Tuesday, 30 April 2024
Econbiz

‘TAIA’ คาดแนวโน้มผลิตรถปีนี้ ทะลุ 1.9 ล้านคัน  ยัน!! สนับสนุนร่วมสร้าง ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’

(8 เม.ย.67) ในกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชน (TAIA Meets the Press) ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย” จัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (The Thai Automotive Industry Association : TAIA), สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association : TAJA และบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI ผู้จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 คาดการณ์แนวโน้มภาคผลิตยานยนต์ปี พ.ศ. 2567 ทะลุ 1.9 ล้านคัน เติบโตต่อเนื่องจากนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ ส่วนยอดขายในประเทศอาจไม่เติบโต เหตุจากหนี้ภาคครัวเรือน และยอด NPL รถยนต์ยังสูง ส่งผลประมาณการยอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะอยู่ที่ 7.5 แสนคัน

นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เผยว่า ในปี พ.ศ. 2567 คาดการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมที่ 1.9 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3.17% โดยแบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 7.5 แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1.15 ล้านคัน และสำหรับรถจักรยานยนต์คาดการณ์จะมีการผลิตที่ 2.12 ล้านคัน เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 0.03%

ปัจจัยส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ปี 2567 หลักคือ ภาวะทางเศรษฐกิจ ภาระหนี้สินภาคธุรกิจและ ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและหนี้เสีย NPL มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจซื้อของประชาชนที่ลดลง นโยบายและกฎระเบียบด้านยานยนต์ การบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับยูโร 5 ทั้งรถยนต์และน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคารถยนต์และน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับอนาคตยานยนต์ไฟฟ้า (EV :Electric Vehicle) ในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดจดทะเบียนรวมปัจจุบันอยู่ประมาณ 1.0 – 1.2 แสนคัน และส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่ง จากการตระหนักถึงความสำคัญของการลดภาวะโลกร้อนโดยการใช้รถไฟฟ้าจากประชาชนชาวไทย รวมถึงมาตรการ การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ยอดขายรถ EV มีอัตราการเติบโตแบบชะลอตัว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการตัดสินใจชะลอซื้อรถรุ่นใหม่ เพราะการทยอยเข้ามาของรถ EV รุ่นใหม่ แบรนด์ใหม่ๆ จากประเทศจีน และการทำสงครามราคาของ EV ด้วยกันเอง

นายสุวัชร์ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อยู่ในช่วงของการปรับตัว และเปลี่ยนถ่ายสู่การผลิตยานยนต์พลังงานสะอาดในอนาคตอันใกล้ เพียงแต่ในเวลานี้ นโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV 3.0, EV 3.5 และมาตรการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ รถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าของรัฐบาล มีการอุดหนุนด้านการผลิตรถ EV และเงินอุดหนุนราคา ส่งผลให้ราคารถ EV ต่ำกว่าความเป็นจริง สิ่งที่สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกังวลคือ อาจมีการชะลอตัวในตลาดรถ EV หลังจากมาตราการอุดหนุนต่างๆ สิ้นสุดลง

สิ่งสำคัญในเวลานี้คือ มาตรการเหมาะสมในการสนับสนุนการอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จากการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE : Internal Combustion Engine) มาอย่างยาวนาน ครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก เปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการสร้างสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้ตามโนบาย “เป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี 2050” ของรัฐบาลผ่านนโยบายต่างๆ เช่น 30@30 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ และการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ปี 2569 เพื่อส่งเสริมรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายสุรศักดิ์ จรินทอง อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนสื่อมวลชนสายยานยนต์รู้สึกได้ถึงความตั้งใจของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในการนำเสนอข้อมูลภาพรวม และทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยข้อมูลจากกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นแนวทางให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดยานยนต์ไทยในอนาคต สมาคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมูลเหล่านี้ สามารถสื่อสาร และเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานต่างๆ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI และประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ กล่าวว่า ทิศทางอุตสาหกรรม
ยานยนต์ไทยปัจจุบัน มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์มีการแข่งขันกันสูง ในขณะที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรวมทั้งตนเองในฐานะผู้จัดงานมอเตอร์โชว์ พยายามผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตไปสู่แนวหน้าของโลก อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเติบโตมาได้อย่างทุกวันนี้ เป็นความร่วมมือของผู้ประกอบการทุกบริษัท โดยเฉพาะญี่ปุ่น ค่ายญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ที่ผ่านมามีการรุกเข้ามาของรถยนต์จากประเทศจีนอย่างมาก แต่อนาคตรถจากจีนเข้ามาแล้วจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกแบบนี้หรือไม่นั้น สำคัญคือเราต้องรู้ทันสิ่งที่เห็น ตอนนี้สิ่งที่กลัวคือ รู้ไม่ทันสิ่งที่เกิดขึ้น

