Saturday, 18 May 2024
ElectionTime

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. นนทบุรี ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 8 เขตของจังหวัดนทบุรี ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>>เขต 1 อ.เมืองนนทบุรี (เฉพาะต.บางกระสอ ต.ท่าทราย และต.บางเขน)
>>เขต 2 อ.เมืองนนทบุรี (เฉพาะต.บางกร่าง ต.บางศรีเมือง ต.บางรักน้อย ต.สวนใหญ่ และต.ตลาดขวัญ)
>>เขต 3 อ.บางกรวย และอ.เมืองนนทบุรี (เฉพาะต.บางไผ่)
>>เขต 4 อ.ปากเกร็ด (เฉพาะต.บางพูด ต.บ้านใหม่ ต.คลองเกลือ และต.บางตลาด)
>>เขต 5 อ.ปากเกร็ด (ยกเว้นต.บางพูด ต.บ้านใหม่ ต.คลองเกลือ และต.บางตลาด) อ.บางบัวทอง (เฉพาะต.ลําโพ และต.ละหาร) และอ.เมืองนนทบุรี (เฉพาะต.ไทรม้า)
>>เขต 6 อ.บางใหญ่
>>เขต 7 อ.บางบัวทอง (เฉพาะต.บางบัวทอง ต.พิมลราช และต.โสนลอย) และอ.ไทรน้อย (เฉพาะต.ไทรน้อย และต.คลองขวาง)
>>เขต 8 อ.บางบัวทอง (เฉพาะต.บางคูวัด ต.บางรักพัฒนา และต.บางรักใหญ่) และอ.ไทรน้อย (ยกเว้นต.ไทรน้อย และต.คลองขวาง)

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 จี้ รบ.ไทย ‘ปกป้อง-สนับสนุน’ ประชาธิปไตย เสรีภาพการชุมนุม-แสดงออก

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และ ร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 เรียกร้องหรือแทรกแซง ให้รัฐบาลไทยปกป้อง-สนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน-เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ-เสรีภาพในการแสดงออก

 

Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic 
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้กล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย โดยส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิก (Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic) และส.ส. (Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 อันมีเนื้อหาเป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยนั้น 

Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369

รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอบให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ประสานกับทั้งสำนักงานของวุฒิสมาชิก Ed Markey และ ส.ส. Susan Wild โดยตรงแล้ว และอยู่ระหว่างชี้แจงประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไทยด้วยข้อเท็จจริง ร่างข้อมติทั้งสอง (วุฒิสภาที่ 114 และสภาผู้แทนที่ 369) ซึ่งมีถ้อยคำคล้ายคลึงกันมาก ยังคงเป็นเพียงร่างข้อมติที่รอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขึ้นอยู่กับประธานของคณะกรรมาธิการฯ จะยกขึ้นพิจารณาหรือไม่ จึงยังไม่มีการเสนอไปที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ แต่อย่างใด และวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ที่กระทรวงการต่างประเทศถือว่าเป็น “มิตรแท้ของไทย” ยังไม่มีผู้ใดร่วมอุปถัมภ์ (Sponsor) ร่างข้อมติแต่อย่างใด ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการต่างประเทศกำลังมีหนังสือไปถึงวุฒิสมาชิก Markey โดยตรงแล้ว และความพยายามในการขับเคลื่อนเพื่อให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนสหรัฐฯเชื่อว่า มีการดำเนินการผ่าน Lobbyist อย่างแน่นอน

เนื้อหาเต็มของร่างมติวุฒิสภาที่ 114 ดังกล่าว มีใจความดังนี้ :
ร่างมติเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น

(ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114) เร่งเร้าให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ในวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา นาย MARKEY (สำหรับตัวเขาเองและนาย DURBIN) ได้ยื่นมติดังต่อไปนี้ ซึ่งได้อ้างถึงคณะกรรมาธิการมติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและผดุงไว้ซึ่งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยที่ราชอาณาจักรไทย (ครั้งหนึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘ราชอาณาจักรสยาม’) และสหรัฐอเมริกาได้สถาปนาความสัมพันธ์กันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2361 และได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้า ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2376 ซึ่งได้ลงนามอย่างเป็นทางการ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ; โดยที่ไทยเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญารายแรกของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ค่านิยมสากล และยังคงเป็นมิตรที่มั่นคงของสหรัฐอเมริกา 

ในขณะที่ผ่านสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำ ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘สนธิสัญญามะนิลา’) สหรัฐอเมริกาและไทยแสดงความปรารถนาร่วมกันที่จะ ''เสริมสร้างโครงสร้างแห่งสันติภาพและเสรีภาพและเพื่อ ยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตย เสรีภาพส่วนบุคคล และหลักนิติธรรม'' โดยที่ในปี พ.ศ. 2505 สหรัฐอเมริกาและไทยได้ลงนามในแถลงการณ์ Thanat-Rusk โดยสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยหากต้องเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยผ่านสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 พร้อมกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้น 

สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น โดยที่สหรัฐอเมริการับรองประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดี Joseph R. Biden และผู้นำอาเซียนได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอาเซียนให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อเปิดขอบเขตความร่วมมือใหม่ที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในอนาคตของสหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกอาเซียน โดยที่ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2565 (1) เพื่อฟื้นฟูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (2) เพื่อฟื้นฟูการเชื่อมต่อหลังจากการหยุดชะงักจากการระบาดของ COVID–19 และ (3) เพื่อบูรณาการวัตถุประสงค์ของการมีส่วนร่วมและความยั่งยืนควบคู่กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ไทยถูกกำหนดให้เป็นพันธมิตรหลักที่ไม่ใช่สมาชิก NATO ในปี พ.ศ. 2546 และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐฯ 

