Friday, 10 May 2024
UK

‘อังกฤษ’ เจ้าแรก ไฟเขียว!! ‘โมลนูพิราเวียร์’ สู้โควิด หลังพบใช้เร็ว ลดเข้า ‘โรงหมอ-เสียชีวิต’

สหราชอาณาจักร อนุมัติ!! ‘ยาโมลนูพิราเวียร์’ เชื่อ!! ตัวเปลี่ยนเกมต่อสู้โควิด-19

สหราชอาณาจักรกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติ ‘ยาโมลนูพิราเวียร์’ (Molnupiravir) ยาเม็ดรักษาโควิด-19 ที่ผลิตโดยบริษัท Merck ร่วมกับ Ridgeback Biootherapeutics หลังพบว่าช่วยลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมาก ทำให้ยาดังกล่าวถูกมองว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสหราชอาณาจักรต่อจากนี้

ทั้งนี้ สำนักงานควบคุมยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของสหราชอาณาจักร (MHRA) แนะนำให้ใช้ยาดังกล่าวกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยเร็วที่สุดหลังตรวจพบเชื้อ หรือภายในเวลา 5 วัน หลังจากที่เริ่มมีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ อาทิ เบาหวาน, โรคอ้วน และโรคหัวใจ เป็นต้น

ศาสตราจารย์สตีเฟน พาววิส (Stephen Powis) ผู้อำนวยการด้านการแพทย์แห่งชาติของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ในอังกฤษกล่าวว่าเบื้องต้นยาดังกล่าวจะถูกแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน ก่อนที่จะกระจายในวงกว้างหากพบว่าเป็นแนวทางการรักษาที่คุ้มค่า และสามารถลดอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้

โดยรัฐบาลอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ไปแล้วเป็นจำนวน 480,000 ชุด ในขณะที่อังกฤษกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ท้าทายอย่างยิ่งในการรับมือกับการแพร่ระบาด

ด้านสหรัฐฯ ระบุว่าจะมีการประชุมในวันที่ 30 พ.ย. ที่จะถึงนี้เพื่อทบทวนข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยา ก่อนที่จะพิจารณาว่าควรอนุมัติยาดังกล่าวหรือไม่ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ ขณะที่ Merck เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตยาเม็ดโมลนูพิราเวียร์ให้หลายประเทศทั่วโลก

สหราชอาณาจักร​ เผยเคสติด Omicron ร่วม​ 70% 'ไม่หนัก'​ จนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

รัฐบาลสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า​ ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวกลายพันธุ์ Omicron มีความเสี่ยง 'อาการหนัก'​ ถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์เดลตา 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่​ Omicron​ แพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมาก มันอาจทำให้ยังคงมีคนไข้จำนวนมากจำเป็นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 

ทั้งนี้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นโดยสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) พบว่า บุคคลหนึ่งๆ ที่ติดเชื้อโอมิครอนมีความเป็นไปได้ที่จะต้องเข้าแผนกฉุกเฉินน้อยลง 31% ถึง 45% เมื่อเทียบกับคนติดเชื้อเดลตา และมีความเป็นไปได้น้อยลง 50% ถึง 70% ที่อาจ​ 'อาการหนัก'​ ถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

เจนนี แฮร์รี ผู้บริหารสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักรระบุในวันพฤหัสบดี (23 ธ.ค.) ว่า "มันเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่สร้างกำลังใจ ส่งสัญญาณว่าคนที่ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์ Omicron​ มีความเสี่ยงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลต่ำกว่าผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์อื่นๆ" เธอกล่าว "อย่างไรก็ตาม มันควรถูกเน้นว่านี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นและจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการค้นพบนี้"

รายงานการวิเคราะห์ถูกเผยแพร่ออกมาในขณะที่สหราชอาณาจักรรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่รายวัน 119,789 ในวันพฤหัสบดี (23 ธ.ค.) ท่ามกลางการแพร่ระบาดไปทั่วประเทศของตัวกลายพันธุ์​ Omicron

