Sunday, 6 October 2024
WeeklyIssue

'รากษสเทวี' นางสงกรานต์ 64 ผู้นำพา ‘มหันตภัย’ มาสู่กลางเมือง

นางสงกรานต์ปี 64 ทรงนาม ‘รากษสเทวี’

แม้ประเพณีสงกรานต์จะอยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน แต่ช่วง 2 ปี มานี้ หลายกิจกรรมเด่น ๆ ก็ถูกระงับ โดยเฉพาะการเล่นสาดน้ำที่เป็นกิจกรรมหลัก เหตุเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังคุกรุ่น

ถึงกระนั้นกิจกรรมเข้าวัดทำบุญ สรงน้ำพระ สืบสานประเพณีอันดีงาม ก็ยังสามารถดำเนินได้ แบบมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

นอกเหนือจากกิจกรรมของประเพณีดังกล่าว ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการพูดถึงอีกเรื่องสำคัญ นั่นก็คือ ความเชื่อเกี่ยวกับนางสงกรานต์ทั้ง 7 ซึ่งหลายคนอาจจะคงเคยได้ยินเรื่องราวกันมาบ้าง

สำหรับนางสงกรานต์ทั้ง 7 เป็นเรื่องเล่าขานตำนานเกี่ยวกับ ‘ธิดา’ ของ ‘ท้าวกบิลพรหม’ หรือ ‘ท้าวมหาสงกรานต์’ ซึ่งเป็นนางฟ้าสถิตย์อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หรือสวรรค์ชั้นที่ 1 จากทั้งหมด 6 ชั้น

โดยธิดาทั้ง 7 จะมีหน้าที่ในการรับ ‘เศียร’ ของท้าวกบิลพรหม ไม่ให้ตกลงบนพื้นโลก หรือพื้นน้ำ หรือบนอากาศ หลังจากที่ ‘ท้าวกบิลพรหม’ รู้ตัวว่าจะต้องตาย โดยการตัดเศียรของตนเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร และท่านก็ได้ตรัสเรียกธิดาทั้ง 7 องค์ อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า “พ่อจะตัดเศียรตัวเองเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของพ่อนี้หากตั้งไว้บนแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก หากโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง หากนำไปทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง”

ดังนั้นในทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ แล้วประดิษฐานตามเดิมตามวันมหาสงกรานต์มิได้ขาด

และนั่นก็ทำให้มีการกำหนดเกณฑ์ว่า ‘วันสงกรานต์’ คือวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี และหากตรงกับวันใด ก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้น เป็นผู้แห่ ซึ่งนางสงกรานต์นั้นมีทั้งหมด 7 องค์ เรียกตามชื่อวันในสัปดาห์ ได้แก่...

- วันอาทิตย์ นางสงกรานต์นาม ‘ทุงษะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี

- วันจันทร์ นางสงกรานต์นาม ‘โคราคะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา

- วันอังคาร นางสงกรานต์นาม ‘รากษสเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี

- วันพุธ นางสงกรานต์นาม ‘มณฑาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ

- วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์นาม ‘กิริณีเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ

- วันศุกร์ นางสงกรานต์นาม ‘กิมิทาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท

- วันเสาร์ นางสงกรานต์นาม ‘มโหธรเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

วันมหาสงกรานต์ ในปี 2564 ตรงกับวันอังคาร ดังนั้นจึงตรงกับนางสงกรานต์ที่มีชื่อว่า “รากษสเทวี” ตามตำนานเล่าว่านางเป็นธิดาองค์ที่ 3 ของท้าวกบิลพรหม โดยมีลักษณะต่าง ๆ ตามคติความเชื่อคือ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังวราหะ (หมู) เป็นพาหนะ

สำหรับ ‘คำนาย’ เกี่ยวกับนางสงกรานต์ ทั้งภักษาหาร และดวงเมือง ประจำวันวันที่ 16 เมษายน 2564 ตั้งแต่ช่วงเวลา 07 นาฬิกา 37 นาที 12 วินาที ซึ่งนับเป็นจุลศักราชใหม่ที่ 1383 จะมีวันอาทิตย์เป็นธงชัย วันจันทร์เป็นอธิบดี วันเสาร์เป็นอุบาทว์ วันพุธเป็นโลกาวินาศ

ขณะที่ ‘รากษสเทวี’ เป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร มีคำนำนายของปีนี้ว่า จะเกิดอันตรายกลางเมือง จะเกิดเพลิงภัยและโจรผู้ร้าย ผู้คนจะเจ็บไข้นักแลฯ ภายใต้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้...

- เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ เสาร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่า: ตกในเขาจักรวาล 160 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า

- เกณฑ์ธาราธิคุณ ปีนี้ตกราศีกรกฏ ชื่ออาโป (ธาตุน้ำ): ทำนายว่า น้ำมาก น้ำท่วม

- เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้นาคราชให้น้ำ 6 ตัว: ทำนายว่า ฝนดีตลอดปี

- เกณฑ์ธัญญาหาร ชื่อปาปะ: ข้าวกล้าในไร่นา จะได้ 1 ส่วน เสีย 10 ส่วน คนทั้งหลายจะตกทุกข์ได้ยากลำบากแค้น เพราะกันดารอาหารบ้าง จะฉิบหายเป็นอันมากแลฯ

นี่ก็ถือเป็นอีกเรื่องเล่าตำนานสำคัญของคนไทยต่อวันสงกรานต์ ที่คนรุ่นใหม่อาจจะมิได้คุ้นนัก แต่เชื่อเถิดว่าผู้คนในอดีตต่างยังคงความเชื่อ เพื่อนำคำพยากรณ์ที่เคียงคู่มากับนางสงกรานต์ในปีนั้นๆ มาปรับคิดรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พอสมควร


ที่มา:

http://www.horonumber.com/news-3714

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%

http://www.prapayneethai.com/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%

มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ทางหลวงพิเศษเชื่อมใจ เชื่อมเมืองไทยให้ยั่งยืน

ทำไม ? ถึงต้องจั่วหัวมาขนาดนั้น หากเราย้อนมองอดีตก่อนจะมาถึงการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมานั้น ต้องเริ่มด้วยต้นสายคือ ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ ความยาว 509 กิโลเมตร ถนนหลักที่ใช้สัญจรเชื่อมภาคกลางกับอีสาน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี จากสระบุรีจนถึงนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 148 กิโลเมตร เป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลต์ - คอนกรีตก่อนจะสร้างต่อสายเส้นทางไปจนสุดถึงหนองคายในสมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร อันเป็นการส่งต่อทุกความเจริญไปสู่ภาคอีสานทั้งตอนบนและตอนล่าง เปิดทางให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ เชื่อมชุมชน เชื่อมไร่นา เชื่อมตลาด

จากเพียงถนน 2 ช่องจราจรก็มากลายเป็นถนน 4 ช่องจราจรในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และพัฒนาจนบางช่วงใหญ่ขนาด 10 ช่องจราจร แต่วันนี้มิตรภาพ ก็เริ่มจะไม่เพียงพอต่อการสัญจรเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือวันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ที่เราคนไทยจะได้สัมผัสมิตรภาพอันยาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงทุกครั้งทั้งขาไปและขากลับ จึงเกิดเป็นคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะแบ่งเบาและแก้ไขให้แบ่งปันมิตรภาพให้ออกไปได้มากกว่านี้ ? ปลายเหตุของเรื่องนี้ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 คือคำตอบ

ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์สายอีสาน เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองขนาด 4 - 6 ช่องจราจร เชื่อมต่อจากกรุงเทพมหานครไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เริ่มต้นจากอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปสิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย โดยเริ่มก่อสร้างช่วงบางปะอิน - นครราชสีมาระยะทาง 196 กิโลเมตรเป็นช่วงแรก คาดว่าช่วงนี้จะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในปี 2566 โดยในกรอบการสร้างนั้นยังรวมไปถึงการศึกษาเพื่อต่อยอดเส้นทางออกไปอีก 2 ระยะคือจาก นครราชสีมา - ขอนแก่นระยะทาง 196 กิโลเมตร และจากขอนแก่น - หนองคายระยะทาง 160 กิโลเมตร อันจะเป็นเส้นทางคู่ขนานเพื่อแบ่งเบาการจราจรบนถนนมิตรภาพให้คล่องตัวขึ้น

