Sunday, 6 October 2024
KnowledgeTimes

ธรรมเนียมล้าสมัย!! กระเทาะเปลือก​ ‘สินสอด’ ค่าของ​ 'คน'​ ทำไมต้องวัดด้วยเงินตรา? | Knowledge Times EP.12

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? ธรรมเนียมล้าสมัย!! กระเทาะเปลือก​ ‘สินสอด’ ค่าของ​ 'คน'​ ทำไมต้องวัดด้วยเงินตรา?

‘สินสอด’ เป็นธรรมเนียมที่มีมาช้านานในหลากหลายสังคมโลก รวมถึงเมืองไทยของเรา ซึ่งความแตกต่างของธรรมเนียมส่วนใหญ่ก็มักขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมนั้น ๆ โดยสินสอดบนโลกใบนี้ อาจจำแนกได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ ผ่านผู้รับและผู้จ่าย

- รูปแบบแรก ‘ฝ่ายชายเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้กับฝ่ายหญิง’ โดยไม่ได้จำกัดว่าผู้ที่รับจะต้องเป็นเจ้าสาวโดยตรง แต่อาจรวมไปถึงครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวที่ได้รับทรัพย์สินในส่วนนี้ด้วย 

- รูปแบบที่สอง ‘ฝ่ายหญิงเป็นผู้ให้ค่าตอบแทนแก่ฝ่ายชาย’ โดยมากแล้วทรัพย์สินที่ได้จากค่าตอบแทนผู้ที่รับจะเป็นฝ่ายชายโดยตรง

แต่เมื่อมองให้ลึกลงไปสินสอดต่าง ๆ เหล่านี้ มีความลึกซึ้งมากกว่าแค่การเป็นค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่สามารถสะท้อนผ่านความเป็นเศรษฐศาสตร์ ผ่าน 3 แนวคิดที่บอกถึงที่มาและหน้าที่ ของค่าตอบแทนการสมรสได้ดังนี้

แนวคิดแรกเพื่อชดเชยปัจจัยการผลิต โดยการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจ่ายค่าสินสอด เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของสังคมที่ให้ความสำคัญกับแรงงาน ซึ่งถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญของสังคมเกษตรกรรม เป็นเสมือนการจ่ายเพื่อชดเชยกำลังการผลิตที่ครอบครัวต้องสูญเสียไปในกรณีของครอบครัวฝ่ายหญิง เช่นในจีน และประเทศในกลุ่มแอฟริกา หรือชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการรับสมาชิกซึ่งไม่มีผลิตภาพเข้าสู่ครัวเรือนในกรณีของฝ่ายชาย

แนวคิดต่อมาเพื่อเป็นแรงจูงใจในตลาดคู่สมรส ซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่สมดุลของประชากรเพศหญิงและเพศชาย ทำให้ต้องมีการกำหนดสินสอดขึ้นเพื่อเป็นแรงจูงใจ 

แนวคิดสุดท้ายเพื่อให้ฝ่ายหญิงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ซึ่งสามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบจาก สินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิง และ ฝ่ายหญิงมอบให้ฝ่ายชาย 

โดย รูปแบบแรกสินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิง เป็นเหมือนหลักประกันให้กับหลังชีวิตแต่งงาน หากหย่าร้างหรือฝ่ายชายเสียชีวิต ฝ่ายหญิงจะได้นำทรัพย์สินจากส่วนนี้มาใช้ดำเนินชีวิตต่อได้

รูปแบบที่สองสินสอดที่ฝ่ายหญิงมอบให้ฝ่ายชาย มีขึ้นเพื่อใช้แสดงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของฝ่ายหญิง แต่จุดประสงค์แต่เดิม คือทรัพย์สินที่ครอบครัวฝ่ายหญิงมอบให้แก่เจ้าสาวเมื่อสมรส จากความต้องการแบ่งมรดกให้กับลูกสาว ก่อนที่บิดามารดาจะเสียชีวิต

แต่ด้วยบริบททางสังคมที่แตกต่างกันและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้วิถีชีวิตปรับเปลี่ยนไป แนวคิดทั้ง 3 รูปแบบ จึงอาจไม่สามารถอธิบายผ่านเศรษฐศาสตร์ได้ทั้งหมด

รวมไปถึงสังคมไทยในปัจจุบัน การเรียกสินสอดโดยครอบครัวฝ่ายหญิง “เพื่อเป็นค่าน้ำนม” และ “เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายชายสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวได้” อาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ทั้ง 3 ในข้างต้นเท่าไหร่นัก

โดยวัตถุประสงค์ในการเรียกสินสอดเพื่อเป็นค่าน้ำนม อาจคล้ายกับแนวคิดชดเชยปัจจัยการผลิต ที่มองว่าสินสอดคือส่วนที่มาชดเชยกำลังการผลิตที่ครอบครัวต้องสูญเสียไป แต่ในกรณีของค่าน้ำนม คือ การคิดจากต้นทุนการเลี้ยงดูฝ่ายหญิงมาตั้งแต่อดีต และผลผลิตที่ฝ่ายชายจะได้ในอนาคตทั้งในฐานะแรงงานหรือความพึงพอใจ 

อีกหนึ่งวัตถุประสงค์ของสินสอดในสังคมไทย มีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้คัดกรองสถานภาพทางสังคม รวมถึงประกาศสถานะทางการเงิน ความพร้อมของฝ่ายชายผ่านมูลค่าสินสอด และใช้สร้างกำแพงสำหรับกีดกันคู่แข่งอื่น ๆ ที่มีฐานะไม่เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายหญิง

จะเห็นได้ว่า ‘สินสอด’ เป็นธรรมเนียมที่อยู่ในทุกสังคมโลก แม้อาจดูเป็นเหมือนเครื่องมือในการวัดค่าความเป็นคนผ่านเม็ดเงิน แต่เมื่อมองลึกลงไป ‘สินสอด’ คือสิ่งที่สะท้อนสังคมและแสดงให้เห็นถึงความเป็นเศรษฐศาสตร์ ต้นทุน ผลผลิต ที่รวมไปถึงหลักประกันคุณภาพชีวิตเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจก้าวออกไปสร้างครอบครัวเป็นของตนเอง

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วิกฤตอินเดีย! ประชากรล้นประเทศ ดันนโยบาย 'มีลูกไม่เกินสอง’ >> ใครทำได้มีรางวัล ใครสวนกระแสเสียสิทธิ์รัฐ!! | Knowledge Times EP.11

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’ 
???? วิกฤตอินเดีย! ประชากรล้นประเทศ ดันนโยบาย 'มีลูกไม่เกินสอง’ ใครทำได้มีรางวัล ใครสวนกระแสเสียสิทธิ์รัฐ!!

