Sunday, 13 October 2024
TeenAgeNewsAgency

กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ (เอส) | Click on Clever EP.17

บทสัมภาษณ์ รายการ Click on Clever EP.17
กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ (เอส) นักแสดง และนักธุรกิจ  
เปิดความสำเร็จของผู้ชายชื่อ เอส กันตพงศ์ ค้นหา Mindset  มากกว่า 'นักเรียน' คือ 'นักเรียนรู้'


Q: ผลงานตอนนี้มีอะไรบ้าง?

A: ตอนนี้ที่ออนแอร์อยู่ก็มีเรื่องแม่เบี้ยครับ ซึ่งน่าจะได้ชมกันไป เป็นเรื่องที่ขัดกับบุคลิก ขัดกับความเป็นตัวตน ขัดกับหลายๆ เรื่องที่เราเคยเล่นมา แต่ก็เป็นความท้าทายที่สนุกดีครับ 

Q: การเป็นนักแสดงในบทบาทที่ไม่ได้เป็นตัวเรา ขัดกับภาพลักษณ์ มีการปรับความรู้สึกยังไง?

A: ยากมาก พี่ทะเลาะกับบทจริงๆ เพราะอ่านไปด่าไป ทำไมมันทำแบบนี้ ตรรกะบิดเบี้ยวมากเลย คือมันเห็นผิดเป็นถูกได้ขนาดนี้ ทำไมมันทำตามใจขนาดนี้ แต่ในฐานะนักแสดง เราออกไปหน้าจอไม่ใช่เอส กันตพงศ์แล้ว พอเข้าไปตรงนั้นมันคือชนะชล เพราะฉะนั้นต้องเอาความเป็นเอสออกไป แล้วตอนนี้เรากำลังจะสื่อสารให้คุณผู้ชมเข้าใจว่าวิธีคิดของชนะชลมันเป็นแบบนี้ เขาเกิดจากความบิดเบี้ยวของสังคมมา ทำให้ตรรกะและวิธีคิดของเขามันผิดแปลกไปจากคนอื่น แต่ว่าเราจะทำยังไงให้สื่อสารความเป็นชนะชลให้ได้มากที่สุด อันนี้ครับที่ยากมากๆ 

Q: เสน่ห์ของบทบาทอาชีพนักแสดง

A: ตอนที่เข้ามาในวงการจริงๆ เลย ตอนแรกเราทำอยู่ด้านอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับด้านนี้เลย แต่มันมีความฝันในวัยเด็ก คือพี่ชอบดูหนังมาก แล้วเรารู้สึกว่าทำไมหนังในบ้านเรา หนังที่ทำเงิน หรือหนังที่มันดังๆ ก็แล้วแต่ มันไม่ค่อยมีหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือเป็นหนังหรือละครที่ดูแล้วคนดูกลับมาฉุกคิด หรือกลับมามองตัวเองแล้วกลับมารู้สึกว่าสังคมเป็นแบบนี้หรอ หรือตัวเราเป็นแบบนั้นหรอ เราก็รู้สึกว่ามันมีโอกาสมาแล้วนะ แทนที่จะเป็นคนข้างนอกแล้วก็บ่นกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เนี่ยโอกาสที่จะลองเอาตัวเองเข้าไปศึกษาดู ถ้าวันนึงจังหวะจะโคนทุกอย่างมันเหมาะสม เราก็อาจจะมีโอกาสช่วยเปลี่ยนแปลงวงการนี้ได้มากกว่าแค่ในฐานะนักแสดง

ตอนนี้ในฐานะนักแสดง โชคดีอีกอย่างที่ว่า เราอยู่มานาน ก็จะสามารถเลือกบทที่เราจะเล่นได้ประมาณนึง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเลือก หลักๆ เราจะเลือกที่สิ่งที่ทำไปแล้วมันต้องสะท้อนอะไรให้คุณผู้ชม


 

Q: สมัยเป็นนักเรียน ภาพลักษณ์เป็นเด็กเรียน แต่จริงๆ เป็นเด็กยังไง? 

A: เป็นเด็ก...เขาเรียกว่า เรียนเพื่อให้ผ่าน แต่โชคดีที่เกรดมันออกมาโอเค เรียกว่าเรียนให้ผ่าน เพื่อนๆ จะชอบมีความเข้าใจว่าพี่เป็นเด็กเรียน เพราะพี่นั่งหน้าห้อง อย่างตอนเอแบค ทุกคนที่เรียนด้วยกันจะบอกว่า เอสเป็นเด็กเรียน นั่งหน้าห้องตลอด ถามตอบกับอาจารย์ตลอด

ความจริงเอแบคมีกฎว่า ถ้าคุณมาสาย 15 นาที 2-3 ครั้งต้องดรอปเลย ทุกคนจะรีบเข้าห้อง เพราะไม่มีใครอยากนั่งหน้าห้อง ทุกคนก็จะไปนั่งหลังห้องเพื่อไม่ให้อาจารย์เรียก แต่พี่ด้วยความไม่ใช่เด็กเรียน เราชอบขอคุณพ่อไปทำงาน ไปฝึกงานช่วงซัมเมอร์ เราก็จะลงวิชาเรียนของเรา อาทิตย์นึงจะเรียนแค่ 3-4 วัน ก็จะอัดเต็มในวันนึงเลย ทำให้ไปเรียนวิชาต่อไปช้า 5-10 นาที เป็นเหตุให้ต้องนั่งหน้าห้อง อาจารย์ก็จะคุยกับคนที่นั่งหน้าห้องนี่แหละ เราก็โอเคได้ ถามตอบกับอาจารย์ เราขี้สงสัยอยู่แล้ว ความจริงไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งหรือว่าหัวดีอะไรหรอกครับ แต่ด้วยความที่ได้ถามตอบกับอาจารย์ทุกคาบ มันเลยทำให้ไม่ต้องกลับไปอ่านหนังสือที่บ้าน อันนี้เป็นสิ่งที่ช่วยได้เยอะเลย

Q: อะไรทำให้เป็นคนกล้าตั้งคำถาม?