ผลการวิเคราะห์ของ UKHSA มีความไม่แน่นอนสูง เพราะว่าปัจจุบันยังมีเคสผู้ติดเชื้อ Omicron​ เพียงกลุ่มเล็กๆ ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงไม่มีเครื่องตรวจจับที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้ และจำกัดเฉพาะในกลุ่มคนสูงวัย

อย่างไรก็ตาม ผลการค้นพบเป็นการเพิ่มเติมหลักฐานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความรุนแรงของตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้และฮ่องกง สอดคล้องกับสัญญาณในแง่บวกต่างๆ ในผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนเมื่อวันพุธ (22 ธ.ค.)

การแพร่เชื้อ ความรุนแรงของโรคและตัวกลายพันธุ์ Omicron​ สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้หรือไม่ คือ 3 คำถามตัวโตที่บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและนักไวรัสวิทยากำลังพยายามหาคำตอบ ขณะที่รัฐบาลต่างๆ กำลังประเมินว่าพวกเขาจำเป็นต้องใช้มาตรการอันไม่เป็นที่นิยม ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ ในความพยายามสกัดการแพร่ระบาดระลอกล่าสุดหรือไม่

‘รัสเซีย’ ฉะ ‘UK’ กรณีส่งกระสุนยูเรเนียมให้ ‘ยูเครน’ ชี้ อาจส่งผลให้สงครามบานปลายและร้ายแรงกว่าเดิม

(24 มี.ค. 66) เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ในวันพฤหัสบดี (23 มี.ค.) ปฏิเสธเสียงคร่ำครวญของรัสเซีย เกี่ยวกับคำแถลงของสหราชอาณาจักร ที่บอกว่าจะส่งกระสุนที่มียูเรเนียมด้อยสมรรถนะเป็นส่วนประกอบให้แก่ยูเครน ยัน เป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศ

รัสเซียเมื่อวันพุธ (22 มี.ค.) ออกมาเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายอย่างร้ายแรงในวิกฤตยูเครน หากว่าลอนดอนมอบกระสุนยูเรเนียมด้อยสมรรถนะที่มีประสิทธิภาพเจาะเกราะให้แก่เคียฟ

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับแผนของสหราชอาณาจักรและเสียงโวยวายจากรัสเซีย ทางสโตลเทนเบิร์ก ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี ว่า “บรรดาพันธมิตรนาโต้กำลังปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกฎหมายระหว่างประเทศในทุก ๆ อย่างที่พวกเขาทำในการสนับสนุนยูเครน”

“สิ่งอันตรายที่สุดคือสงคราม ซึ่งกำลังเข่นฆ่าหลายพันชีวิต” เขากล่าว ณ พิธีเปิดปฏิบัติการฝูงบินเครื่องเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ กองบินใหม่ของนาโต้-อียู ที่ฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งในเนเธอร์แลนด์ “สำหรับประธานาธิบดีปูติน การหยุดสงครามคือสิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ”

แอนนาเบล โกลดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร ยืนยันเมื่อวันจันทร์ (20 มี.ค.) ว่าสหราชอาณาจักรจะมอบกระสุนยูเรเนียมด้อยสมรรถนะแก่ยูเครน โลหะหนักที่จะช่วยให้กระสุนสามารถเจาะทะลวงเหล็กได้ง่ายกว่าเดิม

มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุสปุตนิกในวันพุธ (22 มี.ค.) เน้นย้ำว่าถ้อยแถลงของลอนดอน คือสัญญาณแห่ง ‘การขาดความยั้งคิด ไร้ความรับผิดชอบ และลอยนวลพ้นผิด’ ของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในเรื่องของกิจการระหว่างประเทศต่าง ๆ

เธอเน้นย้ำว่า กระสุนที่มียูเรเนียมด้อยสมรรถนะเป็นส่วนประกอบไม่ใช่แค่ทรงพลานุภาพมากกว่าและศักยภาพในการเจาะทะลุทะลวงมากกว่า แต่มันยังก่อการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีในดิน สร้างความเสียหายระยะยาวแก่สิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวไปอีกหลายชั่วอายุคน

