Monday, 29 April 2024
พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค

‘พีระพันธุ์’ สั่งแก้ปัญหาที่ดินด่านช้าง ให้ชาวบ้านมีที่ทำกินภายใน 1 สัปดาห์

‘พีระพันธุ์’ เร่งแก้ปัญหาที่ดินด่านช้าง ให้ชาวบ้าน 113 รายได้รับสิทธิ์ทำกินตามข้อร้องเรียนถึง ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรีโดยเร็วหลังเกิดความล่าช้ามานาน ระบุ 1 สัปดาห์ต้องเสร็จ พร้อมขอให้ทำงานอย่างบูรณาการ คู่ขนานระหว่างหน่วยงานเพื่อลดขั้นตอนตามระบบราชการ ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ได้รับที่ดิน เช่น กลุ่มที่มีที่ดินทำกินอยู่แล้ว ก็ต้องชี้แจงเหตุผลอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่าถูกกลั่นแกล้ง หรือเกิดความไม่เท่าเทียม 

(17 ม.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ ตามคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมติดตามความคืบหน้ากรณีที่ดินทำกินของประชาชน ใน ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี โดยมีตัวแทนจาก จ.สุพรรณบุรี, กรมป่าไม้, สำนักงานที่ดิน จ.สุพรรณบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ 

สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้นายพีระพันธุ์ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาร่วมประชุม เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชนที่เดือดร้อนไร้ที่ดินทำกิน ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี จำนวน 113 ราย ที่ทำหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งรัดติดตามแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินการตามคำบัญชาของ นายกฯ ที่ให้จัดสรรที่ดินจำนวน 557 ไร่เป็นที่ทำกินให้กับประชาชนกลุ่มดังกล่าว รวมทั้งขอให้ตรวจสอบความโปร่งใสของกรมป่าไม้ที่ให้สิทธิ์กับเอกชนเพียง 2 รายเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่กว่า 3,800 ไร่ แต่กลับไม่ให้สิทธิ์กับประชาชนเข้าทำมาหากิน โดยในการประชุมครั้งนั้น นายพีระพันธุ์ได้ขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางผ่อนปรน แก้ไขกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคทำให้การดำเนินการจัดสรรที่ดินล่าช้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าพื้นที่ทำกินโดยเร็วก่อนการจัดการเรื่องอื่น ๆ และขอให้กลับมารายงานผลการดำเนินงานในการประชุมโดยเร็วที่สุดภายในวันที่ 15 มกราคม 2566

ทั้งนี้ในการประชุมติดตามความคืบหน้าครั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้สอบถามความคืบหน้าตามที่ได้เร่งรัดไปจากการประชุมครั้งก่อน ที่ขอให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา แต่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานด้านการจัดสรรที่ดินของ จ.สุพรรณบุรี ว่าขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามกำหนดได้ เนื่องจากติดที่ขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติของประชาชนทั้ง 133 ราย และการกำหนดแปลงที่ดินเพื่อจัดสรรให้กับประชาชนที่มีสิทธิ์แต่ละราย ทำให้ขั้นตอนที่จะต้องส่งต่อไปตามกระบวนการต่าง ๆ ล่าช้าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจะได้เร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 38 วัน

‘โรม’ สวน ‘พีระพันธุ์’ ปมเช่าตึก ‘ส.ว.อุปกิต’ ท้า!! กางหลักฐานชี้แจงแสดงความบริสุทธิ์ใจ

(24 ก.พ.66) รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สืบเนื่องจากประเด็น ‘ส.ว.ทรงเอ’ หรือ อุปกิต ปาจรียางกูร ที่รังสิมันต์อภิปรายในสภาฯ ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งเช่าที่ดินของ ส.ว. คนดังกล่าวเป็นที่ทำการพรรค ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของอุปกิต พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาว่าจะยื่นฟ้องร้องที่รังสิมันต์พูดพาดพิงถึงพรรคอย่างต่อเนื่องต่อไปหรือไม่

