Sunday, 5 May 2024
WorldMaker

ปธ. FED ย้ำ!! เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัด แม้ต้องขึ้นดอกเบี้ยให้สูงขึ้นอีก ก็จะทำ!!

(23 มี.ค.66) World Maker เผย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ย้ำว่าถ้า FED จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยให้สูงขึ้นอีกเขาก็จะทำ !!! เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัด !

⚠️ ถือเป็นที่ชัดเจนมาก ๆ ว่าเป้าหมายหลักของ FED คือการควบคุม #เงินเฟ้อ ! แม้ Powell จะกล่าวว่าเขาสอดส่องดูแลเศรษฐกิจอยู่ แต่ยังไม่เห็นภัยคุกคามระดับร้ายแรงที่จะทำให้ตลาดทรุดหนักจน FED ต้องหยุดขึ้นดอกเบี้ยกะทันหัน !

ทั้งนี้ เขากล่าวว่า FED ยังไม่ได้ตัดสินใจไปถึงการประชุมรอบหน้าว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ? แต่ก็ได้กล่าวว่า “การลดดอกเบี้ยยังไม่ใช่ Base Case ของ FED ในตอนนี้”

และคณะกรรมการ #FOMC ก็ยังไม่ได้พูดถึงการประชุมเรื่องยกเลิก QT ด้วย แม้ว่าจะต้องอัดฉีดสภาพคล่องฉุกเฉินไปให้ธนาคารเล็ก ๆ แต่มันเป็นคนละเรื่องกับการ QT เพื่อดึงเงินออกจากระบบ ! ดังนั้น FED จะยังเทขายตราสารหนี้และ MBS ต่อไปอีกสักระยะเป็นอย่างน้อย !

“ยังมีทางเดินไปสู่ Soft Landing” Powell กล่าว พร้อมเสริมว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าวิกฤต BankRun จะส่งผลกระทบต่อการทำ Soft Landing ของ FED

นอกจากนี้ยังย้ำอีกว่า “มันมีราคาที่ต้องจ่าย” เพื่อให้เงินเฟ้อระยะยาวลดลงสู่ 2% อีกครั้ง และยังพูดถึงสถานการณ์ของ Credit Suisse ว่าเป็นเรื่องที่จบลงค่อนข้างดี แม้ตลาดจะมีความกังวลว่ามันจะเลวร้าย

ส่วนในเรื่องของการคุ้มครองเงินฝากผู้บริโภค #Powell กล่าวว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า “เรามีเครื่องมือในการปกป้องผู้ฝากเงิน โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจหรือระบบการเงิน” และแน่นอนว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะใช้เครื่องมือเหล่านั้น

📌 นี่เป็นไปตามหลัก #เศรษฐศาสตร์เคนส์ ที่ World Maker เคยอธิบายเอาไว้ ว่าหลักสำคัญคือการก้าวเข้ามาช่วยเหลือบริษัทอย่างไม่ต้องลังเลและไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยลดผลกระทบได้อย่างมาก กลับกัน หากปล่อยไว้ก็จะยิ่งลุกลามเสียหายหนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น !

หุ้นกลุ่ม Big Bank ใน Wall Street ติดลบเกือบยกแผงอีกครั้งในตอนนี้ ขระที่หุ้นเทคโนโลยีตัวใหญ่ ๆ ส่วนมากยังดีดเขียวสดใส ส่วนราคา #ทองคำ แกว่งตัวไปมาระหว่าง 1950-1970 $/Oz ขณะที่ #Bitcoin ร่วง -2% หลุดมา 27,500 ดอลลาร์อีกครั้ง

ผู้นำเยอรมนี ชี้ ธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศยังแกร่ง แม้มีข่าว Deutsche bank จะกลายเป็นโดมิโน่รายต่อไป

ใครที่ตามข่าวในตลาดการเงินอย่างต่อเนื่องก็คงจะรู้ดีว่าตอนนี้ Deutsche Bank ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีกำลังถูกจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก หลังมีข่าวว่า Credit Default Swap (CDS) ได้พุ่งขึ้นทำระดับ New High ใหม่เหนือ 200 จุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ! โดย CDS จะพุ่งขึ้นเมื่อตลาดกังวลว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่จะผิดชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ตอนนี้มีแรง Panic ว่า Deutsche Bank จะกลายเป็นรายต่อไปหลังจาก SVB และ Credit Suisse หรือไม่ ?