ส่วน เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย กล่าวว่า การใช้กระสุนยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ จะเป็นการก้าวสู่สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายอีกก้าวและเป็นย่างก้าวที่ร้ายแรง พร้อมระบุมันจะลดศักยภาพของยูเครนในการผลิตอาหารคุณภาพสูงที่ไร้การปนเปื้อน

พิธีบรมราชาภิเษก ‘คิงชาร์ลส์-ควีนคามิลลา’ เริ่มขึ้นแล้ว พสกนิกรเนืองแน่นตลอดเส้นทางสู่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์

(6 พ.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา แห่งสหราชอาณาจักร ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นไปตามโบราณราชประเพณีที่สืบทอดมายาวนานกว่าหนึ่งพันปี และเป็นพระราชพิธีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปีของสหราชอาณาจักร ได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อเวลา 10.20 น.ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 16.20 น.ตามเวลาในไทย

‘อังกฤษ’ เมินคำสั่งศาล เตรียมส่งตัวผู้ลี้ภัยไปอยู่ ‘รวันดา’ เชื่อ เป็นประเทศปลอดภัย-น่าอยู่ ยัน!! ไม่ส่งกลับบ้านเกิดแน่

‘อังกฤษ’ เป็นอีกหนึ่งประเทศในทวีปยุโรปที่มีปัญหาเรื่องการรับผู้ลี้ภัยต่างชาติมานาน จนกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในสังคมอย่างมาก ซึ่งชาวอังกฤษแท้ๆ จำนวนไม่น้อยต่างสุดจะทน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย และผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายล้นเมืองโดยด่วน

แต่วันนี้ รัฐบาลอังกฤษค้นพบวิธีแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยได้แล้ว ด้วยการส่งผู้อพยพทั้งหมดไปอยู่ ‘ประเทศรวันดา’ ในทวีปแอฟริกาตะวันออกแทน

โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 66 ‘เจมส์ เคลฟเวอร์ลี’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ ได้เซ็นข้อตกลงร่วมฉบับใหม่กับรัฐบาลรวันดา ที่มีชื่อว่า ‘UK and Rwanda Migration and Economic Partnership’ หรือรู้จักกันทั่วไปว่า ‘แผนผู้ลี้ภัยรวันดา’ ณ กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเลี่ยงข้อกฏหมายที่ศาลฎีกาอังกฤษได้เคยตัดสินว่า ‘การส่งตัวผู้ลี้ภัยมารวันดาเข้าข่ายผิดกฏหมายระหว่างประเทศ’

ซึ่งข้อตกลงฉบับนี้ระบุว่า รัฐบาลอังกฤษสามารถส่งตัวผู้อพยพ ที่อยู่ในผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือ ‘กลุ่มผู้แสวงหาที่ลี้ภัย’ (Asylum Seeker) ทั้งหมดมาไว้ที่รวันดาก่อนได้ จนกว่าคำร้องขอลี้ภัยจะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษ ถึงสามารถเดินทางจากรวันดา กลับมาอังกฤษได้

แต่ถ้าคำร้องถูกปฏิเสธ ผู้ลี้ภัยคนนั้นก็จะต้องอยู่ในรวันดาแทน โดยรัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าจะไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไปยังประเทศที่ 3 หรือส่งตัวกลับประเทศต้นทาง

หลังจากที่บรรลุข้อตกลงเรื่องแผนการย้ายผู้ลี้ภัยแล้ว เจมส์ เคลฟเวอร์ลี กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษพร้อมเดินหน้าส่งตัวกลุ่มผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย หรือผู้แสวงหาที่ลี้ภัย บินข้ามมาที่รวันดาได้ทันที ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป และเขาไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดๆ ในการคัดค้านแผนการย้ายผู้ลี้ภัยของอังกฤษในครั้งนี้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของ ‘นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค’ ที่จะลดจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองของอังกฤษอีกด้วย