จากข้อมูลเชิงสถิติชี้ว่า “อินเดีย” จะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกภายในปลายทศวรรษนี้ ทำให้รัฐใหญ่ ๆ บางรัฐของอินเดีย พยายามหาวิธีการสกัดกั้นการเติบโตของจำนวนประชากร ผ่านมาตรการจูงใจต่าง ๆ เพื่อเป็นรางวัลแก่คู่สามี-ภรรยาที่มีลูกไม่เกินสองคน

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมอินเดีย ขณะที่อีกมุมมองก็ดูจะให้ความสนใจ เพราะทุกวันนี้ประชากรที่เพิ่มสูง อาจส่งผลกระทบต่อวงกว้างต่ออินเดีย ทั้งปริมาณอาหารในประเทศ, การใช้ไฟฟ้า, สาธารณสุข และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอ จากปัญหาการเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากร

สำหรับข้อเสนอดังกล่าว มีรัฐอุตตรประเทศตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีฐานะยากจน มีประชากรกว่า 200 ล้านคน เป็นผู้เผยร่างกฏหมาย พร้อมทั้งสนับสนุน นโยบาย “มีลูกสองคน” โดยครอบครัวที่มีลูกสองคนจะได้รางวัลจากรัฐบาลในหลายรูปแบบ เช่น การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ รัฐช่วยแบ่งเบาค่าน้ำ-ค่าไฟ และโดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียว จะได้รับเงินสนับสนุนด้านการศึกษาจากรัฐ เงินช่วยเหลือด้านการดูแลสุขภาพ และการจ้างงาน

ขณะเดียวกันนโยบายดังกล่าว จะให้ผลสวนทางกับครอบครัวที่มีลูก 3 คน หรือมากกว่านั้น โดยจะไม่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล รวมทั้งได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เป็นสวัสดิการสังคม ทั้งยังสูญเสียสิทธิ์ทางการเมืองในรัฐนั้น ๆ ด้วย

สอดคล้องกับรัฐอัสสัม ที่กำลังพิจารณาใช้กฎกับครอบครัวที่มีลูก 3 คน หรือมากกว่านั้น ด้วยการห้ามให้พ่อแม่เข้ารับราชการ

ด้าน “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” ของอินเดีย กล่าวว่า “การที่ประชากรขยายตัวอย่างรวดเร็วสร้างความท้าทายใหม่ ๆ สำหรับชาวอินเดียในอนาคตหลากหลายรูปแบบ การมีประชากรจำนวนมาก ทำให้การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมชาวอินเดียที่ยากจน ไม่มีห้องน้ำใช้ ไม่มีไฟฟ้าในบ้าน ไม่มีบ้านจะอยู่ และไม่มีแม้แต่บัญชีเงินฝากของธนาคาร”

ด้านธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ คาดการณ์ว่าประชากรวัยทำงานของอินเดียที่มีอายุ 15 ปี และ 15 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 ล้านคนในทุก ๆ เดือน ไปจนถึงปี 2568 และเพื่อให้ตลาดแรงงานมีเสถียรภาพ อินเดียจำเป็นต้องสร้างงานปีละประมาณ 8 ล้านตำแหน่งงาน แต่ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นปัญหาในเรื่องนี้อย่างมาก

ขณะที่ ธนาคารกลางของอินเดีย คาดการณ์การเติบโตของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในเดือน มิถุนายน เหลือเติบโตที่ 9.5% สำหรับปีงบประมาณไปจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2565 จาก 10.5% ขณะที่อัตราการเจริญพันธุ์ของอินเดียโดยรวมอยู่ที่อัตรา 2.2 ในปี 2563 ลดลงมากจากอัตรา 6 ในปี 2503 ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนถึงอัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกที่ลดลงจาก 5.05 ในปี 2507 มาอยู่ที่ 2.4 ในปี 2562 แต่การลดลงของจำนวนประชากรของอินเดียเป็นการลดลงเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับจำนวนประชากรได้

ปัจจุบัน อินเดียมีประชากรประมาณ 1,380 ล้านคน เพิ่มขึ้น 145 ล้านคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,500 ล้านคน ภายในปี 2573 แซงหน้าจีนในฐานะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไปโดยปริยาย ตามการประเมินของสหประชาชาติ (UN)

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ชะลอรวยเศรษฐีจีน!! 'สีจิ้นผิง' เดินหน้า 'ควบคุมคนรวย' หวั่น!! เหลื่อมล้ำสังคมจีน ใต้นโยบาย 'มั่งคั่งร่วมกัน' | Knowledge Times EP.13

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
 ???? ชะลอรวยเศรษฐีจีน!! 'สีจิ้นผิง' เดินหน้า 'ควบคุมคนรวย' หวั่น!! เหลื่อมล้ำสังคมจีน ใต้นโยบาย 'มั่งคั่งร่วมกัน'

สัญญาณเตือนคนรวยในจีนจาก “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน เกิดขึ้นเมื่อผู้นำจีนเตรียม “เบรกรายได้ที่มากเกินไปของคนรวยในประเทศ” เพื่อคอยเตือนชนชั้นสูงของประเทศเหล่านี้ว่า พวกคุณกำลังสร้างความไม่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม “สี จิ้นผิง” กล่าวในการประชุมคณะกรรมการการเงินและเศรษฐกิจกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า รัฐบาลจะสร้างระบบ เพื่อกระจายความมั่งคั่ง จากคนร่ำรวยในประเทศไปสู่ทุกชนชั้น เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม โดยรัฐบาลจำเป็นต้องควบคุมรายได้ที่สูงเกินไปอย่างสมเหตุสมผล และกระตุ้นให้ผู้ที่มีรายได้สูงและบริษัทต่าง ๆ รู้จักตอบแทนสังคมให้มากขึ้น

เรื่องนี้ถูกพูดถึงภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “มั่งคั่งร่วมกัน” ของจีน หลังจากมีรายงานความไม่พอใจภายในคณะกรรมการกลางของพรรคฯ เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีหน้าใหม่ ในหลายภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยีไปจนถึงการศึกษา

ทันทีที่แนวนโยบายดังกล่าวถูกพูดถึง บริษัทเกมและโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent ที่มีการรายงานผลกำไรไตรมาสสองเพิ่มขึ้น ได้กล่าวว่า จะขยายส่วนงานคืนกำไรให้สังคมมากขึ้น โดย “โพนี หม่า” ผู้บริหารระดับสูงของ Tencent กล่าวว่า “บริษัทอยู่ในธุรกิจเพื่อช่วยเหลือสังคมในวงกว้าง ซึ่งเราจะปรับใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของบริษัทในการช่วยธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง บริการสาธารณะ และองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น”

