Monday, 6 May 2024
บิ๊กเด่น

บิ๊กเด่น สั่ง PCT รวบตัว อดีตทหารกัมพูชา หลบหนีมาซุกไทย หลังก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงเน็ตไอดอล ชาวกัมพูชาเสียชีวิต

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 63 ได้เกิดเหตุ นายวันเด็ด  เยือน (MR.YEUN VANDET )ซึ่งเคยรับราชการทหารในประเทศกัมพูชา ได้ก่อเหตุฆาตกรรมแฟนสาวของตนเอง ด้วยการใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงเข้าที่บริเวณศรีษะ ทำให้แฟนสาวเสียชีวิตในทันที เหตุเกิดที่ H03 Street B.T, Kantouk Cheung Village, Kantouk Commune, Kambol District, Phnom Penh Municipality, Cambodia. ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญเป็นที่สนใจของประชาชนชาวกัมพูชาเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ตายเป็นเน็ตไอดอล หน้าตาดีมีชื่อเสียงในโลกโซเชียลของประเทศกัมพูชา และมีการตั้งข้อสังเกตุสภาพศพของผู้ตายที่บริเวณใบหน้า มีลักษณะ “ยิ้ม” ขณะเสียชีวิต และมีหมายจับศาลชั้นต้นพนมเปญ ที่ 418/2020 ลงวันที่ 10 เม.ย. 63 ข้อหา "Muder" (ฆาตกรรม) ทางกรมตำรวจ ประเทศกัมพูชาโดย พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประเทศกัมพูชา ได้ประสานงาน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร (PCT) ช่วงการประสานงานทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ ประเทศกัมพูชาจึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 / หน.ชป.5 ศปอส.ตร. (PCT 5) เฝ้าสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีดังกล่าวเพื่อเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

ต่อมาได้สืบทราบว่านายวันเด็ดฯผู้ก่อเหตุได้หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ ปี 2563 หลบซ่อนตัวในประเทศไทยจนได้รายงานให้พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ทราบ โดยให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 /หน.ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.(สอบสวน) บก.สส.ภ.2 / รอง หน.ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 พ.ต.อ.จักราวุธ  คล้ายนิล ผกก.สส.จว.ระยอง พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี ร.ต.อ.ภัสส์กร เฉลียวบุญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุด หน.ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ร่วมกันจับกุมตัว

ล่าคนโกงตัวแม่!! สืบนครบาล IDMB ตามรวบ 'นภาพร หรือหวาน'ลำปลาทิว ผู้เสียหายรวมตัวกว่า 600 คน ตั้งกลุ่มไล่ล่า

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหายว่าถูกคนร้ายชื่อ “ นภาพร หรือหวานก่อเหตุโดยสร้างเฟซบุ๊กชื่อบัญชีต่างๆ หลอกให้โอนเงินค่าสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงขนาดมีการรวมตัวกันกว่าหกร้อยคน ตั้งกลุ่มเฟซบุ๊ก ชื่อ “ จับคนโกง นภาพร-แสงจันทร์-ปนัดา-ปภัสสร-สุขใจ - napaporn sangjan ” เพื่อรวมตัวกันแชร์ประสบการณ์ แนะวิธีการเก็บข้อมูลพยานหลักฐานเพื่อแจ้งความดำเนินคดีเมื่อถูกก่อเหตุ ตลอดจนหาวิธีการช่องทางเพื่อประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการล่าตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้เสียหายที่รวมกลุ่มได้มีการประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. เพื่อให้เร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาคนดังกล่าวซึ่งยังหลบหนีก่อเหตุต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558   คนร้ายมีความคิดว่าถ้าโกงผู้เสียหายในจำนวนยอดเงินโกงไม่เกิน 2,000 บาท น่าจะไม่ค่อยมีผู้เสียหายติดตามดำเนินคดี มูลค่าความเสียหาย 2 ล้านบาท ประวัติอาชญากรรมสะอาด

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 19.30 น. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ,พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ , พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น.
ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว 
น.ส.นภาพร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 148 ถนนฉลองกรุง แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 
ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 95/2564 ลงวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ”

โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณข้างร้านสะดวกซื้อ ถนนประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ

ผบ.ตร. ชื่นชม หนุ่มไรเดอร์ พลเมืองดี ทิ้งรถจยย.วิ่งเข้าช่วยเหลือเด็กน้อย ก่อนจะถูกรถเฉี่ยวชน จนรอดหวุดหวิด ยกย่องตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม

วันนี้ 7 มี.ค.2566 เวลา 11.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบรางวัลโครงการ “ทำดี มีรางวัล” แก่พลเมืองดี หนุ่มไรเดอร์ นายพีรพงศ์ ชุมพลวดี อายุ 31 ปี ที่โดดลงจากรถจักรยานยนต์ วิ่งเข้าช่วยเด็กน้อยที่กำลังวิ่งออกถนน โชคดีช่วยได้ทันก่อนที่รถยนต์จะขับผ่านไป ปลอดภัยทั้งคู่รอดหวุดหวิด เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่  5 มีนาคม พ.ศ.2566 เวลาประมาณ 15.00 น. บริเวณริมถนนพระองค์เจ้าสาย ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ขณะที่ นายพีรพงศ์ ชุมพลวดี พลเมืองดี ซึ่งมีอาชีพเป็นไรเดอร์ ได้ไปรับอาหารในหมู่บ้านแห่งหนึ่งตรงจุดที่เกิดเหตุ ได้สังเกตเห็นเด็กกำลังวิ่งออกจากหมู่บ้านข้ามถนนไปหาผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยู่บริเวณเกาะกลางถนน ซึ่งเด็กวิ่งพุ่งตัวออกมาด้วยความเร็ว 

นายพีรพงศ์ฯ จึงตัดสินใจทิ้งรถจักรยานยนต์ พร้อมกล่องใส่อาหารท้ายรถลงพื้น และรีบวิ่งไปคว้าตัวเด็กไว้ได้ ก่อนที่จะมีรถยนต์ขับมาด้วยความเร็ว รอดจากการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างหวุดหวิด เหตุการณ์ดังกล่าวได้ปรากฏตามคลิปวีดีโอ ซึ่งถูกส่งต่อแพร่หลายในสังคมออนไลน์ สร้างความประทับใจ และได้รับความชื่นชมจากสังคม เป็นอย่างมาก

ตำรวจไซเบอร์ เตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก ล่าสุดแอบอ้างอดีต รอง ผบ.ตร. ข่มขู่ให้เหยื่อโอนเงิน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอฝากเตือนภัยมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดังนี้ 
ในปัจจุบันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้สร้างความเสียหาย และความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องมาจากสามารถเข้าถึงประชาชนได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าเป็นจากสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ จากการส่งข้อความสั้น (SMS) รวมไปถึงผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ซึ่งมีรูปแบบการทำงานเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน หลอกลวงเหยื่อโดยการใช้ความกลัว ความโลภ และความไม่รู้ของประชาชนเป็นเครื่องมือ ที่ผ่านมาพบว่ามีหลากหลายรูปแบบ เช่น การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่บริษัทขนส่งสินค้า แจ้งไปยังผู้เสียหายว่าบัญชีธนาคาร หรือพัสดุที่ส่งไปต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด หรือบัญชีธนาคารของผู้เสียหายถูกอายัด เป็นหนี้บัตรเครดิต เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด การฟอกเงิน มีหมายจับ หรือหลอกลวงว่าได้เช็คเงินคืนภาษี หรือหลอกถามข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปปลอมแปลงในการทำธุรกรรมต่างๆ รวมถึงการหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมเพื่อฝังมัลแวร์ควบคุมโทรศัพท์มือถือโอนเงินออกจากบัญชี เป็นต้น


ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน บช.สอท. ได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายหลายรายว่าถูกมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง สร้างความน่าเชื่อถือโดยการแจ้งชื่อนามสกุล และหมายเลขพนักงานให้ผู้เสียหายทราบ แล้วแจ้งผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เนื่องจากผู้เสียหายได้ใช้บัตรเครดิตธนาคารดังกล่าวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท จากนั้นได้โอนสายต่อไปยังมิจฉาชีพอีกรายอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สังกัด สภ.เมืองพิษณุโลก ให้ผู้เสียหายแอดไลน์บัญชีไลน์ตำรวจปลอม ข่มขู่ว่าผู้เสียหายว่าจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ให้โอนเงินที่มีในอยู่บัญชีมาให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน รวมถึงมีการส่งเอกสาราชการปลอมให้ผู้เสียหายตรวจสอบ มีการสร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้เสียหายได้ยินเสียงว่ามิจฉาชีพอยู่ที่สถานีตำรวจจริง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารที่มิจฉาชีพเตรียมไว้