ความสัมพันธ์ดังกล่าวยืนยันอีกครั้งโดยแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมปี พ.ศ. 2563 สำหรับพันธมิตรด้านการทหารระหว่างสหรัฐฯ-ไทย ในขณะที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกันหลายครั้ง รวมถึง Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับนานาชาติประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่มีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงเป็นพันธมิตรในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและผู้ลี้ภัย รวมถึงความพยายามในการบรรเทาทุกข์ข้ามชาติหลังจากเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียในปี พ.ศ. 2547 และแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล พ.ศ. 2558 

โดยที่ประเทศไทยสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 และได้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ครั้ง รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดให้มีผู้แทนจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในสภาสองสภาและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยที่ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพไทยได้ก่อการรัฐประหารโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกาศกฎอัยการศึก และแทนที่รัฐบาลพลเรือนด้วยคณะทหาร ซึ่งเรียกว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่ง (ในคำนำนี้เรียกว่า ‘คสช.’) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

โดยที่ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้จัดให้มีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีข้อบกพร่องอย่างมาก คือ เจตนาทำให้เอกสารถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่การลงประชามติในปี พ.ศ. 2559 ถูกทำลายโดยการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบอย่างกว้างขวาง ขณะที่ คสช. เมินเสียงเรียกร้องจำนวนมากจากสหประชาชาติและรัฐบาลต่างประเทศให้เคารพสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสรี และตัดทอนเสรีภาพอย่างรุนแรงในช่วงก่อนทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินคดีกับนักข่าวและผู้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ เซ็นเซอร์สื่อและป้องกันการชุมนุมในที่สาธารณะเกินห้าคน ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2017

(1) ยึดอำนาจโดยกองทัพไทยทำให้พลเรือนไม่สามารถควบคุมทางการเมือง
(2) บังคับเรียกร้องให้รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาชุดต่อมาปฏิบัติตาม ‘แผนปฏิรูป 20 ปี’ ที่ออกโดยรัฐบาลทหาร
(3) มีบทบัญญัติที่ทำให้สภาผู้แทนราษฎร 500 คนอ่อนแอ และมีการสงวนที่นั่งวุฒิสมาชิก 250 ที่นั่งในวุฒิสภาสำหรับสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช.แต่งตั้ง และหัวหน้า คสช. รวมทั้งผู้นำสูงสุดของทหารและตำรวจ และ
(4) ให้อำนาจเกินขอบเขตแก่สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกโดยรัฐบาลทหารที่ไม่ได้รับเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป; 

โดยที่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งโดย 
(1) กลุ่มตรวจสอบอิสระหลายกลุ่มที่อ้างว่ามีปัญหาทั้งกระบวนการและระบบ ประกาศว่า การเลือกตั้งไม่เสรีและยุติธรรมอย่างเต็มที่ และเอียงข้างอย่างหนักเพื่อเข้าข้างรัฐบาลทหาร และ
(2) ส่งผลให้พรรคการเมืองของ คสช. ซึ่งนำโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่และแต่งตั้งประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ขณะที่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พรรคอนาคตใหม่ฝ่ายค้านถูกยุบและถูกสั่งห้ามตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายที่มีข้อบกพร่องจากการตั้งข้อหาเท็จ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อยู่ในตำแหน่ง 8 ปี ทั้งที่ยังคงอยู่ในอำนาจตั้งแต่การรัฐประหารในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557

ในขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนการโจมตีอย่างรุนแรงต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยบางคน การลักพาตัวและสูญหาย และการสังหารผู้เห็นต่างทางการเมืองของไทยทั่วเอเชีย โดยที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 รัฐบาลไทยได้ชะลอการออกกฎหมายต่อต้านการทรมานที่สำคัญอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง แต่จะช่วยให้ทั้งความชัดเจนเกี่ยวกับความผิดทางอาญาของการทรมานและการป้องกันการทรมาน 

ขณะที่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ผู้ประท้วงหลายหมื่นคนทั่วประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาและเยาวชนเป็นหลัก ได้เรียกร้องอย่างสันติให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และเคารพสิทธิมนุษยชน ในขณะที่รัฐบาลไทยตอบโต้การประท้วงอย่างสันติเหล่านี้ด้วยมาตรการปราบปราม ซึ่งรวมถึงกลยุทธ์การข่มขู่ การใช้กำลังมากเกินไประหว่างการประท้วง การสอดแนม การคุกคาม การจับกุม การใช้ความรุนแรง และการจำคุก โดยที่ระหว่างปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2566 หน่วยงานของรัฐบาลไทยได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวกว่า 1,800 คนเข้าร่วมเดินขบวนและแสดงความคิดเห็น โดยมีเด็กกว่า 280 คน โดย 41 คนเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี 

ในขณะที่รายงานที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยองค์กรพัฒนาเอกชนพบว่า ทางการไทยใช้สปายแวร์ Pegasus กับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างน้อย 30 คนและบุคคลที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย และในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งหากมีการประกาศใช้ (1) จะเป็นกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดกฎหมายหนึ่งต่อองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในเอเชีย และ (2) จะมีผลที่ไม่อาจย้อนกลับได้ต่อภาคประชาสังคมในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป 

ดังนั้น บัดนี้ จึงมีมติว่าวุฒิสภา (1) ยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 สหรัฐอเมริกาและไทย ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของค่านิยมประชาธิปไตยและผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ร่วมกัน 

(2) เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนชาวไทย ในการแสวงหารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปการเมือง สันติภาพในระยะยาว และความเคารพ ต่อจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

(3) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสนับสนุน 10 ประการและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน กฎ ของกฎหมายและสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ 1 เสรีภาพในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัว

(4) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสร้าง 3 เงื่อนไขสำหรับการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมในวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 รวมถึง
(A) เปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายค้านและผู้นำทางการเมือง สามารถดำเนินกิจกรรมได้โดยปราศจาก การแทรกแซงที่ไม่เหมาะสมจากรัฐ เจ้าหน้าที่
(B) ทำให้สื่อ นักข่าว และสมาชิกภาคประชาสังคมสามารถใช้เสรีภาพในการกดขี่ ชุมนุมโดยสงบ และการสมาคมได้ โดยปราศจากผลกระทบและความกลัวต่อการดำเนินคดี
(C) ทำให้มั่นใจว่าการนับคะแนนเสียงเป็นยุติธรรมและโปร่งใส