(26 มี.ค.66) World Maker เผยว่า Olaf Scholz ผู้นำของเยอรมนีได้ออกมาประกาศชัดว่าธนาคารยักษ์ใหญ่ของประเทศยังมีความแข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรอย่างดี! ทำให้ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะล้มเหมือนธนาคารอื่น ๆ ในก่อนหน้านี้ โดยเขาได้ปฏิเสธว่า Deutsche Bank มีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกับ Credit Suisse จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ความเห็นของเขาเป็นไปเช่นเดียวกับ Jerome Powell ประธาน FED รวมถึง Joe Biden ผู้นำสหรัฐฯ และ Christine Lagarde ประธานของ ECB ที่พยายามออกมาสร้างความมั่นใจให้กับตลาดว่าภาคธนาคารของชาติตะวันตกยังคงมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่ธนาคารกลางประกาศชัดเจนว่าได้เตรียมพร้อมสำหรับการ “จัดหาสภาพคล่อง” ในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

ทั้งนี้ ผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายกล่าวว่าวิกฤตครั้งนี้จะลุกลามไปใหญ่โตแน่นอน และทำให้เกิดการล่มสลายในระดับมหากาพย์ แต่ผู้ที่มองโลกในแง่ดีกล่าวว่าวิกฤตในครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤตใหญ่ ๆ ในอดีตอย่างเช่น Great Depression ปี 1930 และวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ซึ่งครั้งนี้จะผ่านไปได้ไม่รุนแรงเช่นนั้น เพราะมีความแตกต่างกันหลายอย่างและระบบการเงินโลกก็ถูกพัฒนาไปมากแล้วจากในอดีต แม้ว่าอาจเกิดความเสียหายในบางส่วนแต่ก็จะไม่ใช่หายนะ 

คำกล่าวของ Scholz เกิดขึ้นหลังจากหุ้น Deutsche Bank ร่วง -14% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนจะฟื้นตัวปิดตลาดที่ -8.53% พร้อมกับ CDS ที่พุ่งทำ New High และปรับตัวลดลงหลังจากนั้น ซึ่งโดยรวมแล้ว Deutsche Bank สูญเสีย Market Cap ไปราว 1 ใน 5 (-20%) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น (ไม่ต่างจากธนาคารอื่นๆ ใน Wall Street ที่สูญเสียมูลค่าไปเช่นกัน)

นั่นทำให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดจำนวนไม่น้อยยังไม่กล้าปักใจเชื่อคำกล่าวของกลุ่มผู้นำโลก แต่ก็ต้องบอกว่ามีนักวิเคราะห์บางคนที่มองในเชิงบวก ยกตัวอย่างเช่น Stuart Graham จาก Autonomous Research ที่ออกมากล่าวชัดเจนว่า Deutsche Bank จะไม่ใช่ Credit Suisse รายต่อไป

ขณะเดียวกันนี้ สถิติแสดงให้เห็นว่าลูกค้าแห่ถอนเงินอย่างน้อย -3.5 ล้านล้านบาทหรือ -1 แสนล้านดอลลาร์ออกจากธนาคารของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เกิดวิกฤต Bank Run ขึ้นมา ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาดเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับที่กองทุน Hedge Funds บางกลุ่มเริ่มเข้า Short Sell สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ! โดยมองว่าตลาดนี้จะได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่จากวิกฤตธนาคาร

ทั้งนี้ Hedge Funds จำนวนไม่น้อยกำลัง Short Sell ผ่านทางด้านหุ้นและอนุพันธ์เครดิต (Credit Deriavtives) โดยหุ้นเกือบ 40% ของ iShares US Real Estate ETF กำลังถูก Short Sell อยู่ ณ ตอนนี้