รังสิมันต์กล่าวว่า การที่ตนพูดพาดพิงถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะการอภิปรายทั่วไปต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันเปิดตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งแม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเพิ่งสมัครสมาชิกพรรคได้ไม่นานและไม่ได้มีตำแหน่งบริหารใดๆ ในพรรค แต่ในทางการเมืองเป็นที่รู้กันอย่างดีว่าพรรครวมไทยสร้างชาติก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นฐานสำหรับการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป และ พล.อ.ประยุทธ์ก็มีความใกล้ชิดกับผู้บริหารพรรคหลายคน เช่นกับพีระพันธุ์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 จนยกระดับมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าสำนักงานพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งอยู่บนที่ดินของอุปกิต ตนในฐานะ ส.ส. จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ ใช้เอกสิทธิ์ตั้งคำถามในสภาฯ ว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังร่วมมือกับบุคคลที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ควรสืบรู้ได้ว่ามีข้อครหาเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน หรือไม่

จับตา!! แคนดิเดตนายกฯ รทสช. ‘พล.อ.ประยุทธ์’ หรือ ‘พีระพันธุ์’

‘รทสช.’ จัดสัมมนา ชวนผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ ทำความเข้าใจกติกา กกต. ขอระวังถูกกลั่นแกล้ง สั่งจับตาฝ่ายตรงข้ามทำผิดด้วย ‘ไม่สน’ คำปรามาสตั้งพรรค

(25 มี.ค. 66) ที่อาคารเดอะพอร์ทอล ไลฟ์สไตล์ คอมแพล็กซ์ อิมแพค เมืองทองธานี ในการสัมมนาผู้สมัคร ส.ส. 400 เขต และประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.และแกนนำพรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพียง โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวเปิดสัมนา ว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ได้จัดกิจกรรมร่วมกับสมาชิกพรรคที่พร้อมจะลงเลือกตั้ง ซึ่งจะนำชัยชนะมาให้คนไทย ยืนยันว่า ที่ทำพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมาตั้งใจให้เป็นพรรคของคนธรรมดา ไม่ใช่เป็นพรรคของคนยิ่งใหญ่ เป็นพรรคที่ช่วยกันทำงานแบบเพื่อนพี่น้อง กฎหมายบอกให้มีตำแหน่งก็มีไป แต่ในการทำงานของพวกเราไม่ได้แบ่งว่าใครเป็นหัวหน้าหรือรองหัวหน้า ทุกคนทำงานเป็นเบ้ของพรรคทั้งหมด เราตั้งใจที่จะให้มีพรรคการเมืองแบบใหม่เป็นพรรคของประชาชนที่สามารถลดความหลื่อมล้ำในสังคมและความเป็นอยู่ต่าง ๆ รวมทั้งมีความรักความสามัคคี ถ้าไม่เริ่มต้นจากพรรคของพวกเราก็จะไปทำให้ประเทศเป็นแบบนี้ไม่ได้ 

“ในพรรคครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพรรคที่ทุกคนเท่ากันช่วยกันทำงาน จึงขอให้ทุกคนช่วยกันทำงานและนำไปสู่ความสำเร็จ เพื่อนำมาช่วยเหลือประเทศไทยให้มีความสุขในการอยู่กับแผ่นดินนี้ ช่วยกันสร้างอนาคตให้กับลูกหลานต่อไป” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เลขาธิการพรรคกล่าวว่าตนเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและอยู่เบื้องหน้าอีกหลายเรื่อง แต่ความสำเร็จที่ตนพยายามผลักดันให้พรรค เติบโตขึ้นมาไม่มีวันจะเป็นไปได้เลยถ้าขาดบุคคลสำคัญอย่าง นายเสกสกล อัตถาวงศ์ คณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคฯ อย่างไรตนก็ต้องขอขอบคุณ พรรครวมไทยสร้างชาติเริ่มต้นจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค ที่ไม่ใช่เป็นผู้จดทะเบียนตั้งพรรคแต่มีมอตโตขึ้นมาระหว่างที่ประเทศกำลังเผชิญโควิด 19 โดยบอกว่าคนไทยต้องช่วยกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง คนไทยต้องร่วมมือกัน รวมไทยสร้างชาติ พอได้ยินคำนี้ก็รู้สึกปิ๊ง