“จึงอยากเตือนว่าอย่าลุ่มหลงจนเกินไป ทั้งที่พื้นฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเราดีอยู่แล้ว แต่เป็นห่วงในเวลานี้คือ พื้นฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะได้รับผลกระทบ ห่วงความไม่ยั่งยืน อุตสาหกรรมมยานยนต์ไทยเราทำมา 50 กว่าปีด้วยความยากลำบาก มีค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นยกตัวอย่างทั้งโตโยต้า อีซูซุ มิตซูบิชิ และอีกหลายค่าย ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะปิกอัพส่งออกไปทั่วโลกรวมหลายล้านคันแล้ว” ดร.ปราจิน กล่าว

ดร.ปราจิน กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย ในช่วงแรก ตนเองเคยมีโอกาสได้เดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นช่วงที่มีการย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย ทำให้เห็นว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับอุตสาหกรมยานยนต์ไทยอย่างมาก ไม่อย่างนั้นค่ายรถยนต์ทั่วโลกคงไม่เกรงใจไทยเหมือนทุกวันนี้ ในฐานะผู้จัดงานมอเตอร์โชว์มีผู้เข้าชมครั้งละเป็นล้านคน ดังนั้นเราจึงต้องรักษาไว้ ตนจัดงานมอเตอร์โชว์มาจนถึงวันนี้ ครั้งที่ 45 อยากให้เป็นตัวอย่างให้ทุกคนเห็น ตอนนี้ตนอายุ 81 ปีแล้ว แต่ยังอยากทำงานให้ประเทศไทยให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อไป

‘EA’ จับมือ ‘BAFS’ ลุยส่งเสริมการใช้ SAF ในอุตฯ การบิน ปักหมุดลดการปล่อย CO2 ก้าวสู่ Net Zero ในปี 2573

(9 เม.ย. 67) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) รักษ์โลก ผนึกกำลัง บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) ศึกษาแผนร่วมทุนตั้งบริษัทใหม่ประกอบธุรกิจผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel (SAF) ส่งเสริมเป้าหมายอุตสาหกรรมการบินก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2573 โดยมี ม.ร.ว.ศุภดิศ ดิศกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าว เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า EA มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ใช้นวัตกรรมของคนไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ การลงทุนต่อยอดในธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพใช้สำหรับเครื่องบินในครั้งนี้ สามารถช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนให้ประเทศไทยไปสู่ Carbon Neutral ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ กับประชาคมโลกใน COP26 ว่าด้วยการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก

การลงนามความร่วมมือกันของ EA และ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ในครั้งนี้นั้นเป็นการรวมจุดแข็งของสององค์กรของไทยที่จะควบรวมองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจผลิต น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ธุรกิจจัดเก็บและบริหารจัดการน้ำมัน SAF รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ 
ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในอนาคต ทั้งในประเทศไทยเอง และในอาเซียน

