันให้ความคิดของตัวเอง และไม่ยอมกัน การยึดอำนาจ ปฏิวัติรัฐประหารในเวลานั้น จึงเป็นทางออกสุดท้ายที่ท่านจำเป็นต้องกระทำ

>> หลังจากรัฐประหาร เกิดอะไรขึ้น? 
หลังจากที่ท่านสามารถนำบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะความสงบสุขได้ รัฐฯ สามารถบริหารงานได้ สามารถนำการใช้หลักนิติรัฐมาปกครองบ้านเมืองได้ ประเทศเข้าสู่ความสงบ ท่านก็ดำเนินการเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ในเวลานั้น คือ ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ได้ผ่านประชามติเสียงข้างมาก กลายเป็นรัฐธรรมนูญ ปี 60 หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ท่านเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 60 ซึ่งทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลได้เข้าสู่กติกาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นเดียวกัน

เหตุผลในการเกิดรัฐประหาร ยึดอำนาจ เพราะ ‘ลุงตู่’ เผด็จการจริงหรือไม่?

ไม่นานมานี้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวกับ THE STATES TIMES ถึงเหตุผลในการเกิดรัฐประหาร ยึดอำนาจ เพราะ ‘ลุงตู่’ เผด็จการจริงไหม? ว่า...

คำพูดนี้ ผมเห็นว่าได้มีการกล่าวหาท่านมาตลอดเวลา เราต้องกลับไปดู ว่าทำไมวันนั้นต้องทำการรัฐประหารยึดอำนาจ หากใครที่อยู่ในสมัยนั้นจำได้ ณ เวลานั้น สภาวะของประเทศเรานั้น อยู่ในสภาวะของ ‘รัฐล้มเหลว’ คือ การบริหารงานของรัฐบาลนั้น ไม่สามารถทำได้ นโยบายของรัฐบาลไม่ได้รับการตอบสนองในปฏิบัติการราชการ ขาดภาวะของนิติรัฐ การปกครองประเทศ ณ เวลานั้น ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เลย 

ที่สำคัญที่สุดในเวลานั้น ที่เป็นอันตรายอย่างมาก คือ มีการใช้อาวุธ จนถึงขั้นใช้อาวุธสงครามในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นประชาชนด้วยกันเอง และมีการบาดเจ็บล้มตายรายวัน 

ในกระบวนการหาทางออก ณ เวลานั้น ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามเป็นกาวใจผสานพรรคการเมืองทุกพรรค ผสานบุคคลที่เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็นขั้วอะไรก็ตาม ให้มาพูดคุยกันหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ต่างคนต่างยืนยันให้ความคิดของตัวเอง และไม่ยอมกัน การยึดอำนาจ ปฏิวัติรัฐประหารในเวลานั้น จึงเป็นทางออกสุดท้ายที่ท่านจำเป็นต้องกระทำ

>> หลังจากรัฐประหาร เกิดอะไรขึ้น? 
หลังจากที่ท่านสามารถนำบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะความสงบสุขได้ รัฐฯ สามารถบริหารงานได้ สามารถนำการใช้หลักนิติรัฐมาปกครองบ้านเมืองได้ ประเทศเข้าสู่ความสงบ ท่านก็ดำเนินการเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ในเวลานั้น คือ ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ได้ผ่านประชามติเสียงข้างมาก กลายเป็นรัฐธรรมนูญ ปี 60 หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ท่านเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 60 ซึ่งทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลได้เข้าสู่กติกาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นเดียวกัน

เปิดเหตุผล...ทำไม? ‘ลุงตู่’ ต้องอยู่ต่อ!!  จากปากคนใกล้ชิด 'ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ'

ทำไม? ถึงตัดสินใจร่วมงานกับ ‘ลุงตู่’? นี่คือคำถามที่ THE STATES TIMES ได้สอบถามกับ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โดยท่านได้ตอบว่า...