A: อันนี้ต้องขอขอบคุณตอนประถมและมัธยม พี่เป็นเด็กขี้อาย ซึ่งคุณพ่อรู้ดี คุณพ่อเขาจะเอาพี่ไปอยู่ในสถานการณ์ที่พี่ต้องใช้ความกล้าในการคุยกับคน อย่างเช่นคุณพ่อให้เรียนพิเศษภาษาอังกฤษตอนประถม เรียนได้ไม่กี่ครั้งเจอฝรั่งนั่งทานข้าวอยู่ คุณพ่อบอกไหนลองเดินไปสวัสดีเขา แนะนำตัวกับเขาสิลูก แล้วก็ไม่รู้จัก เราก็ทำ

โชคดีอีกอย่างคือ ตอนอยู่ในโรงเรียนเนี่ย อันนี้เป็นอารมณ์คล้ายๆ ตอนอยู่มหาลัยเลย เวลาอาจารย์ฝรั่งเข้ามาในห้อง อาจารย์ก็จะถามว่า มีใครอยากจะมาตอบคำถามข้อนี้บ้าง มีใครอยากจะพูดหน้าห้องบ้าง อย่างที่รู้เด็กไทยก็จะไม่มีใครยกมือ พี่เป็นหัวหน้าห้อง ในเมื่อไม่มีใครออก อ่ะหัวหน้าห้องออกมา โดนแบบนี้ทุกคาบ ทุกชั้นปี ออกไปพูดผิดๆ ถูกๆ โดนเพื่อนหัวเราะ โดนเพื่อนล้อ โดนเพื่อนแซว 

แต่อยากจะบอกว่าไอ้ความรู้สึกที่โดนเพื่อนหัวเราะ โดนเพื่อนล้อ โดนเพื่อนแซว ณ ตอนนี้มันจำความรู้สึกอายตอนนั้นไม่ได้แล้ว แต่สิ่งที่มันหลงเหลือที่มันตกผลึกในตัวเราอ่ะ มันคือการกล้าคุยกล้าถามกล้าตอบกล้าซัก พี่เลยว่ามันเป็นความโชคดีของพี่ ที่เพื่อนตอนประถมไม่มีใครกล้า เพื่อนมัธยมไม่มีใครกล้า เพื่อนมหาลัยไม่มีใครกล้า แล้วเราดันไปอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องกล้า มันเลยเป็นสิ่งที่เราได้มาโดยโชคดี

Q: ฝากข้อคิดให้เด็กยุคนี้กล้าออกจาก Comfort Zone กล้าที่จะตั้งคำถาม

A: หน้าแตกให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่ยังเด็ก ล้มเหลวให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่ยังเด็ก เป็นบทเรียนที่มีคุณค่าที่สุดที่พี่ได้เรียนรู้มา สมมติถ้าให้ย้อนกลับไปแล้วคุยกับตัวเองตอนเด็กๆ จะบอกว่า เอสหน้าแตกให้เยอะที่สุดเลย เพราะว่าสถานการณ์ที่ทำให้เราหน้าแตกหมายความว่าสถานการณ์ที่เราไม่เก่งในสิ่งใดๆ ก็ตาม หรือสถานการณ์ที่เราทำสิ่งนั้นไม่ดี แล้วมันเกิดอาการหน้าแตก แต่ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ ล้มเหลวไปเรื่อยๆ แต่ต้องเรียนรู้กับมันนะครับ รอบนี้ล้มเหลวเพราะอะไร เกิดจากอะไร แก้ใหม่ ไม่เป็นไร ทำมันไปเรื่อยๆ ถูกหัวเราะเยาะให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วพอถึงจุดหนึ่ง จุดนั้นจะใช้เวลาเท่าไหร่แต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เมื่อถึงจุดนั้นแล้วเราจะขอบคุณตัวเองครับ

Q: ยกตัวอย่างความล้มเหลว ประสบการณ์ที่เคยเจอ ผ่านมาได้ยังไง?

A: พี่เป็นไมเกรนตั้งแต่ตอน 10 ขวบ แล้วก็เป็น Hyperventilation Syndrome ตอนเป็นไมเกรนเนี่ยคุณหมองงมากว่าทำไมเด็ก 10 ขวบเป็นไมเกรน เพิ่งมารู้ตอนเริ่มโตนะครับว่าเราเป็นคนที่อยากจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ถูกใจ อยากจะทำให้เขารัก คุณพ่อคุณแม่วางแพลนอะไรมาให้ก็อยากจะทำให้มันได้ ให้มันได้ดีกว่านั้นอีก เราก็เครียดโดยไม่รู้ตัว 

