Sunday, 6 July 2025
NewsFeed

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์เตือน!! ‘เจ้าของบ้าน’ ชี้!! มีหมาเห่า ทำให้เราไม่ Ship หาย

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘หมา’ โดยมีใจความว่า ...

เวลามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน หมามันจะเห่า เพื่อเตือนเจ้าของบ้าน และไล่โจร ออกไป เวลาหมาเห่าเราจึงต้องออกไปดู ว่ามันเห่าทำไม ถ้าเราไม่กังวลเรื่องหมาเห่าเลย เราจะ Ship หาย โจรปล้นบ้านได้ นะครับ 

ปล.คนรักหมา อย่าไปด่าหมา ครับ

ผู้ที่ได้อ่านข้อความนี้ของนายชัยวุฒิ ก็น่าจะได้เห็นถึงประโยชน์ของการมี ‘หมา’ ไว้เฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่มีหมาเห่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นเรื่องที่ดี ที่มี ‘หมา’ คอยระวังรักษาผลประโยชน์ให้เรา ไม่ให้ ‘โจร’ มันมาปล้นเราได้

เด็กไทยเก่ง โชว์!! ความเป็นเลิศทาง ‘วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์’ คว้า 36 เหรียญรางวัล โอลิมปิกวิชาการ ASMOPSS ที่ ‘อินโดนีเซีย’

(23 พ.ย. 67) กองทัพนักเรียนผู้แทนจากโครงการ ASMOPSS THAILAND ที่ไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับนานาชาติ ในโครงการ ASMOPSS (Asian Science And Mathematics Olympiad for Primary And Secondary Schools) ครั้งที่ 14 ณ เมืองบาญูวางี จังหวัดชวาตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 28 คน เดินทางกลับถึงประเทศไทย โดยมีสื่อมวลชน ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ณ สนามบินดอนเมืองอย่างอบอุ่น

สำหรับการแข่งขันในปีนี้ นักเรียนผู้แทนจากประเทศไทยที่ผ่านการคัดเลือกจากนักเรียนทั่วประเทศได้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดจำนวน 28 คน และได้รับรางวัลกลับมาให้ชาวไทยได้ชื่นชมจำนวน 36 รางวัล แบ่งเป็น รางวัลประเภทบุคคล 28 รางวัล ได้แก่ 10 เหรียญทอง, 12 เหรียญเงิน , 6 เหรียญทองแดง และ รางวัลประเภททีม 8 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 1 รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 4 รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 3 รางวัล โดยโครงการ ASMOPSS ครั้งที่ 14 นี้ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา

นางสาวพรพัชร แผลงเดช ประธานโครงการ ASMOPSS THAILAND กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า สำหรับปีนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เราส่งนักเรียนผู้แทนเข้าแข่งขันจำนวน 28 คน น้องๆได้รับรางวัลประเภทบุคคลและประเภททีมครบทุกคน อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลมากที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้ 

นายธนากร แผลงเดช (นายกสมาคมผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนนอกระบบ ผู้บริหารโรงเรียนกวดวิชาเอซายน์ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการแอสมอพส์) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมวิชาการ รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่ น้อง ๆ ตั้งใจทำ เพราะกว่าจะมีวันนี้ทุกคนได้ผ่านการคัดเลือกกันอย่างเข้มข้นทั้ง 2 รอบ หลังจากนั้นเราได้จัดติวอย่างเป็นระบบจากทีมครูมืออาชีพและรุ่นพี่ ๆ อดีตผู้แทนประเทศเพื่อสร้างวัฒนธรรมความช่วยเหลือกันและกันส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งการจัดทีมผสมระหว่างผู้แทนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อแข่งประเภททีม 

ซึ่งการที่เด็ก ๆมาจากหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถมารวมทีมกันและทำงานร่วมกันได้อย่างดีเยี่ยมขนาดนี้ ต้องขอขอบคุณเด็ก ๆ เป็นอย่างมากที่ทำให้ประเทศไทยมีทีมที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในทุกครั้งที่ไปแข่งขัน เราจะนำวัฒนธรรมความเป็นไทยไปแสดง โดยในปีนี้มีเรานำการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดไทยทุกสมัยและชุดไทยประจำท้องถิ่นไปจัดแสดงบนเวทีในคืนแสดงวัฒนธรรมให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมโดยนักเรียนผู้แทนประเทศร่วมกับผู้ปกครองร่วมเดินอย่างเต็มภาคภูมิ และที่สำคัญคือชุดการแข่งขัน ASMOPSS ในปีนี้เราออกแบบโดยใช้ลายไทยผสมผสานไปกับแฟชั่นยุคใหม่ทำให้สามารถสื่อถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ชัดเจน โดยเราต้องการแสดงให้เห็นว่า Soft Power นั้นสามารถแทรกซึมได้ในทุก ๆ เหตุการณ์ให้ผู้คนรับรู้อย่างเต็มใจเกิดการยอมรับและสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งผ่านการถ่ายทอดจากความรู้ความสามารถ และเอกลักษณ์ความเป็นไทย เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเด็ก ๆ สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม ทุก ๆ คนที่เห็นต่างชื่นชม

นางมัญชุมาศ บุญชู โกคิง ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนนอกระบบกรุงเทพมหานคร และอุปนายกสมาคม APANE กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะของผู้ส่งเสริมการศึกษาเอกชนนอกระบบ สำหรับความสำเร็จในวันนี้ก็คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ทั้ง ครู และโค้ช ได้ใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ สอนเด็กด้วยความตั้งใจ สามารถทำให้เด็กมีศักยภาพเพิ่มขึ้น เรียนอย่างมีความสุข ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สิ่งนี้เสมือนผลลัพธ์หลังจากที่เด็ก ๆ ได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร และมีเป้าหมายร่วมกัน โดยมีครูและโค้ชเป็นผู้ใช้กระบวนการตั้งคำถามและสะท้อนความคิด จนได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จ นำชื่อเสียงสู่ประเทศไทย อยากให้ความสำเร็จในวันนี้เป็นแรงขับเคลื่อนในโรงเรียนทุกโรงเรียน และสังคม ร่วมกันมอบโอกาส ส่งเสริม สนับสนุนเยาวชนตัวอย่างในสิ่งที่พวกเขาได้ลงมือทำ สู่ความสำเร็จ เป็นแบบอย่าง แก่เยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป 