วิกฤตธนาคารที่เกิดขึ้นถือเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการ Short Sell ในตลาดอสังหาฯ สูงขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดอสังหาฯ ก็เริ่มมีสัญญาณความตึงเครียดเกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว อย่างที่ World Maker ได้เคยย้ำเตือนไปในหลายบทความที่ผ่านมา ว่านับตั้งแต่ดอกเบี้ย FED สูงขึ้น มันส่งผลให้ดอกเบี้ยบ้านสูงขึ้นตามไปด้วยในขณะที่ราคาบ้านเองก็อยู่ในระดับสูงลิ่วจนหลายคนเอื้อมไม่ถึงไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อไปถึงจุดหนึ่งที่ตลาดตึงเครียดมาก ๆ ก็มีแนวโน้มที่ราคาอสังหาฯ จะร่วงลงได้ เนื่องจาก Demand หายไปเพราะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นพร้อมกับราคาในก่อนหน้านี้ จนทำให้การซื้อบ้านแพงหูฉี่จนหลายคนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ ณ ปัจจุบัน

ยิ่งเมื่อ FED ได้ทำ QT โดยการเทขายพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรจำนองบ้าน (Mortgage Backed Securities : MBS) มันก็ยิ่งทำให้ตลาดอสังหาฯ ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตธนาคาร ดังนั้นเมื่อมีวิกฤต SVB, Credit Suisse และความกังวลที่แพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรง Panic ในอสังหาฯ พุ่งขึ้นไปอีกระดับพร้อมกันอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก-กลางในตลาด Real Estate อาจมีความเสี่ยงมากกว่าบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีงบการเงินแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับที่วิกฤตเกิดกับธนาคารขนาดเล็ก-กลาง แต่ยังไม่เกิดกับธนาคารขนาดใหญ่เพราะมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่า

ภาพรวมทั้งหมดนี้แสดงให้เราเห็นว่าในขณะที่เกิดสถานการณ์ปั่นป่วนที่หลายคนมองว่าเป็นวิกฤต แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่กำลังแสวงหาโอกาสในการทำกำไรท่ามกลางข่าวร้าย โดยถ้าซื้อแล้วไม่ได้กำไร พวกเขาก็เลือกที่จะ Short Sell แทน ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้จะเคลื่อนตัวไปในทิศทางไหนต่อไปกันแน่ ? จะพังหรือพุ่ง ? จะรุ่งหรือร่วง ?

ทางด้าน FED และธนาคารกลางหลายแห่งเช่น ECB ล่าสุดยังคงตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยต่อไป โดยมองว่าทั้งระบบมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรับแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระยะสั้น แม้มีวิกฤตด้านการธนาคารเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรอยร้าวของระบบจากความตึงเครียดทางการเงินที่ถูกยกระดับขึ้นมา 

‘นักวิเคราะห์’ ชี้!! ซื้อหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้ดีหรือไม่ หลังกระแส AI อาจจะช่วยดันหุ้นเทคได้มากขึ้น

(1 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ท่ามกลางกระแสข่าวร้ายของภาคธนาคารที่โหมกระหน่ำตลาดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังแทบไม่สะทกสะท้านและดีดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในไตรมาส 1 ของปี 2023 นี้ Nasdaq100 ซึ่งเป็นดัชนีรวมของกลุ่มเทคโนโลยีเด่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น +17% ขณะที่หุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายตัวดีดขึ้นมาจากจุด Low มากกว่า +50% เลยทีเดียว!

การดีดขึ้น +17% ของ Nasdaq ในช่วง 1 ไตรมาสถือว่าทำสถิติได้ดีที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนหลายคนคิดว่าเป็นแรงหนุนสำคัญก็คือเรื่องของ Generative AI อย่าง ChatGPT รวมถึงท่าทีของ FED ที่ผ่อนคลายลงบ้างในเรื่องดอกเบี้ย

โดยหุ้นกลุ่มเทคพุ่งขึ้นท่ามกลางวิกฤต Bank Run และความเชื่อมั่นที่ลดลงของภาคธนาคาร ในขณะที่ FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด +0.25% และแม้ว่า Jerome Powell จะกล่าวว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก แต่การปรับขึ้น +0.25% นั้นดูผ่อนคลายกว่าท่าทีก่อนหน้านี้ที่ FED กล่าวว่าอาจกระชับดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นอีก (ทำให้ก่อนเกิด Bank Run มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED มีโอกาสกลับไปขึ้นดอกเบี้ย +0.5%)

นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักจะมีความอ่อนไหวด้านความเคลื่อนไหวของราคาต่อการประกาศดอกเบี้ยของ FED ดังนั้น ในช่วงที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจึงทำให้หุ้นเทคฯ หลายตัวร่วงลงจนมีมูลค่าน่าดึงดูดใจ ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤต Bank Run และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED จะชะลอหรือลดดอกเบี้ย จึงมีกระแสเงินไหลกลับเข้าไปในหุ้นเทค

อีกเหตุผลที่นักวิเคราะห์กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2022 หุ้นเทคได้ถูกจัดอยู่ในโซนมีการขายมากเกินไป (Oversold) และความเชื่อมั่นของหุ้นเทคได้ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ พร้อมกับข่าวปลดพนักงานจำนวนมากที่หลายคนมองว่าจะทำให้หุ้นเทคมีผลกำไรดีขึ้น

เมื่อเหตุผลตามหลักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้มารวมกัน มันจึงกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าแปลกใจที่หุ้นเทคโนโลยีสามารถดีดขึ้นได้ท่ามกลางวิกฤตธนาคาร

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียังดูดีกว่าในเรื่องของความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง แต่มีสัดส่วนหนี้ค่อนข้างต่ำ พร้อมกับงบดุลที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะธนาคาร และยังถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จาก Megatrend ของโลกที่จะเปลี่ยนไปสู่ Digital Economy มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ทำให้หลายคนมองว่าเทคโนโลยีอาจเป็นจุดที่สดใสของตลาดได้ต่อไป?

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่ได้มองเช่นนั้น โดยกล่าวว่านักลงทุนกำลังตัดสินใจผิดที่มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเป็นที่หลบภัยได้ท่ามกลางสภาพตลาดในตอนนี้ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในการเติบโต แต่ปัจจัยดังกล่าวกำลังเสื่อมถอยลง และอนาคตก็ไม่แน่นอน เนื่องจาก Demand เริ่มอ่อนตัวในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

คนกลุ่มนี้มองว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่บริษัทเทคกำลังเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก เพราะบริษัทตระหนักว่าไม่สามารถเพิ่มรายได้ในการดำเนินธุรกิจ จึงต้องลดค่าใช้จ่ายลง แตกต่างจากกลุ่มแรกที่มองว่าการลดพนักงานจะยิ่งส่งผลให้กำไรสูงขึ้น (ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้จริง ๆ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องดี?)
 

 3 ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อหุ้นเทคโนโลยีนั้นถูกมองไว้ดังนี้...

1.) ความสามารถในการทำกำไร
2.) สภาพคล่องในตลาด (เช่นการ QE และ QT ของ FED) และดอกเบี้ย
3.) การประเมินมูลค่าหุ้น

ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะดูน่าดึงดูดในสายตาของหลายคน แต่พร้อมกันนี้ก็อาจมีความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบได้ในอนาคต นั่นหมายความว่าเราไม่ควรประมาทหรือ Bias มากเกินไปว่าหุ้นกลุ่มเทคจะพุ่งขึ้นแบบไม่บันยะบันยังท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมีความเป็นไปได้เช่นกันที่หุ้นเทคจะเกิดการปรับฐานอีกครั้งในระยะสั้น แม้ว่าจะไม่มีใครการันตีได้ 100% ว่าจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม

อนึ่ง ทางด้าน Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจาก The Big Short ได้ออกมา Tweet ยอมรับว่า “เขาผิด” ที่ก่อนหน้านี้ออกมาแนะนำให้ ‘นักลงทุนขายหุ้น’ เนื่องจากตลาดปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาทวีตข้อความว่า Sell มาจนถึง ณ วินาทีนี้

โดยรวมแล้ว สถานการณ์ของหุ้นในปัจจุบันดูยืดหยุ่นว่าตลาดตราสารหนี้ซึ่งผันผวนอย่างมากในแต่ละวัน แต่หลังจากจบไตรมาสนี้ไปจนถึงท้ายปี เราก็คงต้องมาลุ้นกันว่าตลาดหุ้นจะยังคงความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกดดันด้านเศรษฐกิจต่อไปได้อีกหรือไม่?