ทางหลวงหมายเลข 6 นี้แรกเริ่มนั้นได้รับความเห็นชอบและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเป็นการก่อสร้างเส้นทาง 3 สายต่อเนื่องกัน แต่หลังจากปี 2540 เจอกวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งก็เลยไม่มีอะไรเดินหน้าแม้จะผ่านวิฤตแล้วก็ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ จนมาถึงยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ในปี 2558 ครม.ได้อนุมัติโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ 3 สายใหม่ เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาว ประกอบด้วย 1. สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 196 กม. 2. สายบางใหญ่บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. และ 3. สายพัทยา - มาบตาพุด ระยะทาง 32 กม.จำเพาะลงมาที่เส้น บางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปกติหากต้องใช้เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่างเวลาเสาร์ - อาทิตย์ และเทศกาลวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ ปริมาณรถบนถนนจะมีมากกว่า 13 ล้านคัน ทำให้มิตรภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ยาวนาน ต้องมานั่งนับเวลาว่าเราจะขับรถถึงบ้านโดยใช้เวลากี่ชั่วโมง ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือบริเวณตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ซึ่งเป็นทางขึ้นเขา และมีจุดพักรถตลอดเส้นทาง เกิดสภาพคอขวด การจราจรแออัด รถติดยาวต่อเนื่องกว่า 30 กิโลเมตร ใช้เวลาแค่ช่วงนี้ก็กินเวลาไป 4 - 5 ชั่วโมงแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ฝันของคนอยากกลับบ้านเป็นจริง

สงกรานต์ปี 2564 นี้เองที่รัฐบาลจะเปิดเส้นทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ให้เราได้สัมผัสเส้นทาง ขาไปตั้งแต่วันที่ 9 - 13 เมษายน และขากลับ 14 - 19 เมษายน จากช่วงหลักกิโลเมตรที่ 65 บ้านหนองไผ่ล้อม ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไปจนถึงจุดลงถนนมอเตอร์เวย์ที่บริเวณด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แม้จะเปิดให้วิ่งเป็นระยะทางสั้น ๆ แค่ 35 กิโลเมตร อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของคุณภาพชีวิตการเดินทาง แม้ว่าในปีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลาและลดความแออัดที่เกิดขึ้นไปได้เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของอนาคตมากขึ้น อนาคตที่เส้นทางนี้จะเป็นหนทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยในยุค 5G ของชาวอีสานและภูมิภาคใกล้เคียง ทั้งยังเห็นโอกาสของการสร้างสำนึกรักบ้านเกิด การกลับสู่ชุมชนของคนอีสาน จากความเจริญทางเศรษฐกิจเมื่อพ้นวิกฤต จะเชื่อมโยงทุกรอยยิ้มให้มีมากกว่ามิตรภาพในวันวาน


ขอบคุณภาพจาก : โครงการ มอเตอร์เวย์

ส่อง 5 เทศกาล ‘สายสาด’ สุดมันส์ ที่ ‘ชุ่มฉ่ำ - สะใจ’ ไม่แพ้สงกรานต์ไทย

เมื่อถึงเดือนเมษายนของทุกปี ช่วงเวลาหยุดยาวในเทศกาลสุดหรรษาอย่างสงกรานต์ ก็หวนย้อนมาเยือนให้คนไทยได้อิ่มเอมกันเสมอ ๆ

เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว ๆ ที่หลายคนจะถือเอาช่วงวันหยุดนี้กลับภูมิลำเนา เยี่ยมญาติมิตร และท่องเที่ยวพักผ่อนให้เต็มเหนี่ยใ

ขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่ต่างก็ตั้งตารอ ‘สาดน้ำเล่นสงกรานต์’ กันเต็มที่ แต่ปีนี้บอกก่อนว่า ‘อดชัวร์’ อะเนาะ!! ก็อย่างว่าดัน ‘การ์ดตก’ กันถ้วนหน้า จะทำไงได้ล่ะฮิ!!

พูดให้อยากทำไม? ในเมื่อสรุปแล้ว ปีนี้เรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องนอนเบื่ออยู่บ้านกันไปยาว ๆ (^-^)

แต่เอาน่า!! กิจกรรมชุ่มฉ่ำ ๆ ยังมีวนมาให้สัมผัสได้ทุกปีนั่นแหละ ก็ลุ้น ๆ กันไปเหมือนรอถูกหวยละกัน ว่าปีหน้าสถานการณ์โรคระบาดจะจืดจางลง ให้เทศกาลแห่งสายน้ำกลับมาสู่ชีวิตพวกเราเช่นเคย

ว่าแล้ว พอพูดถึงการสาดน้ำ คุณ ๆ ท่าน ๆ ทราบกันหรือไม่ว่า...ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีเทศกาลสาดน้ำ และไม่ได้มีแต่ ‘น้ำ’ เท่านั้นที่ใช้สาดเล่นกันได้

Weekly ช่วงเทศกาลกร่อยๆ แบบนี้ เลยขอพาคุณไปรู้จักเหล่า ‘เทศกาลสายสาด’ จากต่างแดน ที่น่าสนุกจนใคร ๆ ก็ต้องอยากไปลองเล่นดูสักครั้ง (ถึงแม้จะไม่ใช่เร็ววันนี้ก็ตาม) มาแก้วันเหงา เศร้า เบื่อ และเก็บกักตัวกันไปพลาง ๆ

เอาล่ะ!! มีเทศกาลสายสาดอะไรกันบ้าง เชิญชม!!

1. เทศกาลโฮลี (Holi Festival) ประเทศอินเดีย

>> จัดทั่วประเทศอินเดีย และชุมชนชาวอินเดียขนาดใหญ่ทั่วโลก

>> จัดขึ้นในช่วงแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี เป็นเวลา2 วัน (เดือนมีนาคม)

‘สาดสี’ กับเทศกาลโฮลี อีกเทศกาลสายสาดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของการละเล่นที่เต็มไปด้วยสีสันสดใจ ที่ผู้คนมากมายต่างพร้อมกายพร้อมใจละเลงฝุ่นสีไปทั่วทั้งถนน อันเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันเยือกเย็นไร้ชีวิตชีวา โดยฝุ่นสีที่ใช้สาดใส่กันนั้นก็ทำมาจากธรรมชาติ อาทิเช่น ดอกทองกวาว (สีส้ม) หัวบีทรูท (สีม่วง) ขมิ้น (สีเหลือง) และสีอื่น ๆ ที่จะทำให้ทุกตารางนิ้วบนตัวคุณไม่หลงเหลือสีผิวหรือสีเสื้อผ้าเดิมอยู่เลย

ประวัติความเป็นมาของเทศกาลโฮลีนั้นไม่แน่ชัดว่าเริ่มครั้งแรกเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงเทศกาลนี้มีตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 และสันนิษฐานกันว่า เทศกาลโฮลีนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของเทศกาลสำคัญที่พื้นที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลมา และปรับเปลี่ยนจากการสาดสีเป็นสาดน้ำ ซึ่งก็คือเทศกาลสงกรานต์นี่เอง ดังนั้นใครไปเล่นสาดสีที่อินเดียนี่ถือได้ว่าไปเล่นเทศกาลสาดจากดินแดนต้นตำหรับกันเลยทีเดียว

2. เทศกาลไวน์ฮาโร (Haro Wine Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองฮาโร แคว้นลาริโอฆา ประเทศสเปน

>> จัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนของทุกปี

‘สาดไวน์’ ไปกับเทศกาลสาดไวน์ในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศสเปนที่มีชื่อว่า ฮาโร (Haro) ในแค้วนลาริโอฆา (La Rioja) ที่จะเปลี่ยนถนนทั้งเส้นและผู้คนทั้งหมดให้อาบไปด้วยไวน์สีแดงฉานรสชาติซาบซ่า ด้วยเครื่องมือที่สารพัดจะพกมาทั้งเททั้งฉีดและสเปรย์จนกลายเป็นละอองหมอกสีแดงดูน่าตื่นตาตื่นใจ หรือจะมาเป็นรถดับเพลิงฉีดไวน์เลยก็มี ถ้าคุณคิดว่าน้ำเปล่าแช่น้ำแข็งของสงกรานต์บ้านเรายังไม่สาแก่ใจพอ ก็ต้องที่นี่แหละสุดจริง