สำหรับผม การที่เลือกมาช่วยงานท่านพลเอกประยุทธ์ เนื่องจาก ผมมีความศรัทธาในตัวท่านในหลาย ๆ เรื่อง เพราะว่าผมได้เห็นท่านมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ๆ 

อันดับแรกเลย คือ ท่านเป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทหารทุกท่าน และประชาชนทุกคน มีความรักดีต่อสถาบันฯ ร่วมกันอยู่แล้ว 

อันดับที่สอง คือ ท่านเป็นคนที่ทำพวกเราเห็นว่า ท่านเป็นคนที่ทุ่มเทกับการทำงานมากในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนมีผลงานออกมาเป็นรูปธรรมมากมายในสมัยรัฐบาลของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสาธารณูปโภค ในเรื่องความก้าวหน้า ในเรื่องของไอที หรือเรื่องของความสำคัญระหว่างประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในรัฐบาลนี้ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งท่านก็สามารถพื้นความสัมพันธ์ได้ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศอเราย่างมหาศาล

อันดับต่อมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านโดนตรวจสอบไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เพื่อหาประเด็นตรวจสอบเรื่องทุจริตเกี่ยวกับตัวท่าน แต่ก็ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นรูปประธรรมอย่างชัดเจน ที่จะกล่าวหาท่านได้เลย แม้แต่ที่เราเห็นว่าบุคคลใกล้ชิดท่านหรือใกล้เคียงท่าน ที่มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตต่าง ๆ นั้น ท่านก็ไม่เคยใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีไปปกป้อง ท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม กระบวนการตรวจสอบ และจะเห็นว่าที่ผ่านมานั้น โครงการอะไรก็ตามที่มีปัญหา หรือมีประเด็นร้องเรียนเรื่องการทุจริต ท่านก็จะรับฟัง ตรวจสอบ และรับโครงการ เพื่อให้มีความโปร่งใส มีความชัดเจน ก่อนที่จะให้โครงการนั้นเดินหน้าต่อไป

อันดับที่สี่ ผมยังเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของ ‘ลุงตู่’ อย่างมาก เห็นชัดเจนได้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา คือ ท่านกล้าที่จะตั้ง ศปค. และสิ่งที่ท่านทำถือเป็นสิ่งใหม่ของประเทศ นั่นคือการที่ท่านนำเอาอาจารย์หมอทั้งหลาย มาเป็นผู้นำของ ศปค. ข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ นักการเมือง มาเป็นผู้สนับสนุนการทำงานของ ศปค. โดยที่มีอาจารย์หมอเป็นผู้นำ สิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นผลประจักษ์ ทำให้ WHO นั้น นำไปยกย่องเป็นต้นแบบของการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศชาติ

เปิดเหตุผล...ทำไม? ‘ลุงตู่’ ต้องอยู่ต่อ!! จากปากคนใกล้ชิด

ทำไม? ถึงตัดสินใจร่วมงานกับ ‘ลุงตู่’ ? นี่คือคำถามที่ THE STATES TIMES ได้สอบถามกับ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โดยท่านได้ตอบว่า...

สำหรับผม การที่เลือกมาช่วยงานท่านพลเอกประยุทธ์ เนื่องจาก ผมมีความศรัทธาในตัวท่านในหลาย ๆ เรื่อง เพราะว่าผมได้เห็นท่านมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ๆ 

อันดับแรกเลย คือ ท่านเป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทหารทุกท่าน และประชาชนทุกคน มีความรักดีต่อสถาบันฯ ร่วมกันอยู่แล้ว 

อันดับที่สอง คือ ท่านเป็นคนที่ทำพวกเราเห็นว่า ท่านเป็นคนที่ทุ่มเทกับการทำงานมากในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนมีผลงานออกมาเป็นรูปธรรมมากมายในสมัยรัฐบาลของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสาธารณูปโภค ในเรื่องความก้าวหน้า ในเรื่องของไอที หรือเรื่องของความสำคัญระหว่างประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในรัฐบาลนี้ ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งท่านก็สามารถพื้นความสัมพันธ์ได้ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศอเราย่างมหาศาล