ไม่มีใครปฏิเสธว่ามีโอกาสที่หุ้นเทคฯ จะพุ่งได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าจะมีการปรับฐานหรือไม่ ดังนั้นสำหรับคำถามที่ว่าเราควรซื้อหุ้นเทคในตอนนี้หรือไม่นั้น คงไม่มีใครให้คำตอบกับเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ซึ่งเราก็ควรชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเอาระหว่างความเสี่ยงกับโอกาสในระยะยาว ว่าควรลงทุนหรือไม่ควร แล้วถ้าลงจะลงมากน้อยแค่ไหนเพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป?

พร้อมกันนี้ Janet Yellen ออกมากล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีงานต้องทำอีกมากในการยกระดับกฏระเบียบการกำกับดูแลระบบการเงินของประเทศ หลังจากการล้มของ SVB, Silvergate และ Signature Bank แสดงให้เห็นว่ากฏระเบียบในปัจจุบันยังเข้มงวดไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกับธนาคารขาดเล็ก-กลางที่มีกฏหมายยกเว้นให้ไม่ต้องทดสอบความเครียดเหมือนกับธนาคารใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

คำกล่าวของ Yellen เกิดขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวกำลังเร่งให้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารมีการกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะด้านการทำ Stress Test ที่เข้มงวดขึ้นโดยใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเป็นธนาคารและสถาบันการเงินขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่

แน่นอนว่า เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารล้มเหลว จะทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก ซึ่งข้อกำหนดด้านกฎระเบียบก็ได้รับการผ่อนปรนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ในยุคของทรัมป์) ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนทีมบริหาร จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะประเมินผลกระทบของการผ่อนคลายกฎระเบียบ และดำเนินการกระชับการสอดส่องดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

วิเคราะห์ ‘การเงิน-เทคโนโลยี-พลังงานโลก’ วิวัฒนาการพาสังคมโลกเพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่

(17 เม.ย.66) รายงานว่า ล่าสุด Elon Musk เริ่มเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่!!! หลังจากเขาประกาศจัดตั้งบริษัท ‘X’ เพื่อพัฒนา AI ขั้นสูงมาแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI, Microsoft และ Bard AI ของ Google โดยตรง ! แม้ก่อนหน้านี้พึ่งออกมาเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้อย่างน้อย 6 เดือนเพราะโดยอ้างเหตุผลว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก ทำให้ชาวโลกเกิดคำถามว่าที่ออกมา Discredit อยู่นี้เป็นเพราะแค่กลัวตามคนอื่นไม่ทันหรือไม่? เพราะปากบอกให้โลกหยุด แต่ตัวเองกลับจัดตั้งบริษัทพัฒนา AI ซะเอง!?

เขาก่อตั้งบริษัท X และพึ่งรวมถึง Twitter เข้าไปด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาในการสร้าง ‘Everything App’ หรือกล่าวคือแอปพลิเคชั่นอเนกประสงค์ตัวเดียวที่ตอบสนองได้แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ตของมนุษย์

ตอนนี้เจ้าพ่อ Tesla กำลังสรรหาวิศวกรจากแล็บ AI ชั้นนำของโลกมาร่วมงาน ซึ่งรวมถึง DeepMind ของ Alphabet (บริษัทแม้ของ Google) ในขณะที่เขาสำรวจแนวคิดและแผนการของบริษัทคู่แข่งที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือ OpenAI ที่ Microsoft เข้าไปลงทุน และแน่นอนว่า Elon Musk นั้นไม่ถูกกับ Bill Gates เลย (เท่าที่สื่อรายงานออกมาตลอดหลายปี)