จนอายุ 15 เป็น Hyperventilation คนไทยเรียกโรคมือจีบ ตัวชาทั้งตัว ขยับได้แค่ลูกตา แล้วก็มือจีบอยู่แบบนี้ เป็นตอนวันเกิดเลย 8 เดือน 8 ตอนอายุ 15 ปี ตอนนั้นไปหาหมอ หมอครอบเครื่องช่วยหายใจเพื่อให้ออกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดบาลานซ์กัน เพื่อให้กล้ามเนื้อมันคลาย ให้มันหายชา ลองทานยาทุกอย่างครับ ยาแก้ไมเกรนทุกอย่าง ทานจนดื้อยา เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอายุ 25 เส้นเลือดในสมองแตกตายชัวร์ 

ก็เลยเริ่มเข้าหาธรรมะตอนอายุ 15 แต่ก็ยังไม่ใช่ธรรมะที่ถูกทางสักทีเดียว จนมาเจอธรรมะที่ถูกที่ควรจริงๆ ตอนอายุประมาณ 18 ธรรมะของท่านพุทธทาส จากความล้มเหลวตอนนั้นนะครับ ตอนอายุ 10 ขวบ 15 ขวบ แล้วก็ยังมีไมเกรนมาเรื่อยๆ จนมาหายไปโดยไม่รู้ตัวประมาณอายุ 21 จากการที่เราปฏิบัติธรรม เลยมองย้อนกลับไป พี่รู้สึกว่าตรงนั้นมันเป็นจุดดำจุดบอดของชีวิต ช่วงอายุ 10-18 ปีเนี่ย แปดปีนี้โคตรทรมานเลย เป็นหลุมดำของชีวิตที่มันโหดร้ายจริงๆ 

แต่พอเราโตขึ้นมาเข้าใจชีวิตมากขึ้น พี่ดู๋ สัญญาเคยสัมภาษณ์พี่ในรายการที่นี่หมอชิต ถามว่าถ้าให้ย้อนกลับไปในวัยเด็กแก้ได้อย่างหนึ่งในชีวิต อยากจะแก้อะไร พี่จำได้เลยพี่ตอบพี่ดู๋ไปว่า ผมขอเป็นไมเกรนเร็วกว่านั้นครับ ขอเป็นมันสัก 5-6 ขวบเลย เพื่อมันจะได้เจอทุกข์ ให้มันเป็นหลุมดำ ณ ตอนนั้นแล้วมันจะได้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น เราจะได้เป็นคนที่ดีขึ้นในอายุที่มันใช้เวลาน้อยลง อย่างที่บอกถ้ามันเจอความล้มเหลวแล้วเราเรียนรู้กับมัน ไม่ยอมแพ้ พยายามศึกษาและก้าวข้ามมันไป จะทำให้เราพัฒนาตัวเองขึ้น ซึ่งชีวิตพี่เจอเหตุการณ์แบบนั้นมาเยอะ ก็เป็นช่วงที่เป็นหลุมดำแต่ว่าสุดท้ายก็เป็นหลุมดำที่ดี รู้สึกว่ามันให้อะไรเราเช่นกัน

Q: ไม่ใช่เด็กเรียน แต่เป็นนักเรียนรู้ ไม่เชื่อในระบบ Schooling แต่เชื่อใน Education ขยายความหน่อยค่ะ

A: ขอยกคำของ อีลอน มัสก์ ที่บอกว่า Don't confuse schooling with education อย่าสับสนระหว่างการเรียนกับการเรียนรู้ สองสิ่งนี้มันต่างกันลิบเลยนะครับ การเรียนในที่นี้หมายถึงการเรียนในระบบ การเรียนในโรงเรียนในระบบการศึกษาที่เรามีอยู่ ต้องพูดว่ามันไม่ได้สอนให้เราออกมาใช้ชีวิตได้อย่างมีภูมิคุ้มกันในด้านใดๆ เลย นอกจากสอนให้เราเป็นเป็นพนักงานที่ดีเท่านั้นเลย แต่ว่าการเรียนรู้เนี่ยมันเป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ทุกอย่างเลยในชีวิตเรา 

อย่างที่เราเห็นที่เราทราบกัน คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ ในประเทศนี้หลายๆ คนไม่ได้สำเร็จการศึกษาที่สูงเลยในระบอบการศึกษาปกติ แต่เขาเรียนรู้กับชีวิตของเขา เรียนรู้จากความผิดพลาดทางธุรกิจ เรียนรู้จากความยากลำบากในชีวิต  และสิ่งเหล่านี้มันมีค่ามากๆ ที่จะทำให้คนคนนึงสามารถประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตได้ 

พี่อยากเน้นย้ำคำว่าความสุข มากกว่าคำว่าประสบความสำเร็จ การที่เราจะมีความสุขได้เราต้องเป็นคนที่เรียนรู้ชีวิตเป็น การเรียนไม่ได้ทำให้เรามีความสุขได้ คนเราติดกับดักความทุกข์ตรงนี้แหละครับ  เราคิดว่าเรียนสูงๆ ไป จบมามีงานทำ มีเงิน มีบ้าน มีครอบครัว มีลูก มีรถ และมีความสุข โจทย์วันนี้มันตั้งผิดหมดเลย เราควรต้องตั้งความสุขก่อน แล้วระหว่างทางเราค่อยทำสิ่งเหล่านั้น อย่างที่บอกไปโจทย์ที่ถูกตั้งมาแล้วนั้นมีสักกี่คนที่ทำตามโจทย์นั้นได้ ไม่อย่างนั้นประชากรความยากจนประเทศไทยคงไม่สูงขนาดนี้ 