(5) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการอย่างเข้มงวด ปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและงดเว้นจากการก่อกวน ข่มขู่หรือประหัตประหารผู้ที่มีส่วนร่วมในความสงบ การประท้วงเต็มรูปแบบและกิจกรรมของพลเมืองในวงกว้างมากขึ้น โดยการดูแลสิทธิและความเป็นอยู่ของเด็กและนักเรียนโดยเฉพาะ

(6) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงผลกำไรและการปฏิรูป กฎหมายและข้อบังคับอื่น ๆ ที่บ่อนทำลายการแสดงออกอย่างเสรีและการเข้าถึงข้อมูล

(7) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยลงทุน ระงับและยุติการโจมตีด้วยสปายแวร์ที่มุ่งเป้าไปที่นักวิชาการ 4 คน นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลักของกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยต่าง ๆ

(8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกใหม่และยุติการประกาศใช้กฎหมายและกฤษฎีกาที่ใช้ในการเซ็นเซอร์เนื้อหาและคำพูดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมถึงประเทศไทย
(A) ในต่างประเทศ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่คลุมเครือ
(B) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(C) กฎหมายยุยงปลุกปั่นในวงกว้าง

(9) สื่อสารไปยังรัฐบาลไทยว่ามีการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่องต่อ ประชาชนชาวไทยที่จะอยู่อย่างสันติและเป็นประชาธิปไตย กำหนดอนาคตของพวกเขา ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐฯ จะยอมรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์

(10) กล่าวอย่างชัดเจนว่า การแทรกแซงทางทหารหรือราชวงศ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะ
(A) บั่นทอนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยเป็นอย่างมากและ
(B) เป็นอันตรายต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศไทยและการดำเนินการร่วมกันในระดับภูมิภาคและเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.markey.senate.gov/imo/media/doc/thailand_resolution_-_032023pdf.pdf

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ม็อบสามนิ้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่คุกคามเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย กระทำการต่างๆ ด้วยความรุนแรง ซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำลักษณะนี้ในสหรัฐฯ จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด ด้วยมาตรการที่รุนแรงที่สุด

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนปานปลายเป็นความรุนแรงนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมซึ่งอ้างสิทธิเสรีภาพ (อย่างไม่มีขอบเขต) ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ต่างไปจากเหตุจลาจลจนกลายเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นภายในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ทำให้มีผู้เสียชีวิตขณะเกิดเหตุ 5 ราย โดย 1 รายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ยิง 1 รายจากการใช้ยาเกินขนาด 3 รายจากสาเหตุธรรมชาติ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา 4 รายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายภายในเจ็ดเดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว (ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 นี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้ใช้คำว่า ‘ประท้วง(Protest)’ แต่กลับใช้คำว่าเป็นเหตุการณ์ ‘โจมตี(Attack)’) ซึ่ง ส.ส.และ สว.ของรัฐสภาไทยก็ไม่เคยออกมติแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพราะมีมารยาทด้วยเห็นว่าเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ เอง เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่า ร่างมติทั้งสองร่างดังกล่าว เป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ได้อย่างไร!!!

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ใช้อาวุธปืนสงครามจี้คุมตัวผู้ก่อเหตุประท้วงในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

‘ดร.หิมาลัย’ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดกับเด็กรุ่นใหม่ ย้ำชัด!! ควรหยุดวาทกรรม ‘ชังชาติ’ ก่อนทำสังคมแตกแยก

(11 พ.ค.66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ร่วมเวทีเสวนา : คนรุ่นใหม่ชังชาติจริงหรือไม่? ซึ่งจัดโดยเครือข่ายแรงใจ โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจำนวนมาก 

พร้อมกันนี้ ดร.หิมาลัย ได้ให้ความเห็นว่า ในบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากให้ใช้คำว่า ‘ชังชาติ’ ไม่ว่ากับคนกลุ่มใด เพราะความรักชาติของคนแต่ละช่วงวัยนั้นไม่เหมือนกัน และอาจแสดงออกแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น จะต้องเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน

เพราะคนที่ถูกตราหน้าว่า ‘ชังชาติ’ นั้น แท้จริงแล้วเขาอาจจะรักชาติในมุมของเขาก็ได้ และแสดงออกในแบบที่เขาเชื่อว่าถูกต้องจนสุดโต่ง ส่วนคนที่บอกว่าตนเองรักชาตินั้น บางครั้งอาจจะเลยไปถึงขั้นชาตินิยม และจะไม่ยอมรับความเห็นต่างจากคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากในบริบทของสังคมทุกสังคม จะต้องยอมรับความเห็นและให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของกรอบกฎหมาย

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า สังคมไทยกำลังถูกวาทกรรมและความคิดของคนต่างวัยบ่อนทำลาย เพราะฉะนั้น อยากให้ผู้ใหญ่รับฟังความคิดเด็ก ๆ คนรุ่นใหม่โดยไม่ปิดกั้น เพราะความคิดของเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะผิดทุกครั้ง และเช่นเดียวกัน ความคิดของผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป เรื่องบางเรื่องผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็ก

“อยากจะยกตัวอย่างสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้จากเด็กรุ่นใหม่ จากสิ่งที่เพิ่งประสบมาล่าสุด จากการที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติบางคน ที่ออกมาเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงจากทางพรรค ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า ตนได้ชี้แจงไปว่า พรรคเราทำการเมืองตามอุดมการณ์ ใช้งบประมาณตามที่ได้รับบริจาคมา ซึ่งไม่มีมากนัก แต่เมื่อย้อนกลับไปดูผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งที่อยู่ในพรรคของเราเอง และพรรคอื่น ๆ ที่มีความตั้งใจทำงานการเมืองอย่างที่อยากทำ กลับไม่มีการเรียกร้อง แต่ใช้การบริหารงบประมาณได้รับ และหาวิธีหาเสียงกับกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ย่อท้อ ซึ่งตรงนี้ต้องขอยกย่องและเป็นสิ่งที่นักการเมืองรุ่นเก่าหรือผู้ใหญ่จะต้องเรียนรู้และปรับตัว”