อันดับต่อมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านโดนตรวจสอบไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เพื่อหาประเด็นตรวจสอบเรื่องทุจริตเกี่ยวกับตัวท่าน แต่ก็ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นรูปประธรรมอย่างชัดเจน ที่จะกล่าวหาท่านได้เลย แม้แต่ที่เราเห็นว่าบุคคลใกล้ชิดท่านหรือใกล้เคียงท่าน ที่มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตต่าง ๆ นั้น ท่านก็ไม่เคยใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีไปปกป้อง ท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม กระบวนการตรวจสอบ และจะเห็นว่าที่ผ่านมานั้น โครงการอะไรก็ตามที่มีปัญหา หรือมีประเด็นร้องเรียนเรื่องการทุจริต ท่านก็จะรับฟัง ตรวจสอบ และรับโครงการ เพื่อให้มีความโปร่งใส มีความชัดเจน ก่อนที่จะให้โครงการนั้นเดินหน้าต่อไป

‘ดร.หิมาลัย’ วอนหยุดด้อยค่า ส.ว. โหวตนายกฯ ชี้ เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่คนจำนวนมากออกมาระบุว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่ควรเกี่ยวข้องกับการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า การที่ สว.มีอำนาจในการพิจารณาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นสิ่งที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการเห็นชอบจากประชาชน จากการทำประชามติมากกว่า 15 ล้านเสียง 

นั่นเท่ากับว่าคนส่วนใหญ่ เห็นชอบที่จะให้ สว.มีสิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น จึงอยากจะวอนพี่น้องประชาชน ที่ไม่พอใจคนที่ตนเองเชียร์อยู่ไม่ได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี หยุดด้อยค่า หรือ ออกมาโจมตี สว.ที่ท่านทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และอำนาจที่ประชาชนให้มาก

ขณะเดียวกัน การจะอ้างคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงที่ชนะการเลือกตั้ง แล้วระบุว่าตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว จะต้องได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เป็นรัฐบาลนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะระบอบประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกา ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และฮิลลารี คลินตัน 

ในครั้งนั้น ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ฮิลลารี คลินตัน ได้รับคะแนนเสียงมหาชน (Popular Vote) มากกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ แต่กลับไม่ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะทรัมป์ ได้รับคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) จำนวนมากว่านั่นเอง เพราะฉะนั้น ในระบบของสหรัฐอเมริกา แม้จะได้คะแนนเสียงจากมหาชน ก็ไม่ได้การันตีว่า คนๆนั้นจะได้เป็นประธานาธิบดีเสมอไป ในขณะที่ระบบเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฝรั่งเศสนั้น จะยึดเอาคะแนนเสียงจากประชาชนโดยตรง 

“ระบบการเลือกตั้งของทั้ง 2 ประเทศ ที่มักอ้างว่าเป็นประเทศผู้นำด้านระบอบประชาธิปไตยของโลก ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจน และไม่อาจตัดสินได้ว่าประเทศใดมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน เพราะถ้ายึดเอาคะแนนโหวตของประชาชนเป็นตัวตัดสิน นั่นเท่ากับว่า สหรัฐฯ เป็นเผด็จการ เพราะไม่ทำตามมติเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่ฝรั่งเศส เป็นประชาธิปไตยเช่นนั้นหรือไม่”

ดร.หิมาลัย กล่าวย้ำว่า ประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการออกแบบให้เข้ากับประเทศนั้น ๆ ประเทศไทยจะใกล้เคียงกับ อังกฤษ และเยอรมัน ที่เป็นระบบรัฐสภา พรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากสุด ยังไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องไปรวมเสียงให้ได้จำนวนเสียงข้างมากในสภาให้ได้ก่อน และจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศเหล่านี้ หลายครั้งไม่ได้มาจากพรรคที่ได้ป๊อปปูลาร์โหวต

สำหรับประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญได้เพิ่มอำนาจ สว. ในการพิจารณาเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นเพราะเจตนารมณ์ต้องการให้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อมาเป็นผู้นำประเทศ