ทั้งนี้หากย้อนไปในเดือน พฤศจิกายน 2020 หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของจีน ที่ดูแลไม่ให้เกิดการผูกขาดธุรกิจพยายามขัดขวางไม่ให้ บริษัท เทคโนโลยี Ant ซึ่งถือหุ้น 33% โดย Alibaba ได้ทำธุรกิจในเซี่ยงไฮ้และฮ่องกง จาก “แจ็ก หม่า” หนึ่งในนักธุรกิจจีนที่ร่ำรวยอย่างมากรายหนึ่งของโลก และมีรายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามที่จะเข้าไปควบคุมเหล่าผู้นำบริษัทที่เป็นมหาเศรษฐีเกือบทุกสัปดาห์ เพราะธุรกิจเหล่านี้ กำลังนำวิถีทางแห่งจีนออกนอกกรอบ และนำความคิดทุนนิยมแบบตะวันตกเข้ามาครอบงำคนในประเทศ

ทั้งนี้ ภาคเอกชนและความมั่งคั่งของประเทศจีน ถือว่าเติบโตไว โดยในปี 2019 จำนวนมหาเศรษฐีชาวจีนสามารถแซงหน้าชาวอเมริกันได้เป็นครั้งแรก 

ตามรายงานของ Hurun Global Rich List 2021 ที่เผยแพร่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าจีนแซงหน้าสหรัฐฯ ด้วยการเป็นประเทศแรกของโลกที่มีมหาเศรษฐีพันล้านมากกว่า 1,000 คน โดยในปี 2020 จีนมีมหาเศรษฐีพันล้าน 1,058 คน ขณะที่สหรัฐฯ มี 696 คน และจากจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่ทั้งหมด 610 คนจากทั่วโลกนั้นมาจากประเทศจีนถึง 318 คน และจำนวนเศรษฐีเงินล้านในจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 92.7% คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 10.17 ล้านคนภายในปี 2025

จากตัวเลขอาจจะดูเป็นเรื่องดี แต่สำหรับผู้นำจีนแล้ว นี่เป็นจุดเริ่มต้นถึงการสะท้อนช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน หรือ คนชนบทและคนเมืองในจีนที่มากขึ้น จนเป็นชนวนเหตให้ผู้นำจีนกล่าวว่า "เป็นสิ่งที่ต้องการแก้ไข" เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อเกิดรายได้ เกิดความร่ำรวย เกิดเศรษฐี ความฟุ้งเฟ้อและความอยากได้อยากมี ที่เป็นสิ่งสวนทางกับความอดออมตามหลักดำเนินชีวิตของวิถีชาวจีนก็จะค่อย ๆ หายไป

อย่างไรก็ดี สื่อไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า “สี จิ้นผิง” จะบรรลุเป้าหมาย “มั่งคั่งร่วมกัน” นี้ด้วยวิธีการเช่นไร เพียงแต่ระบุว่ารัฐบาล อาจนำระบบภาษี หรือวิธีอื่นมาใช้เพื่อกระจายรายได้ และความมั่งคั่งให้เกิดแก่ทุกชนชั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องตามติดกันต่อไป

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มาดใหม่ ‘ตอลิบาน’!! ปรองดองนานาชาติ สิทธิสตรีเบ่งบาน ใต้เงากฎหมายอิสลาม! | Knowledge Times EP.14

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’ 

????มาดใหม่ ‘ตอลิบาน’!! ปรองดองนานาชาติ สิทธิสตรีเบ่งบาน ใต้เงากฎหมายอิสลาม! 

นับจากการเข้าบุกยึดครองกรุงคาบูลสำเร็จ กลุ่มตอลิบานได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกโดยมีประเด็นที่น่าสนใจที่ทั่วโลกจับตามอง ทั้งเรื่องของการเคารพสิทธิสตรีภายใต้กรอบกฎหมายอิสลาม และพวกเขาต้องการความสัมพันธ์ที่สงบสุขกับประเทศอื่น ๆ

โดยโฆษกของกลุ่มตอลิบานได้กล่าวถึงประเด็นของสิทธิสตรีในอัฟกานิสถานว่า สตรีชาวอัฟกัน จะได้รับอนุญาตให้ทำงาน เข้าเรียน รวมถึงการเคลื่อนไหวในสังคม แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายอิสลาม

โดยรายละเอียดในเรื่องการมอบสิทธิสตรียังไม่เป็นที่ชัดเจนมากนัก รวมถึงการกำหนดการแต่งกายของสตรีอัฟกัน อย่างไรก็ตามโฆษกของกลุ่มตอลิบานได้เน้นย้ำว่า พลเมืองอัฟกานิสถานทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในกรอบธรรมเนียมของศาสนาอิสลาม

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ภายใต้กรอบกฎหมายอิสลามนั้นเปิดกว้างถึงเพียงไหน? เมื่อย้อนกลับไป ในยุคกลุ่มตอลิบานปกครองอัฟกานิสถานในปี 1996-2001 พวกเขาได้นำกฎหมายชารีอะห์ของอิสลามมาใช้

ส่งผลให้สตรีไม่มีสิทธิทำงาน เด็กผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียน นอกจากนี้ สตรีในอัฟกานิสถานยังต้องสวมผ้าคลุมแบบอิสลามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าโดยเว้นเพียงดวงตาเมื่ออยู่นอกบ้าน และจะออกข้างนอกได้ก็ต่อเมื่อมีญาติผู้ชายอยู่ด้วยเท่านั้น

ในอีกประเด็นที่สำคัญจากแถลงในครั้งนี้ คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน โดยเฉพาะชาวอัฟกันที่ทำงานให้กับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกที่กลัวว่าจะถูกแก้แค้น ซึ่งโฆษกตอลิบานได้ประกาศนิรโทษกรรมให้และระบุว่าจะไม่มีใครได้รับอันตราย

ส่วนในระดับนานาชาติที่เกรงกันว่า อัฟกานิสถานจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มก่อการร้ายอีกครั้งนั้น โฆษกตอลิบานย้ำว่า จะไม่ยอมให้ใครใช้อัฟกานิสถานเพื่อก่อการร้ายและจะไม่ให้ใครใช้แผ่นดินนี้ไปทำร้ายประเทศอื่น

ในขณะที่ 'อับดุล กานี บาราดาร์' หนึ่งในแกนนำและผู้ก่อตั้งกลุ่มตอลิบาน ได้เดินทางกลับมายังอัฟกานิสถานเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยก่อนหน้านี้ เขาถูกจับกุมในปี 2010 และได้รับการปล่อยตัวในปี 2018 เพื่อให้เขามีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ

แม้ว่าจะมีการออกมาแถลงและให้คำมั่นสัญญาของกลุ่มตอลิบาน แต่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกยังคงเดินหน้าเปิดเที่ยวบินอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตและพลเรือนอีกครั้ง หลังเกิดเหตุชุลมุนที่สนามบินคาบูล โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่า เที่ยวบินของกองทัพสหรัฐฯ อพยพชาวอเมริกันออกจากกรุงคาบูลได้ราว 1,100 คน