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บาฟส์) เปิดเผยว่า บาฟส์ ในฐานะผู้ให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบครบวงจรตามมาตรฐานสากล ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการนำองค์ความรู้และประสบการณ์กว่า 40 ปี ในการบริหารจัดการและให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จับมือกับ EA ผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาด เพื่อผลักดัน SAF ให้เป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมมือกัน เพื่อศึกษาโอกาสในการ สร้างสถานีบริการผสมน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF Blending Facility) แบบ Open-Access เพื่อรองรับ SAF ที่ผลิตมาจากวัตถุดิบทางชีวภาพและวัตถุดิบอื่น ๆ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงความสะดวกในการเข้าถึงของทุกบริษัทน้ำมัน เพื่อส่งเสริมให้ตลาดการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนเป็นไปอย่างเสรี สนับสนุนผู้ผลิตน้ำมันอากาศยานทุกราย พร้อมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำมันอากาศแบบยั่งยืนของภูมิภาค 

ทั้งนี้ ด้วยประสบการณ์การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอากาศยานของบาฟส์ ทำให้สายการบินจากทั่วทุกมุมโลกมั่นใจได้ว่าน้ำมันที่ บาฟส์ ให้บริการเป็นน้ำมันอากาศยานที่มีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ บุคลากรของบาฟส์ ได้ผ่านการรับรองจากองค์กร ISCC จึงมีความพร้อมสำหรับบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบและรับรองคุณภาพ SAF ให้ตรงตามมาตรฐานสากล ทั้งการตรวจสอบความสอดคล้องด้านความยั่งยืนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต และปริมาณคาร์บอนที่ลดลงตามกรอบมาตรฐานด้านความยั่งยืน

การลงนามความร่วมมือระหว่าง EA และ BAFS เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรม การบินที่ไร้มลพิษ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ เเละเป็นเเรงผลักดันขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ ในธุรกิจของประเทศให้เติบโตบนหลัก Sustainability Business ตลอดจนทำให้ประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น สร้างสมดุลทางสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยให้แข็งเเกร่ง

‘นารายา’ ประกาศตามหาสาวน้อยแฟนคลับทีม eSport ‘Bacon Time’ หลังชูป้ายเชียร์หากชนะจะซื้อนารายา 1 ใบ ล่าสุดเจอตัวแล้ว

เมื่อวานนี้ (8 เม.ย.67) นารายา กระเป๋าผ้าชื่อดัง ประกาศตามหาสาวชูป้าย 'Bacon Time แชมป์ ซื้อนารายาใบนึง' ในงาน Pro League Summer โดยโพสต์ในเฟซบุ๊กเพจ NaRaYa ว่า...

“นารายาขอแสดงความยินดีกับ Bacon Time ที่คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ของ Pro League Summer มาฝากพวกเราได้สำเร็จ เจ้าต้าวหมูเบค่อนทั้ง 5 พวกนายเก่งมาก ๆ เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ 

เมื่อวานนี้ ทีมนารายาได้ไปร่วมให้กำลังใจ BAC ที่ BITEC Bangna มาด้วย บรรยากาศสนุกสนานสุด ๆ การแข่งขันเมื่อวานนี้เดือดมาก ๆ BAC ทำสุด ทำถึง ทำดีมาก สู้กันสุดใจสุด ๆ ทีมเชียร์ก็เชียร์กันสุดใจมากเช่นกัน แมทช์ต่อไป International League ช่วงเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ ทีมนารายา ทีม BAC เตรียมเกาะขอบจอให้กำลังใจกันต่อได้เลย 

เราเจอสาวน้อยคนหนึ่งชูป้าย 'Bacon Time แชมป์ ซื้อนารายาใบนึง' ทีมนารายาอยากเจอตัวมาก แสดงตัวมาเดี๋ยวนี้ หรือถ้าใครรู้จักฝากบอกให้ทักมาหาเราทีนะคะ เราจะทำให้ฝันของน้องเป็นจริงค่ะ 

Last but not least ขอแอบสปอยล์นิดนึงว่า มีโปรเจกต์ลับ NaRaYa x Bacon Time ที่จะปล่อยช่วงมิถุนายน นี้เช่นกัน เกาะจอรอไว้นะ!! เพราะพลาดแล้ว พลาดเลย rare item ไม่ได้มีเยอะ และไม่ได้มีตลอด!!”