แม้ว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาของอังกฤษได้ตัดสินว่า นโยบายส่งตัวผู้ลี้ภัยไปยังรวันดาเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกฏหมายระหว่างประเทศ โดยชี้ประเด็นถึงความเสี่ยงที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อาจถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศบ้านเกิดที่พวกเขาหนีมาเพราะภัยสงคราม หรือสภาวะที่ทนทุกข์ทรมาน และตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของประเทศรวันดา

ด้าน เจมส์ เคลฟเวอร์ลี ก็กล่าวหนักแน่นว่า “รัฐบาลรวันดามีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อสิทธิผู้ลี้ภัย และยินดีที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลอังกฤษ ในการรับมือกับปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในระดับสากล”

ในขณะเดียวกัน ‘อเลน มุคุราลินดา’ รองโฆษกรัฐบาลรวันดา กล่าวว่า ทั้งสองประเทศจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ลี้ภัยคนใดถูกส่งตัวกลับประเทศของตนอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้คณะทำงานของทั้งสองประเทศต้องผ่านการพิจารณาในสภาอย่างโปร่งใส

และทันทีที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้ว รัฐบาลอังกฤษเตรียมที่จะส่งกลุ่มผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ที่เข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายชุดแรกหลายพันคนไปที่รวันดา โดยรัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุนเงินให้แก่รัฐบาลรวันดาก้อนแรกเป็นเงิน 140 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6140 ล้านบาท) ในการดูแลผู้ลี้ภัยของอังกฤษชุดนี้ จนกว่าผลวีซ่าจะออก

แผนผู้ลี้ภัยรวันดาครั้งนี้ เกิดจากแรงกดดันของชาวอังกฤษให้นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค ผู้นำของอังกฤษ ลดจำนวนคนเข้าเมืองที่ทำสถิติสูงสุด 7.45 แสนคน เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา อีกทั้งปัญหาผู้ลี้ภัยที่ลักลอบเข้ามาผ่านทางช่องแคบอังกฤษด้วยเรือลำเล็ก จนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมหลายครั้ง และเพื่อแผนการนี้ รัฐบาลอังกฤษก็ได้เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะระบุให้รวันดาเป็น ‘ประเทศที่ปลอดภัย’ อีกด้วย

อันเนื่องจากประเทศรวันดา เคยเป็นที่รู้จักของชาวโลกจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าทุตซี เมื่อช่วงปี 2537 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 8 แสนคนมาแล้ว แต่วันนี้ รัฐบาลอังกฤษออกมาการันตีว่า “รวันดาเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับเดินทางและเริ่มต้นชีวิตใหม่”

แต่สำหรับผู้ลี้ภัยที่ตั้งใจมาอยู่ที่อังกฤษอาจต้องคิดหนัก เพราะสุดท้ายต้องมาจบลงที่แอฟริกาแทน พร้อมตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวจากรัฐบาลอังกฤษบินตรงจากลอนดอนถึงรวันดา และที่พักฟรีระหว่างรอฟังผลวีซ่า

และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะกลายเป็นโมเดลนำร่องให้แก่ประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศที่กำลังประสบปัญหาผู้ลี้ภัยล้นเมือง และต้องการลดปริมาณชาวโรบินฮู้ดที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฏหมายก็เป็นได้

‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ปลิดชีพตนในอังกฤษ หลังชีวิตในแดนผู้ดี แทบไม่มีอะไรดั่งฝัน ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’

นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง… ฆ่าตัวตายในอังกฤษ!!

เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป

ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับพาสปอร์ต ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะไปหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้

ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

กองทัพ 'อเมริกา+อังกฤษ' โจมตี 'เยเมน' หวังถล่มฐานทัพ 'ฮูตี' เปิดฉากสมรภูมิใหม่เต็มสูบ 'ทางอากาศ-ทางเรือ-เรือดำน้ำ'

(12 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเริ่มปฏิบัติการโจมตีเล่นงานเป้าหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกฮูตีในเยเมน เจ้าหน้าที่อเมริกา 4 รายเปิดเผยกับรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดปฏิบัติการกับพวกติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้ นับตั้งแต่ทางกลุ่มเริ่มเล็งเป้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าต่างๆ ในทะเลแดงในช่วงปลายปีที่แล้ว

ฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน เล็งเป้าเล่นงานเส้นทางเดินเรือสินค้าในทะเลแดง เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์และกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ปาเลสไตน์ ‘ฮามาส’ ท่ามกลางสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา การโจมตีก่อความปั่นป่วนแก่การค้าระหว่างประเทศ ในเส้นทางขนส่งสำคัญที่เชื่อมระหว่างยุโรปกับเอเชีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของการขนส่งสินค้าทางเรือทั่วโลก

ปฏิบัติการครั้งนี้เชื่อว่าเป็นปฏิบัติการโจมตีครั้งแรกของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2016 ที่ลงมือเล่นงานพวกกบฏฮูตีในเยเมน

เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าคาดหมายว่าจะมีการเผยแพร่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ซึ่งจะให้รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตี

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (10 ม.ค.) ผู้นำกลุ่มฮูตี บอกว่าการโจมตีใดๆ ของสหรัฐฯ ที่เล่นงานทางกลุ่ม การโจมตีเหล่านั้นจะไม่ถูกปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ โดยปราศจากการตอบโต้ใดๆ

พวกฮูตี ซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน ในสงครามกลางเมือง ได้ประกาศโจมตีเรือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล หรือมุ่งหน้าสู่ท่าเรือของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม จำนวนมากของเรือที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล

กองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ว่าพวกฮูตีได้ลงมือโจมตีเล่นงานการเดินเรือครั้งที่ 27 นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ด้วยการยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือเข้าใส่เส้นทางการเดินเรือในอ่าวเอเดน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กองทัพเรือสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้สอยร่วงโดรนและขีปนาวุธจำนวนหลายสิบ ที่กบฏฮูตียิงเข้าใส่ทางใต้ของทะเลแดง

‘พวกฮูตีจำเป็นต้องหยุดการโจมตีเหล่านี้ พวกเขาต้องแบกรับผลสนองกลับ หากว่าไม่ยอมทำตาม’จอห์น เคอร์บี โฆษกความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

บรรณาธิการข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์เดอะไทม์ส ของอังกฤษ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กล่าวอ้างก่อนหน้านี้ไม่นานว่า สหราชอาณาจักรคาดหมายว่าจะร่วมกับสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นทางทหารที่เป็นของพวกฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเยเมน ‘ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’

เดอะไทม์ส ของอังกฤษรายงานว่าก่อนหน้านั้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาซูแน็ก ได้บรรยายสรุปกับคณะรัฐมนตรี ต่อการขยับเข้าใกล้การเข้าแทรกแซงทางทหาร และสื่อมวลชนอังกฤษแห่งนี้รายงานด้วยว่า บุคคลทางการเมืองอื่นๆ ในนั้นรวมถึง เคียร์ สตาร์เมอร์ หัวหน้าพรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้านของสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฟังรายงานสรุปจากรัฐบาลเช่นกัน

ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรของ ริชี ซูแน็ก ไม่ตอบคำถามของรอยเตอร์ ที่สอบถามขอความคิดเห็น ส่วนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และทำเนียบขาวก็ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวดังกล่าว ในขณะที่ปกติแล้ว อเมริกาจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อแนวโน้มปฏิบัติการทางทหารใดๆ ในอนาคต

‘RAC’ เตือน!! ‘รถอีวี’ อาจเสี่ยงใช้งานไม่ได้ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด เหตุสภาวะเย็นยะเยือกกัดกร่อนประสิทธิภาพรถ-ทำสถานีชาร์จไฟขัดข้อง

(28 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้าเสี่ยงใช้งานไม่ได้ในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากอุณหภูมิที่หนาวเหน็บส่งผลกระทบต่อสถานะของแบตเตอรี อ้างถึงคำเตือนจาก ‘RAC’ บริษัทผู้ให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร

ระยะทางการขับขี่ของรถอีวี ที่อาจลดลงราวๆ 20% ในสภาพอากาศหนาวเย็น กำลังก่อความกังวลใหญ่หลวงแก่เจ้าของรถไฟฟ้า เนื่องจากมันอาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องแวะชาร์จไฟบ่อยครั้งขึ้น และก่อความเสี่ยงใช้งานไม่ได้ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการเดินทาง

RAC เปิดเผยว่าพวกเขาจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับปัญหาที่พบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ จึงตัดสินใจติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟพิเศษบนรถตู้ของทางบริษัท

จากข้อมูลของ RAC พบว่าในทุกสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์แจ้งให้ไปดูรถยนต์ไฟฟ้า มีอยู่ราวๆ 6% เป็นเพราะรถยนต์เหล่านั้นพลังงานหมด

คริส มิลล์วอร์ด ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาเทคนิคของ RAC ถึงขั้นอ้างว่าปัญหาขัดข้องที่เกิดขึ้นกับรถยนต์อีวี ทำให้ช่างของพวกเขาเจองานยากลำบากกว่าเดิม

เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไอทีวีนิวส์ว่า “มันมีความต่างกัน เพราะถ้ารถอีวีแบตหมด ทุกๆอย่างจะหยุดทำงานและล้อจะถูกล็อก ดังนั้นมันจึงเป็นงานยากกว่าเดิมที่จะเคลื่อนย้ายออกจากถนน”

เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา สถานีชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้าทั้งหลายทั่วเมืองชิคาโก ได้รับการเรียกขานจากพวกชาวบ้านว่าเป็น ‘สุสานของเทสลา’ เนื่องจากสภาพอากาศอันหนาวเหน็บกัดกร่อนประสิทธิภาพการทำงานของรถอีวี ขณะที่สถานีชาร์จไฟทั้งหลายเกิดเหตุขัดข้อง ไม่สามารถจ่ายไฟป้อนแก่รถอีวีได้

สภาพอากาศเย็นสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า ลดระยะทางการวิ่งได้ลงอย่างมากในหลายรุ่น เช่นเดียวกับปัญหาขัดข้องอื่นๆ ทั้งนี้จากการตรวจสอบรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม 18 รุ่น จาก Recurrent บริษัทวิเคราะห์รถยนต์อีวี พบว่าสภาพอากาศหนาวสุดขั้วทำให้ระยะการขับขี่ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 70% โดยที่โมเดล S ของเทสลา เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุด

เมื่อปีที่แล้ว ทั้งเซ็นตริกา และรอยัลเมล รายงานพบ ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรีของพวกเขา มีระยะการวิ่งลดลง 40% ท่ามกลางอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ส่วนผลการศึกษาหนึ่งของทางนิตยสาร WhatCar? พบว่ารถยนต์ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดคือ นิสสัน อริยะ แต่กระนั้นรถยนต์รุ่นนี้ก็มีศักยภาพลดน้อยกว่าเดิมถึง 16%

รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรุ่นนี้ มีระยะทางการขับเพียงเหลือเพียง 296 ไมล์ (ราว 476 กิโลเมตร) ในสภาพอากาศเย็น จากระดับ 322 ไมล์ (ราว 581 กิโลเมตร) ในสภาพอากาศปกติ ส่วนเทสลา โมเดล วาย ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ศักยภาพในการขับขี่ ลดลง 17.8% จากระดับที่แล่นได้อย่างเป็นทางการ 331 ไมล์ (500 กิโลเมตร)

‘เอ็ดมุนด์ คิง’ ประธานสมาคมยานยนต์แห่งสหราชอาณาจักร ยอมรับระยะการวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบ และประเด็นความน่าเชื่อถือเกิดขึ้นกับรถเกือบทุกคันในสภาพอากาศหนาวเหน็บ อย่างไรก็ตามเขามองว่าประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอเมริกานั้น เป็นการพูดเกินจริงเลยเถิดจนเกินไป