สำหรับเทศกาลไวน์ฮาโรนั้น จัดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ฤดูร้อนของชาวท้องถิ่น ซึ่งแรกๆ ก็เน้นจัดเทศกาลเพื่อดื่มกันอยู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการสาดใส่กันแทน โดยเทศกาลนี้มีชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า La Batalla Del Vino De Haro หรือสงครามไวน์ฮาโร แต่ไม่ต้องกลัวว่านี่คือการสาดของราคาแพงใส่กันให้เสียดายไวน์ เพราะแคว้นนี้ถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญที่สุดของสเปน และครัวเรือนกว่า 40% ของที่นี่เขาก็มีโรงบ่มไวน์เป็นของตนเอง ของสาดจึงมีเพียบ

3. เทศกาลโคลนโพเรียง (Boryeong Mud Festival) ประเทศเกาหลีใต้

>> จัดที่หาดแดชอน เมืองโพเรียง ประเทศเกาหลีใต้

>> วันที่จัดงาน: ช่วงสุดสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฎาคม

‘สาดโคลน’ ที่ไม่ใช่แค่การสาดเสียเทเสีย เทศกาลสาดโคลนนี้ จัดขึ้นบริเวณชายหาดแดชอน (Daecheon Beach) เมืองโพเรียง (Boryeong) ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน โดยคุณจะได้สนุกไปกับการชโลมตัวในบ่อโคลน ลานมวยปล้ำ เล่นชักเย่อ กิจกรรมสาดโคลนใส่กัน พร้อมเครื่องเล่นที่สนุกสนานประหนึ่งว่านี่คือสวนน้ำกลางแจ้งอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้ยังมีสปาโคลน และกิจกรรมเบา ๆ สำหรับผู้สูงอายุอีกด้วย

เทศกาลโคลนโพเรียงจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 และกลายเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงเนื่องจากคุณภาพของโคลน ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อผิว จนสามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางและวางจำหน่ายได้ นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจึงนิยมมาสนุกสนานกับเทศกาลนี้ทุกปี จนมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 2 ล้านคน! แถมยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงโซลเท่าไหร่นัก ใครมีโอกาสไปเที่ยวเกาหลีช่วงหน้าร้อน อย่าลืมแวะไปสาดโคลนกันนะ

4. เทศกาลปามะเขือเทศ (La Tomatina) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองบูญอล แคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน

>> จัดช่วงวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม

‘สาดมะเขือเทศ’ เทศกาลสาดสุดเดือดที่มีชื่อเสียงที่สุดงานหนึ่งของสเปน เพราะเทศกาลปามะเขือเทศสุดเละเทะนี้เป็นอีกงานสายสาดสุดเกินบรรยายของเมืองบูญอล (Bunol) ในแคว้นบาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน ซึ่งจะว่าตรงๆ นี่ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เหมือนสงครามย่อมๆ กันเลย เพราะในแต่ละปีจะมีการสูญเสียมะเขือเทศจากการปาใส่กันมากกว่า 145 ตัน ผ่านการละเลงให้เละไปทั่วทั้งถนนที่ใช้จัดกิจกรรมสุดมันส์ ใครที่เบื่อสาดน้ำก็ลองเดินทางมาปามะเขือเทศใส่กันแทนได้ คุณก็จะได้ลิ้มรสอารมณ์ความเปียกแบบเหนอะๆ ไปอีกแบบ

ส่วนความเป็นมาของเทศกาลนี้ ก็ออกจะแหวกแนวไปสักหน่อย เพราะเพิ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1945 นี่เอง โดยปีก่อนหน้านั้นเกิดเหตุละเทาะวิวาทขึ้น และมีการใช้มะเขือเทศในแผงตลาดมาปาใส่กัน ทำให้ปีต่อมาคนเลยติดใจ จึงจัดมะเขือเทศมาปากันต่อจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเสียของ เพราะมะเขือเทศที่นำมาใช้ละเลงในเทศกาลนั้น เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติไม่อร่อยและมีราคาถูก โดยมีการคลึงมะเขือเทศให้ช้ำก่อนนำมาให้ผู้คนได้สนุกกันโดยไม่เป็นอันตราย

5. เทศกาลปาองุ่น (Grape Throwing Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองมาจอร์กา หมู่เกาะแบลิแอริก ประเทศสเปน

>> จัดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน

‘สาดองุ่น’ อีกหนึ่งเทศกาลสายสาดของสเปนในเมืองมาจอร์กา (Mallorca) ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะแบลิแอริก (Balearic Islands) บนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งตะวันออกของประเทศสเปน ซึ่งชาวท้องถิ่นถือว่านี่คือสุดยอดของ ‘ความบันเทิง’ ประจำปี โดยคุณต้องทำการทั้งละเลง ทั้งปาผลองุ่นดำใส่กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งอาจจะรู้สึกแปลกสักหน่อยเพราะสาดอย่างอื่นเขามาเป็นน้ำหรือเป็นผง แต่งานนี้สาดกันมาเป็นพวงเลยทีเดียว

ที่มาที่ไปของเทศกาลปาองุ่นนั้น ก็ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตองุ่นในหมู่เกาะแบลิแอริกกำลังได้ที่ และย่านนี้ ก็เป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน การฉลองช่วงเก็บองุ่นด้วยการละเลงองุ่นจึงเริ่มขึ้น ณ จุดนี้ แถมงานนี้ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่จะเลือกนุ่งสั้นทูพีช หรือเหล่ายอดชาย ก็ถอดเสื้อละเลงใส่กัน ซึ่งนอกจากจะไม่เลอะเทอะเสื้อผ้ามากชิ้นแล้ว ยังได้บำรุงผิวทางอ้อม เพราะองุ่นมีวิตามินหลายชนิด (อ่ะนะ) ด้วย!!


ที่มา:

https://www.thansettakij.com/content/ThanDigital/471063

https://travel.thaiza.com/foreign/370778/

https://travel.trueid.net/detail/XkK0JqjpZmX

https://www.wecrafttravel.com/2019/04/29/la-tomatina-เทศกาลปามะเขือเทศ/

https://www.facebook.com/perspectivetelevision/photos/เทศกาลปาองุ่น-(throwing-/435092583495811/

https://www.skyscanner.co.th/news/songkran-alternative

สัตว์เลี้ยง...เจ้าเพื่อนซี้คู่ใจ

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันนี้คนนิยมเลี้ยงสัตว์กันในทุก ๆ บ้านและยกให้เจ้าสัตว์เหล่านี้ เป็นเพื่อนซี้คู่ใจในยามเหงา และในตอนนี้ก็ไม่จำกัดอยู่แค่สุนัข และแมวเท่านั้น แต่ขยายวงออกไปในกลุ่มของสัตว์พิเศษ เช่น กระต่าย เม่นแคระ หนูแฮมสเตอร์ หรือว่าจะเป็น ปลา นก สัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น งู กิ้งก่าอิกัวน่า เต่า และสัตว์เลี้ยงหายากอีกมากมาย

สำหรับสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่แทบจะทุกบ้านมีเลี้ยงไว้ จากผลสำรวจจาก EBSCO ได้ทำการสำรวจบรรณารักษ์และผู้ประกอบวิชาชีพอื่น เพื่อสำรวจว่าสัตว์เลี้ยงประเภทไหนเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านยอดนิยมมากที่สุด โดยมีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจกว่า 480 คนและ 323 คนยังแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเพิ่มเติม และ ผลสำรวจเป็นไปตามคาดแมวและสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่บรรณารักษ์ แม้ว่าแมวจะได้รับการโหวตมากกว่าสุนัขแต่ก็นำเพียง 1 เปอร์เซนต์เท่านั้น เกือบร้อยละ 90 ของเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ที่ร่วมทำแบบสำรวจระบุว่าเขาเลี้ยงสัตว์อย่างน้อยหนึ่งตัว และร้อยละ 47 เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวอย่างน้อยอย่างละตัว

สำหรับข้อดีของการมีเพื่อนซี้คู่ใจของเจ้าสัตว์เหล่านี้ แน่นอนว่าส่งผลต่อจิตใจของเราแน่นอน ผู้ที่อาศัยอยู่กับสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากกว่าและรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยกว่า ผู้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงอีกนะ และที่สำคัญ สัตว์เลี้ยงช่วยให้คุณขจัดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย ไม่ว่าเราจะเคร่งเครียดมาจากการทำงาน อยากจะหาที่ระบาย พอกลับบ้านมาเท่านั้นก็จะมีสองตาแป๋ว รอเราอยู่ที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ หรือแม้กระทั่งในวันที่รู้สึกท้อใจก็ยังมีสัตว์เลี้ยงที่คอยเป็นผู้ฟังที่ดี ให้กับคุณอีกด้วยนะ...