เมื่อโพสต์ดังกล่าวออกสู่สาธารณะ ปรากฏว่า ชาวโซเชียลช่วยกันกระหน่ำตามหาสาวน้อยคนนั้น และผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็สามารถตามหาสาวน้อยคนนั้นเพื่อสานฝันน้องในการเป็นเจ้าของกระเป๋านารายาได้สำเร็จ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการนัดหมายน้องมาทำการเลือกกระเป๋าด้วยตัวเอง 

นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ของ ‘พลังโซเชียลมีเดีย’ และกระแสตอบรับของน้อง ๆ ที่มีต่อทีมเบคอนและนารายาผู้สนับสนุนเบคอนอย่างเป็นทางการ

‘รมว.ปุ้ย’ กรุยทางยกระดับรอบด้านโครงสร้างพื้นฐาน 'นครศรีธรรมราช' พร้อมเพิ่มทักษะ 'ชุมชนดีพร้อม' เชื่อมท่องเที่ยว 'สายมู' สร้างรายได้ยั่งยืน

รมว.ปุ้ย ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลุยแผนยกระดับศักยภาพพื้นที่ ขานรับนโยบายรัฐบาล มุ่งสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอัตลักษณ์และวัตถุดิบในท้องถิ่น ผ่านการอัปสกิลชุมชน ให้ 'ดีพร้อม' ถอดรหัสความสำเร็จเชื่อมโยงท่องเที่ยวสายมูสู่การขยายผลพัฒนาชุมชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมหารือนายกฯ เน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ต่อการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน

(9 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า การยกระดับเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนความมั่งคั่งของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงพื้นที่และมอบนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการยกระดับต้นทุนเดิมไปสู่ศักยภาพในการแข่งขัน 

ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีความเข้มแข็งและประชาชนสามารถมีรายได้อย่างยั่งยืนได้นั้น จึงจำเป็นต้องกระจายโอกาสและสร้างรายได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการเชื่อมโยงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ในพื้นที่

สำหรับ จ.นครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดใหญ่ของทางภาคใต้ มีภูมิประเทศและลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีศักยภาพทางด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความศรัทธา และความเชื่อที่มีมนต์เสน่ห์สวยงาม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรมการแสดงของชาวภาคใต้ อาทิ ครูหมอมโนราห์ ตาพรานบุญ ด้วยอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและกลมกลืนกับวิถีชีวิตชุมชน รวมถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ประชาชนให้ความเลื่อมใสสักการะ อาทิ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช, วัดเจดีย์ จึงถือได้ว่ามีศักยภาพอย่างยิ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู อีกทั้ง ยังมีศักยภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีความเหมาะสมอย่างมากในการนำเข้าสู่กระบวนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม 

ขณะเดียวกัน ได้หารือนายกฯ เพื่อต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมที่มีความพร้อมในการขนส่งเชื่อมโยงในทุกด้าน รวมถึงความพร้อมในการยกระดับทุกมิติด้วยการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การขนส่ง และกระจายโอกาสสู่การพัฒนาตามแนววิสัยทัศน์ 'IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง' ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือได้ว่า จ.นครศรีธรรมราช เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมในการพัฒนาในทุกๆ ด้านไปสู่เศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมองหาโอกาสในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อให้เป็นแหล่งรายได้สำหรับภาคประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการและชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าจากอัตลักษณ์และวัตถุดิบในท้องถิ่นผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนการแปรรูปในเชิงอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีที่สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ 

โดยมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ 'ดีพร้อม' เร่งยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความเข้มแข็งชุมชนในพื้นที่รับผิดชอบผ่านโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ 'เปลี่ยนชุมชน ให้ดีพร้อม สู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืน' ด้วยการถอดบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนาชุมชนจากผู้ประกอบการและเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้เข้ารับบริการของกระทรวงอุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบอกเล่าประสบการณ์ในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปปรับใช้กับธุรกิจและเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชุมชนสายมูได้อย่างดี โดยมีประชาชนจากชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 2,000 คน 