“ข้อเท็จจริงคือ รถยนต์ทุกคันเย็นขึ้นและรถไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากภาวะที่เย็นขึ้น ในแง่ของระยะการวิ่ง มันเป็นบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนสภาพอากาศเย็นจัด คาดหมายว่าระยะการวิ่งจะลดลงราว 10% ถึง 20%” เขากล่าว

“ดังนั้น ในแง่ของความเป็นจริง ถ้าหากรถของคุณมีระยะการวิ่งสูงสุด 200 ไมล์ (ราว 320 กิโลเมตร) มันอาจลดลงเหลือ160 ไมล์ (ราว 257 กิโลเมตร) ทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับแบตเตอรีลิเทียมไอออนและปฏิกิริยาทางเคมี ปฏิกิริยาทางเคมีจะช้าลงเมื่ออยู่ในสภาพอากาศหนาวสุดขั้วและร้อนสุดขั้วจริงๆ อย่างไรก็ตามพวกผู้ขับขี่ส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องแลกกับอะไรในฤดูหนาวเช่นนี้ ระยะในการเดินทางทำได้ไม่ไกลนัก”

‘ลอนดอน’ ผวา!! ชายทำร้าย ‘หญิง-เด็ก’ ด้วยน้ำกรด  พบประวัติเคยขอลี้ภัย มีคดีล่วงละเมิด ยังจับตัวไม่ได้

ไม่นานมานี้ เพจ ‘Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)’ ได้โพสต์ข้อความเผยถึงผู้ต้องสงสัยชายทำร้ายหญิง-เด็กด้วยน้ำกรด เคยขอลี้ภัย มีคดีล่วงละเมิด ระบุว่า…

ชายต้องสงสัยก่อเหตุสาดน้ำกรดใส่หญิงสาวและเด็กหญิง ในย่านแคลปแฮม กรุงลอนดอน ถูกเปิดเผยว่า เคยเป็นผู้อพยพลี้ภัยและมีคดีล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน 

ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัว

ผู้ต้องสงสัยรายนี้มีชื่อว่า ‘อับดุล เอเซดี’ อายุ 35 ปี มาจากเมืองนิวคาสเซิล มีบาดแผลสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา และถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันพุธที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ในซูเปอร์มาร์เก็ตเทสโก้ สาขาถนนคาเลโดเนียน ใกล้คิงส์ครอส เพียง 1 ชั่วโมงหลังก่อเหตุ

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือหญิงสาววัย 31 ปี และลูกสาววัย 3 และ 8 ขวบ ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

ตำรวจหลายสิบนายในชุดป้องกัน ‘วัตถุอันตราย’ บุกค้นบ้านพักของเอเซดีใน ย่าน เลย์ตันสโตน ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.พ. แต่ไม่พบตัว

เอเซดีถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศในปี 2561 และได้รับโทษรอลงอาญาจากศาลนิวคาสเซิล เขาได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยหลังจากความพยายามล้มเหลว 2 ครั้ง เขาเดินทางเข้ามาสหราชอาณาจักรด้วยรถบรรทุกในปี 2559 และอ้างว่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เพื่อให้ได้รับการลี้ภัย

ตำรวจนครบาลเผยแพร่ภาพการพบเห็นเอเซดีครั้งสุดท้ายที่เทสโก้ เอ็กซ์เพรส บนถนนคาเลโดเนียน เมื่อเวลา 20.48 น. ของวันพุธ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังเหตุโจมตี

ผู้กำกับกาเบรียล คาเมรอน กล่าวว่า “ภาพนี้ถ่ายจากร้านเทสโก้ ซึ่งเชื่อกันว่าเอเซดีซื้อขวดน้ำหนึ่งขวด” เขาออกจากร้านแล้วเลี้ยวขวา ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเอเซดีมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา 