ต่อมาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ข่มขู่ผู้เสียหายอีกว่าจะต้องถูกดำเนินดดี และต้องถูกฝากขัง 90 วัน แต่ผู้กำกับการ สภ.เมืองพิษณุโลก สามารถช่วยเหลือไม่ให้ไม่ถูกดำเนินคดีได้ แนะนำให้แอดไลน์ไปพูดคุยขอความช่วยเหลือ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้แอดไลน์บัญชีตำรวจปลอมดังกล่าว ภายหลังทราบว่ารูปภาพโปรไฟล์ และชื่อบัญชีไลน์ดังกล่าว เป็นรูปและชื่อของอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ระดับรอง ผบ.ตร. ซึ่งในระหว่างที่พูดคุยกันนั้น มิจฉาชีพเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยการไลน์วิดีโอคอลมายังผู้เสียหาย และทำการส่งภาพว่ากำลังตรวจสอบเงินที่ผู้เสียหายโอนมาให้ตรวจสอบ มิจฉาชีพข่มขู่เหยื่ออีกว่าต้องโอนเงินมาประกันตัว ให้รายงานตัวทุกๆ 2 ชม. อ้างว่ามีระบบติดตามตัว ห้ามหลบหนี ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงโอนเงินไปให้มิจฉาชีพได้รับความเสียหายจำนวนมาก 


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยจากมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโทรศัพท์ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง


สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง รวมถึงวางมาตรการป้องกันสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ


ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชาผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ
การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน ” หรือกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 


โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้ร่วมกันหาแนวทาง และวางมาตรการป้องกันในการแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ต่างๆ ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นโครงการไซเบอร์วัคซีน การทำบันทึกข้อตกลง (MOU) การแก้ไขการรับจ้างการเปิดบัญชีม้า การครอบครองซิมโทรศัพท์มือถือ การอายัดบัญชีธนาคารให้ทันท่วงที การตรวจจับบัญชี หรือธุรกรรมการเงินที่ต้องสงสัย และการยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมการเงินที่มีวงเงินสูง เป็นต้น  
 

ผบ.ตร.เอาจริง สั่งตำรวจคุมเข้มยกระดับแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เร่งบังคับใช้กฎหมาย รถควันดำ ลักลอบเผา โรงงาน การก่อสร้าง ที่ก่อเกิดมลพิษ เน้นบูรณาการร่วมทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาทุกมิติ ตามนโยบายรัฐบาล

วันนี้ (14 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “ ตามข้อสั่งการความห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต่อประชาชนกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐานที่เกิดขึ้น โดยให้ทุกหน่วยบูรณาการยกระดับร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกมิติ


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขานรับนโยบาย สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ตร.ยกระดับเพิ่มมาตรการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐาน ที่มีมาจากหลายสาเหตุทั้ง การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่งแจ้ง การเกิดไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และหมอกควันต่างๆ  
ผบ.ตร.ได้มีวิทยุสั่งการ ไปยังทุกหน่วยให้ดำเนินการดังนี้

1) เพิ่มความเข้มตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวดกับผู้ที่นำรถยนต์ที่มีลักษณะปล่อยพิษควันดำมาใช้บนถนน  ออกคำสั่งห้ามใช้รถที่ก่อให้เกิดมลพิษ รวมทั้งบูรณาการร่วมกับขนส่ง หน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

 

2) เพิ่มมาตรการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้ปล่อยมลพิษทางอากาศ และการก่อสร้างที่ก่อให้เกิดฝุ่น


3) ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผาพืชไร่และพื้นที่เพาะปลูก การเผาในที่โล่งแจ้ง และกิจการที่ก่อให้เกิดอันตราย 

ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชน

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น  และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชนนั้น 


วันนี้ (14 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง  ผู้ช่วย ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันแถลงข่าว   เกี่ยวกับสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมา   และภัยออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ในรอบสัปดาห์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์   ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ  โดยมีรายละเอียด ดังนี้  


ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา(1 มี.ค.2565-11 มี.ค.2566) พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 73,252 เคส/955,427,866 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม  29,945 เคส/3,323,194,517 บาท 3) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน   24,821 เคส/1,034,104,918 บาท 4) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ (call center) 20,013 เคส/3,505,338,808 บาท 5) คดีหลอกให้ลงทุน(ที่ไม่เข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน)16,460 เคส/7,661,884,637 บาท  6) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า(เป็นขบวนการ)8,036 เคส/57,293,969 บาท 7) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 7,285 เคส/  254,219,605 บาท 8) คดีหลอกให้โอนเงิน(ไม่เป็นขบวนการ) 5,286 เคส/  369,123,851 บาท 9) คดีหลอกให้รักแล้วลงทุน 3,201 เคส/  1,556,536,563 บาท และ 10)หมิ่นประมาท ดูหมิ่น 3,171 เคส/  11,641,372 บาท รวมทั้งปีมีผู้แจ้งความ 218,210 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 31,579,305,746 บาท  


ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 มี.ค.2566)  พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์  5 อันดับแรก   ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2,184 เคส/19,075,526.61 บาท     2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 758 เคส/87,227,644.38 บาท    3) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center)739 เคส/87,227,644.38  บาท  4) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 576 เคส/  23,697,409.86 บาท  และ 5) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 312 เคส/8,273,770.68  บาท รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ  5,787  เคส/มูลค่าความเสียหายรวม 377,284,886  บาท  

 
จากสถิติรับแจ้งความออนไลน์ทั้งรอบปีและรอบสัปดาห์ข้างต้นพบว่า สถิติอันดับ 1-4  ยังคงอยู่ในลำดับต้นๆเหมือนเดิม จึงขอเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อแก๊งค์มิจฉาชีพดังกล่าว  
ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ คือ คดีแก๊งค์ call center แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและได้โทรศัพท์หาผู้เสียหายให้ตรวจสอบสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใน Website กระทรวงการคลัง จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนใน line ช่วงนี้คนร้ายส่ง link กระทรวงการคลังปลอมให้ผู้เสียหายกดเข้าไป ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายกดที่โลโก้ของกระทรวงการคลังมุมขวามือ  ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังจริง  จึงยินยอมกด link  เข้า Website ปลอม และกรอกข้อมูลชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์  ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวในระบบ  และใส่รหัสยืนยันตัวตน  เลข 6 หลัก  ต่อมาผู้เสียหายกรอกเลข OTP 6 หลักให้คนร้ายเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ผู้เสียหายถูกควบคุมโทรศัพท์และถูกดูดเงินออกไป จึงขอประชาสัมพันธ์ว่าจงมีสติไม่หลงเชื่อ ไม่กรอกหรือให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางออนไลน์และทางโทรศัพท์    

ไม่ควรกระทำการใดๆใน  Website   หรือ  Application ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่กด link แปลกปลอม และไม่ดาวน์โหลด Application ที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ   

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่”

ตามที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ได้กำหนดเป้าหมายหลักของการปฏิรูปประเทศ พร้อมทั้งได้กำหนดหลักการและแนวทางการปฏิรูปประเทศ รวมถึงมีพระราชบัญญัติ
แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560  และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้าง วิธีการ และกระบวนการ หรือกฎระเบียบ
ที่สำคัญเพื่อให้การดำเนินงานของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลอันพึงประสงค์
ตามรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ นั้น 


โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.62  ที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติตั้งแต่งคณะกรรมาธิการการกฎหมาย 
การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภาขึ้น โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามนโยบายด้านกฎหมาย 
การบริหารงานยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม การตำรวจ อัยการ และราชทัณฑ์ การปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การพัฒนากลไกและวิธีการปฏิบัติงานกิจการตำรวจให้มีประสิทธิภาพ ร่วมถึงการพิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ


โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของการแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาแจ้งความ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดให้มีการจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ในหัวเรื่อง “การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่” ขึ้น ในวันอังคาร ที่ 14 มี.ค.66 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ชัชวาลย์  สุขสมจิตร์ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาฯ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมพิธีฯ 

ผบ.ตร.ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ก.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ นับเป็นครั้งแรกของตำรวจ โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งระดับ รอง ผกก.ขึ้นไป บรรยายกาศภาพรวมทั่วประเทศ คึกคัก เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