สำหรับโครงการ ASMOPSS THAILAND เป็นการร่วมมือกันระหว่าง โรงเรียนกวดวิชาเอซายน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ บริษัท ไมราห์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ให้จัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักเรียนผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ ในโครงการ ASMOPSS (แอสมอพส์) ซึ่งเป็นโครงการแข่งขันวิชาการเพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ระดับนานาชาติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยเน้นทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นฐาน ตลอดทั้งทักษะต่างๆ เช่น ทักษะด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น ที่ได้ความร่วมมือจาก 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ทาจิกิสถาน กัมพูชา ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง

การแข่งขันวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ระดับนานาชาติ ASMOPSS (แอสมอพส์) จัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยโครงการ ASMOPSS THAILAND เป็นผู้จัดสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียนรอบแรก (รอบประเทศ) สมัครช่วงเดือนพฤษภาคม และจัดสอบเดือนสิงหาคมของทุกปี ส่วนรอบสอง (รอบคัดเลือกผู้แทนประเทศ) คัดเลือกจากนักเรียนที่ผ่านเข้ารอบตามเกณฑ์มาตรฐานระดับนานาชาติของ ASMOPSS เท่านั้น เพื่อคัดเลือกเป็นผู้แทนของประเทศไทย 

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารจากโครงการ ASMOPSS THAILAND ได้ที่ Facebook : ASMOPSS THAILAND , Line Official : @asmopss.thailand หรือทางhttps://asmopssthailand.com

Cat on the Roof นำย่าน ‘เจริญกรุง’ คว้าแชมป์!! ประกวด ‘ออกแบบบอร์ดเกม’ สะท้อน!! วิถีชีวิตคนไทยที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่นด้านวัฒนธรรม ในย่านตึกเก่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ร่วมกับสมาคมบอร์ดเกมประเทศไทย และพันธมิตร ได้ประกาศผลการประกวดออกแบบบอร์ดเกม Thailand Board Game Design Contest 2024 (TBDC 2024) ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ : บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อเล่าเรื่องราวของ กทม. โดยนำพื้นที่ใน 4 ย่านคือจตุจักร, เสาชิงช้า, เยาวราช และเจริญกรุง มาเป็นหัวข้อหลักในการสื่อสารฯ ปรากฏผลผู้ชนะอันดับ 1 ได้แก่เกม Cat on the Roof จากทีม MISCELLANEOUS โดยนายพลสิทธิ์ แซ่เฮ้ง และนายวุฒิไกร วาทิตเมธี ซึ่งได้นำย่านเจริญกรุงมาออกแบบจนคว้าชัยชนะ  ซึ่งหลังจากนี้จะได้นำผลงานไปผลิตและเผยแพร่ พร้อมนำไปจัดแสดงในงานบอร์ดเกมระดับโลก ที่ประเทศเยอรมัน ในปี 68

นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวว่า การประกวดออกแบบบอร์ดเกมฯ ในครั้งนี้ จัดขึ้นด้วยความร่วมมือของสถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park, คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเกม, สมาคมผู้ผลิตและออกแบบบอร์ดเกม และสมาคมบอร์ดเกมประเทศไทย โดยมีเป้าหมายการสื่อสารถึงคุณค่าของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใน 4 ย่านสำคัญของ กทม. ที่ประกอบด้วยย่านจตุจักร, เสาชิงช้า, เจริญกรุง และเยาวราช ซึ่งถือเป็นย่านที่เป็นที่รู้จัก และมีอัตลักษณ์ที่สะท้อนวิถีชีวิตของไทย นำมาสื่อสารผ่านบอร์ดเกมที่เป็นสื่อที่คนในยุคปัจจุบันให้ความสนใจ โดยมุ่งหวังว่านอกจากจะเป็นการสื่อสารถึงคุณค่าของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับนโยบาย Soft Power แล้ว ยังจะเป็นการผลักดันให้เกิดนักสื่อสารเชิงวัฒนธรรมที่สามารถหยิบเรื่องราวของไทยมาสื่อสารผ่านสื่อในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น โดยหลัง จากนี้จะได้ขยายผลโดยผลงานของผู้ชนะเลิศจะถูกนำไปผลิต และเผยแพร่ให้ทดลองเล่นตามแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อุทยานการเรียนรู้ TK Park ฯลฯ นอกจากนี้หน่วยงานที่เป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนคือสมาคมบอร์ดเกมประเทศไทย ก็ได้มีแผนในการนำเกมที่ชนะการประกวดไปจัดแสดงที่งานบอร์ดเกมระดับโลก (Spiel 2025) ประเทศเยอรมนีในปี 2568

ด้าน นายพนม ศิริมงคลสกุล ผู้ดูแลโครงการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประกวดฯ ครั้งนี้ มีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมจำนวน 121 ทีม เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวม 320,000 บาท หลังจากคัดเลือกเหลือ 16 ทีม ก็ได้นำไปทำกิจกรรม Workshop ร่วมกัน โดยจากการตัดสินของคณะกรรมการได้ผลดังนี้ 

1) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 1 ได้แก่เกม Cat on the Roof จากทีม MISCELLANEOUS โดยนายพลสิทธิ์ แซ่เฮ้ง และนายวุฒิไกร วาทิตเมธี คว้าเงินรางวัล 100,000 บาท และงบผลิตบอร์ดเกม 60,000 บาท โดยได้นำย่านเจริญกรุงมาออกแบบ มีแนวคิดให้ผู้เล่นเป็นแมวที่อาศัยอยู่ในย่านเจริญกรุง ออกเดินทางท่องเที่ยวสำรวจไปในย่านตึกเก่า และสถานที่ต่างๆ 

2) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 2 ได้แก่เกม Chatuchak Shop & Stuff จากทีมบุรินทร์ โดยนายบุรินทร์ มงคลสวัสดิกุล, นายธีรภัทร ประภัศร และคุณณัฏฐนิชา สาระ ซึ่งได้นำย่านจตุจักรมาออกแบบ โดยมีแนวคิดที่ให้ผู้เล่นเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมาซื้อของ และของฝากในตลาดจตุจักร 

3) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 3 ได้แก่เกมโล้ศิวะ จากทีม Unplugged Fun โดยนายธันยา นวลละออง และนางวินิทรา นวลละออง ซึ่งได้นำย่านเสาชิงช้ามาออกแบบ โดยมีแนวคิดจากพิธีตรียัมปวายในการโล้ชิงช้ามาจัดทำเป็นเกม 

4) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 4 ได้แก่ เกม 1 Day Trip จากทีม Sci Whale SRC โดยนายวิศวัฒน์ สกุลศักดิ์นิมิตร, นายณัฐพล เขียวพิมพ์ และนายณัฐวุฒิ แก้วคำน้อย นำย่านเสาชิงช้ามาออกแบบ โดยมีแนวคิดเอาแผนที่ย่านเสาชิงช้าและร้านอาหารต่างๆ รวมถึงเวลาเปิดปิดจริงมาใส่เข้าในเกม 

โดยภายในงานประกาศผลฯ ยังได้จัดให้มีนิทรรศการแสดงผลงานบอร์ดเกมที่เข้ารอบ และเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมทดลองเล่นบอร์ดเกม จากผลงานของทั้ง 16 ทีม, การเสวนาบนเวที 2 หัวข้อคือ 1) Lookback การพัฒนาบอร์ดเกมเพื่อเข้าประกวด กับตัวแทนผู้เข้าประกวด Thailand Board Game Design Contest 2024 ที่จะมาแชร์ Trick/Technique สำหรับผู้สนใจงานออกแบบบอร์ดเกมเชิงวัฒนธรรม และประสบการณ์จากการประกวดฯ และ 2) บอร์ดเกมในฐานะสินค้าเพื่อสื่อสาร Story เป็นเรื่องการสร้างจุดเด่นบอร์ดเกมที่มากกว่าสนุกสนาน การเติมเรื่องราวที่น่าสนใจสอดแทรกคุณค่าเชิงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จากนักออกแบบ, ค่ายเกมที่ส่งเกมไทยไปต่างประเทศ และ YouTuber ผู้เล่าเรื่องราวเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในบอร์ดเกม

สำหรับผู้สนใจที่ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามข่าวสารหรือผลของการแข่งขัน ได้ที่ Facebook เพจ TBDC : Thailand Board Game Design Contest ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

‘เหล้าเถื่อน’ ใน ‘ลาว’ กำลังระบาดหนัก ‘ออสเตรเลีย’ เตือน!! นักท่องเที่ยวให้ระวัง

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) ออสเตรเลียเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการดื่มสุราปนเปื้อนเมทานอลในสปป.ลาว หลังวัยรุ่นออสเตรเลีย 1 รายเสียชีวิต หลังดื่มสุราปนเปื้อนที่วังเวียง เป็นชาวต่างชาติรายที่ 4 ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีส ของออสเตรเลีย แถลงว่า บิอังกา โจนส์ วัยรุ่นออสเตรเลียวัย 19 ปี เสียชีวิตเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดี) หลังจากดื่มเหล้าผสมเมทานอลในสปป.ลาว ซึ่งถือเป็นชาวต่างชาติรายที่ 4 แล้วที่สงสัยเสียชีวิตในเหตุการณ์ดื่มเหล้าเถื่อนในลาว 

เมืองวังเวียง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของลาว ห่างจากกรุงเวียงจันทน์ ไปทางเหนือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งวัยรุ่นออสเตรเลียหลายคนเดินทางไปเที่ยวก่อนล้มป่วยหนัก  เผยให้เห็นเมืองนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ที่มาร่วมทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ 

โจนส์ ล้มป่วยในวังเวียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจากนั้นก็ถูกส่งตัวมายังจังหวัดอุดรธานี เพื่อรักษาต่อ ขณะที่ฮอลลี โบวลส์ เพื่อนของเธอในวัย 19 ปีอีกราย ยังรักษาตัวอยู่ที่ไทยเช่นกัน ตามการเปิดเผยของครอบครัวที่ระบุว่าเธอยังอยู่อาการขั้นวิกฤต

ทั้งนี้ เชื่อว่าโจนส์และโบวลส์ ดื่มสุราปนเปื้อนเมทานอล ซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมแทนเอธานอลในราคาที่ถูกกว่า แต่อาจทำให้เกิดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ และทางออสเตรเลียออกคำเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการดื่มสุราปนเปื้อนในลาวแล้ว

ทางการไทยยืนยันว่า โจนส์ เสียชีวิตเนื่องจาก ‘ภาวะสมองบวมเพราะมีระดับเมทานอลในระบบร่างกายสูง’

สุราปนเปื้อนเริ่มกลายเป็นประเด็นขึ้นมา หลังจากหญิงออสเตรเลีย 2 รายล้มป่วยเมื่อ 13 พฤศจิกายน หลังออกไปดื่มกับกลุ่มเพื่อนที่นั่น และการเสียชีวิตของโจนส์ ถือเป็นนักท่องเที่ยวรายที่ 4 ที่เสียชีวิตเพราะดื่มสุราปนเปื้อนในวังเวียง

ทางการออสเตรเลีย ระบุว่า ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายราย’ ต่างเป็นเหยื่อของสุราปนเปื้อนเมทานอลนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันแล้วว่ามีชาวอเมริกัน 1 รายเสียชีวิตที่วังเวียง และกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก ยืนยันว่ามีพลเมือง 2 รายเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้เช่นกัน

นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศนิวซีแลนด์ เผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีพลเมือง 1 รายล้มป่วยในลาว และคาดว่าอาจเป็นเหยื่อของสุราปนเปื้อน พร้อมทั้งออกคำเตือนการเดินทางของพลเมืองนิวซีแลนด์ที่ไปเยือนลาวให้ระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเมทานอลในลาวด้วยเช่นกัน

‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ เจอ!! ‘พิธา’ โดยบังเอิญ ขณะปั่นจักรยาน เลียบริมคลองแสนแสบ

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ขณะออกจากบ้านย่านทองหล่อเพื่อไปประชุมที่ มศว.ประสานมิตร ด้วยการปั่นจักรยานเลียบคลองแสนแสบ โดยในระหว่างทักทายประชาชนริมทางไปด้วย แต่ที่เซอร์ไพรส์ คือเจอกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ปั่นจักรยานไปส่งลูกเหมือนกัน

‘MOSHI’ ฉลองครบรอบ 8 ปี สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน อัดแคมเปญพิเศษ!! ‘แจกใหญ่ แทนคำขอบคุณ’