หากพบเห็นเอเซดี ให้โทร 999 ทันที และไม่ควรเข้าใกล้เขา

>> ข้อมูลสำคัญ
• ชื่อ : อับดุล เอเซดี
• อายุ: 35 ปี
• มาจาก : เมืองนิวคาสเซิล
• ลักษณะ : บาดแผลสาหัสที่ใบหน้าด้านขวา
• สถานที่พบเห็นครั้งสุดท้าย : เทสโก้ เอ็กซ์เพรส ถนนคาเลโดเนียน เวลา 20.48 น. วันพุธที่ 31 มกราคม 2567
• เบาะแส : โทร 999

การโจมตีด้วยสารเคมีในแคลปแฮม : อัปเดต

>> ภาพใหม่ของผู้ต้องสงสัย : มีการเผยแพร่ภาพใหม่ของ Abdul Chowdhury Eisadi ผู้ต้องสงสัยในคดีโจมตีด้วยสารเคมีในย่าน Clapham ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็น Eisadi กำลังหลบหนีออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน Clapham South

>> พบภาชนะบรรจุสารเคมี : เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบภาชนะบรรจุที่มีฉลาก ระบุว่า ‘กัดกร่อน’ ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุ เชื่อกันว่าภาชนะเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี

>> แม่ของผู้ต้องสงสัยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล : แม่ของ Eisadi ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากได้รับยาสลบ ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

>> การติดตามตัวผู้ต้องสงสัย : เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามตัว Eisadi อยู่ ยังไม่มีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย

>> จำนวนผู้บาดเจ็บ : ผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 คนจากเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้

#amthaipaper #นสพแอมไทย | www.amthai.co.uk |IG: @amthaipaper | Line ID: AmthaiUK |Twitter: @amthaipaper |Tiktok: amthaipaper |YouTube: @TheAmthaipaper | Threads:@amthaipaper

Clapham chemical attack suspect revealed to be refugee sex offender as manhunt stepped up

Clapham chemical attack : New images of suspect taking Tube in escape; containers with ‘corrosive’ labels found; mother sedated in hospital.

The manhunt for Abdul Shokoor Ezedi, who is suspected of committing a chemical attack in south London on Wednesday that injured 12 people, is still ongoing.
.
The suspect had ‘significant injuries’ to his face when he was spotted entering a Tesco on Caledonian Road, near King's Cross, after the attack.
.
The manhunt for a suspect wanted over a corrosive substance attack which left a girl and her mother with potentially life-changing injuries intensified on Friday as it was revealed that he was granted asylum despite being a convicted sex offender.
.
Abdul Ezedi, 35, from the Newcastle area, was described by police as having ‘significant injuries to the right side of his face’. He was still on the run having last been seen at a supermarket in north London on Wednesday evening.

The sighting came just over an hour after the attack on the 31-year-old woman, believed to be known to Ezedi, who was with her daughters, aged three and eight. All three remain in hospital.

Dozens of police dressed in protective ‘hazmat’ suits raided an address in Leytonstone, east London, on Thursday night. It is understood Ezedi had a connection to the area but was not found.

The suspect, who is reportedly from Afghanistan, was convicted of a sexual offence in 2018 and given a suspended sentence at Newcastle crown court. The Crown Prosecution Service confirmed he was sentenced on January 9 of that year after pleading guilty to one charge of sexual assault and one of exposure.

He was granted asylum after two failed attempts, having reportedly travelled to the UK on a lorry in 2016, it is believed.

Ezedi was allowed to stay in Britain after a priest confirmed that he had converted to Christianity and was ‘wholly committed’ to his new religion, the Daily Telegraph reported. An asylum seeker can claim asylum in the UK on the basis of religious persecution in their home country.

The Metropolitan Police have released an image of Ezedi’s last-known sighting, at a Tesco Express in Caledonian Road at 8.48pm on Wednesday - just over an hour after the attack.

Superintendent Gabriel Cameron said : “The image is taken from the Tesco store, where Ezedi is believed to have purchased a bottle of water. He left the shop and turned right. The image shows Ezedi with what appears to be significant injuries to the right side of his face. This makes him distinctive. If you see Ezedi, call 999 immediately. He should not be approached.”

There was a heightened police presence in the area yesterday, including unmarked cars and vans.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top