วันนี้ (15 มี.ค.66 ) ณ สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เดินทางมาเลือกตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ มาทำหน้าที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 พร้อมข้าราชการตำรวจที่มีสิทธิเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  และเจ้าหน้าประจำหน่วยเลือกตั้ง คอยควบคุมการเลือกตั้ง

 
ทั้งนี้การเลือกตั้ง ก.ตร.ครั้งแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ กำหนดวันเลือกตั้งพร้อมกัน คือในวันนี้ (15 มี.ค.66) เวลา 08.30-16.30 น. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  กำหนดให้ ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามต่างจังหวัดให้เลือก ณ สถานที่ประจำจังหวัดนั้นๆ ที่กกต.กำหนด  ส่วนตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ใน กทม.หรือส่วนกลาง ใช้สโมสรตำรวจ


โดยบรรยายกาศการเลือกตั้ง ก.ตร.ของข้าราชการตำรวจเป็นไปด้วยคึกคัก ตำรวจต่างตื่นตัวมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 


ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จะเป็นข้าราชการตำรวจตั้งแต่รอง ผกก. หรือเทียบเท่าขึ้นไปมีประมาณ 13,000 กว่าคน กำหนดให้ 1 บัตร เลือกได้ไม่เกิน 6 คน แบ่งเป็นเลือกผู้สมัครผู้ทรงวุฒิประเภท (ก) ได้ไม่เกิน 3 คน และ เลือกผู้สมัครผู้ทรงวุฒิประเภท (ข) ได้ไม่เกิน 3 คน 


สำหรับผู้สมัครผู้ทรงวุฒิประเภท (ก) คุณสมบัติ ต้องเคยเป็นข้าราชการตำรวจระดับ ผบช.ขึ้นไป และพ้นจากความเป็นข้าราชการตำรวจเกิน 1 ปี มีผู้สมัคร 23 คน ต้องเลือกให้เหลือ 3 คนประเภท ข. ผู้ได้รับการเสนอชื่อ 6 คน เลือกได้ 3 คน 
   

ผบ.ตร.ขอบคุณ จนท.ทุกนาย ที่ช่วยให้เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ตามหลักยุทธวิธี ส่วนผู้ก่อเหตุอาการยังสาหัส ย้ำเป็นผู้ป่วยที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ มีอาการทางจิต ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่การงาน พร้อมจะเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

วันนี้ (15 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงเหตุ พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ สารวัตรสันติบาลคลั่งในพื้นที่สายไหมว่า “ ขณะนี้ ตำรวจได้ควบคุมสถานการณ์ และให้ประชาชนบริเวณที่เกิดเหตุเข้าที่พักเรียบร้อย โดยทาง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ขอบคุณ ชมเชยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และหน่วยร่วมปฏิบัติทุกนาย ที่ช่วยให้เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี และขอบคุณพี่น้องประชาชนในที่เกิดเหตุ ที่ยืนปรบมือให้กำลังใจผู้ปฏิบัติทุกนาย ถือเป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน

 
ส่วนการปฏิบัติทางยุทธวิธีที่เกิดขึ้นนั้น ท่าน ผบ.ตร. ได้มีการติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ได้ลงพื้นที่มาควบคุมด้วยตนเอง ต้องยอมรับว่า สารวัตรคนก่อเหตุ มีอาการไม่ปกติ การดำเนินการต้องใช้ความระมัดระวัง คำนึงถึงความปลอดภัยทั้งของคนก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน และประชาชน จึงต้องระมัดระวังในการดำเนินการตามหลักยุทธวิธีอย่างที่สุด มีการเจรจาต่อเนื่อง แต่ไม่เป็นผล จนตำรวจต้องตัดสินใจเข้าควบคุม เกิดการปะทะ ผู้ก่อเหตุได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล ขณะนี้อาการยังสาหัส อยู่ในการดูแลของแพทย์


ขอย้ำว่า การปฏิบัติการทุกอย่างเป็นไปตามหลักยุทธวิธี มีการประเมินหน้างานตลอด โดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.ที่ร่วมกันดูบริหารเหตุการณ์ รายงานให้ ผบ.ตร.ทราบโดยตลอด มีทีมชุดปฏิบัติการพิเศษ นักจิตวิทยา และส่วนที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เข้าร่วมทำงาน