(23 พ.ย. 67) นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MOSHI ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ผ่านการยึดมั่นเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ ‘มอบความสุขด้วยการสรรค์สร้าง ผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์เป็นเลิศ’ ด้วยการนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยาแก่ผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทำงานแบบใช้ข้อมูลเป็นหลักสำคัญ และสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับพันธมิตร ตลอดระยะเวลา 8 ปีในการก่อตั้งมา ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าสินค้าของเราเป็นที่ยอมรับและอยู่ในใจของผู้บริโภค ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่หยุดนิ่ง และสร้างความพึงพอใจในสินค้าและบริการ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย

ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ (CAGR) ตลอดระยะ 3 ปี (2566-2568) เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยอัตราการเติบโตมาจากยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และยอดขายจากสาขาเดิม ผ่านกลยุทธ์สำคัญต่างๆ ได้แก่ การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ การปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Collaboration ที่โดดเด่นเพื่อสร้างสีสันให้กับผู้บริโภค รวมถึงการได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวเพิ่มว่า แม้อุตสาหกรรมธุรกิจสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยมีแนวโน้มการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการปรับตัวของคู่แข่งรายเดิม และการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินว่าตลาดยังคงมีศักยภาพในการเติบโต และมีความเชื่อมั่นในขีดความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทฯ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านการออกแบบที่ทันสมัยและการมีสินค้าลิขสิทธิ์ ซึ่งสามารถจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน Moshi Moshi เท่านั้น ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้าและการกำหนดราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนการเติบโตผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศด้วยการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน อย่างยั่งยืน

สะท้อนผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 735.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 585.09 ล้านบาท นับว่าเป็นผลการดำเนินงานที่ทำได้สูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆ ของปี สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,076.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,749.75 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิได้ 314.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 254.24 ล้านบาท แม้จะเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่บริษัทฯ ยังสามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่ดี นับเป็นการทำผลงานทั้งรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (New High) ทั้งนี้ ผลเติบโตหลักมาจากความสำเร็จในการขายสินค้าลิขสิทธิ์ ที่ได้รับความนิยมสูง อีกทั้ง บริษัทฯ ได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 5,000 SKUs ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เริ่มรับรู้รายได้จากการร่วมทุน (JV) เพื่อจัด Exhibition ของ Hello Kitty และ Sanrio Characters อีกด้วย

สำหรับ ในช่วงที่เหลือของปี 2567 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยเตรียมพร้อมสินค้าใหม่ เพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับตลาด รวมถึงมุ่งเติมเต็มความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก พร้อมวางแผนที่จะขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคและอำนวยความสะดวกและเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่อีก 6 สาขา ภายในไตรมาส 4/2567 ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีสาขารวมทั้งสิ้น 34 สาขาในปีนี้ โดยเป็นสาขาภายใต้แบรนด์ MOSHI ทั้งหมด ครอบคลุม 62 จังหวัดทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสพิเศษ เฉลิมฉลองการครบรอบ 8 ปี ของ Moshi Moshi เพื่อแสดงความขอบคุณต่อความรักและการสนับสนุนจากลูกค้าที่มีให้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญพิเศษ ‘แจกใหญ่ แทนคำขอบคุณ’ ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีกับ Moshi Moshi เพียงช้อปสินค้าทุกๆ 299 บาท รับ 1 สิทธิ์ลุ้นรับรางวัล ได้แก่ รางวัลใหญ่รถยนต์ Honda City e:HEV SV, รถจักรยานยนต์ YAMAHA Grand Filano Hybrid Connected,  โทรศัพท์มือถือ iPhone 16 Promax,  ทองคำแท่ง 1 บาท และ Gift Voucher มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท แค่เพียงช้อปสินค้าที่ร้าน Moshi Moshi (ยกเว้นสาขาสำเพ็ง และ Platinum) หรือช่องทาง Shopee ของ Moshi Moshi Official Store: https://shope.ee/AUPaW9eNKG ระยะเวลาในการซื้อสินค้า เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2567 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและลงทะเบียนได้ที่ LINE Official Moshi Moshi: @moshimoshi.jp หรือติดตามโปรโมชันอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage Moshi Moshi: https://www.facebook.com/moshimoshi.jp 

เปิดหลักการพื้นฐานของ ‘สหพันธรัฐรัสเซีย’ ว่าด้วยการป้องปราม ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ฉบับใหม่

ถือว่าโลกได้ขยับเข้าใกล้สงครามโลกครั้งที่ 3 อีกครั้งเมื่อประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียได้ลงนามในกฤษฎีกาเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 ที่ผ่านมา เพื่อรับรองหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ฉบับปรับปรุงของประเทศ ซึ่งมีชื่อว่า ‘หลักการพื้นฐานของนโยบายรัฐของสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์’ (the Basic Principles of State Policy of the Russian Federation on Nuclear Deterrence) สาเหตุที่ทางรัสเซียจำเป็นต้องอัปเดตเอกสารหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์นี้ ทางเครมลินอธิบายว่าเนื่องจาก ‘สถานการณ์ปัจจุบัน’ เกี่ยวกับปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนและการเผชิญหน้าที่รุนแรงระหว่างรัสเซียและตะวันตก โดยคำนึงถึงการตัดสินใจของ เจ้าหน้าที่รัฐบาลในสหรัฐอเมริกาตัดสินใจให้ยูเครนใช้อาวุธซึ่งเป็นอาวุธที่ผลิตในอเมริกาเพื่อต่อต้านสหพันธรัฐรัสเซีย นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของสถานการณ์ใหม่ทั่วประเทศของเรา และทำให้จำเป็นต้องปรับปรุงแนวคิดนี้” 

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 สื่ออเมริกันรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ “อนุญาต” ให้ยูเครนยิงขีปนาวุธ ATACMS ของอเมริกาลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ซึ่งต่อมานายไบรอัน นิโคลส์ (Brian Nichols) ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการซีกโลกตะวันตก ได้ออกมายืนยันข้อมูลนี้ เมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 กระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงานว่ากองทัพยูเครนทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ATACMS จำนวน 6 ลูกต่อสถานที่ทางทหารแห่งหนึ่งในภูมิภาคเบรียนสค์ ซึ่งห้าลูกถูกยิงตก หนึ่งลูกได้รับความเสียหายจากทีมต่อสู้ของระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 และระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศแพนซีร์ จากเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้นายดมิทรี เปซคอฟ (Dmitry Peskov) โฆษกเครมลินเรียกร้องให้ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียลงนามในหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ที่ได้รับการปรับปรุงซึ่งเป็น "เอกสารที่สำคัญอย่างยิ่ง" ในเวลาที่เหมาะสม เขากล่าวว่าการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์มีจุดมุ่งหมาย “เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่อาจเป็นปฏิปักษ์จะเข้าใจถึงการตอบโต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีที่มีการรุกรานสหพันธรัฐรัสเซียและ/หรือพันธมิตรของรัสเซีย”

ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ได้รับการปรับปรุงนี้ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของรัฐของสหพันธรัฐรัสเซียในด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับกฤษฎีกาปี ค.ศ.2020 โดยรัสเซีย “ถือว่าอาวุธนิวเคลียร์เป็นวิธีการป้องปราม การใช้อาวุธดังกล่าวเป็นมาตรการที่รุนแรงและบังคับ และกำลังใช้ความพยายามที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อลดภัยคุกคามทางนิวเคลียร์และป้องกันความรุนแรงของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่อาจกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง ความขัดแย้งทางการทหาร รวมถึงความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ด้วย” ในปีค.ศ. 2020 ทางการรัสเซียพิจารณาอาวุธนิวเคลียร์ “เป็นเพียงวิธีการป้องปรามเท่านั้น” เช่นเดียวกับในปีค.ศ. 2020 “การรับประกันการป้องปรามศัตรูที่อาจเกิดขึ้นจากการรุกรานรัสเซียและ (หรือ) พันธมิตร” ถือเป็น “หนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุดของรัฐบาล” จะต้องได้รับการรับรองโดย “กำลังทหารทั้งหมดของสหพันธรัฐรัสเซียรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์” ในเวลาเดียวกัน ทั้งเอกสารเก่าและเอกสารใหม่กล่าวว่า "นโยบายของรัฐในด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์มีลักษณะเป็นการป้องกัน" 

ก่อนหน้าที่ผมจะกล่าวถึงหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับใหม่ผมขอเล่าถึงความเป็นมาของหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยตั้งแต่สมัยสหภาพโซเวียตรัสเซียมีหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์มาแล้ว 5 ฉบับด้วยกัน โดยในสมัยสหภาพโซเวียตไม่มีหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์สาธารณะ ยกเว้นเอกสาร "เกี่ยวกับหลักคำสอนทางทหารของรัฐในสนธิสัญญาวอร์ซอ" ที่นำมาใช้ในปี ค.ศ. 1987 ซึ่งรับรองว่าพวกเขา "จะไม่ใช่คนแรกที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์" ผมขอเรียกเอกสารฉบับนี้ว่าหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับที่ 1  

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินได้ลงนามในกฤษฎีกา "ในบทบัญญัติหลักของหลักคำสอนทางทหารของสหพันธรัฐรัสเซีย" แต่ไม่มีการเผยแพร่เนื้อหาของบทบัญญัติดังกล่าว ถือว่าเอกสารฉบับนี้เป็นฉบับที่ 2  

ถัดมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.2000 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้อนุมัติหลักคำสอนทางทหารสาธารณะฉบับแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยระบุว่ารัสเซียขอสงวนสิทธิ์ในการใช้การโจมตีด้วยนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธทำลายล้างสูงต่อรัสเซียและ/หรือพันธมิตร เช่นเดียวกับ “เพื่อตอบสนองต่อการโจมตีขนาดใหญ่โดยใช้อาวุธธรรมดาในสถานการณ์ที่วิกฤตต่อความมั่นคงของชาติ ” ในปีเดียวกันนั้นมีการนำ "นโยบายพื้นฐานของรัฐในด้านการป้องปรามนิวเคลียร์" ซึ่งมีผลบังคับใช้จนถึงปี ค.ศ.2010 ฉบับนี้ผมให้เป็นฉบับที่ 3 

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ อนุมัติหลักคำสอนทางทหารใหม่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งรวมถึงประโยคเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองต่อ "การรุกรานต่อสหพันธรัฐรัสเซียโดยใช้อาวุธธรรมดา เมื่อรัฐดำรงอยู่จริงตกอยู่ในความเสี่ยง” ฉบับนี้เป็นฉบับที่ 4 ต่อมาประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูตินได้ปรับปรุงหลักคำสอนทางทหารในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักการเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์
.
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2020 ประธานาธิบดีดวลาดิมีร์ ปูตินได้ลงนามในกฤษฎีกา “เกี่ยวกับพื้นฐานของนโยบายของรัฐในด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” เอกสารระบุเหตุผลอีกสองประการที่ทำให้รัสเซียใช้กองกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ ได้แก่ การโจมตีด้วยขีปนาวุธและผลกระทบต่อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ 'สำคัญอย่างยิ่ง' ซึ่ง "จะนำไปสู่การหยุดชะงักในการดำเนินการตอบโต้ของกองกำลังนิวเคลียร์" ซึ่งผมถือว่าเป็นฉบับที่ 5 

เอกสารหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ฉบับใหม่ที่ประธานาธิบดีดวลาดิมีร์ ปูตินเพิ่งลงนามไปเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 มีทั้งหมดด้วยกันทั้งสิ้น 4 หมวด 26 มาตรา สรุปถึงเงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ภัยคุกคามที่ถือว่าร้ายแรงเพียงพอสำหรับการใช้งาน ลำดับการเปิดใช้งานแผนการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ การดำเนินการเพื่อรักษากองกำลังนิวเคลียร์ให้พร้อมในการรบ และนโยบายสำหรับ 'การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์'—แผนสำหรับป้องกันการโจมตีด้วยนิวเคลียร์โดยรับรองว่า “การรุกรานทางนิวเคลียร์ใดๆ จะส่งผลให้เกิดการตอบโต้อย่างร้ายแรง” ทั้งนี้ผมขอสรุปประเด็นต่าง ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

เงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์

ในหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ครั้งก่อนหลักคำสอนระบุว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์จะถูกกระตุ้นโดยการรุกรานที่คุกคามการดำรงอยู่ของรัฐ อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันอัปเดตให้ความชัดเจนมากขึ้น โดยระบุว่ารัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การรุกรานที่คุกคามอธิปไตยของรัสเซียและ/หรือบูรณภาพแห่งดินแดนโดยตรง