ซึ่งดูเหมือนว่าการออกมาให้คำมั่นสัญญาของกลุ่มตอลิบานในครั้งนี้ ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวอัฟกานิสถานและนานาชาติ ได้มากพอ เพราะนอกจากนี้ยังมีประชาชนชาวอัฟกันจำนวนมากพยายามเดินทางออกจากอัฟกานิสถาน

ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษระบุว่า พวกเขาตกลงที่จะจัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือจี 7 ในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์และแนวทางร่วมกันต่ออัฟกานิสถาน

การบุกยึดครองกรุงคาบูลของกลุ่มตอลิบานในครั้งนี้ ดูจะสร้างความหวาดหวั่นในกับชาวอัฟกันและนานาชาติได้ไม่น้อย และต้องรอติดตามกันต่อไปว่าคำมั่นสัญญาในครั้งนี้จะเป็นกลุ่มตอลิบานโฉมใหม่ที่ไม่สร้างประวัติศาสตร์นองเลือดเหมือนครั้งก่อน ๆ 

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘เดลตา’ มหาโหด!! วัคซีนเอาไม่อยู่ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ = ‘ยิ่งเป็นไปไม่ได้’ | Knowledge Times EP.15

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
 ????‘เดลตา’ มหาโหด!! วัคซีนเอาไม่อยู่ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ = ‘ยิ่งเป็นไปไม่ได้’

นักจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยฮ่องกง ชี้! วัคซีนโควิด-19 ที่มีในปัจจุบันท่ามกลางการระบาดของสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ทำให้เราไม่สามารถสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่" (Herd Immunity) ได้อีกต่อไป

“หยวนกั๋วหย่ง” นักจุลชีววิทยาและทีมวิจัยมหาวิทยาลัยฮ่องกง ระบุบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์หมิงเป้า (Ming Pao) ว่า เกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากสายพันธุ์เดลตายังสามารถทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้อยู่ ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 อยู่ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ภูมิคุ้มกันหมู่สามารถสร้างขึ้นได้หาก 70% ของประชากรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ แต่จากการคำนวณล่าสุด ทีมวิจัยพบว่า เกณฑ์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 97.4% แล้ว เมื่อเจอกับสายพันธุ์เดลตา

นั่นหมายความว่า ประเทศที่ต้องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ท่ามกลางสายพันธุ์เดลตาด้วยวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ จะต้องฉีดวัคซีนให้ประชากรถึง 97.4% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งตัวเลขนี้ คิดจากกรณีประสิทธิภาพป้องกันต่อสายพันธุ์เดลตาของไฟเซอร์อยู่ที่ 88% แต่ในบางประเทศก็รายงานประสิทธิภาพไฟเซอร์ลดลงเมื่อเจอเดลตา ซึ่งอาจหมายความว่า “ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่มีในปัจจุบันให้ประชากรกี่คน ก็อาจไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ต่อสายพันธุ์เดลตาให้เกิดขึ้นได้”

ขณะเดียวกัน เมื่อคำนวณประสิทธิภาพการใช้วัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค ซึ่งมีอัตราประสิทธิภาพประมาณ 60% พบว่า อัตราการฉีดวัคซีนที่จำเป็นสำหรับสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 142.9% ของจำนวนประชากร ซึ่งเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” !! 

เมื่อการฉีดวัคซีนให้ได้มากกว่า 100% เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่กลับกันไวรัสยังคงกลายพันธุ์และแพร่เชื้อได้มากขึ้น จนทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จึงเหมือนการพยายามสร้างปราสาทบนท้องฟ้า และสะท้อนให้เห็นว่าวัคซีนรุ่นแรกไม่ดีพออีกต่อไป 

ฉะนั้น จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการจัดการกับระยะต่าง ๆ ของการระบาด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันเป็น 0 และผลักดันให้เกิดการใช้ชีวิตร่วมกับไวรัส โดยทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีน จากนั้นค่อยมาหารือถึงแนวทางการใช้ชีวิตร่วมกับไวรัสต่อไป

แต่หากอัตราการฉีดวัคซีนยังต่ำ ก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดถึงมาตรการต่อต้านการแพร่ระบาดที่ควรนำมาใช้ในระยะต่อไป

ด้าน ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้โพสต์ข้อความถึงการศึกษาดังกล่าวว่า “นี่เป็นการคำนวณของทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง เพื่อหาค่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับวัคซีนแต่ละชนิด เพื่อให้ได้ภูมิคุ้มกันหมู่ต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งภูมิคุ้มกันหมู่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากวัคซีนและไวรัสที่มีอยู่ในปัจจุบัน...วัคซีนช่วยให้เราไม่ป่วยหนัก ส่วนเรื่องการป้องกันการติดเชื้อเราต้องช่วยวัคซีนทำงานด้วยการป้องกันตัวเอง

“หลักการของภูมิคุ้มกันหมู่ คือ ไวรัสจะถูกตัดตอนเมื่อเชื้อเข้าไปสู่คนที่มีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน เพราะไม่สามารถแพร่กระจายต่อให้คนอื่นได้สำหรับเดลตาและวัคซีนที่มีอยู่ตอนนี้ คนฉีดวัคซีนติดเชื้อได้และมีปริมาณไวรัสพร้อมส่งต่อให้คนอื่น ๆ ไม่น้อยกว่าไปกว่าคนที่ไม่ได้รับวัคซีน ภูมิคุ้มกันหมู่ในนิยามนี้คงไม่เกิดขึ้น วัคซีนช่วยให้เราต่อสู้กับโควิด-19 ที่รุนแรงได้ แต่คงไม่ช่วยให้เราปลอดจากโควิด-19 ได้”

ดังนั้นต้องเร่งฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิต 

แม้วัคซีนสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ แต่ไม่สามารถหยุดการแพร่กระจายของไวรัสได้ ไม่ว่าจะมีอัตราการฉีดวัคซีนกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

เกมปั่นหัว!! สะเทือน​ 'พญามังกร'​ เมื่อ​ ‘สหรัฐฯ’ ปักหมุด ‘เวียดนาม’ ปั่นหัว​ 'ชาติอาเซียน'​ สร้างรอยร้าว​กับจีน​ | Knowledge Times EP.16

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
????เกมปั่นหัว!! สะเทือน​ 'พญามังกร'​
เมื่อ​ ‘สหรัฐฯ’ ปักหมุด ‘เวียดนาม’ ปั่นหัว​ 'ชาติอาเซียน'​ สร้างรอยร้าว​กับจีน​ 

การมาเยือนภูมิภาคอาเซียน​ โดยเฉพาะกับล่าสุดที่ประเทศเวียดนามของรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 'กมลา แฮริส' นั้น​ ดูจะเต็มไปด้วยนัยยะทางการเมืองอย่างเปิดเผย

โดยท่าทีของสหรัฐฯ​ ผ่านรองผู้นำ​ กมลา ในขณะนี้​ ชัดเจนกับการเดินเกม​ เพื่อหวังสกัดอิทธิพลของจีนในน่านน้ำทะเลจีนใต้ อย่างจริงจัง