แต่! ใครว่าจะมีข้อดีอย่างเดียว ยังมีเรื่องให้คุณต้องกังวลอยู่อีกไม่น้อย ก่อนอื่นเลยคุณต้องมีเวลาให้กับมัน เพราะสัตว์บางชนิดอาจต้องการความรัก ความอบอุ่นจากเจ้าของ และมันอาจจะทำให้คุณสูญเสียค่าใช้จ่ายไปอย่างมากได้เช่นกัน เริ่มตั้งแต่การซื้อสัตว์มาเลี้ยง บอกเลยราคาของสัตว์แต่ละชนิด แต่ละสายพันธุ์ ก็สูงมากใช่เล่น หลังจากซื้อมาแล้วคุณยังต้องพาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ อีกด้วย ขณะเลี้ยงคุณก็ต้องคอยสังเกตอาการและคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน เป็นอย่างดี หากไม่ศึกษาให้ดีก่อนเลี้ยง คุณอาจจะต้องพาสัตว์เลี้ยงของคุณไปพบคุณหมอ และแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายแต่ละครั้ง ก็สูงมากเช่นกัน

การมีเพื่อนซี้คู่ใจอยู่ที่บ้าน แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีแน่นอนคุณจะมีเพื่อนซี้ในยามเหงา ไม่ว่าจะหลับ หรือตื่น แต่ลองชั่งน้ำหนักดูว่า คุณพร้อมที่จะเลี้ยงมันหรือไม่ ทั้งเรื่องของเวลา และ ค่าใช้จ่ายที่อาจจะตามมาอีกไม่น้อย...


อ้างอิง

https://pcgshoponline.com/blog/2018/10/news31

https://www.ebsco.com/e/th-th/blog/librarian-pet-ownership-survey-th

ถ้างูรัก พี่จะรับไหมคะ ?

แต่ก่อนถ้าพูดถึงคำว่า ‘สัตว์เลี้ยง’ หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงสุนัข แมว ปลา เป็นต้น แต่ในปัจจุบันคนเริ่มหันมาสนใจและนิยมที่จะริเริ่มเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น ‘งู’ หลาย ๆ คนก็เริ่มที่จะสนใจเลี้ยงงูด้วยเหตุผลหลากหลาย มากมาย เช่น มีสีสันที่สวยงาม ดูสวยและดูแพง อยากสร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิต ในวันนี้เราจะพามาแนะนำสัตว์เลี้ยงที่สุดแสนจะน่ารักของใครหลาย ๆ คนกัน ไม่แน่ถ้าคุณอาจบทความนี้จบ คุณอาจจะหลงรักงูเข้าจริง ๆ เลยก็ได้ค่ะ

งู หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงความโหดร้าย และ ความน่ากลัวของมันแต่จริง ๆ แล้ว งู มีหลากหลายประเภทเหมือนกับสัตว์เลี้ยงทั่ว ๆ ไป งู เป็นสัตว์ไม่มีขา เคลื่อนที่โดยการคลานไปมา มีความว่องไว และ มีความเป็นนักล่าพอสมควร งูหลายชนิดส่วนใหญ่จะไม่กัด แต่ที่เราเห็นข่าวออกเกี่ยวกับคนโดนงูกัด เป็นเพราะว่างูนั้นต้องการปกป้องตัวเองและจะจู่โจมโดยการกัด งูเป็นสัตว์ที่กินเนื้อ โดยงูสามารถกินและกักเก็บอาหารได้ งูจะออกล่าเวลาหิว และที่สำคัญงูเป็นสัตว์ที่มองเห็นได้ตอนกลางคืน เวลาล่าเหยื่อส่วนใหญ่จะล่าในเวลากลางคืนและจะนอนในเวลากลางวัน

หลาย ๆ คนที่คิดที่จะเริ่มเลี้ยงงูก็คงที่จะต้องศึกษาข้อมูลกันเป็นอย่างดีว่าวิธี

ลักษณะการเลี้ยงงูที่ถูกต้องเป็นอย่างไร อย่างแรกเลยคือ ที่อยู่ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะแนะนำให้คนที่เลี้ยงงูจะต้องอาศัยในกล่องโดยตัวกล่องมีลักษณะแข็งแรง มีฝาเปิด และ ต้องมีอากาศถ่ายเท มีถาดน้ำไว้เสมอ เพื่อให้กล่องมีความชื้น เพราะงูจะต้องมีการลอกคราบและงูจะต้องมีการแช่ตัว ส่วนอาหารงูก็เป็นสัตว์เล็ก ๆ เช่น หนู โดยปกติงูจะเป็นสัตว์ที่ไม่ได้กินเยอะมาก แต่กินครั้งหนึ่งจะต้องอยู่ได้นาน ต้องพางูไปเจอกับสภาพแวดล้อมด้านนอกบ้าง ให้สัมผัสกับพื้นดิน พื้นทราย ไม่ใช่อยู่แต่ในกล่อง เพราะจะทำให้งูเครียด หลักการเลี้ยงงูไม่มีอะไรยาก แค่ต้องดูแล เอาใจใส่ เหมือนกับสัตว์เลี้ยงทั่ว ๆ ไป

งูเลี้ยงมีหลากหลายสายพันธุ์ ถ้าคิดอยากจะเริ่มเลี้ยงงู เรามีสายพันธุ์แนะนำให้ท่านผู้อ่านได้มาเลือกดูกัน

RAT Snake

เป็นงูสายพันธุ์ที่ไม่ดุ และ ไม่โหดร้าย ไม่มีพิษ มีเกล็ดที่แข็งแรง มีสีสันหลากหลาย รูปร่างเพรียวบาง

Common King Snake

เป็นงูสายพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย สวยงาม และไม่มีพิษ แต่น้องงูชนิดนี้มีความโหดร้ายเบา ๆ ซ่อนอยู่คือจะเป็นสายพันธุ์ที่กินงูด้วยกันเอง แต่ถ้ามีสัตว์อื่น ๆ อย่าง นก หนู หรือ ปลา งูชนิดนี้ก็สามารถกินได้เช่นเดียวกัน

Milk Snake

ลักษณะเรียวยาว รูปทรงกระบอก น่ารัก ชอบอากาศชื้นมาก ๆ และ ถ้าเกิดตกใจจะเลื้อยด้วยความเร็วสูง มีสีสันที่หลากหลาย

Ball Pyton

เป็นงูหลามที่มีลักษณะสวยงาม เป็นงูที่ค่อนข้างรักสงบ เชื่อง และ ชอบออกหากินเวลากลางคืน และเป็นงูที่ชอบเล่นน้ำมาก ๆ ผู้เลี้ยงจะต้องมีสระน้ำ หรือ อ่างน้ำใหญ่ ๆ ไว้สำหรับงูสายพันธุ์นี้

Rainbow Boa

เป็นงูที่เวลาแสงสะท้อนมาที่ตัวจะมีสายรุ้งปรากฏ สวยงามมาก ๆ และคนนิยมเลี้ยงสายพันธุ์นี้มาก ๆ เลี้ยงง่ายแต่ต้องมีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ เพราะงูสายพันธุ์นี้ไม่ชอบความแออัด หรือพื้นที่น้อย

หลังจากที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับน้องงูแล้ว หลาย ๆ คนก็อาจจะหันมาสนใจและลองศึกษาวิธีการเลี้ยงดูเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องระวังด้วยนะคะ เพราะงูเป็นสัตว์ที่เราไม่สามารถสั่งการได้ จะต้องศึกษาก่อนที่จะเลี้ยงดู และต้องรัก ดูแลเอาใจใส่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ด้วยนะคะ Have a good day ค่ะ