ส่วนกรณีที่ สว.ส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบให้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ในการโหวตเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า สว.ส่วนใหญ่ ท่านมีความกังวล ในเรื่องที่พรรคก้าวไกล มีแนวคิดที่จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องสถาบันกษัตริย์ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และเมื่อพิจารณาจากร่างข้อเสนอที่พรรคก้าวไกล เคยยื่นมานั้น หากพิจารณาให้ดี จะเห็นว่า ข้อแก้ไขที่ว่านั้น เท่ากับการยกเลิกก็ว่าได้ เพราะเสนอให้ลดโทษคนที่หมิ่นสถาบัน เหลือโทษเท่ากับหมิ่นประมาทคนทั่วไปเท่านั้น อีกทั้งยังให้องค์ประมุขแห่งรัฐลงมาร้องทุกข์กล่าวโทษเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม 

“เหตุผลหลักที่สว.ท่านไม่ยกมือให้คุณพิธา เพราะมีความกังวลเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากพรรคก้าวไกล จะยึดร่างเดิมที่เคยยื่นมาก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ก่อนหน้านี้มีการท้วงติง แต่ทางพรรคก็ยังยืนยันที่จะแก้ไขตามร่างดังกล่าว ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ ทำให้ สว.ท่านกังวล และโหวตไม่เห็นชอบ เพราะอย่าลืมว่า สถาบันกษัตริย์นั้นอยู่คู่ประเทศไทยมาช้านานกว่า 700 ปี พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หลายพระองค์ได้ออกรบ ใช้เลือดเนื้อและชีวิต ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่มาถึงปัจจุบันกลับมีนักการเมืองบางกลุ่มด้อยค่าสถาบันฯ เช่นนี้แล้ว เชื่อว่า ทั้ง สว.และคนที่มีความจงรักภักดี คงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน”

‘ดร.หิมาลัย’ วอน อย่าให้ทุนนอกครอบการเมืองไทย หลังมีคนปูด ‘นักการเมือง’ รับเงินแก้ ม.112

จากกรณีที่มีนักกิจกรรมทางการเมือง ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า มีนักการเมืองบางคนของพรรคที่จ้องจะแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เคยได้รับเงินสนับสนุนจากทุนต่างชาติ เพื่อให้แก้ไขมาตราดังกล่าว รวมถึงในช่วงที่ผ่านมา มีข้อมูลว่า ทุนจากต่างชาติให้การสนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า การที่เอ็นจีโอได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากเป็นการใช้เพื่อช่วยเหลือทางด้านสังคม ทางด้านเศรษฐกิจ หรือ การพัฒนาการเมือง แต่หากนำมาใช้เป็นทุนเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และล้มล้างระบอบการปกครองของประเทศนั้น ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และถือเป็นบ่อนทำลายชาติ

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย ได้ให้มุมมองต่อว่า ที่ผ่านมามีหลายประเทศที่ถูกต่างชาติแทรกแซงทางการเมืองจนนำไปสู่ความล่มสลาย ประเทศย่อยยับ ประชาชนต้องลี้ภัยหนีจากบ้านเกิดเมืองนอน เพราะฉะนั้น จึงอยากจะตั้งคำถามกับพี่น้องคนไทยว่า เราจะยอมรับให้องค์กรต่างประเทศสนับสนุนการเงิน เพื่อมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วทำให้ประเทศเราพังทลายเช่นนั้นหรือ?