“ผมเคยคิดว่าจะพักแล้ว แต่พอเห็น พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเลยเกิดความคิดว่าแล้วเราจะทิ้งบ้านเมืองไปได้อย่างไร และชอบคำที่ พล.อ.ประยุทธ์พูด คิดว่าเป็นคำทางการเมืองที่ถูกต้อง รวมไทยสร้างชาติ เพราะไม่ว่าจะประเทศไทยเราหยุดคิดและเดินไม่ได้ เราหยุดการพัฒนาประเทศไม่ได้เราจึงต้องร่วมกันสร้าง คนไทยที่อยู่บนแผ่นดินนี้ไม่ร่วมใจ ไม่ร่วมกันสร้างแล้วเราจะเดินกันไปได้อย่างไร แต่นึกได้ไม่นานนายเสกสกล ก็แอบไปจดทะเบียนพรรค ซึ่งผมรู้จักกับคุณแรมโบ้มานาน ตั้งแต่เป็น ส.ส.สมัยแรก ซึ่งท่านบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปทำพรรคการเมือง แต่ผมชอบคำว่ารวมไทยสร้างชาติ และเชื่อว่าจะมีคนเอาไปจดทะเบียนพรรคจึงชิงจดไว้ก่อน เวลาผ่านไปจนถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ ที่จะเดินหน้าทางการเมืองที่ฝันไว้ว่าจะมีพรรคที่ไม่ได้คิดแต่เรื่องการเมืองแต่คิดเพื่อประชาชน และสามารถเป็นที่พึ่งได้ จึงได้หารือกับ นายเอกนัฏ จึงลองทำดู ดีกว่าพูดแล้วไม่ทำ เอาแต่พูด จึงตัดสินใจเดินหน้าตั้งแต่มีกันอยู่แค่ 2 คน จนมีมากขึ้น เมื่อเป็นรูปธรรมจึงกลับไปหานายเสกสกลและขอเอาพรรครวมไทยสร้างชาติไปทำได้หรือไม่ ท่านก็บอกว่าถ้าพี่จะทำเอาไปเลยยกให้ ต้องขอบคุณและนี่คือจุดเริ่มต้นของพรรค” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘วิโรจน์’ ซัด ‘พีระพันธุ์’ ปมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ลั่น!! ทัศนคติอันตรายต่อชาติ-สถาบันพระมหากษัตริย์

‘วิโรจน์’ จวก ‘พีระพันธุ์’ ผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศ  ชี้ ไม่เป็นผลดีต่อสถาบันฯ

(9 เม.ย.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาไล่คนเห็นต่างออกจากประเทศ พร้อมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ล้มเจ้า ซึ่งเป็นผลผลิตของความขัดแย้งทางการเมืองนานนับทศวรรษ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทัศนคติเช่นนี้ต่างหากที่เป็นอันตรายต่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สุด เพราะเท่ากับเป็นการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง และแบ่งประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พฤติกรรมแบ่งแยกประชาชนแบบนี้ ส่งผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มามากพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนสร้างภาพว่าตนเป็นคนที่จงรักภักดี สักหน้าอก "ทรงพระเจริญ" แล้วไปตั้งแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชน จนมีมูลค่าความเสียหายเป็นพันล้าน หรือกรณีที่มาเฟียทุนจีนสีเทา เอาภาพถ่ายที่ไปถ่ายกับพระราชวงศ์ชั้นสูง ไปแอบอ้างสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังไม่รวมกลุ่มคนอันธพาล ที่อ้างว่าตนเป็นคนที่ปกป้องสถาบันฯ แล้วไปเที่ยวใช้กำลังระรานประชาชนคนที่คิดต่างไปทั่ว เที่ยวไปแจ้งความในมาตรา 112 ตามอคติของตน สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ต้องถามว่าการปกป้องสถาบันฯ ด้วยวิธีการของอันธพาลแบบนี้ ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่

‘พีระพันธุ์’ ชู ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ แก้ปัญหาคนเบี้ยว กยศ. ใช้แรงงาน-ความรู้ ทำงานให้รัฐแทนการใช้เงินคืน