แหล่งอ้างอิง

https://th.wikipedia.org/wiki/งู

https://pantip.com/topic/35645072

http://www.metro-society.com/th/leisure/pet-snakes-guide

ถ้าจะมีความรักทั้งที ก็จงเป็นเถอะ คนจงรักภักดี

หลายบทความได้กล่าวไว้ว่า สุนัขไม่ได้ซื่อสัตย์ หรือจงรักภักดีแต่อย่างใด แต่สุนัขเป็นสัตว์สังคม ที่จะต้องมีจ่าฝูง และลำดับชั้นในฝูง เมื่อมีการยอมรับให้เจ้าของสุนัขเป็นจ่าฝูง สุนัขก็จำเป็นต้องเอาใจจ่าฝูง แต่เมื่อใดสุนัขมองว่าจ่าฝูงอ่อนแอ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นจ่าฝูง สุนัขก็ก้าวร้าว ไม่เชื่อฟัง พยามที่จะขึ้นเป็นจ่าฝูงแทนเจ้าของสุนัข และเนื่องจากสุนัขอยู่ร่วมกันเป็นฝูง การจะควบคุมฝูงให้อยู่ในกฎและระเบียบวินัยได้ก็คือการมีจ่าฝูงขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอำนาจ ซึ่งลูกฝูงจะมอบความจงรักภักดีให้แก่จ่าฝูงที่ถูกเลือก และซื่อสัตย์ต่อฝูงของตัวเอง

ถ้าเปรียบเทียบจากข้างต้น สุนัขมองเราเป็นจ่าฝูงเลยมอบความจงรักภักดี แล้วจะแตกต่างอะไรกับการที่เรามองว่าพฤติกรรมความจงรักภักดีของเขานี้อยู่ในสายเลือดและในสัญชาตญาณ เพราะเมื่อใดก็ตามที่สุนัขเขารู้สึกผูกพันกับใคร หรือยอมรับในความเป็นจ่าฝูงของเรา สุนัขก็จะรู้หน้าที่ของตัวเอง โดยการแสดงออกมาในแบบนั้น... สุดท้ายแล้วอย่างไร สิ่งนั้นที่ตอบแทนเรามาก็คือความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อเราอยู่ดี

สุนัขมีความผูกพันกับมนุษย์เมื่อแสนกว่าปีก่อนได้ ซึ่งทันทีที่พวกเขาพบมนุษย์ พวกเขาก็เริ่มมีพฤติกรรมฝูงที่เปลี่ยนไป ปรับเปลี่ยนนิสัยสัตว์ป่าให้เข้ากับมนุษย์ได้มากขึ้นทีละนิด  มีการผสมระหว่างหมาป่ากับหมาบ้าน จนส่งผลให้ DNA ของเขาค่อยเปลี่ยนจากหมาป่ามาเป็นหมาบ้านไปในที่สุด แล้วเมื่อสุนัขมาอยู่กับมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถในการเรียนรู้การสื่อสารแบบที่มนุษย์สื่อสาร ปรับตัวได้อย่างไว เข้าใจภาษากาย และการแสดงออกทางสีหน้าของเรา มีงานกรณีศึกษาหลายชิ้นที่ระบุว่า สุนัขมีความพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์มากกว่าสัตว์อื่น ๆ อีกทั้งยังสามารถแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาให้มนุษย์ได้รับรู้... อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่พวกเขาจะใส่ใจความรู้สึก หรือต้องการจะปลอบโยน แต่จะมีเพียงแต่คนที่พวกเขารัก มีความผูกพัน ด้วยเท่านั้นที่พวกเขาจะยอมจงรักภักดีด้วย เห็นหรือไม่ว่า ลักษณะนิสัยของสุนัขแล้ว อุทิศตัวเองเพื่อเข้าใจมนุษย์เรามากขนาดไหน...

“อยากได้ ต้องให้ก่อน” เชื่อไหมว่าเราใช้คำ ๆ นี้กับเขาได้จริง ถึงสุนัขจะมีความรักให้เรา เขาก็ไม่สามารถอยู่ได้หากมีความรักจากเขาแค่ฝ่ายเดียว รักมาด้วยใจ ให้มาด้วยใจกลับ การให้ในสิ่งที่จะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว มันคือความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย แค่คิดว่าเราเป็นผู้ให้ที่ดีเสมอ สิ่งนั้นก็จะตอบแทนเรา... ในหลาย ๆ ครั้ง ที่เราพบสุนัขทั่วไป ตามถนนหนทาง โดยเฉพาะการเจอในรูปแบบเริ่มต้นไม่ค่อยดี อย่างสุนัขเห่า หรือมองหน้ากันแบบท่าจะไม่ค่อยดี หรือหนัก ๆ เลย แบบว่าจะวิ่งใส่กันแน่ ๆ ฮ่า ๆ เราก็ไม่เคยได้ศึกษาการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์แบบแท้จริงเลยว่าควรรับมืออย่างไร เราใช้แต่วิธีที่เราเจอมาแล้วรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในแบบนี้ เราคิดแค่ว่าถ้าเราเจออะไรแบบนี้ เราจะมองเขาด้วยใจเสมอ เราจะคิดในใจตลอดว่าเรามาด้วยใจ ไม่ได้มาทำร้าย เรามาดีนะ อาจจะดูแปลก ๆ แต่เชื่อเถอะว่าเขารับรู้ได้ถึงใจเราแน่นอน 

แต่ก็เข้าใจว่าไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน ทุกอย่างอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัว เพราะนิสัยสุนัขแต่ละตัวก็ต่างกัน บางตัวเข้าใจง่ายแปปเดียวสนิทกัน บางตัวใช้เวลา บางตัวเป็นสุนัขติสท์สุด ซึ่งเหมือนมนุษย์เลย เราเคยใช้เวลานานมาก เพื่อจะเป็นเพื่อนกับสุนัขข้างทางตัวนึง หลาย ๆ วัน ที่เราไปหา พูดคุย และอยากจะลูบหัวเขา เขาก็จะไม่ให้จับหรือโดนตัวเลย แต่ว่าในแต่ละวัน ก็ต่างพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเรื่อย ๆ จากไกล ใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ (จากมุมมองลึกแล้วเขาก็อาจจะเจออะไรมามากมาย เช่นการถูกทำร้าย คงไม่แปลกที่อาจจะมีความเชื่อใจหรือไว้ใจใครยาก) จนวันนึงเขายอมให้เรา มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจมาก ๆ  ว่าเราสามารถทำให้เขาไว้ใจ เชื่อใจเราได้ และจริงที่จากนั้นสัญชาตญาณของเขาก็กระตุ้นทำหน้าที่ของลูกฝูงที่ดี และเชื่อฟังคำสั่งจ่าฝูงแบบเราอย่างน่ามหัศจรรย์ เราจึงไม่น่าแปลกใจที่สุนัขบางตัวสามารถจดจำได้ว่าใครเคยช่วยชีวิตพวกเขาไว้ แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

ความซื่อสัตย์ของเขา เงินซื้อไม่ได้ เพียงเราต้องการก็จะต้องแลกเปลี่ยนกันด้วยหัวใจจริง ความรัก ความไว้ใจความเชื่อใจซึ่งกันและกันที่เรามี เราจะได้ในสิ่งนั้นกลับมาเช่นกัน 

ขออุทิศให้ แพนด้า


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.dogilike.com/content/train/5184/
ภาพ :  Pinterest 

เมื่อสัตว์ทุกตัว ทุกชนิด ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงเสมอไป การฝืนธรรมชาติ ไม่อาจฝืนสัญชาตญาณดุร้าย นำไปสู่ภัยร้าย ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ในปัจจุบัน การมีสัตว์เลี้ยงแทบจะเป็นแฟชั่นประจำตัวของผู้คนในยุคนี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน แต่ละคนก็มักจะมีสัตว์เลี้ยงข้างกาย ที่พบเห็นมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น สุนัข แมว ฟังดูก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาขณะนี้ คือสัตว์บางชนิดไม่เหมาะกับการเป็นสัตว์เลี้ยง หรือกล่าวคือ ไม่เหมาะกับการอยู่ในสังคมและสภาพแวดล้อมของมนุษย์