รายงานจากหนังสือพิมพ์ไชนา เดลี ได้กล่าวถึงการมาเยือนของแฮร์ริส ในอาเซียนหนนี้ว่า​ แท้จริงแล้ว​ เป็นแผนความพยายามสร้างรอยร้าว ระหว่างจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยใช้กล่าวหารัฐบาลจีนว่า​ กำลังบีบบังคับและข่มขู่ให้ประเทศเหล่านี้สนับสนุนการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ของจีน

ฉะนั้นฟากสหรัฐฯ เอง​ จึงพยายามหยิบประเด็นดังกล่าวมาผลักดันให้บางชาติในอาเซียนเข้าร่วมกับ สหรัฐฯ เพื่อต่อต้านจีน

โดยมีคำกล่าวปราศัย​ของ แฮร์ริส ที่เกิดขึ้นถึง​ 2​ ครั้ง​ ทั้งในการเยือนเวียดนาม​ และ​สิงค์โปร์​ เป็นตัวตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลของนายโจไบเดนที่ต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจีนว่า... 

"พวกเราจะต้องหาทางกดดัน และต้องยกระดับการกดดันรัฐบาลปักกิ่งให้มากขึ้นไปอีก เพื่อให้จีนรู้จักเคารพกฎหมาย และข้อตกลงเรื่องสิทธิ์ทางทะเลขององค์การสหประชาชาติ เราต้องรวมตัวกันต่อต้านการกดขี่ และรุกรานทางทะเลอย่างแข็งกร้าวของจีน”

สอดคล้องกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาที่ “แอนโธนี บลิงเคน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานวิสัยทัศน์ด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศที่มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับจีน

สำหรับการมาเยือนอาเซียนของ แฮร์ริส และการปราศรัยทั้ง​ 2​ ครั้ง​ มีความน่าสนใจคู่ขนาน เพราะนอกจากจะเป็นการส่งสัญญาณถึงประเทศในย่านทะเลจีนใต้ที่มีข้อพิพาททางทะเลกับจีนอย่างชัดเจนว่า​ หากใครไม่พอใจจีน​ต้องต้านแล้วนั้น​ ทางสหรัฐฯ​ เอง​ ก็พร้อมเข้ามาเป็นผู้หนุนหลังให้อย่างเต็มที่

และดูเหมือนยุทธศาสตร์นี้จะเป็นผล​ เมื่อท่าทีที่เอนเอียงของหลายประเทศคู่พิพาทกับจีน​ เช่น เวียดนาม, บรูไน, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน เกิดขึ้น​ โดยที่สหรัฐฯ ใช้เครื่องมืออย่าง ‘วัคซีน’ มาเป็นตัวกระชับมิตร​ เพื่อหาพวกต้านจีนอย่างเปิดเผย

โดยทันทีที่ชาติใดบรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะได้รับการบริจาควัคซีน Pfizer​ เช่น​ กรณีเวียดนามที่ได้รับ Pfizer 1 ล้านโดส บินตรงจากสหรัฐฯ ถึงมือรัฐบาลเวียดนามทันทีภายใน 24 ชั่วโมง เป็นต้น

อีกทั้งยังเปิดศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐฯ (CDC) ที่กรุงฮานอยเพื่อเป็นศูนย์การประสานงานด้านการควบคุมโรคระบาดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด แถมยังบริจาคเงินให้กองทุนวัคซีนอีก 5 แสนดอลลาร์

นอกจากนี้ยังมีการทุ่มงบถึง 1.2 พันล้านเหรียญ เพื่อทำโครงการสร้างสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงฮานอยแห่งใหม่ โดยมีสัญญาเป็นระยะเวลากว่า 99 ปี อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม​ เกมการมาเยือนของรองผู้นำสหรัฐฯ และสั่นสะเทือนความคิดชาติอาเซียนครั้งนี้​ แสดงให้เห็นถึงความต้องการแทรกกลางระหว่าง​ 2​ มหาอำนาจอย่างจีนกับรัสเซีย​ ที่ระยะหลังพยายามแนบชิดกับประเทศในภูมิภาคนี้เพื่อประโยชน์ในอนาคต

โดยการเลือกเวียดนามเป็นฐานทัพของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะรู้จุดอ่อนของเวียดนามที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้อำนาจของจีน​

ขณะที่ถ้อยแถลงของ กมลา แฮริส ทั้ง​ 2​ ครั้ง​นั้น​ ทางสื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า​ เป็นการกระตุ้นประเทศย่านอาเซียนออกมา "Call Out" เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีนแบบชัดเจน​ ซึ่งจะเป็นการสร้างพันธมิตรสหรัฐฯ​ ให้เพิ่มพูนมากขึ้นไปในเวลาเดียวกัน

และนี่คือการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ในการชิงพรรคพวก​ ด้วยแผนศัตรูของศัตรู​ คือ​ มิตรที่ต้องจับตากันต่อไป

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ห้ามเด็กเล่นเกมเกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แผนพัฒนาคุณภาพเด็กรุ่นใหม่ของรัฐบาลจีน | Knowledge Times EP.17

???? รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘Knowledge Times’
???? ห้ามเด็กเล่นเกมเกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ : แผนพัฒนาคุณภาพเด็กรุ่นใหม่ของรัฐบาลจีน

รัฐบาลจีนออกคำสั่งตรงถึงผู้ให้บริการเกมออนไลน์ในจีน โดยจำกัดการเข้าถึงผู้เล่นเกมที่เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้เล่นเกมได้ในช่วงเวลา 2-3 ทุ่ม เฉพาะวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าเด็กจีน สามารถเล่นเกมออนไลน์ได้เพียง 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนมีนโยบายจำกัดการเล่นเกมออนไลน์ของเยาวชน เพราะก่อนหน้านี้ ในปี 2019 จีนได้ออกระเบียบที่ระบุว่าเยาวชนไม่ควรเล่นเกมเกินวันละ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อป้องกันปัญหาการติดเกมในเยาวชน โดยเปรียบการเล่นเกมมาก ๆ นั้น ก็เหมือนกับการติดยาเสพติดทางจิตใจที่จะส่งผลเสียต่อเด็กทั้งสุขภาพทางกาย และสุขภาพจิตอย่างมากในอนาคต

โดยกฎเหล็กนี้ ผู้สมัครใช้บริการเกมออนไลน์ จะต้องลงทะเบียนด้วยชื่อจริง และข้อมูลจริงเท่านั้น อีกทั้งยังจำกัดวงเงินในการเติมเกมสำหรับผู้เล่นเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี ให้ใช้ได้ไม่เกิน 200 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1,000บาท/เดือน) หากอายุ 16-18 ปี ให้ใช้ได้ไม่เกิน 400 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 2,000 บาท/เดือน) โดยทางการจีนจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบระบบผู้ให้บริการออนไลน์อยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่า มาตรการใหม่นี้จะมีการบังคับใช้จริงอย่างเคร่งครัด