(20 เม.ย.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบาย ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ ว่า เป็นนโยบายที่พรรคจะนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้ภาครัฐ เช่น หนี้จากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่มีข้อถกเถียงกันมากก่อนหน้านี้ว่า จะยกเลิกหรือจะฟ้องร้องบังคับคดีกับผู้ที่ไม่ยอมใช้หนี้กองทุนฯ หลังจากที่กู้ยืมไปแล้ว โดยเห็นว่านโยบายการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาดังกล่าว มีจุดประสงค์สำคัญคือ การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่ขาดโอกาสได้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรู้จากการศึกษา โดยเด็กจำนวนมากไม่มีเงินทุนพอที่จะเรียน จึงเกิดโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาขึ้นมา แต่เมื่อเข้าไปเรียนแล้วได้ความรู้มาแล้ว หลายคนไม่ยอมกลับมาใช้หนี้กองทุนที่กู้ยืมไปจนกลายเป็นปัญหาส่งไปถึงรุ่นน้องๆ ต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า หากพิจารณาจากผู้ที่ไม่กลับมาใช้หนี้ กยศ.นี้จะเห็นได้ว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ตั้งใจจะไม่ใช้หนี้คืนเลยกลุ่มคนประเภทนี้จำเป็นต้องจัดการเด็ดขาด ด้วยการฟ้องร้องบังคับคดีเพราะเป็นคนที่ตั้งใจไม่ใช้หนี้ ทำให้รุ่นน้องเสียโอกาส 

ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งใจโกง แต่ประสบปัญหายังหางานทำไม่ได้ หรือได้งานแต่ว่าเงินเดือนไม่เพียงพอ เขาไม่อยากโกงแต่ไม่มีเงินใช้

รู้จัก 'โสภาพรรณ สุมาวงศ์ สาลีรัฐวิภาค' กุลสตรีแสนเพียบพร้อม ผู้เป็นมารดาของหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘โสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค’ ลูกสาวคุณพระ-ดาวจุฬาฯ สตรีผู้ที่มีความดี และความงามเหนือกาลเวลา บุตรสาวของพระมนูเวทย์วิมลนาท หรือมนูเวทย์ สุมาวงศ์ อดีตประธานศาลฎีกา กับคุณหญิงมนูเวทย์ วิมลนาท หรือแฉล้ม สุมาวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน Convent of the Holy Infant Jesus เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย แล้วเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับการยกย่องเป็นดาวจุฬาคนแรก เป็น ‘ดาวจุฬา’ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งวงดนตรีสุนทรพร ได้แต่งเพลงดาวจุฬาฯ และครูแก้ว อัจฉริยะกุล แต่งเพลงขวัญใจจุฬาฯ ซึ่งมีชื่อของท่านปรากฏในนั้นทั้งสองเพลง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีผิวพรรณ หน้าตางดงาม มีความเป็นกุลสตรีเพรียบพร้อมและเรียนเก่ง ทั้งยังเข้าร่วมกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอ

เพลงดาวจุฬาฯ มีเนื้อร้อง ดังนี้

“ภายในจุฬาฯ เขตจามจุรีรั้วสีชมพู เห็นนางคนหนึ่งงามหรู สวยเป็นดาราที่รู้ทั่วไป แม่เป็นขวัญตาแก่ชาวจุฬาฯ สมค่าพึงใจ จะมองแห่งใด ถูกตาถูกใจ ไม่มีแห่งไหนลวงตา ชวนนิยม โฉมที่คนงามข่มคำกวี เฉิดฉวี รัชนี มิเทียมเทวี แม่เป็นศรีจุฬาฯ รูปสอางค์ รูปอย่างนางฟ้าสรรค์สร้างให้มา เกิดเป็นดาวจุฬาฯ เด่นดาราเหล่าจุฬาฯ ต่างก็พากล่าวว่านางสวยเฉิดฉันท์ ‘โสภาผ่องพรรณ’ แม่งามกว่าจันทร์ เหมือนขวัญจุฬาฯ สวยจนดาวอื่นอิจฉา เย้ยดวงดาราหมดฟ้ารวมกัน แม่งามละมุน เกิดมาคู่บุญเนื้ออุ่นลาวัลย์ เหล่าชายผูกพัน จุฬาฯ ใฝ่ฝันเพียงยิ้มเท่านั้นลานใจ ดาวสังคมนั้นยังงามไม่ข่มดาวจุฬาฯ งามหนักหนา แม้นใครมาเห็นดาวจุฬาฯ ตื่นผวาอาลัย กล่าวให้ซึ้ง พร่ำรำพึงมิได้ครึ่งทรามวัย ดาวจุฬาฯ คือใครอยู่ที่ใดเลิศวิไล เด่นปานใด เหล่าจุฬาฯ รู้ข่าวนั้น”