ในยุคนี้พบว่า นอกจาก สุนัข แมว ปลา หนู ผู้คนยังนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ มากมาย อาทิ แมงมุม กิ้งก่า ชูก้าไรเดอร์ แพรรีด็อก หรือแม้กระทั่ง สัตว์ที่ไม่น่าจะนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นคือ งู ที่หลายคนต่างเสาะแสวงหาสายพันธุ์ที่ไม่มีพิษ และลวดลายความสวยงาม มาเลี้ยงประดับไว้ โดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติของพวกมัน

ถึงแม้จะเชื่องแค่ไหน แต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าไม่สามารถเดาใจได้ ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดในสหรัฐอเมริกา ซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวว่า มีผู้พบ น.ส.ลอร่า เฮิร์สท์ อายุ 36 ปี นอนนิ่งโดยมี งูเหลือม ขนาดยาวเกือบ 2.5 เมตรพันรอบๆ คอ ขณะที่บ้านซึ่งพบศพน.ส.เฮิร์สท์มีงูอาศัยอยู่อีก 140 ตัว ในจำนวนนี้ 20 ตัวเป็นงูของน.ส.เฮิร์สท์ ที่ต้องเข้ามาดูแลเป็นประจำ

หรือกรณีของ แน็ก ชาลี ที่ได้โพสต์คลิปขณะที่ถูกงูหลามที่เลี้้ยงเอาไว้กัดจนได้เลือด ถึงแม้จะพูดติดตลกว่า งูหลามของตนกัดพลาด เพราะคิดว่าเป็นน่องไก่ ล้านปีไม่เคยกัด เป็นงูที่ใจดีที่สุด กรณีนี้ทำให้เราต้องหันมาตระหนักว่า ไม่เคยกัด ไม่ใช่ว่ากัดไม่เป็น

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สัตว์ทุกชนิดไม่ได้เหมาะแก่การเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่เหมาะที่จะนำมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่ของพวกมัน บางครั้งผู้คนนิยมแค่ตอบสนองความต้องการของตัวเอง ใช้ความแปลก ความหายาก ความนิยมของสัตว์แต่ละชนิด ดึงพวกมันออกมาจากสิ่งแวดล้อมที่ควรอยู่

สัตว์บางชนิดมีความต้องการและพฤติกรรมตามธรรมชาติที่ซับซ้อน ซึ่งมีแค่สภาพแวดล้อมเดิมเท่านั้นที่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ และเจ้าของสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงความทุกข์ทรมานนี้

มีข้อมูลว่า สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวนั้นถูกนำมาเลี้ยงดูนับหลายพันปี ทำให้พวกมันถูกคัดเลือกสายพันธุ์ให้มีลักษณะเฉพาะที่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้โดยปราศจากความกลัวหรือความทุกข์ทรมาน แต่สัตว์ป่าหรือสัตว์บางชนิดไม่ได้เกิดมาเพื่ออาศัยอยู่ในบ้าน เพราะลักษณะนิสัยสัตว์ป่า ทำให้พวกมันไม่เหมาะที่จะถูกเลี้ยงไว้ในสภาพแวดล้อมภายในบ้าน

หากสังเกตข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ จะพบว่าประเด็นสัตว์เลี้ยงทำร้ายคนมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลอย่าง เจ้าก็อตซิลล่า ลิงแสมอ้วนที่ได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวมนุษย์ อยู่ภายในตลาดนัดเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ที่มีน้ำหนักมากจนเกือบถึง 20 กก. ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องนำตัวมาดูแล ซึ่งเจ้าก๊อตซิลล่าตัวนี้ยังได้กัดมือนักข่าวสาวที่ไปทำข่าว แผลลึกถึงกระดูก เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ลิงแสมตัวนี้ได้เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว ตามสันชาตญาณสัตว์ป่านั้น ลิงจะเริ่มดุร้ายขึ้นและอาจจะกัดหรือทำร้ายคนรอบข้างทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของที่เคยเลี้ยงดูมา ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนได้

ที่ยกมาเป็นแค่กรณีตัวอย่างเท่านั้น เชื่อว่ายังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เจ้าของถูกสัตว์เลี้ยงของตัวเองทำร้าย ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว หรือสัตว์แปลก ๆ เหล่านั้น การก้าวก่ายห่วงโซ่อาหาร พยายามเปลี่ยนแปลงวัฏจักรชีวิตของสัตว์ ดึงพวกมันออกมาและพยายามเลี้ยงในวิถีของมนุษย์ สุดท้ายสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่าของพวกมันที่ถูกกดไว้ก็จะแสดงออกมาตามธรรมชาติ อย่างที่ควรเป็น เมื่อนั้นคงไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เพราะพวกมันไม่ได้เป็นผู้เลือกที่จะอยู่ แต่เป็นฝีมือมนุษย์ ที่พยายามฝืนธรรมชาติ เปลี่ยนความเป็นสัตว์ร้ายของพวกมันให้อยู่ในคราบสัตว์เลี้ยง


อ้างอิงข้อมูล:

https://www.worldanimalprotection.or.th/news/5-resasons-not-buy-exotic-pet

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_3021984

รับมืออย่างไรเมื่อไม่มีเขา...แต่เราต้องไปต่อ

เมื่อไม่นานมานี้ในระหว่างที่ผู้เขียน ไถฟีดเฟซบุ๊กตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปเจอกับภาพ ๆ นึงที่ชวนให้หวนคิดถึงเพื่อนรักที่จากไป ซึ่งภาพที่เห็นก็มาจากรายการ Cooking with Dog รายการทำอาหารที่ไม่ได้สอนแค่ทำอาหารแต่ยังแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของหญิงวัยกลางคนที่ใครก็รู้จักเธอในหน้าที่ ‘เชฟ’ กับคู่หูคู่ใจอย่าง ‘เจ้าฟรานซิส’ สุนัขพุดเดิ้ลที่คอยอยู่เคียงข้างตลอดการดำเนินรายการ

ด้วยความน่ารักและมิตรภาพของทั้งคู่ทำให้รายการดำเนินมายาวนานหลายปีและสุดท้ายก็ถึงเวลายุติการทำหน้าที่ของพิธีกรคู่หูคนสำคัญอย่าง ‘เจ้าฟรานซิส’ เมื่อเขาได้จากไปในวัย 14 ปี 9 เดือน แต่ภาพที่ชวนสะเทือนใจยิ่งกว่าคือภาพของ ห้องครัวห้องเดิม ผู้หญิงวัยกลางคนคนเดิม แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่ฟรานซิส กลายเป็นตุ๊กตาตัวแทนของฟรานซิสแทน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำหน้าที่ต่อไปแต่รายการก็ยังคงต้องดำเนินต่อ ‘เพราะวันนึงที่ไม่มีเขาแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป’

นี่แหละค่ะ จุดเริ่มต้นของการหวนคิดถึงเพื่อนรักในวัยเยาว์ และช่วงเวลาของการอยู่ต่อไปโดยไม่มีเขา ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนไม่ใช่กูรูในการจัดการบริหารความรู้สึก แต่เพียงแค่อยากแชร์ในมุมมองของผู้ที่ผ่านจุด ‘ไม่มีเขาแต่เราต้องไปต่อ’ ก็เพียงเท่านั้น

เชื่อว่าหลาย ๆ ท่าน คงเคยสัมผัสบรรยากาศการพบปะและลาจากใช่ไหมคะ แน่นอนค่ะ สัตว์เลี้ยงแสนรักก็เช่นเดียวกัน พวกเขาไม่อายุยืนเท่าเรา แต่ช่วงชีวิตอันสั้นของพวกเขาสร้างความสุขให้กับเราได้ไม่น้อย แต่ในวันที่เขาจากไป ดูเหมือนเขาจะพรากเอาความสุขนั้นไปด้วย แล้วเราจะจัดการอย่างไรล่ะเมื่อความสุขของเราหายไปกับเขา และเหลือเพียงแต่ความหม่นหมองในวันที่ไม่มีเขาอยู่?