หลักคำสอนที่ได้รับการปรับปรุงได้กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงสถานการณ์ที่การรุกรานจากประเทศที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐนิวเคลียร์ นี่จะถือเป็นการโจมตีร่วมกัน และแม้แต่อาวุธทั่วไปที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่ออธิปไตยของรัสเซียก็อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางนิวเคลียร์จากรัสเซียเช่นกัน

โดยรัสเซียได้เน้นไปที่เบลารุสพันธมิตรของตนเป็นพิเศษ ซึ่งการรุกรานใด ๆ ต่อเบลารุสก็ถือเป็นการโจมตีรัสเซีย ซึ่งก็จะถูกตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

เอกสารดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงภัยคุกคามทางทหารต่อรัสเซียที่อาจเกิดขึ้น เช่น ระบบต่อต้านขีปนาวุธ การสะสมกำลังทหารใกล้ชายแดนรัสเซีย และอาวุธนิวเคลียร์ที่ประจำการอยู่ในรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์

ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดคำว่า ‘ศัตรูที่มีศักยภาพ’ ซึ่งครอบคลุมรัฐหรือพันธมิตรทางทหารที่มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามและมีอำนาจทางทหารที่สำคัญ 

การป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์

รัสเซียดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกัน ‘รัฐที่ไม่เป็นมิตร’ และพันธมิตรทางทหารจากการโจมตีและการกระทำที่ไม่เป็นมิตรในช่วงเวลาสงบ ระดับภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้น และในช่วงสงคราม ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการใช้อาวุธนิวเคลียร์

การป้องปรามรวมถึงการจัดตั้งและรักษากองกำลังนิวเคลียร์ที่ทันสมัยซึ่งสามารถส่ง “ความเสียหายที่รับประกันว่าไม่อาจยอมรับได้” ให้กับฝ่ายตรงข้าม ควบคู่ไปกับการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาทั้งหมดไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความพร้อมของมอสโก และตัดสินใจที่จะมีส่วนร่วมกับพวกเขาหากจำเป็น

หากผู้รุกรานโจมตีรัสเซียหรือพันธมิตร พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตอบโต้ ตามหลักคำสอนดังกล่าว

การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์มุ่งเป้าไปที่รัฐและพันธมิตรทางทหารที่มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม รวมถึงการจัดหาทรัพยากรหรือดินแดนสำหรับการรุกราน

การรุกรานโดยรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐนิวเคลียร์จะถือเป็นการโจมตีร่วมกัน ในขณะที่การรุกรานของกลุ่มพันธมิตรทางทหารใดๆ จะถูกมองว่าเป็นการกระทำร่วมกันของกลุ่มนี้ 

ภัยคุกคาม

รายการภัยคุกคามทางทหารที่รัสเซียจะตอบโต้ด้วยการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ประกอบด้วยอันตรายหลัก 10 ประการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาเอกสารฉบับปีค.ศ.2020 ที่มี 6 ประการ โดยที่น่าสังเกตมากที่สุดคือการมีอยู่ของศัตรูที่อาจติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์หรืออาวุธทำลายล้างสูงอื่นๆ

นอกจากนี้ยังรวมถึงการติดตั้งระบบขั้นสูง เช่น การป้องกันขีปนาวุธร่อนระยะกลางและระยะสั้น (medium- and short-range cruise missile) ขีปนาวุธนำวิถี ระยะกลางและระยะสั้น (medium- and short-range ballistic missiles) อาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่มีความแม่นยำสูง (high-precision non-nuclear) และอาวุธความเร็วเหนือเสียง (hypersonic weapon) และการโจมตีด้วยโดรน

การสะสมกำลังของต่างชาติ รวมถึงวิธีการจัดส่งนิวเคลียร์หรือโครงสร้างพื้นฐานทางทหารที่เกี่ยวข้อง ใกล้กับชายแดนรัสเซียก็ถูกกำหนดให้เป็นภัยคุกคามที่สำคัญเช่นกัน

นอกจากนี้ การติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ, ระบบต่อต้านดาวเทียม, และอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ถูกมองว่าเป็นอันตราย

รวมไปถึงการขยายพันธมิตรทางทหารและแนวทางโครงสร้างพื้นฐานไปยังชายแดนรัสเซียถือเป็นภัยคุกคามที่ชัดเจน ควบคู่ไปกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแยกดินแดน การทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นอันตราย การซ้อมรบขนาดใหญ่ใกล้ชายแดน และการแพร่กระจายของอาวุธทำลายล้างสูงอย่างไม่มีการตรวจสอบ

การตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์

การตัดสินใจในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียนั้นสามารถพิจารณาได้จากเงื่อนไขหลายประการ รวมถึงการยิงขีปนาวุธใส่รัสเซียหรือพันธมิตร การใช้อาวุธทำลายล้างสูงต่อรัสเซียหรือดินแดนพันธมิตร และการโจมตีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญของรัฐหรือทางทหาร ที่จะขัดขวางการตอบสนองทางนิวเคลียร์ 

นอกจากนี้ยังรวมถึงการรุกรานตามแบบแผนที่คุกคามอธิปไตยต่อรัสเซียหรือเบลารุส เช่นเดียวกับการโจมตีด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่และขีปนาวุธข้ามพรมแดนรัสเซีย ถือเป็นเกณฑ์หนึ่งในการเปิดใช้งานการตอบสนองทางนิวเคลียร์

ประธานาธิบดีรัสเซียเป็นผู้ทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการใช้นิวเคลียร์ นอกจากนี้เขายังอาจแจ้งให้ประเทศอื่นๆ หรือหน่วยงานระหว่างประเทศทราบเกี่ยวกับความพร้อมหรือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นจริง

เซอร์เกย์ มาร์คอฟ (Sergey Markov) อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินกล่าวว่าหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับใหม่นี้ “ทำให้เงื่อนไขการใช้นิวเคลียร์ของรัสเซียเท่าเทียมกันกับสหรัฐฯ” เนื่องจากเกณฑ์การใช้อาวุธนิวเคลียร์ในประเทศตะวันตกต่ำกว่าในรัสเซีย โดยหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องพันธมิตรของตน ซึ่งจนถึงขณะนี้รัสเซียยังไม่ได้พิจารณาการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องพันธมิตรของตน โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ครั้งแรกในการปราศรัยของเขาเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2024 ในการประชุมป้องปรามด้วยนิวเคลียร์โดยอ้างถึง “ภูมิทัศน์ทางการทหารและการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” 