“ก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีคนเคยถามผมหลายครั้งว่า ถ้าพรรคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามขึ้นมาเป็นรัฐบาล จะรู้สึกอย่างไร ผมบอกว่าไม่ได้รู้สึกเสียใจใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นวิถีทางประชาธิปไตย ถึงอย่างไร ไทยก็ปกครองไทยด้วยกันเอง แต่หากเป็นพรรคการเมืองที่มีทุนต่างชาติหนุนหลัง และพยายามจะแทรกแซงการปกครองของไทย อันนี้ ผมจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน และเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่มีวันยอมเช่นเดียวกัน”

ขณะเดียวกัน ดร.หิมาลัย ยังฝากถึงพรรคการเมืองและประชาชนที่พยายามจะยกเลิกมาตรา 112 ว่า อยากให้ทุกคนศึกษาประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้และเป็นธรรม ในอดีตที่ผ่านมา สถาบันกษัตริย์ได้ต่อสู้กู้ประเทศชาติบ้านเมือง มีคุณูปการเป็นอเนกอนันต์ ด้วยความเสียสละ และวิริยะอุตสาหะอย่างมาก จนทำให้เรายืนหยัดเป็นชาติที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาตินักล่าอาณานิคม ทั้งจากเงินถุงแดง ที่รัชกาลที่ 3 ท่านทรงเก็บไว้ดูแลบ้านเมือง และได้นำไปไถ่ประเทศเมื่อครั้งเกิดวิกฤต ร.ศ.112

หรือแม้แต่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สร้างสัมพันธไมตรีกับชาติมหาอำนาจ ก็เพื่อรักษาประเทศชาติให้คงเอกราชไว้ให้ลูกหลาน

“ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงทำให้กับชาติบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน จึงไม่แปลกที่จะมีคนรู้สึกรักและผูกพันกับสถาบันฯ และไม่ไว้วางใจพรรคการเมืองที่มีแนวคิดที่จะล้มสถาบันให้ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง เพราะฉะนั้น อย่าได้ดูถูกและด้อยค่าความจงรักภักดีที่คนส่วนใหญ่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” ดร.หิมาลัย กล่าว

‘ดร.หิมาลัย’ ยกย่อง ‘น้องรินธารทอง’ แบบอย่างคนรุ่นใหม่เทิดทูนสถาบันกษัตริย์

(15 ส.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์คลิป น.ส.รินธารทอง ลัทธศักดิ์ศิริ ที่ได้ทำคอนเทนต์ TikTok ถึงพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม พร้อมระบุข้อความว่า 

“ขอขอบคุณ น้อง น.ส.รินธารทอง ลัทธศักดิ์ศิริ มัคคุเทศก์น้อย ที่เผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันกษัตริย์ ประเทศไทย ยังมีหวัง ช่วยกันครับ น้อง ๆ เริ่มจากถวายความเคารพ เพลงสรรเสริญพระบารมี ในโรงภาพยนตร์ แล้วส่งมาให้ลุง ช่วยกันรักษาประเทศไทยของเราครับ”

สำหรับ น.ส.รินธารทอง ลัทธศักดิ์ศิริ เป็นนักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ที่เป็นเยาวชนน้ำดี ที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และจะแสดงความจงรักภักดีทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าไม่สำคัญ อย่างการยืนถวายความเคารพ เพลงสรรเสริญพระบารมี ไปจนถึงการเผยแพร่พระราชกรณียกิจอย่างต่อเนื่อง

มูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย และน้องชาย เข้าเยี่ยมครอบครัวส.ต.ท.สละชีพเพื่อชาติ มอบธงชาติ-เงินบำรุงขวัญ

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 เวลา 14.00 น. ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. ในนามมูลนิธิพระราหู ร่วมกับ พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี, พ.ต.อ.พัฒนชัย ปาละสุวรรณ ผกก.สภ.หนองจิก จว.ปัตตานี ได้เดินทางเข้าพบ ครอบครัว ส.ต.ท. บุญกีนี ดือเระ ผบ.หมู (ป.) สภ.ยะรัง จว.ปัตตานี ผู้ปฏิบัติหน้าที่ สละชีพเพื่อชาติ ณ.บ้านเลขที่ 105 ม.3 ต.นาหว้า อ.จะนะ จว.สงขลา

เพื่อร่วมมอบธงชาติ เงินบำรุงขวัญ และพูดคุยให้กำลังใจ แก่ครอบครัว ส.ต.ท.บุญกีนี ดือเระ ที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิด และยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเหตุเกิดหน้าเทศบาลตำบลยะรัง จว.ปัตตานีเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2566 ที่ผ่านมา