เพลงขวัญใจจุฬาฯ มีเนื้อร้อง ดังนี้

“(สร้อย) ขวัญเอยขวัญใจจุฬาฯ โฉมเจ้า ‘โสภาผ่องพรรณ’ สวยเอยสมเป็นมิ่งขวัญ ล้ำลาวัณย์ขวัญจุฬาฯ น่ารักเอย จอมใจจุฬาฯ เป็นยอดยุพากว่าใคร ขอเพียงฝากใจน้อมให้สุดา จอมเอยจอมใจพิลาศพิไลหนักหนา ขวัญเอยแม่ขวัญตา งามคู่จุฬาฯ เสมอเอย(สร้อย) บุญเอยบุญใด ถึงได้ขวัญใจอย่างนี้ โสภาผ่องศรีฤดีติดตา เธอเป็นจอมใจเป็นมิ่งฤทัยจุฬาฯ ขอเพียงแต่แม่ยุพาเป็นคู่จุฬาฯ เสมอเอย(สร้อย) ความดีความงามจงอย่ารู้ทรามเสื่อมไป ขอจงสดใสมิได้คลาดคลา อาภรณ์อันใดประดับไว้ในจุฬาฯ มิเทียบเท่าเยาวภา เป็นมิ่งจุฬาฯ เสมอเอย (สร้อย)”

หลังจากการสำเร็จการศึกษาได้เข้า Bank of America ต่อมาในปี พ.ศ. 2495 ได้สมรสกับพลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรองเลขาธิการรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงเศรษฐการ และเจ้ากรมพลังงานทหาร มีบุตร-ธิดาด้วยกันรวม 5 คน

ประเด็น สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างช้านาน

เมื่อไม่นานมานี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ  ได้กล่าวถึงประเด็น สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างช้านาน โดยระบุว่า

อย่าเพิ่งทิ้งประเด็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ระวัง ‘พีระพันธุ์-ลุงป้อม’ เสียบเงียบๆ

จนถึงวินาทีนี้ สังคมนอกวงจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีใครทราบว่า ตกลงตำแหน่งประธานสภา ที่จะต้องเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งนั้น เป็น ใคร เป็นโควต้าพรรคไทย ของก้าวไกล หรือเพื่อไทย

ภูมิธรรม เวชชยชัย เสี่ยอ้วน แห่งเพื่อไทย ไข่ข่าวเล่าแจ้งว่า จนถึงเวลานี้ยังอยู่ในจุดเดิม คือจุดที่เพื่อไทยยืนยัน เมื่อก้าวไกลได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารไปแล้ว กับจำนวน ส.ส.ในมือ 151 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง พรรคอันดับสอง จึงควรได้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

แต่เพื่อความชัวร์ ก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ยืนยันว่า ประธานสภาต้องเป็นของก้าวไกล ชัวร์ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และการบรรจุระเบียบวาระสำคัญๆต่างๆของรัฐบาล

ที่จะต้องระวังเป็นที่สุด คือ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส.แล้ว จะต้องมีคนไปร้องซ้ำ ให้ กกต.พิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของพิธาว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ประธานสภา ถ้าเป็นของเพื่อไทยจะกล้าบรรจุวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อของพิธาจ่อเข้าโหวตอยู่หรือไม่ เพื่อความชัวร์ก้าวไกล จึงต้องได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

ที่ประชุมของคณะทำงานจัดตั้งรัฐบาลจบลงตรงที่ให้เพื่อไทย และก้าวไกล ไปหารือกันเอง ซึ่งเพื่อไทยก็ยืนยันในข้อเสนอเดิม ก้าวไกลรับไปพิจารณา แต่ไม่มีคำตอบกลับมายังเพื่อไทย “เงียบสนิท”

จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคณะหลอมรวม ไม่รู้มีข้อมลอินไซเดอร์มาจากไหน จึงออกมาฟันธงว่า “พิธา-อุ้งอิ้ง-เศรษฐา” ไม่มีใครได้เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่พรรคร่วมยังคุยกันไม่ลงตัว
“จตุพร”ฟันธงด้วยว่า น่าจะมีประธานสภาปรองดอง จะชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ” อดีตรองประธานสภา ซึ่งพ่อมดดำเป็นชื่อที่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนี้เพื่อความปรองดอง

ไม่มีใครปฏิเสธว่า สุชาติ เป็นผู้มากบารมี รู้จักนักการเมืองทั้งขั้วประชาธิปไตยและขั้วรัฐบาลเก่า แม้วันนี้ พ่อมดดำจะสังกัดเพื่อไทย แต่ก็มีลูกน้องเก่าอยู่ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย อยู่ไม่น้อย