แน่นอนว่ากลไกการรับมือของแต่ละคนคงต่างกัน แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่ทุกคนต้องพยายามเผชิญและผ่านมันไปให้ได้คือ ‘การยอมรับ’ ซึ่งยอมรับในที่นี้นอกจากยอมรับว่าสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราได้จากไปแบบไม่มีวันกลับแล้ว การยอมรับอีกอย่างที่สำคัญคือ ยอมรับเสียเถอะว่าเราเสียใจ การฟูมฟายในบางครั้งก็ระบายความเจ็บปวดได้ดีกว่าการเก็บเอาไว้ภายใน

บางครั้งการจัดการกับความรู้สึกด้วยตัวเองอาจไม่ดีเท่ากับมีใครรับฟังเรา ดังนั้น ‘การระบายกับใครสักคน’ ก็เป็นเรื่องที่ดีและไม่ได้น่าอาย เพราะการที่ได้พูดออกไปดีกว่าเก็บไว้คนเดียว ไม่แน่ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานอกจากได้ระบายแล้วคุณอาจได้กำลังใจหรือมุมมองใหม่ ๆ ในการรับมือกับการจากไปของสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณก็ได้

เช่นเดียวกับทุก ๆ เรื่อง เราต้องรู้จักให้เวลา เช่นเดียวกับการรับมือในการจากไปเช่นกัน หลาย ๆ คนคงคุ้นหูกับประโยคที่ว่า ‘เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง’ ซึ่งก็เยียวยาได้จริง ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อวันเวลาผ่านไปความทุกข์ที่มีจะคลายลงตามเวลา และภาพที่ยังคงอยู่คือเวลาดี ๆ ที่เรามีกับสัตว์เลี้ยงแสนรัก การใช้เวลาในการเยียวยาของแต่ละคนไม่เท่ากันแต่แน่นอนว่าเราจะสามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน

วิธีรับมือกับการจากไปของสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ผู้เขียน บรรยายยาวเหยีดมาจนถึงตอนนี้ ล้วนเป็นบทเรียนจากเพื่อนรักสี่ขาของผู้เขียนที่มอบให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากกัน และทำให้เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้ แม้ในวันนี้จะไม่มีเขาอยู่แล้วก็ตาม

การเยียวยาตัวเองต่อการจากไปคงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว และอาจเป็นสูตรเฉพาะของแต่ละบุคคล แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่าสิ่งที่ผู้เขียนได้บรรยายมาข้างต้นอาจช่วยให้เราจัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ง่ายขึ้น เพราะแม้ว่าในวันที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราอยู่ข้างกายเหมือนเดิม แต่ชีวิตคนเราก็ยังต้องไปต่ออยู่ดี เหมือนอย่างที่ ‘เชฟ’ ก็ยังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปแม้จะไม่มี ‘ฟรานซิส’ เพื่อนคู่ใจเหมือนเคยก็ตาม

กักตัว 14 วัน เปลี่ยนความวิตกกังวล เป็นการพัฒนาตัวเอง

เชคอาการกันหน่อย ! คนรอบข้างใครยังไม่ติดเชื้อโควิด-19 บ้าง ที่ถามแบบนี้ไม่ได้บอกว่าโควิด-19 เป็นเทรนด์ฮิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอ แต่จากสภาพปัจจุบันที่ผู้ติดเชื้อรายวันในบ้านเราเพิ่มขึ้นวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ทำให้อดหลอนไม่ได้จริง ๆ

“ฉันติดหรือยัง?”

“เพื่อนฉันติดฉันต้องกักตัวไหม?”

“กักตัวต้องทำยังไง?”

“กักตัวแล้วรายได้หายไปเท่าไหร่?”

สารพัดสาระเพความคิดที่เข้ามา จนหลายคนบ่น จะเป็นโรคประสาทก่อนโรคโควิด-19

แต่หากได้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วจริงๆ! และต้องกักตัว 14 วันขึ้นมา

14 วันแห่งความวิตกกังวลจะทำให้เป็น 14 วันแห่งความแข็งแกร่งได้อย่างไร ?

เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องกักตัว 14 วัน ตั้งสติให้มั่น แล้วทำตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขทันที 10 ข้อที่ต้องทำ ไปดูกัน !

1.) อยู่ที่บ้าน โดยจำกัดคนเยี่ยม และรายงานตัวต่อกรมควบคุมโรค โทร 1422

2.) สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

3.) แยกขยะติดเชื้อออกจากขยะทั่วไป เช่น กระดาษชำระ หน้ากากอนามัย

4.) ปิดฝาชักโครกทุกครั้งเมื่อกดล้าง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของไวรัส

5.) ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล

6.) เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศภายในบ้านถ่ายเท

7.) งดรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว

8.) ยืนให้ห่างจากผู้อื่นในระยะที่มากกว่า 4 เมตร

9.) ล้างจานด้วยน้ำยาล้างจานก่อนใช้เสมอ

10.) ไม่ควรใช้รถโดยสารสาธารณะ และไม่จำเป็นไม่ควรออกจากบ้าน

ทั้งนี้ก็อย่าลืมไปตรวจเชื้อซ้ำ !!! 2 - 3 รอบให้ชัวร์ด้วย

ขั้นตอน 10 ข้อนี้ เขียนเตือนในที่ๆเห็นได้ชัด และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแบบมีวินัย เมื่อจัดการระเบียบสิ่งต้องทำได้แล้ว แล้ว 14 วันนี้ จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปทำไม ? แน่นอนว่าความวิตกกังวลกับโรคและอยู่กับตัวเองมาเกินไปจะทำให้เกิดความทุกข์ทางในแน่นอน ระหว่างนี้ลองปรับวิธีคิด มองเรื่องวิกฤตให้เป็นโอกาส

โอกาส ! ที่จะได้จัดของในบ้านส่วนที่รกให้เป็นระเบียบ

โอกาส ! ที่จะมีเวลาออกกำลังกาย หลังจากที่ผัดวันประกันพรุ่งนี้ เพราะข้ออ้างไม่มีเวลา (ตอนนี้มีเวลาแล้ว)

โอกาส ! ได้ทบทวนเรื่องราวในชีวิตห้วงเวลาที่ผ่านมา โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เพราะโลกที่หมุนเร็วและการทำงานที่อัดแน่นในทุกๆวัน การทบทวนสิ่งที่ผ่านมาอาจจะแทบไม่ได้ทำเลย

โอกาส ! ลองทำสิ่งที่อยากทำมานาน แต่ไม่ได้ทำสักที

โอกาส ! พัฒนาทักษะ เพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง จากการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ ติดตามข่าวสารบ้านเมือง

ทั้งหมดนี้ ย่อสั้นๆ คือ 14 วันกักตัว คือโอกาสในการอยู่กับตัวเอง ได้มองเห็นตัวเองจริง ๆ

ในขณะที่จังหวะของโลก หมุนไปอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อจังหวะชีวิตของมนุษย์ผู้กระหายในสิ่งต่างๆเร็วขึ้นเช่นกัน กับความคาดหวังว่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น อาทิ งาน เงิน และความสำเร็จ

การได้กลับมาอยู่กับตัวเอง ! ในจังหวะปกติ ไม่ช้าไม่เร็ว อาจทำให้เราพบคำตอบว่า ความสุขของเราในจังหวะชีวิตในแบบของเราก็เป็นได้

กักตัว 14 วัน ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็ไม่ควรทำให้ชีวิตในช่วงนี้ต้องระทม

.

ข้อมูลอ้างอิง

ขอบคุณที่มา 10 วิธี อยู่ในบ้านต้าน COVID-19 เมื่อกักตัว 14 วัน (thaihealth.or.th)


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

การดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในวิกฤติโควิด-19 เพื่อไม่ให้กระทบคนในครอบครัว แม้กระทั่ง การกระทบทางด้านจิตใจ...