'ดร.หิมาลัย' ให้กำลังใจ 'พล.ต.ท.ไตรรงค์' หลังเจอแรงกดดันจากสังคม ขอให้นึกถึงคำสอนของพ่อ ยึดถือความถูกต้องในฐานะตำรวจน้ำดี

(27 ก.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

คิดถึง…พ่อ 

ปกติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ท่านจะเข้ามากราบแม่ที่บ้านเป็นประจำ เฉลี่ยอาทิตย์ละครั้งโดยประมาณ ถ้าช่วงไหนมีงานมาก ก็จะให้พาแม่ไปหาที่ทำงาน ซึ่งไม่บ่อยนัก หรือเวลาคุณแม่ไปหาหมอที่ รพ.ตำรวจ ก็จะคอยรอรับ คุณพ่อของพวกเราเสียไปหลายปีแล้ว ยังมีคุณแม่อยู่เป็นขวัญและกำลังใจของลูกๆ

ในช่วงประมาณ อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมสังเกตว่าท่านเข้ามาบ่อยผิดปกติ เลยถามเด็กที่บ้านดู ได้ความว่า ประมาณสองสามอาทิตย์มานี้ ท่านเข้ามากราบคุณย่าบ่อยมาก (เด็กที่บ้านจะเรียกคุณแม่ของผมว่าคุณย่า) 

ผมก็คิดอยู่ว่าท่านน่าจะมีเรื่องไม่สบายใจ จนประมาณวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.66) ผมกลับเข้าบ้านประมาณทุ่มนิดๆ เดินเข้าไปกราบแม่ เจอท่านนั่งอยู่แล้ว กำลังจะกลับ เลยถามว่าพอจะมีเวลานั่งคุยกันสักพักไหม ท่านบอกว่าได้สักครึ่งชั่วโมงแล้วต้องไปทำงานต่อ เลยออกมานั่งคุยกันที่ห้องรับแขก ในระหว่างคุย ดูท่านมีสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนมีเรื่องหนักใจ อยู่ดีๆ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า "พี่อ๊อด อรรถคิดถึงพ่อ"

พูดถึงคุณพ่อ ท่านเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อท่านไตรรงค์มาก ย้อนไปตอนที่ท่านไตรรงค์จะสอบเข้าเตรียมทหาร จะเลือกเหล่าระหว่างนายร้อยตำรวจกับนายร้อย จปร. คุณพ่อท่านพูดว่า "เป็นตำรวจ ทำบุญได้ทุกวัน แค่ทำตามหน้าที่ก็ได้บุญแล้ว เพราะคนที่มาหาตำรวจ คือ คนที่เดือดร้อน เขาจึงหวังมาพึ่งตำรวจ" 

หลังจากฟังคุณพ่อพูด ท่านไตรรงค์ก็ตัดสินใจเลือกสอบเข้าเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังจากเรียนจนจบการศึกษารับพระราชทานกระบี่ คุณพ่อได้อวยพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตรับราชการ และยังสอนอีกว่า "การประสบความสำเร็จในการรับราชการนั้น ไม่ได้วัดที่ว่าเราจะมียศอะไร ตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน แต่ให้ดูวันที่ลูกเกษียณอายุราชการแล้ว มองกลับมา ว่าเราได้ทำอะไรไว้ให้กับสังคมและประเทศชาติบ้าง ความสำเร็จของเราวัดที่ตรงนั้น" 

คุณพ่อผมท่านมักจะสอนอย่างนี้เสมอ ท่านสอนให้เราให้คุณค่าของความดีมากกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านเป็น พระมหา (ผู้ที่สอบได้เปรียญธรรมตั้งแต่ 3 ประโยค ขึ้นไป) ก่อนลาสิกขาออกมารับราชการ