สำหรับในประเทศไทยเด็กและวัยรุ่น ร้อยละ 5 อยู่ในภาวะติดเกม หรือใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมอย่างหนัก ซึ่งมีอัตราที่สูงกว่าประเทศฝั่งยุโรป ที่มีปัญหาเด็กติดเกมอยู่เพียงร้อยละ 1 ส่วนสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ร้อยละ 2

โดย รศ.นพ.ชาญวิทย์ อนุกรรมการการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วง คือ อายุของเด็กที่เริ่มติดเกมในประเทศไทย มีอายุลดน้อยลงเรื่อย ๆ จากปี 2543 ที่เป็นกลุ่มระดับอุดมศึกษาปีที่ 1 - 2 แต่ปัจจุบันพบเด็กติดเกมเริ่มตั้งแต่ ป.4 - ป.6 

ซึ่งหากเด็กในช่วงวัยดังกล่าวติดเกม จะกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษา ด้านกล้ามเนื้อ การคิดวิเคราะห์ การควบคุมตนเอง หรือความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่จะลดน้อยลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม คำสั่งของรัฐบาลจีนในการจำกัดช่วงเวลาเล่นเกมครั้งนี้ น่าจะทำให้หลาย ๆ ประเทศกลับมามองอนาคตของชาติที่จะได้รับผลกระทบจากการติดเกมที่เกินเหตุมากขึ้น 

แต่แน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมสร้างผลกระทบแก่ผู้ให้บริการเกมออนไลน์รายใหญ่ โดยเฉพาะในจีนอย่าง บริษัท Tencent และ NetEase ซึ่งทันทีที่มีมาตรการเข้มดังกล่าวออกมา ก็ทำให้หุ้นของทั้ง 2 บริษัท ร่วงลงทันทีที่รัฐบาลจีนออกมาตรการจำกัดการเล่นของผู้ใช้งานกลุ่มเยาวชน ที่เชื่อว่ามีมากกว่า 110 ล้านคนทั่วประเทศ 

นโยบายนี้ของจีน ได้ถูกวิเคราะห์กันว่า มีความเชื่อมโยงไปถึงนโยบายของรัฐบาลจีน ที่ต้องการตัดตอนบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยี ที่มีเครือข่ายผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์จำนวนมหาศาลในจีน อย่างเช่น Alibaba, Tencent, Baidu ไป่ตู้, Didi ตีตี หรือ Meituan เหม่ยถวน ไม่ให้มีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในจีนมากเกินไป 

นี่อาจจะเป็นแผนการวางรากฐานใหม่ให้เยาวชนจีน ที่แม้จะดูเหมือนลิดรอนเสรีภาพ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตรการหลาย ๆ อย่าง เพื่อส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพเยาวชนจีนรุ่นใหม่ควบคู่กันไปอย่างสมเหตุสมผล เช่น ยกเลิกระบบการสอบในชั้นเรียนของเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี เพื่อลดความกดดันในการสอบแข่งขันตั้งแต่ในวัยเด็ก 

เปิดนโยบาย งดการเรียน-การสอน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ห้ามธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และต้องจดทะเบียนบริษัทในรูปแบบองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง เพื่อให้เด็กได้เรียนอย่างเต็มที่ในชั้นเรียน และมีเวลาว่างเหลือให้ใช้ร่วมกับครอบครัวในวันหยุด

นโยบายเพื่อเด็กจีนสุดดุเหล่านี้จะช่วยพัฒนาคุณภาพของเด็กจีนในอนาคตได้แค่ไหน คงต้องมาตามดูกันต่อไป

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

'แซม แบงก์แมน-ฟรายด์'​ มหาเศรษฐีแสนล้านในวัย 29 ผู้สะเทือนวงการโลกการเงินดิจิทัล! | Knowledge Times EP.18

????Knowledge Times BizView
????'แซม แบงก์แมน-ฟรายด์'​ มหาเศรษฐีแสนล้านในวัย 29 ผู้สะเทือนวงการโลกการเงินดิจิทัล!

หนทางพิสูจน์ม้า​ กาลเวลาพิสูจน์คน​ อาจจะใช้ไม่ได้กับ​ มหาเศรษฐี​แสนล้าน วัย​ 29​ อย่าง​ “แซม แบงก์แมน-ฟรายด์” ผู้ทรงอิทธิพล แห่งวงการคริปโตเคอร์เรนซี ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี​ สะสมประสบการณ์และสร้างความมั่งคั่งจากช่องโหว่ของวงการเงินดิจิทัล

แซม เป็นเด็กหนุ่มชาวอเมริกันผู้มีความสนใจในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เขาสามารถเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง MIT ในสาขาวิชาฟิสิกส์ 

เขาได้มีโอกาสฝึกงานเป็นนักพัฒนาโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ หรือ “Quantitative Trading”

และดูเหมือนการฝึกงานในครั้งนี้​ จะพาเขาก้าวเข้ามาสู่โลกแห่งการเงินแบบถอนตัวไม่ออก... 

เมื่อแซมจบการศึกษา เขาก็มุ่งหน้าเอาดีทางด้านนี้ โดยเข้าทำงานที่ Jane Street Capital ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจ Quantitative Trading โดยเฉพาะ 

นอกจากนี้​ บริษัทดังกล่าว​ ก็ยังมีอีกธุรกิจ นั่นก็คือ “Liquidity Provider” หรือผู้ให้บริการเสริมสภาพคล่องของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อควบคุม Bid Offer หรือราคาซื้อขายสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพ

3​ ปีในบริษัทแห่งนี้​ ช่วยทำให้เขาเข้าใจโลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสูง

สูงเสียจน​ ประสบการณ์ที่ได้มาจากการทำงานนั้น​ แซมเข้าใจถึงไส้ในของคริปโตฯ​ โดยในปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่คริปโตฯ​ กำลังเป็นที่จับตามองของคนทั่วโลกนั้น เขาได้เข้าไปหาโอกาสโดยทันที

แซมทำยังไง? 
แซมเห็นช่องโหว่จากพื้นฐานและระบบที่รองรับนักลงทุน

เขามองเห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบที่จะมารองรับนักลงทุนในตลาดแห่งนี้ ยังไม่มีศักยภาพมากพอ

โดยเฉพาะเมื่อมีนักลงทุนให้ความสนใจในคริปโตฯ​ เกินกว่าสภาพคล่องทั้งระบบจะรับไหว 

มักจะเกิด​ 'ส่วนต่าง'​ ระหว่าง​ 'ราคารับซื้อ'​ และ 'ราคาเสนอขาย' หรือที่เรียกว่า​ Spread อย่างมาก

ทันทีที่เขาเห็นภาพของส่วนต่างด้านราคานี้​ จึงคาดการณ์ว่าธุรกิจให้บริการเสริมสภาพคล่องรวมถึงโมเดลการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลนี่แหละจะเติบโตไปได้อีกมากในอนาคต

เขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Alameda Research ขึ้นทันที ในปี 2017

Alameda Research เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากประสบการณ์การทำงานของแซม

ที่บอกแบบนี้ก็เพราะว่าบริษัทดำเนินธุรกิจเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยทำแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโมเดลคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าหรือการให้บริการเสริมสภาพคล่อง

โดยสิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียว ก็คือ Alameda Research จะโฟกัสไปที่สินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ

และสิ่งที่แซมคาดการณ์ไว้ก็เป็นไปตามนั้น เพราะในเวลาต่อมา คริปโตฯ​ ได้กลายมาเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจสูงมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน​ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและให้บริการด้านสภาพคล่องในตลาดแห่งนี้​ ยังหาได้ยาก!! 