แล้วไม่ใช่แค่ประเทศไทย ทุกประเทศในโลก อเมริกาเองก็ดีครับ ซึ่งคนที่คิดค้นระบบการศึกษาเนี่ยคือ ร็อคกี้ เฟลเลอร์ ถ้าทุกวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะรวยที่สุดในโลก เขาเป็นคนที่คิดค้นระบบการศึกษาขึ้นมา ที่เราใช้กันทุกวันนี้ ต้องบอกว่าตอนนั้นที่เขาคิดขึ้นมาเนี่ย จะบอกว่าเขาผิดก็ไม่ใช่ ซึ่งเขาเป็นคนพูดเองนะว่าเขาคิดค้นมาเพื่อต้องการพนักงานที่ดี เขาไม่ได้ต้องการนักคิด เขาไม่ต้องการ thinker เขาต้องการ worker เขาต้องการคนมาทำงานในโรงงานของเขา เขาก็เลยตั้งโรงเรียนขึ้นมาเพื่อสอนคนให้มาเป็นพนักงานในโรงงานเขา สอนคนให้มันเป็นพนักงานบริษัทเขา นี่คือจุดประสงค์ของระบบของการเรียนในโรงเรียน ซึ่งเราใช้กันมาเป็นหลายร้อยปีแล้วไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงเลย มันเลยทำให้พี่ไม่เชื่อในระบอบการศึกษาในระบบเลยครับ

Q: วันนี้มีลูกแล้ว วางแผนโรงเรียนแบบไหนให้ลูก มองเห็นปัญหาระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างไร?

A: ก่อนลูกคลอดคุยกับภรรยาว่าอยากให้คุณลูกสาวเรียนที่เยอรมัน เพราะที่นั่นระบบการศึกษาเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกอิสระมากๆ เลยครับ ตั้งแต่ชั้นปฐมวัยจนถึงการศึกษาระดับ ม.ปลายเลย เราก็อยากให้เขาเรียนที่นั่น แต่คุณภรรยาบอกว่าอยากอยู่เมืองไทย เพราะถ้าลูกเรียนที่นู่นมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เขาต้องไปอยู่กับลูก เขาอยากใช้ชีวิตที่เมืองไทย พี่ก็โอเค ถ้าอย่างนั้นก็มาเมืองไทยแล้วลองมาดูซิว่าในเมืองไทยเรามีช้อยส์ มี option อะไรบ้าง ณ ตอนนี้ก็ต้องเรียนตามตรงว่าก็ยังไม่เจอ option ที่ชอบเลย 

สรุปง่ายๆ คือต้องเป็นโรงเรียนที่สอนให้เด็กมีต้นทุนความรู้ คุณครูต้องมีหน้าที่เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ ปัญหาของระบบการศึกษาเรา School สอนเด็กว่า What to think แต่ Education หรือการเรียนรู้เนี่ยสอนว่า How to think ต่างกันลิบ ซึ่งสำคัญมาก โรงเรียนทุกวันนี้ยัดเยียดกรอบความคิดให้เด็ก สอนว่าต้องคิดยังไง แต่ว่าสิ่งที่ควรจะเป็นคือต้องสอนเด็กว่าคิดอย่างไร เราทำอย่างไรถึงจะมีความคิดนี้ออกมาได้ เราจะเห็นว่าทำไมประเทศในโซนตะวันตกถึงมีนวัตกรรมใหม่ๆ ทำไมถึงมีสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมาได้ เพราะเขาสอนให้เด็กคิดแก้ปัญหา เขาไม่ยัดเยียดความคิด แต่ระบบการศึกษาเราสอนว่า What to think ต้องคิดอย่างนี้ มันคือแบบนี้ หนังสือสอนแบบนี้ แต่สิ่งที่เราต้องสอนคือ How to think และสร้างแรงบันดาลใจให้เขาไปคิดเองครับ

Q: มองเรื่องการศึกษาในโลกอนาคตอย่างไร?

A: ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะดูริบหรี่ แต่พี่เชื่อว่าโลกในอนาคตอันใกล้นี้ การศึกษาจะต้องเป็นการสอนให้เด็กมีเป้าหมาย สอนเพื่อไปถึงเป้าหมายของเด็กเลย การศึกษาต้องเป็นเฉพาะทาง 

แล้วพี่เชื่อว่าอันนี้สำคัญมาก ไม่ว่าลูกของพี่ หรือเด็กเยาวชนในอนาคตจะเลือกเรียนสายไหนหรืออยากเป็นอะไรก็ตาม สิ่งที่เขาต้องเรียนและมีความรู้คือ ความรู้ทางด้านการเงิน สำคัญมากๆ financial knowledge สำคัญมาก เพราะไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร เป็นผู้ประกอบการหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณไม่มีความรู้ด้านการเงิน คุณจะจัดการกับเงินที่คุณหามาไม่ได้ แล้วคุณก็จะไม่สามารถรักษาเงินของคุณเพื่อสร้างความมั่งคั่งเพื่อไปส่งต่อให้อีก Generation หนึ่ง เพราะแค่รักษาไว้ใน Generation แค่คุณคนเดียว คุณยังทำยากเลย 

ในระบบการเรียนของเราไม่ได้สอนเรื่องนี้ ไม่เฉพาะประเทศไทย แทบทุกประเทศไม่มีการพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เชื่อว่าในอนาคตจะต้องเริ่มมีสิ่งเหล่านี้เข้ามาเป็นสิ่งควบคู่กันไป สอนให้เด็กถึงเป้าหมายบวกกับความรู้ทางด้านการเงินครับ

Q: วางแผนชีวิตต่อจากนี้เป็นอย่างไรต่อไป?