ขณะเดียวกัน รมว.ปุ้ย ยังได้ใช้โอกาสในการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชหารือ กับนายกฯ เศรษฐา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการยกระดับศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการสนามบิน จ.นครศรีธรรมราชสู่สนามบินนานาชาติ รวมถึงผลักดันการขยายถนน 4 ช่องจราจร ได้แก่ สายคลองเหลง-ขนอม และ ขนอม-ดอนสัก ซึ่งเส้นทางนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญ ในการเชื่อมโยงการเดินทางไปยังเกาะสมุยที่ใกล้ที่สุด โดยถนนสาย นศ.4088 เชื่อมโยงระหว่าง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ไปยัง อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเชื่อมั่นว่าเส้นทางนี้จะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่ และเป็นเส้นทางขนส่งผลผลิตทุเรียนมูลค่านับพันล้านบาทต่อปี อีกทั้ง ยังเป็นเส้นทางอพยพของประชาชนในช่วงฤดูมรสุม น้ำหลาก 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการปรับปรุงถนนเลียบชายทะเลขนอม-สิชล และถนนเลียบชายทะเลสิชล-ท่าศาลา เพื่อรองรับการพัฒนาไปสู่ถนนสายการกีฬาและท่องเที่ยวได้ในอนาคตอีกด้วย

'กนอ.' มอบส่วนลดพิเศษกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงลงทุนนิคมฯ ภาคใต้ ในส่วน Rubber City

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดมาตรการส่งเสริมการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ส่วนของพื้นที่ Rubber City เสนอโปรโมชันเด็ดเปิดจองที่ดินรับส่วนลดสูงสุดถึงร้อยละ 5 หวังดึงดูดการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้

(10 เม.ย.67) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. จัดมาตรการส่งเสริมการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยผู้ประกอบกิจการใหม่ จะได้รับส่วนลดร้อยละ 3 ของอัตราราคาขายที่ดิน และผู้ประกอบกิจการเดิม จะได้รับส่วนลดร้อยละ 5 ของอัตราราคาขายที่ดิน 

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้ประกอบกิจการใหม่และผู้ประกอบกิจการเดิม จะได้รับมาตรการส่งเสริมการขายที่ดิน ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้...

1) ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หรือทำสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ตามแบบที่ กนอ. กำหนด 

2) ชำระค่ามัดจำไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าที่ดินในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยค่าที่ดินส่วนที่เหลือต้องชำระภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. 

3) แจ้งเริ่มประกอบกิจการภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. 

4) ห้ามขายหรือโอนที่ดินบางส่วนหรือทั้งหมดภายใน 9 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ทั้งนี้ ไม่นับรวมถึงกรณีการควบรวมกิจการ หรือกรณีผู้ขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดามีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นใหม่ภายหลังได้แจ้งกับ กนอ. ไว้แล้วเป็นลายลักษณ์อักษร และผู้ขออนุญาตใช้ที่ดินดังกล่าวถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนจดทะเบียน 

และ 5) กรณีผู้ประกอบกิจการใหม่หรือผู้ประกอบกิจการเดิม ไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งที่กำหนดไว้ ให้ถือว่ามาตรการส่งเสริมการขายที่ดินทั้งหมดเป็นอันยุติ ผู้ประกอบกิจการใหม่หรือผู้ประกอบกิจการเดิม ต้องชำระค่าที่ดิน ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมดให้แก่ กนอ. โดยมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายที่ดินกับ กนอ. และต้องชำระให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่ กนอ. กำหนด

“Rubber City เป็นทางเลือกใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในขณะนี้ โดยมีความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และยังมีโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงทั้งภายในและต่างประเทศ ที่สำคัญ ยังเป็นศูนย์กลางแหล่งผลิตยางพาราและตลาดการค้ายางที่สำคัญของประเทศอีกด้วย” นายวีริศ กล่าว