ทำให้ Alameda Research ของแซม​ ที่นาทีนี้เริ่มมีความพร้อมทั้งด้านการลงทุนและให้บริการสภาพคล่อง​ จึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ มีสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การจัดการ สูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท

หลังจาก Alameda Research สำเร็จ ด้วยความที่เป็นนักเทรดอยู่แล้ว แซมจึงได้มองไปที่การต่อยอดธุรกิจ Exchange เพื่อซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่เป็นของตัวเองอีกด้วย

โดย แซม ได้ร่วมมือกับ แกรี่ หวัง ก่อตั้งบริษัท “FTX” ธุรกิจ Exchange ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี

และแน่นอนว่า​ ด้วยความที่เขาคลุกคลีกับการลงทุนตั้งแต่สมัยฝึกงาน จึงทำให้เขาออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเรียกได้ว่าซับซ้อน ลงบนแพลตฟอร์มแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น... 

- Options สิทธิ์ในการซื้อหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี
- Leveraged Token โทเคนแบบมีอัตราทด ที่อ้างอิงตามมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล
- Volatility Products อนุพันธ์ที่อิงตามความผันผวนของตลาด

ส่งผลให้ ปัจจุบัน​ FTX มีมูลค่าการซื้อขายถึงราว 4.6 แสนล้านบาทต่อวัน

แซมยังไม่หยุด​ เขาได้สร้างเหรียญเป็นของตัวเอง ชื่อว่า FTX Token หรือ FTT ที่พัฒนาขึ้นให้เป็นเหรียญประจำ Exchange คล้ายกับ Binance Coin บน Binance หรือ Bitkub Coin บน Bitkub ซึ่งผู้ถือครอง FTT ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ​ อาทิ จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหรือนำไปฝากไว้กับระบบเพื่อรับผลตอบแทน 

ปัจจุบัน FTX ได้รับการประเมินมูลค่ากิจการอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.9 แสนล้านบาท 

โดยแซม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของ มีทรัพย์สินอยู่กับตัวมากถึง 2.8 แสนล้านบาท​ ส่งเจ้าตัวเข้าสู่มหาเศรษฐีอันดับที่ 274 ของโลก​ และถูกยกให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการคริปโทเคอร์เรนซี 

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ​ แซม​ ที่ปัจจุบันมีอายุ 29 ปี...

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ลงแขกอัฟกา​นิสถาน ศึกชิงผลประโยชน์จาก​ 3​ ชาติมหาอำนาจ​ อิสรภาพยังเป็นแค่ภาพลวงตา​ | Knowledge Times EP.19

????รอบรู้แบบรู้ลึก ในรายการ ‘KnowLedge Times’
???? ลงแขกอัฟกา​นิสถาน ศึกชิงผลประโยชน์จาก​ 3​ ชาติมหาอำนาจ​ อิสรภาพยังเป็นแค่ภาพลวงตา​

การถอนกองกำลังทหารของสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถานไปก่อนหน้านี้​ พร้อม ๆ​ กับการประกาศชัยชนะของกลุ่มตอลิบานทันทีนั้น​ อาจจะดูเหมือนโฉมใหม่ของอัฟกานิสถานในฐานะประเทศจะกลับมาอย่างชัดเจน

แต่ทันทีที่สหรัฐฯ​ ถอย!! จีนและรัสเซีย​ ก็เข้ามาเสียบเชื่อมความสัมพันธ์กับตอลิบานอย่างรวดเร็ว

กลุ่มอำนาจใหญ่ ๆ​ ในอัฟกานิสถาน​ ณ​ ตอนนี้​ จึงประกอบไปด้วย 3 ฝ่ายด้วยกัน ได้แก่ ตอลิบาน จีน​ และ​ รัสเซีย 

จากภาพภูมิทัศน์ทางรัฐศาสตร์นี้​ หลายคนคงเชื่อว่าสหรัฐ​ฯ​ หน้าแหก และยกธงขาวในเวทีผลประโยชน์ถิ่นอัฟกันฯ ที่เชื่อว่าเต็มไปด้วย​ Rare​ Earth​ สำคัญแห่งอนาคต

แต่แท้จริงแล้ว​ นี่เป็นเพียงแผนเปลี่ยนรูปแบบการรบของสหรัฐฯ จากเดิมที่สิ้นเปลืองงบไปกับกองกำลังคนและยุทโธปกรณ์ ซึ่งไม่คุ้มเสีย เปลี่ยนมาใช้ยุทธวิธีการ​ 'ก่อการร้าย'​ เพื่อ 'บ่อนเซาะทำลาย'​ อำนาจของกลุ่มตอลิบานที่ได้รับการหนุนหลังจากจีนและรัสเซียแทน

นี่คือเหตุการณ์ที่น่าติดตาม​ ซึ่งกำลังซ้ำรอยประวัติศาสตร์​ โดยเปรียบเทียบได้กับกรณีการเข้ายึดหาผลประโยชน์ในอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตและสหรัฐฯ ช่วงยุคสงครามเย็นเมื่อปี 1970 ซึ่งครั้งนั้น​ 'ภาพ​ของโซเวียตหรือรัสเซีย'​ กำลังซ้ำรอยเดียวกันกับสหรัฐฯ​ ในปัจจุบัน

ย้อนไปในช่วงเวลานั้น​ อัฟกานิสถานได้พัฒนาประเทศไปถึงขีดสุดจากการเปิดรับโลกทุนนิยมเข้ามา​ และก็ไปเตะตาประเทศมหาอำนาจอย่าง​ โซเวียต และ​สหรัฐฯ​ 

โดยโซเวียตได้เข้ามาแทรกแซงในอัฟกานิสถาน มีการฝึกกองกำลัง รวมไปถึงเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงทำให้มีการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย

ส่งผลให้เกิดสงครามในอัฟกานิสถาน​ และส่งผลให้โซเวียตตัดสินใจส่งกองกำลังเข้ามายึดกรุงคาบูล แต่ในที่สุดโลกเสรี​ หรือจะเรียกว่าสหรัฐฯ​ ก็ได้นั้น​ ก็ตอบโต้โซเวียตด้วยการสร้างขบวนการกลุ่มนักรบมูจาฮีดีน ที่มีความชำนาญในพื้นที่และเร้นกายตามหุบเขา ทำให้อาวุธของสหภาพโซเวียต ด้อยประสิทธิภาพไปในทันที