A: ยังสนุกกับการทำงานในวงการบันเทิง แต่ว่าจะไปในสเต็ปไหนต่อ จะในฐานะนักแสดง หรือในฐานะไหนเนี่ยก็ต้องดูกันต่อไป แต่ในวงการบันเทิงยังไงก็ยังไม่ทิ้งแน่นอนครับ

Q: ฝากข้อคิดสำหรับน้องๆ หรือใครก็ตามที่อยากเริ่มต้นเป็นนักเรียนรู้แบบเอส กันตพงศ์

A: ก็อยากจะฝากกับทุกๆ คนเลยนะครับว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การเรียน แต่คือการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตเลยนะครับ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่ในระบบการศึกษา เราถึงจะเรียนรู้ได้ วันนี้เรามีโอกาสหรือไม่มีโอกาสในการเรียนในระดับการศึกษาก็แล้วแต่ ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญเลย แต่เราต้องห้ามหยุดเรียนครับ เรียนในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงการอ่านหนังสือ หรือทางวิชาการ เรียนรู้จากความผิดพลาดในชีวิตก็เป็นครูที่สำคัญมากๆ 

เรียนรู้จากเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การอกหัก การถูกปฏิเสธ เราลองมาเรียนรู้ว่าอารมณ์ตรงนั้นที่มันเกิดขึ้นกับเราเวลาเราถูกปฏิเสธ เวลาอกหัก เรามีวิธีจัดการกับอารมณ์ตรงนี้ยังไง แล้วเราชอบไหมในสิ่งที่เราจัดการมันอยู่ ถ้ารู้สึกว่าเราทำมันได้ไม่ดีพอ ทำยังไงมันถึงจะดีขึ้น แล้วถ้าเราทำแบบนี้ ถามตัวเองแบบนี้เรื่อยๆ ตลอดเวลา เราก็จะเป็นคนที่พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ 

ที่สำคัญอย่ากลัวที่จะล้มเหลว อย่ากลัวที่จะถูกหัวเราะเยาะ ผมอยากจะสนับสนุนให้ทุกคนล้มเหลวให้ได้มากที่สุด ให้ได้เยอะที่สุด ตั้งแต่อายุน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ เพราะว่าถ้าคุณล้มเหลวแล้ว และคุณเรียนรู้กับมัน เราจะเป็นคนที่เก่งขึ้น และเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วันแน่นอนครับ
.

.

.

.

จากกรณีที่เด็กวัย 14 ปีเสียชีวิตจากความเครียดที่ถูกโกง หลังซื้อโทรศัพท์มือสองผ่านไอจีร้าน phonebymint พบผู้เสียหายเกิน 500 คน มีเงินหมุน 35 ล้าน ทางปปง. มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ แต่ยังจับตัวการมาลงโทษไม่ได้

พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ ได้แถลงผลการจับกุม น.ส.นฤมล ชำนาญ อายุ 18 ปี และ น.ส.สายน้ำผึ้ง ชนะมาร อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาในการหลอกขายโทรศัพท์มือถือให้เด็กอายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ จนทำให้น้องเกิดความเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตก และเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

โดยผู้ต้องหาทั้งสองอ้างว่ารับจ้างเปิดบัญชีให้ น.ส.พิยดา ทองคำพันธ์ เปิดร้านค้าออนไลน์ผ่านอินสตาแกรมชื่อ phonebymint โดยมียอดผู้ติดตามทั้งสิ้น 60,000 คน 

เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2564 มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “ภัทษลัลฎาค์ เกิดพงษ์” ได้ออกมาโพสต์เนื้อหาว่า “phonebymint นางสาวพิยดา ทองคำพันธ์ ตัวจริง ณ ปัจจุบัน ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง (มีผู้เสียหายกว่า 500 คน) VS ครอบครัวน้องก้องเด็กอายุ 14 ที่เครียดจนเส้นเลือดสมองแตก ที่ต้องสูญเสียน้องไปอย่างไม่มีวันกลับ ชีวิตดี ๆ บนความตายของผู้อื่น โกงมาเกิน 5 ปี ผู้เสียหายเกิน 500 คน มีเงินหมุน 35 ล้าน นางมีหลายแอ็กเคานต์ หลายเพจ นางจ้างคนเปิดบัญชีไปทั่ว เวลาเสิร์ชชื่อคนโกงจึงไม่ขึ้น เพราะเป็นบัญชีธนาคารคนอื่นที่นางจ้าง แต่สุดท้ายเส้นทางการเงินจะไปรวมอยู่ที่นาง ส่วนเด็กอายุ 18 เมื่อวานที่โดนจับแค่คนรับเปิดบัญชี

หลาย ๆ คนอาจยังไม่เชื่อใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 นำไปสู่การคัดค้านไม่ให้คนในครอบครัวฉีดด้วย ในประเทศเนเธอร์แลนด์เกิดกรณีเด็กวัย 12 ขวบ ฟ้องร้องพ่อตัวเอง ที่ไม่ให้ฉีดวัคซีน เพราะต้องการไปเยี่ยมคุณยายที่กำลังจะเสียชีวิต

ที่เมืองโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ เด็กวัย 12 ขวบ ชนะการฟ้องร้องในชั้นศาลเพื่อขอให้ตัวเองได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 เพราะผู้เป้นพ่อไม่ยอมให้ฉีด ส่วนสาเหตุในการฉีดคือ เด็กชายต้องการเดินทางไปเยี่ยมคุณยายที่กำลังจะเสียชีวิต 

