'ดร.หิมาลัย' ลั่น!! รทสช. พร้อมป้อง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ หวังคนรุ่นใหม่ไม่ลืม 'รากเหง้าความเป็นไทย'

เปิดใจ ‘ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ’ ยืนยัน ‘บิ๊กตู่’ เหมาะนั่งนายกฯ ต่อ ย้ำ!! รทสช. ยึดมั่นสถาบัน ไม่แตะ ม.112 ลั่น!! พร้อมปกป้อง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ หวังคนรุ่นใหม่ไม่ลืม 'รากเหง้าความเป็นไทย'

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจในรายการ 'ถลกข่าว ถลกคน' EP 9 ถึงการเข้าร่วมทำการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า...

ตอนนี้ตนเองได้เดินหน้าร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเต็มตัว เพราะต้องการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีโอกาสทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า สาเหตุที่ตัดสินใจออกมาจากการทำงานให้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อมาสนับสนุนพลเอกประยุทธ์นั้น ไม่มีความขัดแย้งกับทาง พปชร.ใด ๆ ทั้งสิ้น และยังคงให้ความเคารพนับถือพลเอกประวิตรเช่นเดิม เพราะแม้แต่ตัวท่านพลเอกประยุทธ์เอง ก็ยังเคารพรักพลเอกประวิตรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ท่าน ไม่เคยกล่าวถึงกันในแง่ไม่ดีเลย และในการหาเสียงนั้น ทางพลเอกประยุทธ์จะกำชับทุกคนห้ามกล่าวโจมตีพลเอกประวิตรอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทั้ง 2 ท่านไม่มีความขัดแย้งกันโดยส่วนตัว

แต่ทว่า ในทางการเมืองนั้น อุดมการณ์และแนวคิดการทำงานอาจจะแตกต่างกัน ทำให้พลเอกประยุทธ์แยกออกมาทำการเมือง เดินหน้าต่อเพื่อประชาชนอย่างเต็มตัว เพราะยังมีหลายส่วนที่ท่านเห็นว่า จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน และการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ

ดร.หิมาลัย กล่าวต่ออีกว่า จากการที่ได้ทำงานกับพลเอกประยุทธ์ในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นคนที่ตั้งใจและทุ่มเททำงานจริง ที่สำคัญมีความโปร่งใส ดูได้จากตลอด 8 ปีที่พลเอกประยุทธ์ นั่งตำแหน่งนายกฯ ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก และที่สำคัญเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ 

"ผมขอยกตัวอย่าง การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำได้สำเร็จในรอบกว่า 30 ปี ซึ่งประเทศไทยได้รับประโยชน์มหาศาล จากทั้งในแง่การส่งออกสินค้า แรงงาน และการลงทุนด้านปิโตรเคมี นอกจากนี้ ในด้านโครงสร้างพื้นมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนด้านระบบรางที่เชื่อมโยงทั้งในไทยและเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเป้าหมายสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน ตอนนี้วางระบบรางไปแล้วนับพันกิโลเมตร และขยายถนนอีกนับหมื่นกิโลเมตร" 

ดร.หิมาลัย เผยอีกว่า แม้กระทั่งในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญกับโรคโควิด-19 ซึ่งถือเป็นวิกฤตโรคระบาดใหม่ที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน หลายประเทศตื่นตระหนก แม้กระทั่งประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเจริญก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ยังประสบกับระบบสาธารณสุขล่มสลาย ประชาชนล้มตายจำนวนมาก แต่ภายใต้วิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำของพลเอกประยุทธ์ ได้มีคำสั่งตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ขึ้นมารับมือทันที โดยให้อาจารย์หมอมาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา เพราะท่านรู้ว่า เรื่องนี้ท่านสู้หมอไม่ได้ ดังนั้นจึงให้ผู้มีความรู้นำแก้ปัญหา ส่วนตัวท่านและรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนทำตามคำแนะนำ ทำให้ประเทศไทยสามารถฝ่าวิกฤตมาได้และฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านระบบสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ จนทั่วโลกให้การยกย่อง

ส่วนวิสัยทัศน์ในด้านการบริหารความมั่นคงนั้น จะเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ชาติมหาอำนาจให้ความสำคัญ คนที่บอกว่า ประเทศไทยล้าหลังไป 8 ปี ห่วยแตก เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชาติมหาอำนาจคงไม่มองเราเป็นประเทศยุทธศาสตร์ และคนที่สามารถสร้างสมดุลให้กับมหาอำนาจทุกฝ่าย ก็คือ พลเอกประยุทธ์ นั่นเอง

ขณะที่หลายฝ่ายพยายามกล่าวหาว่า พลเอกประยุทธ์ เสพติดอำนาจนั้น ดร.หิมาลัย กล่าวว่า หากพลเอกประยุทธ์เป็นคนเสพติดอำนาจ วันนี้คงจะยังร่วมงานกับพรรคเดิม ไม่จำเป็นต้องมาทำการเมืองกับพรรคใหม่อย่างรวมไทยสร้างชาติ เพราะตรงนั้นมีฐานเสียงอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะท่านคิดว่า ยังสามารถทำงาน พัฒนาประเทศต่อไป โดยเฉพาะในส่วนที่ได้เริ่มทำมาแล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ส่วนจะได้กลับมาทำต่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนที่จะเป็นผู้ตัดสินในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ซึ่งผลจะออกมาอย่างไร ท่านก็พร้อมจะยอมรับ เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่องความมั่นคง ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พรรครวมไทยสร้างชาติให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการปกป้องสถาบันหลักของประเทศ ทั้งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

"อย่างที่รับทราบกันว่า ขณะนี้มีคนบางกลุ่มพยายามโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รู้หรือไม่ประเทศไทยที่ดำรงอยู่จนเท่าทุกวันนี้ เพราะบรรพบุรุษใช้เลือดเนื้อรักษาเอาไว้ตลอดมา และอย่าได้ลืมเลือนประวัติศาสตร์ ว่าครั้งหนึ่งเราเกือบตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่ด้วย 'เงินถุงแดง' ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 สะสมไว้ ช่วยให้ไทยรอดพ้นมาได้จนเท่าทุกวันนี้" ดร.หิมาลัย กล่าวและว่า...