ขณะที่ ส่วนประเด็นที่หลายคนกล่าวหาว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคเผด็จการนั้น ดร.หิมาลัย ชี้แจงว่า จากการที่ได้ทำงานร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างใกล้ชิด และท่านได้ตัดสินใจทำการเมืองต่อ ไม่ใช่เพราะการอยากจะสืบต่ออำนาจแต่อย่างใด เพียงแต่ท่านเห็นว่ายังมีสิ่งที่ยังน่ากังวล และต้องการทำสิ่งที่เริ่มต้นมาแล้วให้สำเร็จลุล่วง แต่ในขณะเดียวกันท่านได้ย้ำเสมอว่า การจะได้ทำต่อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน ถ้าประชาชนเห็นว่าสิ่งที่ท่านทำมาตลอดนั้นมีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ถ้าประชาชนไม่ให้ไปต่อ ก็ต้องยอมรับ เพราะท่านยึดหลักในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอยู่ที่ปลายปากกาของประชาชน และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเช่นไรท่านก็พร้อมจะยอมรับ

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. บุรีรัมย์ ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 10 เขตของจังหวัดบุรีรัมย์ ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>>เขต 1 อ.เมืองบุรีรัมย์ (เฉพาะต.ในเมือง ต.บ้านบัว ต.พระครู ต.ถลุงเหล็ก ต.หนองตาด ต.บ้านยาง ต.บัวทอง ต.ชุมเห็ด ต.กลันทา ต.กระสัง ต.สะแกโพรง และต.ลุมปุ๊ก) อ.บ้านด่าน (เฉพาะต.ปราสาท และต.บ้านด่าน)
>>เขต 2 อ.เมืองบุรีรัมย์ ( เฉพาะต.หลักเขต ต.สวายจีก ต.เสม็ด ต.สองห้อง ต.สะแกซำ ต.เมืองฝาง และต.อิสาณ) อ.พลับพลาชัย (เฉพาะต.สําโรง ต.สะเดา และต.จันดุม)
อ.ชํานิ อ.ประโคนชัย (เฉพาะต.ไพศาล)
>>เขต 3 อ.กระสัง อ.ห้วยราช อ.พลับพลาชัย (เฉพาะต.โคกขมิ้น และต.ป่าชัน)
>>เขต 4 อ.สตึก อ.แคนดง อ.บ้านด่าน (เฉพาะต.โนนขวาง และต.วังเหนือ)
>>เขต 5 อ.นาโพธิ์ อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ อ.พุทไธสง อ.คูเมือง (ยกเว้นต.พรสําราญ)
>>เขต 6 อ.ลําปลายมาศ อ.คูเมือง (เฉพาะต.พรสําราญ) อ.หนองหงส์ (เฉพาะต.ไทยสามัคคี ต.สระทอง และต.เสาเดียว)
>>เขต 7 อ.ปะคำ (เฉพาะต.ไทยเจริญ ต.หนองบัว และต.โคกมะม่วง) อ.โนนสุวรรณ อ.หนองกี่ อ.หนองหงส์ (เฉพาะต.หนองชัยศรี ต.ห้วยหิน ต.เมืองฝ้าย และต.สระแก้ว)
>>เขต 8 อ.นางรอง อ.เฉลิมพระเกียรติ (เฉพาะต.เจริญสุข และต.ถาวร) อ.ปะคำ (เฉพาะต.ปะคำ และต.หูทำนบ) อ.โนนดินแดง (เฉพาะต.โนนดินแดง)
>>เขต 9 อ.โนนดินแดง (ยกเว้นต.โนนดินแดง) อ.ละหานทราย อ.บ้านกรวด (เฉพาะต.บ้านกรวด ต.ปราสาท ต.บึงเจริญ ต.จันทบเพชร และต.หนองไม้งาม) อ.เฉลิมพระเกียรติ (เฉพาะต.ยายแย้มวัฒนา ต.อีสาณเขต และต.ตาเป๊ก)
>>เขต 10 อ.ประโคนชัย (ยกเว้นต.ไพศาล) อ.บ้านกรวด (เฉพาะต.เขาดินเหนือ ต.โนนเจริญ ต.หินลาด และต.สายตะกู)

‘ภูมิธรรม’ ปลุก ปชช. กา ‘พท.’ อย่าปล่อยโอกาสหลุดมือ ลั่น!! หากได้ ส.ส. เกิน 300 เสียง ประเทศไทยเปลี่ยนแน่

(11 พ.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า อย่าให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเป็นหมัน ไล่ระบอบประยุทธ์ออกไป เลือกเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทย เพราะเป็นการเลือกตั้งที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอำนาจในการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน โดยยังคงมีกลไก รธน.ที่กำหนดให้ สว. 250 คน มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ อันเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องของระบอบประยุทธ์ นั่นหมายความว่าหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมสามารถจับมือรวมกันแค่ 126 เสียง ก็สามารถชนะการโหวตเลือกนายกฯ ได้แล้ว และประเทศไทยก็จะมีนายกฯ ในแบบเดิมที่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานมานานถึง 8-9 ปี

นายภูมิธรรม ระบุว่า แต่หากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง จะตั้งรัฐบาลได้จริง จำเป็นต้องใช้คะแนนเสียงของ ส.ส. ให้ได้มากเกิน 250 คน และจะมั่นใจมากกว่าหากได้ ส.ส. มากถึง 300 คน ซึ่งพรรคการเมืองที่มีโอกาสจะทำให้เป็นรูปธรรมได้จริง ๆ คือ พรรคเพื่อไทย แม้ว่าในช่วงหลังหลายโพลจากหลายสำนักระบุว่า บางพรรคมาแรงแซงพรรคเพื่อไทย ก็ตาม แต่หากดูจากข้อมูลในพื้นที่ซึ่งเป็นคะแนนจริง ๆ ไม่ใช่คะแนนในอากาศ ซึ่งเราติดตามอย่างใกล้ชิด ยังบ่งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยยังคงได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง

ทำไมถึงมั่นใจอย่างนั้น จริงอยู่กระแสอาจมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกของพื้นที่ กทม.ปริมณฑลและเขตเมืองใหญ่ แต่ในจำนวนเขตเลือกตั้ง 400 เขตนั้น 300 กว่าเขตเป็นพื้นที่ อบต. เทศบาลตำบล กระแสไม่มีผลมากเท่ากับความผูกพันและการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่าง ส.ส.กับ ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ จำนวน ส.ส.เขตพื้นที่จึงเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง และต่อการจัดตั้งรัฐบาล ในพื้นที่ที่มีการแข่งขันซึ่งจะทำให้เกิดการตัดคะแนนกันเอง ปล่อยให้ตาอยู่อย่างลุงและเครือข่ายชนะไปย่อมไม่เกิดผลดี

“ผมไม่อยากให้ความหวังในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของพี่น้องประชาชนต้อง กลายเป็นคะแนนตกน้ำและตาอยู่ได้ชัยชนะไป นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากถ้าความหวั่นเกรงของผมเป็นจริง บรรยากาศที่เอื้อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นง่ายนัก หากการตัดสินใจเลือกที่จะกาบัตรนั้นทำให้ความหวังที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหมันอย่างน่าเสียดาย เราจะได้ระบอบประยุทธ์กลับมา และต้องทนอยู่ต่อไปอีก 4 ปี

ผมเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทย คือคำตอบที่เป็นจริงในการเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความหวัง เกิดการแก้ไขปัญหา การเปลี่ยนแปลงของชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่เป็นจริง เพราะปัญหาของประเทศวันนี้อยู่ในขั้นวิกฤติระดับ โคม่า ต้องการทีมมืออาชีพเข้ามาแก้ไข ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยพิสูจน์ให้เห็นเป็นผลงานเชิงประจักษ์มาแล้ว วันนี้พรรค เพื่อไทย มีทั้งผู้นำที่พร้อม มีนโยบายที่พร้อม และมีทีมทำงานที่พร้อม 14 พ.ค.กาพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที” นายภูมิธรรม ระบุ

‘ศิลัมพา’ ยก ‘บิ๊กตู่’ ตัวจริงวางรากฐานประเทศ แนะ ‘คนรุ่นใหม่’ ศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ

(11 พ.ค.66) นางสาวศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กรุงเทพมหานคร เขต 24 เบอร์ 7 กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองบางพรรค หาเสียงด้วยการเน้นโปรโมตนโยบายที่จะทำเพื่อคนรุ่นใหม่ โดยระบุว่า...

พรรคการเมืองที่หาเสียงด้วยการเคลมว่า เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ และพร้อมจะดำเนินนโยบายเพื่อคนรุ่นใหม่นั้น ถือเป็นการขายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และเมื่อมองย้อนกลับไปดูผลงานของรัฐบาล ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเห็นว่า โครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมานั้น ล้วนทำเพื่อคนไทยทุกกลุ่ม และยังได้วางรากฐานไว้เพื่อเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย

ยกตัวอย่างโครงการที่ดำเนินการไปแล้ว ที่จะเกิดประโยชน์กับคนรุ่นใหม่ เช่น โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ ‘อีอีซี’ ที่จะสร้างตำแหน่งงานนับแสนตำแหน่ง, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการสนับสนุนอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะเป็น New S Curve ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ขณะเดียวกัน รัฐบาลที่ผ่านมายังได้วางโรดแมปในการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย โดยเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาป มุ่งสู่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ EV ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกขบวน และสูญเสียตลาดไปให้กับประเทศคู่แข่ง

รวมไปถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายต่างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปีนี้จะเริ่มเปิดทดลอง 2 สาย คือสายสีเหลืองและสายสีชมพู และในอนาคตอันใกล้ จะเชื่อมโยงสายสีต่างให้สามารถเดินทางได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ได้ผลักดันโครงการต่าง ๆ สำเร็จไปแล้วจำนวนมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังต้องผลักดันต่อ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ตั้งระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค รวมถึงสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และยังมีอีกหลายนโยบายที่จะต้องทำต่อ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น

“ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เราเริ่มเห็นพรรคการเมืองบางพรรคการ ชูนโยบายมุ่งเจาะฐานเสียงคนรุ่นใหม่ด้วยวาทกรรมต่าง ๆ รวมถึงการขายฝันโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อยากจะฝากถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่พิจารณาข้อมูลให้ถี่ถ้วนว่า โครงการที่นำมาหาเสียงนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ ได้ลงมือทำให้เห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างชัดเจนมาแล้ว ไม่ใช่แค่การสรรหาวาทกรรมที่สวยหรูมาหาเสียงเท่านั้น และสุดท้ายปลายทางสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ได้ทำมานั้น ล้วนเกิดประโยชน์กับคนไทยทุกคน” น.ส.ศิลัมพา กล่าว

‘กรณ์’ ปราศรัยชุมพร ช่วย ‘ทนายลิขิต’ หาเสียงโค้งสุดท้าย อ้อนชาวใต้ เลือก ‘ชพก.’ เข้าสภาฯ เป็นกระบอกเสียงให้ ปชช.