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 1,043 ไร่ เป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป 582 ไร่ พื้นที่พาณิชยกรรม 35 ไร่ และพื้นที่ระบบสาธารณูปโภคและพื้นที่สีเขียว 426 ไร่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบกิจการแล้ว 12 ราย ใช้พื้นที่รวม 64 ไร่ ประกอบด้วย นักลงทุนไทย ร้อยละ 56 นักลงทุนมาเลเซีย ร้อยละ 21 นักลงทุนญี่ปุ่น ร้อยละ 4 และนักลงทุนอื่นๆ อาทิ อังกฤษ ไต้หวัน ปานามา ร้อยละ 19 ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City ยังคงเหลือพื้นที่ขาย/ให้เช่า อีก 468 ไร่

ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการข้างต้นได้จากประกาศและมาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินได้ที่ [email protected] หรือที่โทรศัพท์ 0-2253-0561 ต่อ 1148 ,2124 ,2123 และ 1195 

'กระทรวงแรงงาน' ดีลสำเร็จ!! งานโรงพยาบาลญี่ปุ่น ปี 67 - 68   พร้อมรับแรงงานทักษะเฉพาะเพิ่ม 200% เงินเดือนเริ่มต้น 6 หมื่นบา

(10 เม.ย.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน หารือด้านขยายตลาดแรงงาน ร่วมกับ Mr.Daiki KAMO ผู้บริหารบริษัท Medical Corporation MIDORI-KAI และผู้แทนองค์กรผู้รับ พร้อมตรวจเยี่ยมผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคในความดูแล ณ โรงพยาบาล Midorikai Medical Corporation Takesato Hospital เมืองคาสุคาเบะ จังหวัดไซตามะ 

นายสมชาย เปิดเผยว่า งานบริบาลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ เป็นอีกหนึ่งสาขาอาชีพที่กรมการจัดหางานให้ความสำคัญต้องการผลักดันและส่งเสริมให้นายจ้างญี่ปุ่นนำเข้าแรงงานไทยเป็นจำนวนมาก โอกาสนี้ได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการจ้างแรงงานไทยในอนาคตตามนโยบายของโรงพยาบาล และสิ่งที่ต้องการให้กรมการจัดหางานสนับสนุน เพื่อส่งเสริมการจ้างแรงงานไทยในภาคบริบาล เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่ประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงาน และให้ค่าตอบแทนสูง เดือนละประมาณ 250,000 เยน หรือราว 6 หมื่นบาท 

สำหรับโรงพยาบาล Midorikai Medical ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2545 เป็นศูนย์ดูแลและรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ขนาด 274 เตียง อาคาร 5 ตึก แบ่งการดูแลตามสภาพของผู้ป่วย มีการรับผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค และแรงงานทักษะเฉพาะชาวไทย 17 ราย ประกอบด้วย ผู้ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิค 8 ราย แรงงานทักษะเฉพาะ 8 ราย และอยู่ระหว่างยื่นขอวีซ่าทำงานประเภทบริบาล 1 ราย ซึ่งทางโรงพยาบาลยินดีรับแรงงานทักษะเฉพาะจากประเทศไทยในปีนี้และปี 2568 เพิ่มจำนวน 10 คน 

ขณะที่ในส่วนองค์กรผู้รับ มีแผนรับแรงงานทักษะเฉพาะ สาขางานบริบาล ซึ่งจัดส่งผ่านบริษัทจัดหางานที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ในปี 2567 สาขางานบริบาล ประมาณ 30 คน และปี 2568 รวม 50 คน แบ่งเป็นสาขางานบริบาล ประมาณ 30 คน และสาขางานสายโรงงาน ประมาณ 20 คน ทั้งนี้ ถือว่าเพิ่มโอกาสในงานบริบาลให้แรงงานไทยถึง 252%

ในการนี้ อธิบดีกรมการจัดหางานได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล Midorikai Medical พร้อมมอบโอวาทแก่แรงงานไทยที่เสียสละความสุขส่วนตัวห่างครอบครัวมาทำงานไกลบ้านแม้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พี่น้องแรงงานไทยเคารพนับถือ คุ้มครองและดลบันดาลให้มีแต่ความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจทุกประการ

ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทรศัพท์ 0 2245 1021 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