ในกรณีนี้ส่งผลให้ผู้พิพากษาตัดสินว่า การฉีดวัคซีนโรคระบาดโควิด-19 จะลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังคุณยายซึ่งกำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะลุกลาม ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเปราะบางที่มีอาการรุนแรงถ้าติดเชื้อโควิด-19 

ปัจจุบัน ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้อนุญาตให้เด็กอายุระหว่าง 12 - 17 ปีชาวดัตช์สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ แต่เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเท่านั้น ซึ่งตัวของคุณพ่อไม่ต้องการให้ลูกได้รับการฉีดวัคซีน

บาร์ต ทรอมป์ ผู้พิพากษาประจำศาลแขวงโกรนิงเงิน กล่าวว่า “เด็กชายควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยทันที เพราะประโยชน์ที่เขาจะสร้างมีความสำคัญมากกว่าความกังวลของพ่อ”

‘แอลลี่’ ศิลปินอายุน้อย มากความสามารถ ใครจะรู้ว่ากว่าจะมีวันนี้ เธอต้องฝ่าฟันสารพัดคำดูถูก และการถูกบูลลี่ แต่เธอก็ได้พิสูจน์ตัวเอง มองมุมบวก แปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นแรงผลักดัน จนก้าวขึ้นมาเป็นไอดอลวัยรุ่นที่น่าจบตามอง

“แอลลี่ - อชิรญา นิติพน” ศิลปินวัย 17 ปี จากค่าย 411 Music ลูกสาวศิลปินชื่อดัง “อ่ำ-อัมรินทร์ นิติพน” กับ “จอย-อัจฉริยา อังคสุวรรณศิริ” ที่ล่าสุด เจ้าตัวก้าวสู่การเป็นเฟรชชี่เต็มตัว ในสาขาวิชา “Online Bachelor of Professional Studies in Music Business” วิทยาลัยดนตรีเบิร์กลีย์ (Berklee College of Music) เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปถึงเส้นทางกว่าจะก้าวเข้าสู่วงการเพลง เดินตามความฝันด้านนักร้อง ได้เป็นศิลปินคนแรกของค่าย ที่แจ้งเกิดในเพลง “How To Love” และทำงานร่วมกับ ศิลปินและโปรดิวเซอร์ชื่อดังชาวเกาหลี แอลลี่ต้องผ่านการฝึกเป็นศิลปินที่ใช้มาตรฐานเดียวกับ K-pop ส่งไปฝึกที่ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งระบบการฝึกซ้อม การมีผู้จัดการดูแลใกล้ชิด ทีมโปรดิวเซอร์ระดับโลก เรียกได้ว่าได้เห็นการถูกขัดเกลาให้เติบโตทั้งความสามารถ และการมีวินัยในการฝึกอย่างทุ่มเท ผ่านคราบน้ำตามานับไม่ถ้วน

ด้วยความที่แอลลี่เป็นที่จับตามาตั้งแต่เด็ก ในฐานะทายาทศิลปินผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าแสดงออก แต่กว่าจะมีวันนี้เธอพบความเห็นมากมายที่พูดถึงเธอในโลกโซเชียลฯ และคำตัดสินนั้นทำให้เธอเปลี่ยนไป

แอลลี่เผยว่า คำแรงที่เคยเจอมา คือ “คิดว่าไม่ได้ผ่านอะไรมาเลย You ไม่ได้พยายามเลย”

ด้วยภาพลักษณ์และการถูกจับตามอง ทำให้แอลลี่ถูกมองว่า “เป็นศิลปินด้วยวิธีการที่ง่าย” “เติบโตมาในครอบครัวศิลปิน” แต่เธอยังคงมีมุมมองบวกๆ ซึ่งรับรู้ได้ผ่านบทสัมภาษณ์ ที่กล่าวว่า

“หนูก็คิดว่าถ้าเราไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรเป็นอะไร เราสามารถถามได้ อย่างแอลลี่เทรนหนักขนาดไหน แอลลี่เทรนนานแค่ไหน เป็นเรื่องที่ถามกันได้เพราะสงสัยกันได้ค่ะ

หนูก็ตอบด้วยความยินดีอยู่แล้ว หนูชอบเล่าเรื่องมากๆ แต่ว่าในชีวิตประจำวัน ที่มีคำว่านี่ไม่ได้พยายามเลยใช่ไหม หรือว่าไม่ได้ใช้เวลากับการทำเลยใช่ไหม หนูคิดว่าคนที่พยายามจริงๆ แล้วเขากำลังเหนื่อย ได้ยินคำเหล่านั้นมันยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีกค่ะ

'YG Entertainment' ค่ายศิลปิน K-pop ชั้นนำจากเกาหลีใต้ร่วมมือกับ 'GMM Grammy' ค่ายดนตรียักษ์ใหญ่ของประเทศไทย เปิด YG”MM รับสมัครเด็กเทรนนิ่งเพื่อฝึกฝน พร้อมก้าวสู่การเป็นศิลปินระดับโลก

YG Entertainment ค่ายศิลปิน K-pop จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ผลิตไอดอลระดับโลก อย่าง Bigbang , Blackpink , IKON ได้จับมือกับ GMM Grammy บริษัทดนตรีชั้นนำของประเทศไทย เปิดบริษัท YG”MM (วายจีเอ็มเอ็ม) โดยทั้งบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศิลปินไอดอลที่ครบวงจรที่สุดตั้งแต่การคัดเลือก, ฝึกซ้อม, สร้างสรรค์และโปรโมทผลงาน เพื่อผลักดันสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพระดับโลก

โดยเมื่อวานนี้ (วันที่ 27 กันยายน 2564) YG”MM ได้เปิดรับสมัครเด็กฝึกหัดเพื่อพัฒนาเป็นศิลปินระดับโลก โดยมีคุณสมบัติและขั้นตอนการสมัครดังต่อไปนี้

คุณสมบัติ 
- เพศชาย / หญิง อายุระหว่าง 10-20 ปี (เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2544 - พ.ศ.2554) ผู้สมัครอายุต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ ต้องได้รับความยินยอมจาก พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง 
- ไม่จำกัดสัญชาติ (แต่หากผ่านการคัดเลือก จะต้องเข้ารับการฝึกในประเทศไทย) 
- ไม่มีติดสัญญาผูกพันกับค่ายเพลง, สังกัด หรือบุคคลใด ๆ 
- สามารถสมัครได้ 1 คนต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน และ/หรือ หมายเลข Passport (หากพบว่ามีการทุจริตจะถูกพิจารณาตัดสิทธิ์ในภายหลัง) 

ประเภทการสมัคร 
1.) Vocal, Rap - 1 ท่อน หรือ ไม่เกิน 1.30 นาที ไม่จำกัดแนวเพลง และต้องไม่มีดนตรีประกอบ
2.) Dance - ความยาว ไม่เกิน 1.30 นาที ไม่จำกัดแนวเพลง

“การศึกษา” นับได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จำเป็นต้องปรับหลักสูตรและรูปแบบการสอนเป็นการเรียนออนไลน์ แต่ก็ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะมีความพร้อม

แต่การเรียนออนไลน์บนหลักสูตรการศึกษาของไทยนั้น นักเรียนจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่คุณครูสอนหรือไม่ หลักสูตรของไทยจริง ๆ แล้วมีการวางลักษณะ เนื้อหาการสอน ในรูปแบบการสอนต่อหน้า คุณครูพบปะกับนักเรียน (Onsite) ไม่ได้วางหลักสูตรมาในรูปแบบการเรียนออนไลน์ คุณครูต้องเปลี่ยนจากการสอนมาเป็น “การบรรยาย” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องย้อนกลับมาคิดว่าจริง ๆ แล้วหลักสูตรการศึกษาในแต่ละวิชานั้นเหมาะสมกับการเรียนในรูปแบบออนไลน์หรือเปล่า ? เราจะต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตรหรือไม่ 

ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “หลักสูตรที่ใช้ในการสอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นหลักสูตรที่ใช้สำหรับการเรียนต่อหน้า คุณครูสอนต่อหน้านักเรียน (Onsite) พอมีปัญหาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แล้วนั้น การที่เราเอาหลักสูตรที่ใช้ในห้องเรียนมาปรับใช้เป็นออนไลน์ ก็จะเกิดปัญหาทันที”

“ต้องมีกระบวนการปรับหลักสูตร นั่นคือต้องเปลี่ยน ต้องดีไซน์ ออกแบบการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชาใหม่เลย จากโดยทั่วไปเป็นการเรียนการสอนในห้องเรียน มีการวัดผล คือ การสอบกลางภาคและปลายภาค แต่พอมาเป็นการสอนออนไลน์ เราก็ต้องมาปรับหมด อย่างการวัดผล การสอบจะมาใช้รูปแบบการวัดผลแบบที่ทำในห้องเรียนไม่ได้ การศึกษาไทยส่วนใหญ่มันแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการสอน โดยที่หลักสูตรเป็นหลักสูตรที่ใช้ในห้องเรียน แต่ผลลัพธ์ไม่ต้องพูดถึงเพราะมันแตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะหลักสูตรมันออกแบบให้เรียนในห้อง” 

เพจ “AMD Redteam Thailand” ได้โพสต์ภาพพุทธศาสนิกชนถวายสังฆทานยุคใหม่แก่พระมหาสมปอง อุปกรณ์ไอทีราคาสูงหลักหมื่น ย้ำเจตนาดีไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่เพื่อเพิ่มการไลฟ์ธรรมะให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2564 เพจ “AMD Redteam Thailand” ได้โพสต์ภาพพุทธศาสนิกชนได้นำสังฆทานยุคไอที โดยมี CPU ราคาประมาณ 30,000 บาท การ์ดจอคอมพิวเตอร์ ราคาประมาณ 17,000 บาท แก่ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
พระลูกวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ โดยมีเจตนาในการเพิ่มประสิทธิภาพในการไลฟ์ธรรมะให้มีความเสถียรมากยิ่งขึ้น 

‘สภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ’ เผยถึงบทวิเคราะห์ เห็นตรงโอกาสน้ำท่วมใหญ่เป็นได้น้อยมาก พื้นที่กรุงเทพและใกล้เคียง ยังไม่น่าห่วงว่าน้ำจะท่วมจากฝนที่ตกในรอบนี้ แต่อาจจะมีจากฝนที่ตกหนักเฉพาะจุดในพื้นที่ตัวเอง

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 64 มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เผยถึงบทวิเคราะห์ว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพ ซ้ำรอยปี 54 หรือไม่ ความว่า เหตุการณ์น้ำท่วม ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้เกิดกระแสว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ซ้ำรอยปี 54 เกิดความวิตกกังวลในวงกว้าง !!!

มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ในฐานะองค์เผยแพร่ข้อมูลความคิดเห็น เพื่อประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลล่วงเพื่อนำไปเป็นแนวทางการเตรียมการและบริหารความเสี่ยงล่วงหน้าในฐานะ “สภาเตือนภัย” !!!

นายปราโมทย์ ไม้กลัด รองปธ.กก.มูลนิธิ “สภาเตือนภัย” พิบัติแห่งชาติ อดีดอธิบดีกรมชลประทาน เห็นว่า ทั้งข้อมูลปริมาณฝน ปริมาณน้ำกักเก็บ 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา ในขณะนี้มีน้อยหากเปรียบเทียบกับในห้วงเวลาเดียวกันเมื่อปี 54 จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดน้ำท่วมในกทม.ครั้งใหญ่เช่นปี 54 !!!

ด้าน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ รองปธ.กก.มูลนิธิ “สภาเตือนภัย” ให้ความเห็นว่า แม้ว่าขณะนี้แม้จะมีกรณีน้ำท่วมเกิดขึ้นในหลายจังหวัด แต่โอกาสน้ำท่วมกทม.เหมือนปี 54 มีโอกาสเป็นไปได้น้อย เว้นแต่จะมีน้ำระบายไม่ทันทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน !!!

ขณะที่ ดร.สุทัศ วีสกุล ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือสสน. เห็นว่า ณ เวลานี้เมื่อ 54 เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิต์ มีน้ำเต็มความจุ 22,000 ล้าน.ลบ.ม. แต่ขณะมีปริมาณน้ำอยู่ประมาณครึ่งเดียว หากมีพายุเข้ามาทั้ง 2 เขื่อนยังดักน้ำได้อีกมาก แม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังอยู่ในระดับต่ำ และมีการสร้างคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น คิดว่าปีนี้ จะไม่เกิดน้ำท่วมกทม.เหมือนปี 54 แน่นอน !!!

ดร.ณัฐ มาแจ้ง ม.เกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า น้ำจะท่วมเหมือนปี 2554 ไหม ปี 54 กราฟน้ำท่วมมีฐานกว้างมากจึงทำให้มีน้ำเติมเข้าทุ่งเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากและนาน จึงทำให้เกิดน้ำท่วมขนาดใหญ่

ในขณะที่ปีนี้อีกไม่นาน (คาดว่า 1-3 สัปดาห์) อัตราการไหลที่นครสวรรค์จะคงที่และเริ่มลดลงเนื่องจากฝนจะลดลงในช่วงอาทิตย์ข้างหน้าทำให้มีน้ำเติมลงมาน้อยกว่าเดิมนั่นเอง

กระทรวงศึกษาธิการได้ออกหลักเกณฑ์สำหรับการเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ที่มีความพร้อมและผ่านเกณฑ์การประเมิน ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยดำเนินการตามโครงการ Sandbox : Safety zone in School

 

นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 20 กันยายน 2564 เรื่อง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 32) เพื่อให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้ประกอบในการพิจารณาการขออนุญาตใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียน และสถาบันการศึกษาในการจัดการเรียนการสอน การสอน การฝึกอบรม หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

โดยกำหนดให้มีระยะเวลาดำเนินงาน 2 ระยะ คือ ระยะแรก สำหรับโรงเรียนพักนอน ซึ่งดำเนินการตามโครงการ Sandbox: Safety zone in School มาตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2564 และระยะที่สอง สำหรับโรงเรียนประเภทไป-กลับ ที่มีความพร้อมและผ่านเกณฑ์การประเมิน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 

ซึ่งการจะเปิดโรงเรียนได้ ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินหลายด้าน เช่น ด้านกายภาพ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการประเมินความพร้อมสู่การปฏิบัติ สำหรับสถานศึกษา ครู-บุคลากรต้องฉีดวัคซีนครบโดสไม่น้อยกว่า 85% ในขณะที่นักเรียน-ผู้ปกครอง ควรได้รับวัคซีนตามมาตรการที่กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขกำหนด

โดยระหว่างการเปิดภาคเรียน ต้องปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และสามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Onsite หรือ Online หรือแบบผสมผสานได้ ในห้องเรียนแต่ละห้องต้องมีนักเรียนไม่เกิน 25 คน และต้องเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ส่วนมาตรการอื่น ๆ มีตามประกาศดังต่อไปนี้

ยอดจ่ายเงินเยียวยานักเรียนคนละ 2,000 บาท ใกล้ครบตามเป้า 11 ล้านคน ส่วนของการฉีดวัคซีนก็คืบหน้าไปอย่างมาก ล่าสุด พบผู้สมัครใจฉีดวัคซีนจำนวน 3.61 ล้านคน เตรียมพร้อมกลับสู่การเรียนรูปแบบปกติ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานความคืบหน้า การเยียวยานักเรียนทุกคน ทุกสังกัด คนละ 2,000 บาท โดยให้ผู้ปกครองรับเงินเต็มจำนวนโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา 

ล่าสุดได้จ่ายเงินเยียวยาครอบคลุมเด็กนักเรียนทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการไปแล้วทั้งสิ้น 10,952,000 ล้านคน จากเป้าหมาย 11 ล้านคน คิดเป็น 87.80% โดยโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับทั้งหมด 97.75% ที่เหลือได้ทยอยดำเนินการส่งมอบต่อเนื่อง 
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top