 การจะเข้าปฏิบัติการ ไม่ได้คำนึงว่า ผู้ก่อเหตุเป็นใคร แต่เขาคือผู้ป่วยทางจิตที่มีความสามารถทางยุทธวิธี ที่เราจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้ผู้ก่อเหตุจะเป็นใครก็ตาม ก็คงปฏิบัติในการหลักการเดียวกัน คือ หลักความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนผู้บริสุทธิ์ 


ส่วนสาเหตุการก่อเหตุการคลั่งครั้งนี้ เบื้องต้นก็เป็นอาการทางจิต ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน แต่คงต้องรอการตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง โดยกรณีนี้เป็นผู้ป่วยทางจิต ทาง ตร.มีโรงพยาบาลตำรวจ กลุ่มงานจิตเวช คอยให้คำปรึกษา ที่ผ่านมา มีข้าราชการตำรวจที่มีอาการ หรือ มีความเครียดเข้ามาปรึกษาต่อเนื่อง กรณีของ พ.ต.ท.กิตติกานต์ ชุดปฏิบัติการสันติบาลได้ประสาน รพ.ตร. เพื่อมารับตัวไปรักษา แต่เกิดคุ้มคลั่งขึ้นก่อน 

ผบ.ตร.ส่งชุดเฉพาะกิจ ศปทส.ตร. นำโดย รองต่อศักดิ์ฯ ร่วมกับ ตำรวจภาค 2 เร่งตรวจสอบคดี สารซีเซียม 137 สูญหาย ทำความจริงให้ปรากฏ ย้ำดำเนินคดีผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องทุกราย หวั่นผลกระทบต่อประชาชน

เมื่อวันที่ 21 มี.ค.66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึง กรณี สารซีเซียม 137 สูญหายไปว่า “ คดีนี้ได้รับรายงานจากตำรวจว่า เมื่อ 7 มี.ค.66 เวลา 08.00 น. บริษัท เนชั่นแนล พาวเวอร์ แพลนท์ 5 เอ ตรวจพบว่าสารซีเซียม 137 สูญหายไปและ 10 มี.ค.66 ได้มาแจ้งความที่ สภ.ศรีมหาโพธิ ต่อมา 19 มี.ค.66 สำนักงานปรมณูเพื่อสันติ ได้ตรวจพบรังสีจากการหลอมของโรงงาน ที่ กบินทร์บุรี พื้นที่ สภ.ศรีมหาโพธิ   พงส.ได้รับคำร้องทุกข์ไว้ คดีอาญาที่ 363/2566 ในความผิดฐาน “ในกรณีที่เกิดอันตรายหรือเสียหายอันเกิดจากการประกอบกิจการตามใบอนุญาต ผู้รับอนุญาตมีหน้าที่ระงับเหตุเบื้องต้นตามแผนป้องกันอันตรายจากรังสี และต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบทันที รวมทั้งต้องให้ข้อมูลและให้ความร่วมมือแก่พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อแก้ไข บรรเทาหรือระงับซึ่งอันตรายหรือความเสียหายนั้น”  ตาม พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ฯ  มาตรา 100, 126 และ 143  คดีอยู่ระหว่างสอบสวนและร่วมประชุมกับคณะกรรมการจังหวัด เพื่อเรียก บริษัทฯ มาแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎหมายต่อไป


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้สั่งการเพิ่มเติม ให้สืบสวนสอบสวนทุกมิติทั้งประเด็น การสูญหายได้อย่างไร มีใครลักลอบเอาออกไป รวมทั้งแหล่งรับซื้อ การส่งผลกระทบต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม มีใครต้องร่วมรับผิด รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 


โดยมอบหมายให้ชุดเฉพาะกิจ ตร. มี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศปทส.ตร. รับผิดชอบทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. ตรวจสอบร่วมกับ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 พิสูจน์หลักฐาน และ กรมควบคุมมลพิษ  ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน ดำเนินการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีเอาผิด กับบุคคลที่กระทำผิดในกรณีนี้ ให้ครบทุกมิติ


โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า “ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประเด็นสารซีเซียม 137 สูญหาย ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ บูรณาการแก้ปัญหา
   

ผบ.ตร.รับนโยบาย จึงได้ส่งชุดเฉพาะกิจร่วมกับตำรวจพื้นที่ และหน่วยงานเกี่ยวข้องไขข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ขอเวลาตำรวจทำงาน ยืนยันจะเร่งทำความจริงให้ปรากฎ พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top