“ฝากถึงน้อง ๆ ที่มีแนวคิดอยากเปลี่ยนแปลง อยากถามว่า บ้านของเรามีเสาหลักอยู่ วันดีคืนดีมาบอกว่า อันนี้ไม่ดีจะเอาออก หากเอาเสาหลักออกไปแล้ว จะมีอะไรมาทดแทนค้ำยันบ้านไม่ให้พังทลายลงหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ คงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้ ทุกอย่างเป็นไปตามบริบทและพลวัตรของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่พรรคฯ จะยึดมั่นในอุดมการณ์ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติเป็นสำคัญเช่นเดิม ในขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะรับฟังความเห็นต่าง และสร้างความเข้าใจ โดยไม่ปิดกั้นความคิดเห็นหากไม่ไปละเมิดกฎหมายบ้านเมือง เพราะยึดหลักในการให้เกียรติซึ่งกันและกัน สังคมจึงจะไม่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

แต่ถึงกระนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันว่า ไม่มีแนวคิดที่จะแตะต้องหรือแก้กฎหมายมาตรา 112 อย่างแน่นอน เพราะถือเป็นกฎหมายที่อยู่ในหมวดความมั่นคง เพื่อปกป้ององค์พระประมุขของชาติ และทางพรรคฯขอย้ำว่า กฎหมายนี้ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย ไม่มีผลต่อการดำรงชีวิตของสุจริตชน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะไปแก้ไขใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อถามถึงเงื่อนไขการร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งนั้น ดร.หิมาลัย เผยว่า "พรรครวมไทยสร้างชาติสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ถ้าพรรคการเมืองใดก็ตาม สนับสนุนการปกครองระบอบนี้ ทาง รทชส. ก็พร้อมทำงานร่วมรัฐบาลกันได้"

เมื่อถามถึงนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ที่หลายพรรคหยิบยกขึ้นมาหาเสียงเลือกตั้ง ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า "ที่ผ่านมานโยบายของกองทัพ ได้มีการปรับลดการเกณฑ์ทหารลงมา และเพิ่มสัดส่วนพลทหารอาสาสมัครมากขึ้น เพื่อปรับให้เข้ากับบริบทสังคมแต่อย่างไรก็ดี อยากจะฝากพรรคการเมืองที่มีนโยบายลดการเกณฑ์ทหาร ให้ดูบริบทประเทศรอบข้างของไทยว่าเป็นอย่างไร เชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าวันข้างหน้าจะไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และหากศึกษาอย่างละเอียด จะพบว่า ศักยภาพทางทหารของประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่และกำลังพลของกองทัพ"

“เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าในอนาคตจะเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ ดูตัวอย่างประเทศที่กำลังรบกันอยู่ขณะนี้ก็ได้ ประเทศหนึ่งไม่พูดกล่าว แต่อีกประเทศที่มีผู้นำพูดเก่งออกทีวี ออกโซเชียลทุกวัน แต่ประเทศได้รับความบอบช้ำอย่างหนักแทบจะล่มสลาย เพราะฉะนั้น อยากฝากถึงพรรคการเมืองที่มองว่า ทหารไม่สำคัญ หากวันหนึ่งเกิดการสู้รบขึ้นมา ถ้าเราไม่มีทหารออกรบ ข้าศึกไม่ตายเพราะปากนะครับ” ดร.หิมาลัย กล่าวเสริม

ช่วงท้ายของรายการ ดร.หิมาลัย ยังได้นำเสนอนโยบาย รทสช. ที่จะผลักดันเร่งด่วนหากได้เป็นรัฐบาลคือเรื่องค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 1,000 บาท ซึ่งเป็นแนวคิดด้านมนุษยธรรมช่วยเหลือคนที่ลำบาก และอีกข้อ คือ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,000 บาททุกช่วงวัย ส่วนนี้เป็นเรื่องของความกตัญญู เป็นการดูแลคนแก่ ซึ่งในอดีตเป็นผู้ที่ทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประแทศ เมื่อกำลังลดน้อยถอดลง ก็ต้องดูแลกันตามหลักของความกตัญญู ขณะเดียวกัน ยังมีสวัสดิการสำหรับเด็กเกิดใหม่ตั้งแต่ 0-6 ขวบ ซึ่งจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน

ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า นโยบายดูแลเรื่องค่าครองชีพที่ทางพรรคได้วางไว้นั้น จะสอดคล้องกับงบประมาณแผ่นดิน โดยไม่เป็นภาระหนัก หากเทียบกับนโยบายของบางพรรคการเมืองที่ประกาศจะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมองว่าจะเป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินอย่างมาก เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลกว่า 5.6 แสนล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี ต้องขอบคุณนโยบายดังกล่าวด้วย เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันว่า เศรษฐกิจในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ดีขึ้นแล้ว เพราะเงินส่วนหนึ่งที่จะนำมาแจกนั้น คือเงินภาษีที่เก็บได้ในปีนี้นั่นเอง

#THESTATESTIMES
#ElectionTime
#NewsFeed
#หิมาลัยผิวพรรณ
#รวมไทยสร้างชาติ
#เบอร์22

รับชมคลิปเต็มได้ที่ >> https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=5972319906228229&id=100064606066871