พอผมได้ยินว่าท่านคิดถึงคุณพ่อ ผมก็ทราบว่าท่านต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ ก็ได้แต่นั่งเงียบๆ รอท่านพูดต่อ สักพักใหญ่ๆ ท่านก็พูดว่า "พี่อ๊อด อรรถมาได้ถึงวันนี้ ก็มาได้ไกลมากแล้ว อรรถมีเรื่องต้องตัดสินใจบ้างอย่าง อรรถค่อนข้างกังวล อรรถว่า อรรถจะยึดถือคำพูดของพ่อที่ท่านสอนไว้ตอนรับราชการใหม่ๆ ต่อไปหนทางของอรรถอาจจะลำบาก แต่ถ้าอรรถไม่ทำ เมื่อนึกถึงคำสอนของพ่อที่อรรถยึดถือเสมอมา อรรถก็คงต้องรู้สึกผิดไปตลอด คนเก่งใน สตช.มีเยอะ แต่คนกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง จะมีสักเท่าไร อรรถไม่แน่ใจ"

หลังท่านพูดจบ เราก็นั่งกันอยู่เงียบๆ จนท่านขอตัวกลับ ผมก็บอกท่านไปว่า "ไม่สบายใจก็เข้ามากราบแม่ กราบพระ กราบพ่อ บ่อยๆ จะได้มีกำลังใจ ขอบารมีท่านคุ้มครองให้ปลอดภัย พี่เอาใจช่วยครับ"

มาถึงต้นอาทิตย์นี้ มีข่าวใหญ่เกิดขึ้น พี่ดูข่าวแล้ว บางทีก็นึกน้อยใจ เหมือน สตช. มีอรรถทำงานอยู่คนเดียว ช่วงแรกๆ โดน Social ถล่มอย่างหนัก มาวันนี้ ยังพอมีผู้ที่มีใจเป็นธรรมออกมาพูดให้กำลังใจ สนับสนุนอยู่บ้าง สังคมบางส่วน อาจจะสงสัย ตั้งประเด็นจากจินตนาการส่วนบุคคลกันมากมาย จนลืมข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ... นิสัยอรรถ จะเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว อาจจะชี้แจงช้าไปบ้าง พี่เองก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะงานของอรรถ พี่ก็ไม่มีความรู้ แต่พี่เชื่อว่า คนที่คบหาและได้สัมผัสกับอรรถมา จะเข้าใจและเชื่อมั่นในตัวอรรถเสมอ เหมือนพี่ 

ข้อความนี้ พี่เขียนขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆ จากพี่ให้น้อง พี่ที่เชื่อมั่นและมั่นใจในน้องชายคนนี้เสมอ ขอบารมีแห่งองค์หลวงพ่อโสธร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่อรรถเคารพนับถือ บารมีของคุณพ่อ เทวดาทั้งหลาย คุณความดีที่อรรถทำเสมอมา ได้โปรดเป็นเกราะคุ้มครองป้องกัน ให้อรรถรอดปลอดภัยจากอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ประสบความสำเร็จในกิจการงานเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม สาธุ

'พีระพันธุ์' ตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกฯ 11 คน  'ดร.หิมาลัย-แรมโบ้-ศิลัมพา-สายัณห์' ตบเท้าเข้าร่วม

(10 ต.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงนามในคำสั่งรองนายกรัฐมนตรีที่ 8 /2566 เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.พลังงาน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นั้น เพื่อให้การบริหารราชการในความรับผิดชอบของนายพีระพันธุ์ ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย บังเกิดผลดีแก่ทางราชการ จึงแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกฯ

โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะ รวมทั้งสนับสนุนภารกิจของนายพีระพันธุ์ ตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้...

1. นายสามารถ มะลูลีม 
2. นายโกวิทย์ ธารณา 
3. นายเจือ ราชสีห์ 
4. นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล 
5. นายหิมาลัย ผิวพรรณ 
6. นายประสิทธิ์ มะหะหมัด 
7. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ 
8. นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ 
9. นายสายัณห์ ยุติธรรม 
10. น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ 
และ 11. นางกุสุมาวดี ศิริโกมุท 

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 28 ก.ย.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top