(11 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร เพื่อร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงให้กับทนายลิขิต ศรีชาติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 6 ที่อำเภอท่าแซะ โดยทนายลิขิต เปิดใจว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เป็นพรรคที่มีหัวหน้าพรรคคุณภาพที่สุด เพราะมีนายกรณ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเป็นหัวหน้าพรรค เพราะตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ได้รับความเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ค่าน้ำมัน ค่าไฟ ซึ่งเป็นต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้แทนของจังหวัดชุมพร ไม่เคยมีใครนำปัญหาของพี่น้องประชาชนเข้าไปพูดในสภาฯ เลยนับสิบปี ถ้าอยากเห็นปัญหาของพี่น้องของประชาชนถูกนำเสนอในสภาฯ และได้รับการแก้ไข 14 พฤษภาคม เลือกทนายลิขิต เบอร์ 6 เขต 2 ชุมพร เปลี่ยนแปลงแน่นอน

ด้านนายกรณ์ กล่าวว่า ในช่วงท้ายของการหาเสียง หากจะวัดว่ากระแสของผู้สมัครยังดีอยู่หรือไม่ ให้ดูความกระตือรือร้นของทีม จากเส้นทางคาราวานภาคใต้ที่ตนได้เดินสายมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทีมงานของผู้สมัคร แต่ละจังหวัดยังแข็งขัน แรงไม่ตก และโดยเฉพาะที่ จ.ชุมพร แข็งแรงมาก และก็อยากบอกให้ทุกคนมีกำลังใจคือกระแสของพรรคดีวันดีคืน เพราะตนได้รับของฝากมาจากทุกจังหวัด ของฝากที่ว่าคือ ประชาชนฝากปัญหาความเดือดร้อน ทั้งหนี้สิน ค่าครองชีพ ตลอดจนโอกาสในการทำมาหากิน ซึ่งของฝากเหล่านั้นตนไม่ถือว่าเป็นภาระ แต่เป็นกำลังใจที่ประชาชนยังเชื่อมั่น ศรัทธา ที่จะฝากความหวังไว้กับเรา ไม่มีใครถามว่า เราอยู่ฝ่ายไหน เขาไม่ได้ชอบวิธีการสาดโคลนกันไปมา โดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย

นายกรณ์ กล่าวว่า ตนอยู่ในวงการการเมืองมา 18 ปี เส้นทางเต็มไปด้วยความขัดแย้ง นักการเมือง ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบที่สร้างมันขึ้นมา เพราะเป็นอุปสรรคปัญหาต่อการดำรงชีวิตของประชาชน พอกันทีความขัดแย้ง พรรคเรามีแนววิธีการหาเสียงไม่ใส่ร้ายใคร แต่มีวิธีการหาเสียงที่ชัดเจนว่าเราจะแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน พี่น้องหลายคนยังลังเล ว่าถ้าเลือกไปจะชนะไหม เพราะไม่ได้อยู่ในพรรคกระแสหลัก เข้าไปจะทำอะไรได้

ขอบอกว่า ความใหญ่ เล็ก ของพรรคการเมือง ไม่สำคัญเท่ากับขนาดของหัวใจ ว่าจะกล้าแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้หรือไม่ เลือกพรรคใหญ่เข้าไป ไม่ทำอะไรทั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ เพราะถูกอำนาจผูกขาดครอบงำ พรรคยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้น และวงจรอุบาทว์มันก็จะวนเวียนไม่รู้จักจบสิ้น และนี่คือสาเหตุที่พวกเราทุกคนเลือกที่จะอยู่พรรคชาติพัฒนากล้า ไม่ต้องใช้เงิน ยุทธศาสตร์หาเสียงของเราเป็นแนวทางใสสะอาด ขยัน ยกมือกราบไหว้ จุดยืนของเราไม่ขัดแย้งกับใคร ไม่เป็นศัตรูกับใครตราบใดที่เขาเห็นตรงกับเราคือปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน และกล้าชนกับทุนผูกขาด และเราก็พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างมากโดยไม่ต้องอาศัยเสียง สว.

“ถ้าประชาชนเลือกคนของพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าไปเป็นผู้แทน ไม่ว่าจะเป็นทนายลิขิต ศรีชาติ จาก จ.ชุมพร, จูรี นุ่มแก้ว จ.สงขลา, เทมส์ ไกรทัศน์, อรทัย เกิดทรัพย์ จ.ภูเก็ต และ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี จากกรุงเทพฯ รับรอง ว่าคนพวกนี้จะเป็นปากเป็นเสียง กล้าพูด และกล้าชนกับทุนผูกขาด ได้อย่างแน่นอน” นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เราเลือกทนายลิขิต เพราะเราเชื่อและศรัทธา เพราะฉะนั้น วันที่ 14 พฤษภาคม ไม่ต้องลังเล กาเบอร์ 6 เพื่อให้ทนายลิขิต ไปทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นผู้แทนของชาวชุมพร เขต 2”

'ดร.หิมาลัย' ลั่น!! รทสช. พร้อมป้อง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ หวังคนรุ่นใหม่ไม่ลืม 'รากเหง้าความเป็นไทย'

เปิดใจ ‘ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ’ ยืนยัน ‘บิ๊กตู่’ เหมาะนั่งนายกฯ ต่อ ย้ำ!! รทสช. ยึดมั่นสถาบัน ไม่แตะ ม.112 ลั่น!! พร้อมปกป้อง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ หวังคนรุ่นใหม่ไม่ลืม 'รากเหง้าความเป็นไทย'

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจในรายการ 'ถลกข่าว ถลกคน' EP 9 ถึงการเข้าร่วมทำการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า...

