วิเคราะห์ ‘การเงิน-เทคโนโลยี-พลังงานโลก’ วิวัฒนาการพาสังคมโลกเพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่

(17 เม.ย.66) รายงานว่า ล่าสุด Elon Musk เริ่มเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่!!! หลังจากเขาประกาศจัดตั้งบริษัท ‘X’ เพื่อพัฒนา AI ขั้นสูงมาแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI, Microsoft และ Bard AI ของ Google โดยตรง ! แม้ก่อนหน้านี้พึ่งออกมาเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้อย่างน้อย 6 เดือนเพราะโดยอ้างเหตุผลว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก ทำให้ชาวโลกเกิดคำถามว่าที่ออกมา Discredit อยู่นี้เป็นเพราะแค่กลัวตามคนอื่นไม่ทันหรือไม่? เพราะปากบอกให้โลกหยุด แต่ตัวเองกลับจัดตั้งบริษัทพัฒนา AI ซะเอง!?

เขาก่อตั้งบริษัท X และพึ่งรวมถึง Twitter เข้าไปด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาในการสร้าง ‘Everything App’ หรือกล่าวคือแอปพลิเคชั่นอเนกประสงค์ตัวเดียวที่ตอบสนองได้แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ตของมนุษย์

ตอนนี้เจ้าพ่อ Tesla กำลังสรรหาวิศวกรจากแล็บ AI ชั้นนำของโลกมาร่วมงาน ซึ่งรวมถึง DeepMind ของ Alphabet (บริษัทแม้ของ Google) ในขณะที่เขาสำรวจแนวคิดและแผนการของบริษัทคู่แข่งที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือ OpenAI ที่ Microsoft เข้าไปลงทุน และแน่นอนว่า Elon Musk นั้นไม่ถูกกับ Bill Gates เลย (เท่าที่สื่อรายงานออกมาตลอดหลายปี)

Musk เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในยุคแรก แต่สุดท้ายก็ลาออกเนื่องจากมีความขัดแย้งกับแนวทางของผู้บริหารคนอื่น ๆ โดยหลังจากเขาลาออกมา OpenAI ก็ได้เปลี่ยนแนวทางและเริ่มหาทางเพิ่มผลกำไร พร้อมกับได้รับเงินระดมทุนจาก Microsoft มา 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่จะเพิ่มทุนอีก 10x เท่าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อดูฉากหลังที่ Elon Musk กับ Bill Gates ไม่ถูกคอกันแล้ว ก็น่าสนใจว่า X จะพัฒนา AI มาแข่งขันกับ OpenAI และ Microsoft ได้ดีแค่ไหน? และจะสามารถตามกลุ่มผู้นำได้ทันหรือไม่? เพราะการที่ Musk เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงชั่วคราวนี้ แต่ตัวเขาเองก็เร่งพัฒนา AI อยู่ซะงั้น (มีรายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สั่งซื้อ Chip ขั้นสูงของ Nvdia ราว 10,000 ตัวเพื่อนำไปพัฒนา AI)

ดูเหมือน Elon Musk จะเคยด่าว่า ChatGPT นั้นมีอคติทางการเมืองและเป็นอันตราย ขณะที่เขากล่าวว่าต้องการพัฒนา AI ที่มีความสมจริงมากขึ้น ย้อนแย้งกับที่เขาเรียกร้องให้คนอื่นหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงอย่างสิ้นเชิงแบบตรงข้าม 180 องศา!

ขณะเดียวกัน เขาพึ่งเจรจากับบริษัท Etoro ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ชื่อดังของโลก เพื่อทำให้ Twitter สามารถเชื่อมต่อกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในอนาคต โดยคาดว่าจะเปิดให้ซื้อ-ขายหุ้นและเหรียญต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าการสร้าง Everything App ของเขาจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?

สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือในอนาคต AI เหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่นั่นก็จะเป็นไปพร้อมกับการที่ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงในระยะยาว และมนุษย์ก็จะต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานในอนาคตไปอีกมาก เพื่อให้เชื่อมโยงกับความฉลาดของ AI ที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 อย่างที่ World Maker เคยรายงานไปแล้วว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Goldman Sachs ระบุว่า AI อาจแทนที่งานมนุษย์ในปัจจุบันได้ถึง 300 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และทุกวันนี้งานต่าง ๆ ก็เริ่มใช้ AI เข้ามาคุมเป็นแบบระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่จะฉลาดล้ำกว่า AI ยุคเก่า ๆ อีกหลายเท่าตัว ตามที่ Bill Gates กล่าวว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการกำเนิดของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

และพร้อม ๆ กันนี้ ทางด้านฮ่องกงก็กำลังเร่งให้ธนาคารต่าง ๆ มีการรับลูกค้าที่เป็นบริษัท Crypto มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากออกมาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตโลก ซึ่งเป็นการกลับลำ 180 องศาเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีว่าไม่เอา Crypto และถึงกับสั่งห้ามไม่ให้คนในประเทศไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากเกิดวิกฤตหายนะเช่น LUNA และ FTX ที่ทำให้ผู้บริโภคสูญเงินไปมหาศาล จีนก็เริ่มเปลี่ยนหน้ามาสนับสนุนคริปโตโดยทันที

ซึ่งในอนาคต ฮ่องกงจะสนับสนุน Crypto โดยมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการให้บริษัทสามารถ List เหรียญได้และให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าไปลงทุนได้อย่างสะดวกง่ายดาย หน่วยงานในฮ่องกงของ Bank of Communications ของจีนกำลังทำงานร่วมกับบริษัท Crypto หลายแห่งที่ได้รับอนุญาตในเมือง และกำลังเจรจากับบริษัทที่ได้รับการควบคุมอื่น ๆ เกี่ยวกับการเปิดบัญชี

เหรียญหลัก ๆ ที่ถูกพูดถึงในฮ่งอกงตอนนี้ก็คือ Bitcoin, Ether และ Tether ซึ่ง 2 เหรียญแรกเคยเป็นกระแสก่อนหน้านี้ และเคยมีสื่อไทยบางแห่งออกมาหลอกเงินชาวบ้านเชียร์ซื้อ Bitcoin ที่ยอดดอยก่อนราคาร่วงยับ -80% ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฮ่องกงเป็นไปเพื่อที่จะพยายามรักษาตำแหน่งจุดศูนย์กลางการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลจีนแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยึดอำนาจ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบต่าง ๆ ก็ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดฮ่องกงไป

พูดง่าย ๆ ว่าความเคลื่อนไหวเชิงผ่อนคลายของฮ่องกงต่อตลาด Crypto ในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกหลายชาติที่กำลังปราบปรามคริปโตอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทางรัสเซียเองก็เพึ่งประกาศเชื่อม Metamask และ Ethereum Blockchain เข้ากับระบบการเงินของ Sberbank ทำให้เราพอจะเห็นภาพฉายได้ว่าตลอดที่ผ่านมาจีน-รัสเซียมีส่วนชักใยอยู่เบื้องหลังคริปโตเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันว่าความพยายามของจีน-รัสเซียในการดัน Crypto (รวมถึงทองคำและหยวน) ขึ้นมาเพื่อทุบอำนาจของดอลลาร์ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ? ซึ่งหากดูจากทรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ คริปโตเหมือนจะมาแรงแต่สุดท้ายก็พังยับ และแม้ว่าในปัจจุบันจะฟื้นตัวมาเล็กน้อย แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นก็อาจต้องรอดูว่าจะมั่นคงในระยะยาวได้ไหม ? โดยปู่ Warren Buffet เป็นนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งที่ออกมาด่าว่า Bitcoin และ Crypto นั้นไร้ค่าและจะพบจุดจบไม่สวยงาม ในขณะที่บางคนก็เชียร์ว่า Bitcoin และ Crypto จะสามารถล้มดอลลาร์ได้

(**ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ CBDC ที่จะเข้ามามีบทบาทอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ Crypto ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นเผชิญข่าวกระหน่ำว่าจะกลายเป็นแบงก์กงเต็ก แต่หากดูตามสภาพจริงตอนนี้ดอลลาร์ยังครองการค้าโลกอยู่ถึง 88%**)

⚠️ กลับมาทางด้านสหรัฐฯ...ท่ามกลางฉากที่ดุเดือดในแง่ของ AI และการเงินโลกตอนนี้ พบว่ามหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมีการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นถึง 20x เท่าเมื่อเทียบจากปี 2019 ! ซึ่งเป็นการแสดงให้เห้นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเอาจริงในการยกระดับเทคโนโลยีของตัวเองไปอีกขั้น จากที่เป็นผู้นำโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะรวมไปถึง AI, คอมพิวเตอร์, ควอนตัม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ! และยังเป็นการปรับเปลี่ยน Supply Chain เพื่อลดการพึ่งพาจีนลงอีกด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 ขั้วอำนาจโลก