ประเด็นอยู่ที่ว่า ไม่ว่าใครจะเป็นประธานสภา และบรรจุระเบียบวาระเลือกนายกรัฐมนตรี เข้าสู่การพิจารณา ในสถานการณ์ที่อะไรก็ยังไม่ลงตัว ก้าวไกล เสนอชื่อพิธา ชิงนายกรัฐมนตรี ส่วนซีกรัฐบาลเดิม เช่น พลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคลงชิง หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค ลงแข่งด้วย ก็อาจจะมีเกมพลิกได้

เกมพลิก เพราะซีกรัฐบาลเดิมมีอยู่ 188 เสียง เมื่อบวกรวมกับ สว.250 เสียง ก็จะมีเสียงรวมกับ 438 เสียง หรือตัดไปสัก 50 เสียง ก็ยังมากพอที่จะชนะโหวตได้ และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ขอให้ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน เชื่อว่า จะมี ส.ส.เลื้อยไหลเข้ามาเอง หรือด้วยแรงดูดมากินกล้วย ฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านเก่า แต่ป้อนกล้วย ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้กิน รัฐบาลเสียงข้างน้อยก็พอจะถูกไถไปได้

การเมืองไทยไม่มีอะไรแน่นอน อย่าได้ประมาทกับคำทำนายของจตุพร โดยเฉพาะประเด็นจะมีงูเห่าเลื้อยเพ่นพ่านเต็มสภา   

‘พีระพันธุ์’ ประกาศชัด ไม่มีวันทิ้งคนดีๆ แบบ ‘ลุงตู่’ ลั่น!! ขอทำหน้าที่เลขาฯ นายกฯ จนวินาทีสุดท้าย

(22 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายวานยากทำเนียบรัฐบาลว่า หลังมีกระแสข่าวว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เตรียมยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง ก่อนเข้ารายงานตัวเป็น ส.ส. ต่อสภาผู้แทนราษฎร

ล่าสุด เวลา 09.05 น. นายพีระพันธุ์ โพสต์ข้อความ บนเฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยันว่า จะอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จนวินาทีสุดท้ายในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 66 มีการรายงานข่าวทางสื่อมวลชนบางฉบับว่าผม ‘ทิ้งลุงตู่’ หรือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ก็ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และมีการสอบถามผมมาอย่างเข้าใจผิดมากมายว่าผม ‘ทิ้ง’ ท่านนายกรัฐมนตรีทำไม

ผมขออนุญาตเรียนให้ทราบกันครับว่าคนอย่างผมไม่มีวันที่จะทิ้งคนดีๆ อย่างท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  โดยเด็ดขาด

วันนี้ผมยังอยู่กับท่านและยังคงทำงานให้ท่าน ในตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตามปกติทุกวัน

ผมพูดอยู่เสมอว่า ผมมีความสุขที่ได้ทำงานกับท่านและมันก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น การได้เจอคนดีนับเป็นโชคดีของชีวิต การได้เจอและได้ทำงานกับคนดีๆ ยิ่งต้องถือว่าทั้งโชคดีและเป็นกำไรของชีวิต ที่ได้ซึมซับและได้เรียนรู้เรื่องดีๆ จากคนดีๆ ยิ่งเป็นคนดีที่รักชาติบ้านเมืองรักสถาบันยิ่งชีวิต ก็ยิ่งต้องถือว่าเป็นโชคมหาศาลของชีวิต

ผมขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันนะครับ ว่าผมเลือกที่จะอยู่กับท่านจนวินาทีสุดท้ายในการทำงานของท่าน และการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของคนไทยและประเทศไทย

ตามนี้นะครับ”

‘เอกนัฏ’ ปัด รทสช. ส่งชื่อ ‘พีระพันธุ์’ แข่งโหวตนายกฯ ย้ำ!! ไม่หนุนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อัดคนปล่อยข่าวเท็จ

‘เอกนัฏ’ ยืนยันพรรคไม่เสนอชื่อ ‘พีระพันธุ์’ แข่งนายกฯ กับ ‘พิธา’ ระบุ รทสช. มีเพียง 36 เสียงไม่เคยมีแนวคิดและสนับสนุนตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อัดมีความพยายามสร้างข่าวเท็จให้เข้าใจผิด ย้ำจุดยืนไม่รับนายกฯ หรือรัฐบาลที่จะแก้หรือยกเลิก ม.112