ตอนนี้ตนเองได้เดินหน้าร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเต็มตัว เพราะต้องการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีโอกาสทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า สาเหตุที่ตัดสินใจออกมาจากการทำงานให้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อมาสนับสนุนพลเอกประยุทธ์นั้น ไม่มีความขัดแย้งกับทาง พปชร.ใด ๆ ทั้งสิ้น และยังคงให้ความเคารพนับถือพลเอกประวิตรเช่นเดิม เพราะแม้แต่ตัวท่านพลเอกประยุทธ์เอง ก็ยังเคารพรักพลเอกประวิตรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ท่าน ไม่เคยกล่าวถึงกันในแง่ไม่ดีเลย และในการหาเสียงนั้น ทางพลเอกประยุทธ์จะกำชับทุกคนห้ามกล่าวโจมตีพลเอกประวิตรอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 ท่านไม่มีความขัดแย้งกันโดยส่วนตัว

แต่ทว่า ในทางการเมืองนั้น อุดมการณ์และแนวคิดการทำงานอาจจะแตกต่างกัน ทำให้พลเอกประยุทธ์แยกออกมาทำการเมือง เดินหน้าต่อเพื่อประชาชนอย่างเต็มตัว เพราะยังมีหลายส่วนที่ท่านเห็นว่า จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน และการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ

ดร.หิมาลัย กล่าวต่ออีกว่า จากการที่ได้ทำงานกับพลเอกประยุทธ์ในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นคนที่ตั้งใจและทุ่มเททำงานจริง ที่สำคัญมีความโปร่งใส ดูได้จากตลอด 8 ปีที่พลเอกประยุทธ์ นั่งตำแหน่งนายกฯ ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก และที่สำคัญเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ 

"ผมขอยกตัวอย่าง การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำได้สำเร็จในรอบกว่า 30 ปี ซึ่งประเทศไทยได้รับประโยชน์มหาศาล จากทั้งในแง่การส่งออกสินค้า แรงงาน และการลงทุนด้านปิโตรเคมี นอกจากนี้ ในด้านโครงสร้างพื้นมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนด้านระบบรางที่เชื่อมโยงทั้งในไทยและเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเป้าหมายสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน ตอนนี้วางระบบรางไปแล้วนับพันกิโลเมตร และขยายถนนอีกนับหมื่นกิโลเมตร" 

ดร.หิมาลัย เผยอีกว่า แม้กระทั่งในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญกับโรคโควิด-19 ซึ่งถือเป็นวิกฤตโรคระบาดใหม่ที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน หลายประเทศตื่นตระหนก แม้กระทั่งประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ยังประสบกับระบบสาธารณสุขล่มสลาย ประชาชนล้มตายจำนวนมาก แต่ภายใต้วิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำของพลเอกประยุทธ์ ได้มีคำสั่งตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ขึ้นมารับมือทันที โดยให้อาจารย์หมอมาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา เพราะท่านรู้ว่า เรื่องนี้ท่านสู้หมอไม่ได้ ดังนั้นจึงให้ผู้มีความรู้นำแก้ปัญหา ส่วนตัวท่านและรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนทำตามคำแนะนำ ทำให้ประเทศไทยสามารถฝ่าวิกฤตมาได้และฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านระบบสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ จนทั่วโลกให้การยกย่อง

ส่วนวิสัยทัศน์ในด้านการบริหารความมั่นคงนั้น จะเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ชาติมหาอำนาจให้ความสำคัญ คนที่บอกว่า ประเทศไทยล้าหลังไป 8 ปี ห่วยแตก เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชาติมหาอำนาจคงไม่มองเราเป็นประเทศยุทธศาสตร์ และคนที่สามารถสร้างสมดุลให้กับมหาอำนาจทุกฝ่าย ก็คือ พลเอกประยุทธ์ นั่นเอง

ขณะที่หลายฝ่ายพยายามกล่าวหาว่า พลเอกประยุทธ์ เสพติดอำนาจนั้น ดร.หิมาลัย กล่าวว่า หากพลเอกประยุทธ์เป็นคนเสพติดอำนาจ วันนี้คงจะยังร่วมงานกับพรรคเดิม ไม่จำเป็นต้องมาทำการเมืองกับพรรคใหม่อย่างรวมไทยสร้างชาติ เพราะตรงนั้นมีฐานเสียงอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะท่านคิดว่า ยังสามารถทำงาน พัฒนาประเทศต่อไป โดยเฉพาะในส่วนที่ได้เริ่มทำมาแล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ส่วนจะได้กลับมาทำต่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนที่จะเป็นผู้ตัดสินในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ซึ่งผลจะออกมาอย่างไร ท่านก็พร้อมจะยอมรับ เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่องความมั่นคง ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พรรครวมไทยสร้างชาติให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการปกป้องสถาบันหลักของประเทศ ทั้งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

"อย่างที่รับทราบกันว่า ขณะนี้มีคนบางกลุ่มพยายามโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รู้หรือไม่ประเทศไทยที่ดำรงอยู่จนเท่าทุกวันนี้ เพราะบรรพบุรุษใช้เลือดเนื้อรักษาเอาไว้ตลอดมา และอย่าได้ลืมเลือนประวัติศาสตร์ ว่าครั้งหนึ่งเราเกือบตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่ด้วย 'เงินถุงแดง' ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 สะสมไว้ ช่วยให้ไทยรอดพ้นมาได้จนเท่าทุกวันนี้" ดร.หิมาลัย กล่าวและว่า...

“ฝากถึงน้อง ๆ ที่มีแนวคิดอยากเปลี่ยนแปลง อยากถามว่า บ้านของเรามีเสาหลักอยู่ วันดีคืนดีมาบอกว่า อันนี้ไม่ดีจะเอาออก หากเอาเสาหลักออกไปแล้ว จะมีอะไรมาทดแทนค้ำยันบ้านไม่ให้พังทลายลงหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ คงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้ ทุกอย่างเป็นไปตามบริบทและพลวัตรของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่พรรคฯ จะยึดมั่นในอุดมการณ์ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติเป็นสำคัญเช่นเดิม ในขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะรับฟังความเห็นต่าง และสร้างความเข้าใจ โดยไม่ปิดกั้นความคิดเห็นหากไม่ไปละเมิดกฎหมายบ้านเมือง เพราะยึดหลักในการให้เกียรติซึ่งกันและกัน สังคมจึงจะไม่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