Musk เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในยุคแรก แต่สุดท้ายก็ลาออกเนื่องจากมีความขัดแย้งกับแนวทางของผู้บริหารคนอื่น ๆ โดยหลังจากเขาลาออกมา OpenAI ก็ได้เปลี่ยนแนวทางและเริ่มหาทางเพิ่มผลกำไร พร้อมกับได้รับเงินระดมทุนจาก Microsoft มา 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่จะเพิ่มทุนอีก 10x เท่าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อดูฉากหลังที่ Elon Musk กับ Bill Gates ไม่ถูกคอกันแล้ว ก็น่าสนใจว่า X จะพัฒนา AI มาแข่งขันกับ OpenAI และ Microsoft ได้ดีแค่ไหน? และจะสามารถตามกลุ่มผู้นำได้ทันหรือไม่? เพราะการที่ Musk เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงชั่วคราวนี้ แต่ตัวเขาเองก็เร่งพัฒนา AI อยู่ซะงั้น (มีรายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สั่งซื้อ Chip ขั้นสูงของ Nvdia ราว 10,000 ตัวเพื่อนำไปพัฒนา AI)

ดูเหมือน Elon Musk จะเคยด่าว่า ChatGPT นั้นมีอคติทางการเมืองและเป็นอันตราย ขณะที่เขากล่าวว่าต้องการพัฒนา AI ที่มีความสมจริงมากขึ้น ย้อนแย้งกับที่เขาเรียกร้องให้คนอื่นหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงอย่างสิ้นเชิงแบบตรงข้าม 180 องศา!

ขณะเดียวกัน เขาพึ่งเจรจากับบริษัท Etoro ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ชื่อดังของโลก เพื่อทำให้ Twitter สามารถเชื่อมต่อกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในอนาคต โดยคาดว่าจะเปิดให้ซื้อ-ขายหุ้นและเหรียญต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าการสร้าง Everything App ของเขาจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?

สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือในอนาคต AI เหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่นั่นก็จะเป็นไปพร้อมกับการที่ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงในระยะยาว และมนุษย์ก็จะต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานในอนาคตไปอีกมาก เพื่อให้เชื่อมโยงกับความฉลาดของ AI ที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 อย่างที่ World Maker เคยรายงานไปแล้วว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Goldman Sachs ระบุว่า AI อาจแทนที่งานมนุษย์ในปัจจุบันได้ถึง 300 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และทุกวันนี้งานต่าง ๆ ก็เริ่มใช้ AI เข้ามาคุมเป็นแบบระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่จะฉลาดล้ำกว่า AI ยุคเก่า ๆ อีกหลายเท่าตัว ตามที่ Bill Gates กล่าวว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการกำเนิดของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

และพร้อม ๆ กันนี้ ทางด้านฮ่องกงก็กำลังเร่งให้ธนาคารต่าง ๆ มีการรับลูกค้าที่เป็นบริษัท Crypto มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากออกมาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตโลก ซึ่งเป็นการกลับลำ 180 องศาเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีว่าไม่เอา Crypto และถึงกับสั่งห้ามไม่ให้คนในประเทศไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากเกิดวิกฤตหายนะเช่น LUNA และ FTX ที่ทำให้ผู้บริโภคสูญเงินไปมหาศาล จีนก็เริ่มเปลี่ยนหน้ามาสนับสนุนคริปโตโดยทันที

ซึ่งในอนาคต ฮ่องกงจะสนับสนุน Crypto โดยมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการให้บริษัทสามารถ List เหรียญได้และให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าไปลงทุนได้อย่างสะดวกง่ายดาย หน่วยงานในฮ่องกงของ Bank of Communications ของจีนกำลังทำงานร่วมกับบริษัท Crypto หลายแห่งที่ได้รับอนุญาตในเมือง และกำลังเจรจากับบริษัทที่ได้รับการควบคุมอื่น ๆ เกี่ยวกับการเปิดบัญชี