อีกทั้ง​ กลุ่มมูจาฮีดีน​ ซึ่งได้รับเครื่องยิงเฮลิคอปเตอร์มา ก็ตอบโต้สหภาพโซเวียตได้เจ็บแสบ​ ส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์เสียหายไปหลายลำจนสุดท้ายต้องถอยทัพไปในที่สุด

ผลของสงครามครั้งนั้น​ ที่มี​ สหภาพโซเวียต -​ สหรัฐฯ และกลุ่มมูจาฮีดีน ทำให้สหภาพโซเวียตสิ้นเปลืองงบประมาณมากมายมหาศาล เป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตประสบปัญหาในทางเศรษฐกิจและในที่สุดก็ต้องประกาศนโยบาย Perestroika นำไปสู่การปฏิรูปและล่มสลายลงในสมัย มิคาเอล​ กอร์บาชอฟ​ และ​ บอริส เยลต์ซิน เป็นต้นมา

ดังนั้นยุทธภูมิของอัฟกานิสถานในตอนนี้​ เป็นรอยซ้ำที่เปลี่ยนสถานะกันเท่านั้น​ หรือก็คือสหรัฐฯ​ ก็เดินซ้ำรอยของโซเวียตในอดีต

แต่สิ่งที่น่าจับตา คือ​ มหาอำนาจขั้วใหม่อย่างจีน​ ที่อัฟกานิสถานหันไปจับมือด้วย​ เดินเกมในแบบสร้างประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ​ร่วมกัน

อัฟกาฯ​ มีแร่สำคัญ​ ส่วนจีนก็มีเส้นทางสำคัญของโครงการ Belt and Road Rout ที่​ 4 ซึ่งต้องผ่านอิหร่านและผ่านมาทางอัฟกานิสถานเท่านั้น

ฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า​ สถานการณ์ในอัฟกานิสถานสวยงาม​ อิสรภาพและเสรีภาพจะหวนคืน​ เพราะนาทีนี้​ 3​ ขั้วมหาอำนาจ​ มีแผนเดินเกมใช้เวทีอัฟกาฯ​ เป็นสมรภูมิรบเพื่อประโยชน์บางประการชัดเกินชัด

แค่พลิกบทบาท!! แต่ยังแย่งชิงอำนาจกันจนกว่าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ครอบครองอัฟกานิสถานได้แบบเบ็ดเสร็จที่สุด...

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ค่ายรถสะเทือน 'Xiaomi' ทุ่มหมื่นล้าน ลุยตลาด 'รถยนต์ไฟฟ้า' พร้อมปล่อยรถ 2023 I Knowledge Times EP.20

???? KnowledgeTimes BizView 
???? ค่ายรถสะเทือน!! 'Xiaomi' !! ทุ่มหมื่นล้าน ลุยตลาด 'รถยนต์ไฟฟ้า' พร้อมปล่อยรถ 2023 !

“Xiaomi” แบรนด์เทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่เรารู้จักกันในฐานะเจ้าของแบรนด์ Smartphone และอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีสินค้าและบริการอีกมากมาย ประกาศเปิดตัวธุรกิจ “ยานยนต์ไฟฟ้า” ด้วยเงินลงทุนมูลค่า 1 หมื่นล้านหยวน หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท

โดย “Lei Jun” CEO และผู้ก่อตั้ง Xiaomi ได้ออกมาประกาศว่าตอนนี้เขาได้จดทะเบียนตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้ชื่อว่า “Xiaomi EV Inc.” พร้อมเผยความมั่นใจผ่านคำกล่าวด้วยว่า “ยินดีที่จะนำชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยง และต่อสู้เพื่ออนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของเรา”

ทั้งนี้หากย้อนไปเมื่อราว ๆ ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Xiaomi ได้เข้าซื้อบริษัทสตาร์ทอัพ ผู้พัฒนาในด้านเทคโนโลยีการขับรถยนต์แบบอัตโนมัติจากจีนที่ชื่อ “DeepMotion” ด้วยเงินกว่า 77 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมของ Xiaomi อย่างชัดเจนถึงการเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

โดยนักวิเคราะห์มองว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ Xiaomi จะพัฒนาขึ้นนั้น อาจมาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติใน Level 4 คือระดับที่รถสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (Self Driving Mode) ได้อย่างสมบูรณ์รวมถึงสามารถรับมือกับการขับในเขตเมืองได้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าเทียบเคียงกับ Full Self Driving อย่าง ‘Tesla’ ของ ‘อีลอน มัสก์’ เลยก็ว่าได้ 

สำหรับ “Xiaomi EV Inc.” ในปัจจุบัน มีพนักงานแล้วกว่า 300 ตำแหน่ง จากผู้สมัครทั้งหมดกว่า 20,000 คน และยังได้วางแผนอัดฉีดเงินลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 50,000 ล้านบาท ภายในเวลา 10 ปี 

ขณะที่ทาง Xiaomi ก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงปี 2023 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยรถยนต์ดังกล่าวจะมากับความสามารถที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Smart Devices เพื่อตอบสนองประสบการณ์การใช้งานทุกผลิตภัณฑ์ของ Xiaomi ทั้งหมดได้อีกด้วย 

สำหรับสิ่งที่เข้ามาสนับสนุนก้าวครั้งใหม่ของ Xiaomi ในครั้งนี้ เชื่อกันว่ามาจากแรงส่งของผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่บริษัทมีรายได้สุทธิสูงถึง 87,790 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 64% จนส่ง Xiaomi ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเบอร์ 2 ของโลก แซงหน้า Apple ได้สำเร็จ

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Xiaomi คือ แบรนด์ที่สามารถทำได้ดีในทุกอุตสาหกรรม! หากคิดจะออกตัวทำ แถมทำได้ดีในเชิงคุณภาพสูง แต่ราคาต่ำกว่าผู้เล่นรายอื่น ๆ เสมอในทุกผลิตภัณฑ์สินค้าด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่ค่ายสมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi เท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ตลาดนี้แบบเต็มตัว แม้แต่ Apple ก็เล็งเห็นถึงโอกาส โดยได้ลงทุนร่วมกับ Hyundai และ Kia Motor Corp กว่า 3,600 ล้านดอลลาร์ไปก่อนหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Apple Car รุ่นแรกจะเป็นรถไฟฟ้าที่มี Performance สูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าปกติทั่วไปในตลาดปัจจุบัน และตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2025

ก็เรียกได้ว่า ตลาดรถยนต์ในนาทีนี้ อาจจะไม่ใช่เวทีของค่ายรถยนต์เหมือนในอดีตอีกต่อไปเสียแล้ว...

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top