ซึ่งนายเซอร์เกร์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศรัสเซียออกมาแสดงความเห็นว่าชาติตะวันตกจะศึกษาหลักคำสอนทางนิวเคลียร์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ของรัสเซียอย่างรอบคอบ ในขณะที่นายดมิมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซียได้ออกมาเตือนว่าชาติตะวันตกจะรับฟังสัญญาณจากมอสโกอย่างจริงจังและได้โพสต์ลงในช่อง Telegram ของเขาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการตัดสินใจโจมตีขีปนาวุธของชาติตะวันตกที่ลึกเข้าไปในรัสเซียกับหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ฉบับใหม่ “การใช้ขีปนาวุธพันธมิตร (NATO) ในลักษณะนี้สามารถเข้าข่ายเป็นการโจมตีโดยกลุ่มประเทศในรัสเซียได้แล้ว ในกรณีนี้ มีสิทธิ์ที่จะโจมตีกลับด้วยอาวุธทำลายล้างสูงต่อเคียฟและฐานปฏิบัติการหลักของ NATO ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม และนี่คือสงครามโลกครั้งที่สามแล้ว

ซึ่งเราต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่าหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับใหม่นี้จะทำให้ฉากทัศน์สงครามระหว่างรัสเซียยูเครนจบลงหรือขยายความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับพันธมิตรนาโตต่อไปในอนาคต

‘ซุปเปอร์บอน’ ขึ้นแท่น!! แบรนด์แอมบาสเดอร์ ‘G-SHOCK’ สะท้อนไลฟ์สไตล์!! ฮีโร่นักสู้ ในงานเปิดตัวรุ่น GM-2110D

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ‘ซุปเปอร์บอน ซุปเปอร์บอนเทรนนิ่งแคมป์’ เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) เฉพาะกาล ได้รับเกียรติให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของแบรนด์นาฬิกาชื่อดัง  G-SHOCK รุ่นไอคอนิก G-STEEL GM-2110D Metal Series  (จี-สตีล จีเอ็ม-2110ดี เมทัล ซีรีส์) สี Sky Blue (สกาย บลู) ผ่านแคมเปญใหม่ ‘TOUGH LIKE YOU’ (ทัฟ ไลก์ ยู) โดยมีการจัดงานเปิดตัว ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ภายในงานได้รับเกียรติจาก มร.คิคุโอะ อิเบะ (Kikuo Ibe) วิศวกรผู้ออกแบบนาฬิกา G-SHOCK และ มร.ไซโตะ ชินจิ (Shinji Saito) ผู้จัดการทั่วไปและหัวหน้าฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ แผนกธุรกิจนาฬิกา มาร่วมให้รายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดการออกแบบนาฬิกาคอลเลกชันใหม่ พร้อมด้วย นายจิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน วัน แชมเปียนชิพ ประเทศไทย มาร่วมแสดงความยินดี 

‘ซุปเปอร์บอน’ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ล่าสุดของนาฬิกา G-SHOCK รุ่น G-STEEL GM-2110D Metal Series ได้เผยถึงความรู้สึกที่ได้เข้ามาร่วมงานกับทาง G-SHOCK ในครั้งนี้ว่า

G-SHOCK เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง เป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัยทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว G-SHOCK และดีใจมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสร่วมถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของ G-SHOCK ผ่านตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผม ซึ่งกว่าที่ผมจะมีวันนี้ก็ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก เผชิญกับความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง มีความคิดที่จะแขวนนวม แต่ด้วยใจสู้ เรียกว่า อึด ถึก ทนไม่ยอมแพ้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเลือดนักสู้ สามารถเป็นฮีโร่ในแบบฉบับของตัวเองได้ครับ

สำหรับ ‘ซุปเปอร์บอน’ ถือเป็นตัวอย่างของนักกีฬาระดับโลกที่เปี่ยมด้วยวินัย ความมุ่งมั่น และจิตวิญญาณแห่งนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ จนส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในเวทีระดับสากลมาอย่างยาวนานซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญล่าสุดจากทาง G-SHOCK อย่าง ‘TOUGH LIKE YOU’ ที่ต้องการสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความแข็งแกร่ง การมุ่งมั่นและทะเยอทะยานในการคว้าชัยชนะด้วยความไม่ย่อท้อของผู้สวมใส่ ผ่านดีไซน์การออกแบบที่โดดเด่นของซีรีส์นาฬิกาโลหะ และร่องรอยที่เกิดจากการใช้งานซึ่งแฝงไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ทาง G-SHOCK ประเทศไทย ยังร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรสนับสนุนการแข่งขันของ วัน แชมเปียนชิพ เพื่อสะท้อนคาแรกเตอร์ของ G-SHOCK ที่มีความเป็นสปอร์ต และทนทานอีกด้วย

ทั้งนี้ ‘ซุปเปอร์บอน’ กำลังจะมีคิวขึ้นชกไฟต์สำคัญ เพื่อลุ้นขึ้นแท่นเป็นเจ้าบัลลังก์ 2 กติกา ในศึกรีแมตช์ชิงแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต กับคู่ปรับเก่า ‘ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย’ เจ้าของเข็มขัดคนปัจจุบัน ในศึก ONE 170 ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ในวันศุกร์ที่ 24 ม.ค.68 เริ่มคู่แรก 19.30 น.

แฟนกีฬาชาวไทยสามารถจองบัตรเข้าชมในสนามผ่านทาง THAI TICKET MAJOR คู่แรกเริ่มเวลา 19.30 น. รับชมการถ่ายทอดสดทาง ช่อง 7HD กด 35 (ภาษาไทย) เริ่ม 20.30 น. 