แต่ถึงกระนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันว่า ไม่มีแนวคิดที่จะแตะต้องหรือแก้กฎหมายมาตรา 112 อย่างแน่นอน เพราะถือเป็นกฎหมายที่อยู่ในหมวดความมั่นคง เพื่อปกป้ององค์พระประมุขของชาติ และทางพรรคฯขอย้ำว่า กฎหมายนี้ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย ไม่มีผลต่อการดำรงชีวิตของสุจริตชน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะไปแก้ไขใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อถามถึงเงื่อนไขการร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งนั้น ดร.หิมาลัย เผยว่า "พรรครวมไทยสร้างชาติสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ถ้าพรรคการเมืองใดก็ตาม สนับสนุนการปกครองระบอบนี้ ทาง รทชส. ก็พร้อมทำงานร่วมรัฐบาลกันได้"

เมื่อถามถึงนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ที่หลายพรรคหยิบยกขึ้นมาหาเสียงเลือกตั้ง ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า "ที่ผ่านมานโยบายของกองทัพ ได้มีการปรับลดการเกณฑ์ทหารลงมา และเพิ่มสัดส่วนพลทหารอาสาสมัครมากขึ้น เพื่อปรับให้เข้ากับบริบทสังคมแต่อย่างไรก็ดี อยากจะฝากพรรคการเมืองที่มีนโยบายลดการเกณฑ์ทหาร ให้ดูบริบทประเทศรอบข้างของไทยว่าเป็นอย่างไร เชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าวันข้างหน้าจะไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และหากศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่า ศักยภาพทางทหารของประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่และกำลังพลของกองทัพ"

“เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าในอนาคตจะเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ ดูตัวอย่างประเทศที่กำลังรบกันอยู่ขณะนี้ก็ได้ ประเทศหนึ่งไม่พูดกล่าว แต่อีกประเทศที่มีผู้นำพูดเก่งออกทีวี ออกโซเชียลทุกวัน แต่ประเทศได้รับความบอบช้ำอย่างหนักแทบจะล่มสลาย เพราะฉะนั้น อยากฝากถึงพรรคการเมืองที่มองว่า ทหารไม่สำคัญ หากวันหนึ่งเกิดการสู้รบขึ้นมา ถ้าเราไม่มีทหารออกรบ ข้าศึกไม่ตายเพราะปากนะครับ” ดร.หิมาลัย กล่าวเสริม

ช่วงท้ายของรายการ ดร.หิมาลัย ยังได้นำเสนอนโยบาย รทสช. ที่จะผลักดันเร่งด่วนหากได้เป็นรัฐบาลคือเรื่องค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 1,000 บาท ซึ่งเป็นแนวคิดด้านมนุษยธรรมช่วยเหลือคนที่ลำบาก และอีกข้อ คือ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,000 บาททุกช่วงวัย ส่วนนี้เป็นเรื่องของความกตัญญู เป็นการดูแลคนแก่ ซึ่งในอดีตเป็นผู้ที่ทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประแทศ เมื่อกำลังลดน้อยถอดลง ก็ต้องดูแลกันตามหลักของความกตัญญู ขณะเดียวกัน ยังมีสวัสดิการสำหรับเด็กเกิดใหม่ตั้งแต่ 0-6 ขวบ ซึ่งจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน

ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า นโยบายดูแลเรื่องค่าครองชีพที่ทางพรรคได้วางไว้นั้น จะสอดคล้องกับงบประมาณแผ่นดิน โดยไม่เป็นภาระหนัก หากเทียบกับนโยบายของบางพรรคการเมืองที่ประกาศจะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมองว่าจะเป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินอย่างมาก เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลกว่า 5.6 แสนล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี ต้องขอบคุณนโยบายดังกล่าวด้วย เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันว่า เศรษฐกิจในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ดีขึ้นแล้ว เพราะเงินส่วนหนึ่งที่จะนำมาแจกนั้น คือเงินภาษีที่เก็บได้ในปีนี้นั่นเอง

#THESTATESTIMES
#ElectionTime
#NewsFeed
#หิมาลัยผิวพรรณ
#รวมไทยสร้างชาติ
#เบอร์22

'กกต.' โต้ 'ผอ.ข่าวเวิร์คพ้อยท์' ปม 'คะแนนโผล่ขั้วตรงข้าม' ที่นนท์ ยัน!! เป็น 'ข่าวเท็จ' เตือน!! ผู้ใดกด 'ไลก์-แชร์' มีโทษหนัก

(12 พ.ค. 66) กรณีนายสมภพ รัตนวลี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวเวิร์คพอยท์ แสดงความเห็นทางแอปพลิเคชัน TikTok ว่า "คนที่เค้าไปเลือกที่จังหวัดเค้า แต่คะแนนกลับโผล่จังหวัดนนทบุรี แล้วกาจากพรรคหนึ่งกลายเป็นอีกพรรคหนึ่ง ขั้วตรงข้ามกันเลย แล้วเป็นอย่างนี้อีกหลายคน กกต. ออกมายอมรับแล้วอ้างว่าเจ้าหน้าที่ผิดพลาด" นั้น ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้น

กกต. ขอชี้แจงว่า ในการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้งของจังหวัดนนทบุรี การกล่าวอ้าง
ว่ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่ง แต่คะแนนไปโผล่ที่จังหวัดนนทบุรี โดยมีการลงคะแนนให้ผู้สมัครอีกพรรคหนึ่งแต่คะแนนกลับไปปรากฎให้ผู้สมัครอีกพรรคหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีการนำบัตรมานับคะแนนจึงไม่อาจทราบว่าคะแนนเป็นของผู้สมัครคนใด ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงเป็นความเท็จ และเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริงในการเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งของจังหวัดนนทบุรี ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ

คำเตือน ผู้ใดแชร์ข่าวดังกล่าวด้วยวิธีการกดไลก์ กดแชร์ รีทวิต รีโพสต์ ทางยูทูบ ทางติ๊กต็อก ส่งต่อทางไลน์ไปยังกลุ่มต่างๆ หรือช่องทางสื่อสารอื่นๆ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top