เหรียญหลัก ๆ ที่ถูกพูดถึงในฮ่งอกงตอนนี้ก็คือ Bitcoin, Ether และ Tether ซึ่ง 2 เหรียญแรกเคยเป็นกระแสก่อนหน้านี้ และเคยมีสื่อไทยบางแห่งออกมาหลอกเงินชาวบ้านเชียร์ซื้อ Bitcoin ที่ยอดดอยก่อนราคาร่วงยับ -80% ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฮ่องกงเป็นไปเพื่อที่จะพยายามรักษาตำแหน่งจุดศูนย์กลางการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลจีนแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยึดอำนาจ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบต่าง ๆ ก็ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดฮ่องกงไป

พูดง่าย ๆ ว่าความเคลื่อนไหวเชิงผ่อนคลายของฮ่องกงต่อตลาด Crypto ในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกหลายชาติที่กำลังปราบปรามคริปโตอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทางรัสเซียเองก็เพึ่งประกาศเชื่อม Metamask และ Ethereum Blockchain เข้ากับระบบการเงินของ Sberbank ทำให้เราพอจะเห็นภาพฉายได้ว่าตลอดที่ผ่านมาจีน-รัสเซียมีส่วนชักใยอยู่เบื้องหลังคริปโตเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันว่าความพยายามของจีน-รัสเซียในการดัน Crypto (รวมถึงทองคำและหยวน) ขึ้นมาเพื่อทุบอำนาจของดอลลาร์ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ? ซึ่งหากดูจากทรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ คริปโตเหมือนจะมาแรงแต่สุดท้ายก็พังยับ และแม้ว่าในปัจจุบันจะฟื้นตัวมาเล็กน้อย แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นก็อาจต้องรอดูว่าจะมั่นคงในระยะยาวได้ไหม ? โดยปู่ Warren Buffet เป็นนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งที่ออกมาด่าว่า Bitcoin และ Crypto นั้นไร้ค่าและจะพบจุดจบไม่สวยงาม ในขณะที่บางคนก็เชียร์ว่า Bitcoin และ Crypto จะสามารถล้มดอลลาร์ได้

(**ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ CBDC ที่จะเข้ามามีบทบาทอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ Crypto ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นเผชิญข่าวกระหน่ำว่าจะกลายเป็นแบงก์กงเต็ก แต่หากดูตามสภาพจริงตอนนี้ดอลลาร์ยังครองการค้าโลกอยู่ถึง 88%**)

⚠️ กลับมาทางด้านสหรัฐฯ...ท่ามกลางฉากที่ดุเดือดในแง่ของ AI และการเงินโลกตอนนี้ พบว่ามหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมีการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นถึง 20x เท่าเมื่อเทียบจากปี 2019 ! ซึ่งเป็นการแสดงให้เห้นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเอาจริงในการยกระดับเทคโนโลยีของตัวเองไปอีกขั้น จากที่เป็นผู้นำโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะรวมไปถึง AI, คอมพิวเตอร์, ควอนตัม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ! และยังเป็นการปรับเปลี่ยน Supply Chain เพื่อลดการพึ่งพาจีนลงอีกด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 ขั้วอำนาจโลก

ทางกลุ่มประเทศ G7 เองก็พึ่งออกมาให้คำมั่นว่าจะเร่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยจะยกระดับความจริงจังในการลด ละ เลิก การใช้พลังงานเก่าและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาทดแทน

ตัวเลขคร่าว ๆ ที่เปิดเผยออกมาคือจะเพิ่มการผลิตพลังงานจาก Solar Cells ขึ้นอย่างน้อย 3x เท่าและเพิ่มการผลิตพลังงานจากลมอย่างน้อย 7x เท่าภายในปี 2030 (เทียบจากระดับในปี 2021) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการปล่อยคาร์บอนให้ใกล้เคียงกับ 0 ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบ ถ่านหิน และพลังงานเก่าอื่น ๆ จะลดลงเร็วขึ้นเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งเมื่อเรานำมารวมกับภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(**เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ก่อนยุคอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศชั้นนำทั่วโลกกำลังหาทางป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส**)

📌 แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมหากาพย์เช่นนี้จะต้องมีผลกระทบในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะไปสู่ยุคใหม่ แปลว่าตลาดการเงินโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจและภาคเศรษฐกิจ Real Sectors จะต้องเผชิญความผันผวนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top