รวมทั้งติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของศึกนี้ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ ONEFC.com อินสตาแกรม ONEChampTh และ TikTok ONEChampTH

เลือกตั้ง ‘ประธานาธิบดี’ ทำสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป เมื่ออเมริกาเปลี่ยนมือ กระทบ!! นโยบาย ‘เมียนมา’ ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อาจเดินหน้า สานสัมพันธ์

เมื่อไม่นานมานี้ ยูเครนได้ทำการโจมตีที่มั่นทางการทหารในรัสเซียตามที่อเมริกาส่งสัญญาณใช้อาวุธที่ทางนาโต้มอบให้จู่โจมรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีปูตินได้เคยประกาศกร้าวแล้วว่าใครทำแบบนี้จะถือว่าเป็นศัตรูกับรัสเซียและรัสเซียจะตอบโต้กลับอย่างไม่ปรานี

นี่เป็นคำสั่งท้าย ๆ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดนก่อนที่เขาจะหมดวาระในวันที่ 20 มกราคม 2568 นี้  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าการที่โจเลือกที่จะสั่งให้ยูเครนทำแบบนี้ก็เพราะต้องการสร้างความยากลำบากให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์

แต่ยูเครนไม่ใช่สงครามเดียวที่อเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะยังมีสมรภูมิอื่นที่ยังเดือดอยู่เช่นกัน แต่ 1 ในสมรภูมิเหล่านั้นคือสมรภูมิในเมียนมา

เป็นที่แน่ชัดเสียยิ่งกว่าชัดจากการที่อเมริกาเข้ามาแทรกแซงโดยให้การสนับสนุนทั้งเงินทุน อาวุธรวมถึงการฝึกทางยุทธวิธีให้แก่กองกำลังชาติพันธุ์ที่อยู่บริเวณชายแดนไทยและใช้ไทยเป็นที่มั่นในการนำเงินเข้ามาผ่านตัวแทนนายหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทย รวมถึงผ่านองค์กร NGO ต่างๆ รวมทั้งองค์กรที่มีการโฆษณาเปิดเผยว่าฝึกกองกำลังชาติพันธุ์ไว้ต่อต้านกองทัพรัฐบาลกลางของเมียนมาอย่าง Free Burma Ranger เป็นต้น นี่ยังไม่นับรวมพวกท่านทูตหัวทองที่ผลัดกันมาเยี่ยมเยียนเมืองชายแดนไทยติดเมียนมากันอย่างมิได้ขาดสายจนคนย่านนั้นเขารู้กันไปทั่ว

ประเด็นคือโจ ไบเดนจะปั่นให้ฝั่งเมียนมาลุกเป็นไฟอีกไหม เพราะดูจากนโยบายที่ทรัมป์ออกมาน่าจะส่งผลดีต่อเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาเม็ดเงินที่อเมริกาในยุคของโจ ไบเดน หยอดเข้ามาให้ทำสงครามก็ไม่สามารถพิชิตกองทัพเมียนมาได้อย่างเด็ดขาด จนบางทีไบเดนอาจจะไม่รู้ว่า กองกำลังชาติพันธุ์ในพม่าทำสงครามเป็นธุรกิจเช่นเดียวกัน

หากสถานการณ์ในเมียนมาสงบไปจนถึงวันที่ทรัมป์รับตำแหน่งมีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์จะพยายามกลับมารักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเมียนมาเพื่อเป็นการสกัดกั้นการขยายอำนาจของจีนมาสู่อ่าวเบงกอลมากกว่าเลือกที่จะสนับสนุนสงครามตัวแทนที่เห็นผลอยู่แล้วว่าไม่มีผลดีต่อสหรัฐเลยไม่ว่าด้านใด

เช่นเดียวกันหากปราศจากการอัดฉีดจากอเมริกาอำนาจของพรรคการเมืองในไทยบางพรรคที่ใช้ทุนจากตะวันตก หรือเหล่านายหน้าต่างด้าวที่เคยเป็นนายหน้าตัวกลางไซฟ่อนเงินก็อาจจะตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน

ยิ่งคนไทยตื่นรู้จักภัยคุกคามจากคนต่างด้าวกลุ่มนี้แล้วด้วย เราก็จะได้เห็นการแฉออกมาเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับฝ่ายการเมืองและกองทัพที่จะรักษาเสถียรภาพคนไทยอย่างไร

แฉ!! คุณหมอคนดัง หลอกลวงลงทุน หลายคนไว้ใจ!! เพราะดูน่าเชื่อถือ

(23 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Stapnavatr Vajira’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘หมอบุญ’ หรือ นายแพทย์บุญ วนาสิน หมอนักธุรกิจชื่อดัง โดยมีใจความว่า ...

การหลอกลวงครั้งนี้น่าจะเป็นการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี 2567 จำนวนเม็ดเงินที่เสียหายอาจไม่มากกว่าดิไอคอน น่าจะใกล้เคียงกัน แต่แบ๊คกราวนด์ของผู้หลอก ที่เคยเป็นทั้งแพทย์, อาจารย์แพทย์ จบถึงจอห์นฮ๊อปสกินส์ สหรัฐ เป็นถึงผู้ก่อตั้ง รพ.เอกชนแห่งแรก ๆ ของไทย เคยผ่านยุครุ่งเรืองสุดขีด 

ได้ยินว่าผู้เสียหาย หมอเป็นร้อยคน ส่วนใหญ่เอกชน มีแม้กระทั่งคนทำงานธนาคารจนวันเกษียณ เชื่อใจในชื่อเสียง เอาเงินทั้งครอบครัวหลายสิบล้านมาเท

ผมเองเบื้องหลังก็เคยถูกชักชวนไปลงทุนกับแก ตั้งแต่ช่วงต้นโควิด แต่ผมไม่สนใจแบ๊คกราวนด์ ไปค้นดูผลงานการลงทุนของคุณหมอบุญ ที่ก็ไม่ยากที่จะสืบ พบว่า ทั้งคอนโดผู้สูงอายุและรพ.เอกชนที่ลงทุนไปในช่วงเกือบสิบปีหลัง ถือว่าล้มเหลว ทุนจมไปเกือบหมื่นล้าน ผลตอบแทนกลับมาน้อยมาก ในมุมมองผม แกจะเคยเก่งอะไรมามากเพียงใด ไม่สนใจ ผมอยู่กับปัจจุบันครับ ช่วง 2566-2567 ยังเคยถูกคุณหมอคนหนึ่งแซะผมเล็กๆ ว่ากังวลเกินไป คุณหมอบุญ แกเป็นคนระดับไหนแล้ว

สรุปที่ผมเคยสรุปไว้ก่อนลงทุน ตีให้แตกเรื่องภูมิหลัง มองข้ามความสัมพันธ์เสมอ เพราะคนมาหลอก มาดีก่อนเสมอ อย่างกรณีหมอบุญ เห็นว่า มีคนหนึ่ง รู้จักกันมา 20 ปี อาชีพนายหน้า เจอหน้ากันเรื่อยๆ ดีกันมาตลอด โดนไปหมดตัวเป็นร้อยล้าน ปัจจัยที่สามคือ คนจะหลอก จะเอาผลประโยชน์อะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจ มาล่อ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top