(6 ก.ค. 66) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงถึงจุดยืนทางการเมืองของพรรค โดยระบุว่า…

“ขอยืนยันว่าการที่ #รทสช ส่งคุณวิทยาฯ สู้กับก้าวไกลในการโหวตรองปธ.สภา เป็นการสู้เพื่อแสดงจุดยืน ไม่นำมาสู่การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างแน่นอน

การโหวตประธานสภาและนายกรัฐมนตรีมีกลไกที่แตกต่างกันครับ

การโหวตประธานสภาฯ จะใช้ ‘เสียงส่วนมาก’ ในที่ประชุม ใครที่ถูกเสนอชื่อแล้วได้คะแนนมากสุดจะได้เป็น หรือหากไม่มีคู่แข่งก็ได้เป็นเลยโดยที่ไม่ต้องโหวตแข่ง

ต่างจากการโหวตนายกฯ ที่ต้องได้ ‘คะแนนเสียงไม่ตํ่ากว่ากึ่งหนึ่ง’ (หรือ 375) ของรัฐสภา หากเสนอชื่อมาคนเดียว ก็ไม่ได้เป็น จะได้เป็นก็ต่อเมื่อข้ามรั้ว 375 เสียงไปได้เท่านั้น

ดังนั้น ในการโหวตรองประธานสภาฯ หากเราไม่ส่งคุณวิทยาไปแข่ง ก็เท่ากับเราสนับสนุนให้แคนดิเดตของพรรคก้าวไกลเป็นรองประธานสภาโดยอัตโนมัติ เราจึงส่งแข่ง เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัด ถึงแม้ทราบดีอยู่แล้วว่าแทบจะไม่มีโอกาสชนะเลยก็ตาม

ส่วนการโหวตนายกรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีกระแสข่าวว่า รทสช.จะส่งคุณพีระพันธุ์แข่งกับคุณพิธานั้น ไม่เป็นความจริงครับ

ผมเองอยากเห็นคุณพีระพันธุ์เป็นนายกฯ และเชื่อว่าท่านจะเป็นนายกฯ ที่ดีเพราะท่านเป็นนักการเมืองนํ้าดี สุจริต เที่ยงธรรม แต่ต้องยอมรับว่าพรรคเรามีเพียง 36 เสียง ไม่พอที่จะไปเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

และคุณพีระพันธุ์กับผม ก็ไม่เคยมีความคิด และไม่สนับสนุนการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาฯ อย่างเด็ดขาด ถึงจะตั้งไปก็อยู่ไม่ได้ครับ

อย่างไรก็ตาม การแสดงจุดยืนว่า เราไม่รับนายกฯ หรือรัฐบาลที่จะแก้หรือยกเลิก ม.112 สามารถทำได้ด้วยวิธีไม่โหวต โหวตไม่รับ หรืองดออกเสียงครับ ไม่ต้องส่งแข่งก็สู้ได้ (ต่างจากรองประธานสภาฯ)

การไม่ส่ง ไม่โหวต หรืองดออกเสียง ด้วยกลไกการโหวตที่ไม่เหมือนกัน จึงมีผลไม่เหมือนกัน

มีคนพยายามกุข่าวลือ สร้างข่าวเพื่อให้การต่อสู้ของเรานั้นสูญเสียความชอบธรรม เข้าใจผิดคิดว่าเป็นขบวนการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

ผมขอปฏิเสธชัดๆไปเลย ว่า “เราไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย” หากจะต้องเป็นฝ่ายค้านก็เป็นครับ คุณพีระพันธุ์ ผม และเพื่อน ส.ส.ของ #พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ติดใจ

การจะได้เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ไม่สำคัญไปกว่าการรักษาจุดยืนของเราครับ

เราจะทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ สร้างความมั่นคงให้ชาติ สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ สร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ผดุงความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรม

แต่จะ #ไม่แก้112 #ไม่เปลี่ยนวันชาติ #ไม่แบ่งแยกดินแดน เราจะผลักดันการเปลี่ยนแปลงด้วยการเสริมเติมต่อจากสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่แล้วในประเทศของเราครับ
#รวมไทยสร้างชาติ #เลขาขิง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top