ในสถานการณ์เดียวกัน สำหรับคนที่อยู่กับครอบครัวแบบเราแล้วมันเกิดขึ้น 2 แบบ ขอเล่าแบบแรกและย้อนไปตอนล็อกดาวน์เมื่อปี 2563 ก่อน น่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ซึ่งตอนนั้นการอาศัยอยู่เป็นครอบครัวของเรา เป็นการอาศัยอยู่แบบเป็นบ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอนปกติ และไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ เพราะเราค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัวมาก นอกจากห้องนอนที่แยกกันอยู่แล้ว พื้นที่จับจ่ายใช้สอยก็ค่อนข้างมีพอเช่นกันที่จะเว้นระยะห่างกัน บวกกับปกติครอบครัวเราจะไม่ค่อยเจอหน้ากันเท่าไหร่

ซึ่งบอกไว้ก่อนว่าครอบครัวเราเป็นคนสนุกสนานมาก และมีเสียงหัวเราะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเสมอ แต่เป็นเพราะว่าทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ เวลาเลยไม่ค่อยตรงกัน เราก็จะเป็นประเภทที่ค่อนข้างติดห้องนอนอยู่แล้ว และอยู่ในช่วงที่เราเองเรียนจบใหม่ ก็ถือว่าได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากการว่างงาน ทำให้ต้องอยู่บ้านเรื่อยเปื่อยไปอีกยาว ๆ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน

ในตอนนั่นนอกจากแม่ก็เหลือพ่อคนเดียว ที่ยังคงต้องไปทำงานอยู่ แต่ช่วงเวลาในการทำงานสั้นลง บริษัทของพ่อไม่ได้มีการประกาศปิด ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีที่พ่อไม่ได้หยุดงานและยังต้องเจอความเสี่ยงมากแค่ไหน แต่คงยังต้องทำมาหากินกันต่อไป เพราะเราก็เลือกไม่ได้แต่สถานการณ์นั้นก็ทำให้เราผ่านมันมาได้ อาจจะด้วยเราก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากไปจากเดิมจากการเป็นอยู่ แต่ก็ถือว่าทุกคนในครอบครัวปลอดภัยก็เพียงพอ

จากนั้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเราก็ได้เริ่มทำงานแล้วในช่วงเดือนกรกฎาคม ขอเล่าต่อในแบบที่ 2 แบบที่ครอบครัวเราได้ย้ายจากบ้านที่เคยอยู่ มาอยู่คอนโด 1 ห้องนอน ตอนนี้เราอยู่กัน 3 คน เนื่องจากน้องชาย 1 สมาชิกของเราต้องไปอยู่หอเนื่องจากมหาวิทยาลัยไกลจากบ้าน ดูทุกอย่างจะลงตัวขึ้น พ่อ แม่ และเราไปทำงานปกติ แต่สิ่งที่ยังคงปฏิบัติอยู่เสมอ คือการสวมหน้ากากตลอด พกเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ หรือแม้กระทั่งใส่ถุงมือในการไปซื้อของ ยิ่งต้องออกข้างนอกไปทำงาน เดินทาง

ซึ่งการย้ายมาอยู่คอนโดจะแตกต่างจากการอยู่บ้านแบบแต่ก่อน เพราะต้องมีการใช้ลิฟท์ส่วนรวม หรือการแสกนนิ้ว และอีกอย่างหลาย ก็ยิ่งค่อนข้างจะเป็นระเบียบและเข้มงวดกับตัวเองมาก กลับมาบ้านทุกคนจะต้องไปอาบน้ำก่อนเลยอันดับแรก พอได้ออกมาข้างนอกหรือมาทำงานเราเลยอยากดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่าน เราอาจจะไม่ได้เล่าในมุมมองส่วนตัวมากเท่าไหร่ เพราะเราก็เครียดมากจากสถานการณ์โควิด-19 จะเสพข่าวทุกวันว่ามีใครติดเพิ่ม บอกตามตรงว่าเราโกรธโควิดมาก แต่ขอหยุดเล่าถึงความโกรธไว้แค่ตรงนี้

เพราะว่าไม่นานหลังจากนั้น มันกลับมาให้โกรธอีกครั้งจนได้ โอยยยย อยากจะกรี้ดดัง ๆ ๆ แต่คอนโดห้ามเสียงดัง... จากที่โควิด-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้งอีกครั้งในช่วงเดือนธันวา หรือระลอก 2 นี่จะเป็นเรื่องที่เรารู้สึกแย่มาก “ถ้าเราอยู่บ้านเหมือนเดิมก็คงดี” (บ้านก่อนจะย้ายมาคอนโด) นี่เป็นคำที่เราบอกกับพ่อและแม่ออกไปหลังจากที่แม่บอกว่าให้น้องกลับมาอยู่บ้านก่อน เพราะแม่เป็นห่วงทุกคนโดยเฉพาะพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัว

ตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อไปแบบนั้น เรานึกแค่ว่า จะอยู่กันยังไง ก็ต้องอึดอัด ถ้าเราอยู่บ้านแบบที่เคยอยู่ อย่างที่บอกข้างต้นว่า มีพื้นที่ส่วนตัว และก็ค่อนข้างกว้างแบบเดิมคงดีกว่า ต่างจากคอนโดที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงหรือเว้นระยะห่างได้ยาก และยังต้องมีการใช้พื้นที่ส่วนรวมร่วมกันหลายอย่าง ซึ่งมันแย่มากหลังจากที่ได้พิมพ์ไป (เนื่องจากเหตุผลที่เราย้ายมาอยู่คอนโดก็มาจากปัจจัยที่เราต้องการลดภาระลงด้วย) แต่เรากลับทำให้ครอบครัวรู้สึกแย่...นึกแค่ว่าถ้าอยู่ห้องแยกกันเหมือนเดิมก็คงดีกว่า ซึ่งเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก จนเราไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนช่วงสถานการณ์เริ่มกลับมาปกติ และการที่เราได้ย้ายบ้านมาบ้านใหม่ นอกจากวันอาทิตย์หรือวันหยุดของครอบครัวแล้ว เราได้เจอหน้ากันทุกวัน และได้พูดคุยกันมากขึ้นกว่าเดิมในวันจัทร์-ศุกร์ ซึ่งมันไม่เหมือนเดิม มันดีกว่าเดิม และความสนุกในครอบครัวมันก็ยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิมอีก

จากนั้นเราได้คิดทบทวนหลายอย่างว่าทำไมเราถึงโทษสิ่งนั้น ทั้งที่เราไม่ได้นึกคิดเลยว่า การที่ทุกคนในครอบครัวเราอยู่ร่วมกันได้ มันเริ่มจากที่ทุกคนในครอบเรารักกัน และช่วยดูแล รับผิดชอบตัวเองได้ดีมาก ๆ ขนาดเราไปทำงานทุกวันยังนึกเสมอเลยว่า อย่าติดนะ เรากลัวนะ อย่าเป็นนะ ห้ามเป็นนะ ถ้าเป็นไม่ได้นะ มีคนที่บ้านอีกนะ แล้วความกลัวมันทำให้เราระมัดระวังตลอด เราเลยเชื่อว่าทุกคนในบ้านคิดเหมือนเรา ทุกคนเลยปฏิบัติ ดูแลตัวเองมาตลอด เพื่อกลับไปถึงที่บ้านอย่างปลอดภัย และทุกคนในบ้านก็ปลอดภัยด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจนถึงทุกวันนี้

ก่อนนั้นเราเคยถามแม่ว่า ทำไมแม่คอยบอกตลอดว่า ไม่อยากให้พ่อติดโควิด หรือดูเป็นห่วงพ่อมาก แม่ตอบว่าเป็นห่วงทุกคนมากเท่ากัน ส่วนตัวแม่เอง ก็บอกตัวกับตัวเอง ดูแลตัวเองอยู่แล้ว และส่วนที่บอกกับพ่อบ่อย ๆ เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นอะไรไปรวมถึงแม่เอง เพราะไม่อย่างงั้นใครจะอยู่ดูแลลูก เป็นคำพูดสั้น ๆ ที่เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเป็นบทเรียนที่มีค่าที่สุด

ถ้าเรายิ่งดูแลตัวเองดีเท่าไหร่ เราก็ยิ่งดูแลคนที่เรารักได้ดีมากขึ้นเท่านั้น อาจจะเป็นที่มาของคำว่า ก่อนจะดูแลคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีก่อน อาจจะฟังดูฮาร์ดคอร์ หรือแปลก ๆ ไปหน่อย แต่ก็พอที่จะใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ เพราะสุดท้ายมันมีเหตุผลที่ดีกว่าอยู่เบื้องหลังเสมอ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top