ทางกลุ่มประเทศ G7 เองก็พึ่งออกมาให้คำมั่นว่าจะเร่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยจะยกระดับความจริงจังในการลด ละ เลิก การใช้พลังงานเก่าและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาทดแทน

ตัวเลขคร่าว ๆ ที่เปิดเผยออกมาคือจะเพิ่มการผลิตพลังงานจาก Solar Cells ขึ้นอย่างน้อย 3x เท่าและเพิ่มการผลิตพลังงานจากลมอย่างน้อย 7x เท่าภายในปี 2030 (เทียบจากระดับในปี 2021) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการปล่อยคาร์บอนให้ใกล้เคียงกับ 0 ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบ ถ่านหิน และพลังงานเก่าอื่น ๆ จะลดลงเร็วขึ้นเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งเมื่อเรานำมารวมกับภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(**เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ก่อนยุคอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศชั้นนำทั่วโลกกำลังหาทางป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส**)

📌 แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมหากาพย์เช่นนี้จะต้องมีผลกระทบในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะไปสู่ยุคใหม่ แปลว่าตลาดการเงินโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจและภาคเศรษฐกิจ Real Sectors จะต้องเผชิญความผันผวนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องราวทั้งหมดนี้ดำเนินไปพร้อมกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงเพื่อสกัดไม่ให้เงินเฟ้อพุ่งมากเกินไป ขณะที่ภาคสินเชื่อกำลังถูกยกระดับการตรวจสอบและคุมเข้มมากกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นกฏหมายต่อเนื่องไปในอนาคตและทำให้ระบบการเงินโลกมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึง Fintech และพลังงานถูกพัฒนาไปถึงจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงจากยุคเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น เราจะต้องเผชิญแรงกระแทกกันเสียก่อน เพราะโลกยังต้องจัดการกับความผิดพะลาดในอดีตที่ค้างคามาจนถึงปัจจุบัน และหลายสินทรัพย์ก็มีภาวะฟองสบู่ลูกใหญ่ที่สะสมมานานหลายสิบปี โดยทางด้าน Janet Yellen ให้ความเห็นว่าการคุมเข้มทางด้านสินเชื่อจะช่วยลดเงินเฟ้อลงได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาเสถียรภาพของตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ (ซึ่งจริง ๆ แล้วก็จะส่งผลต่อทั่วโลกเลยทีเดียว)

ข้อดีก็คือการคุมเข้มด้านสินเชื่ออาจทำให้ FED ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกเรื่อย ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่า FED จะลดดอกเบี้ยลงกลับไปใกล้ 0% อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ เพราะหากเงินเฟ้อยังคงสูง FED ก็มีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยเอาไว้ใกล้ระดับ 5% ต่อไปจนกว่าจะกดเงินเฟ้อลงมาได้ใกล้ 2% ตามเป้าหมายระยะยาว

ปัจจัยเรื่องของเงินเฟ้อในครั้งนี้ถือเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่าแค่การดำเนินนโยบายทางการเงิน เพราะสงครามจากรัสเซียและฝ่ายศัตรูของสหรัฐฯ กำลังมุ่งเน้นไปที่การดันราคา Commodities เช่น น้ำมัน แร่ ถ่านหิน หรือสินค้าพลังงานอื่น ๆ เพื่อส่งออกเงินเฟ้อไปโจมตีเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ท่ามกลางปฏิบัติการทำลายดอลลาร์ที่รัสเซีย (และอาจจะจีนด้วย) เป็นแกนนำอยู่

⚠️ โดยภาพรวมก็คือ โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคใหม่ ทั้งทางการเงิน เทคโนโลยี และพลังงาน ซึ่งในระหว่างนี้ก็จะมีศึกสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เราต้องจับตาควบคู่กันไป เพราะจะเป็นผลกระทบระยะสั้นต่อโลก แต่หลังจากเรื่องราวที่วุ่นวายเหล่านี้คลี่คลายลง มีความเป็นไปได้สูงที่หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมากโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาทและละเลยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในทุก ๆ วัน ณ ปัจจุบันนี้ เพราะหากเราไม่เตรียมตัวให้ดี เราอาจตามโลกในยุคใหม่ไม่ทันและเสียเวลาล้าหลังไปเยอะทีเดียว