'เอ็มเค' ส่ง 'สุกี้พร้อมปรุง' ขายในเซเว่นฯ ชุดละ 69 บาท เจาะกลุ่มสะดวกซื้อ-ฝ่าวิกฤติคู่แข่งแบ่งตลาดพรึ่บ

(10 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK ยังคงเดินเกมบุกตลาดสุกี้อย่างต่อเนื่อง หลังประกาศขาย ‘น้ำจิ้มสุกี้สูตรต้นตำรับ’ ในรูปแบบขวด ขนาด 830 กรัม ราคา 119 บาท และขนาด 350 กรัม ราคา 65 บาท

โดยวางจำหน่าย ผ่านช่องทางสาขาร้าน MK Restaurants หรือสั่งซื้อทางช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็ปไซต์ MK Restaurants, ลาซาด้า, ช้อปปี้ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ 7-11 และซูเปอร์มาร์เก็ตเช่น ท็อปส์ เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่ง ‘ชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร’ พร้อมปรุง รูปแบบแพ็คใส่ถุง พร้อมน้ำจิ้มสูตรต้นตำรับ ขนาด 325 กรัม วางจำหน่ายในร้าน 7-11 ในราคาชุดละ 69 บาท

ประกอบด้วย ผักรวม ได้แก่ ผักกาดขาว เห็ดซิเมจิดำ ผักบุ้ง แครอท ขึ้นฉ่าย น้ำจิ้มสุกี้เอ็มเค และ ลูกชิ้นรวมมิตร ได้แก่ ลูกชิ้นรักบี้ เอ็มเคแชลมอน สาหร่ายทรงเครื่อง ลูกชิ้นเอ็มเค เต้าหู้เนื้อปลา และวุ้นเส้น

การเดินเกมของเอ็มเคสุกี้ที่รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม เพื่อให้ตอบโจทย์คนที่ชอบกินที่บ้าน ท่ามกลางพฤติกรรมลูกค้าและตลาดสุกี้ที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากมีคู่แข่งดาหน้าเข้ามาสู่ตลาด

คงต้องติดตาม หลังจากนี้เอ็มเคสุกี้จะมีการทำตลาดอะไรออกมาอีกบ้าง

‘OR’ จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2567  ยึดถือแนวทาง ‘Carbon Neutral Event’

(10 เม.ย. 67) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท และ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2566 การจ่ายเงินปันผล และการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ตามกฎหมาย ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) 

โดย OR มุ่งมั่นที่จะแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดการประชุม ผ่านการขอรับรองกิจกรรมชดเชยคาร์บอนตามแนวทาง Carbon Neutral Event ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนในปี 2030 ของ OR (OR 2030 Goals) ที่ครอบคลุมทั้งสังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม และผลการดำเนินการที่ดี และได้นำหลักการการจัดประชุมอย่างยั่งยืนตามแนวทางการจัดประชุมสีเขียว หรือ Green Meeting ขององค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการงดหรือลดการแจกเอกสาร เพื่อลดการใช้ทรัพยากร การใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้เพื่อใช้งานบริเวณห้องควบคุมการประชุม รวมถึงจัดให้มีการแยกขยะ เพื่อนำกลับไปรีไซเคิลให้ได้มากที่สุดอีกด้วย

กาสิโน Chapter ใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ไว้ใจรัฐ!! ทำเพื่อประโยชน์คนไทยในวงกว้าง

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'กาสิโน Chapter ใหม่ของการท่องเที่ยวไทย' เมื่อวันที่ 14 เม.ย.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ในที่สุดสถานบันเทิงครบวงจรก็ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแบบไร้เสียงคัดค้าน แต่กระแสคัดค้านน่าจะมาจากสังคมนอกสภา สังคมที่ท่านนายกรัฐมนตรีเรียกว่าเป็นสังคมอีแอบ

นับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ Mega Project ในรอบหลายปี การท่องเที่ยวไทยพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและโบราณสถานเป็น Tourist Attractions มาโดยตลอด จนสถานที่เหล่านั้นเริ่มสึกหรอและเสื่อมทรามลงไปจากความแออัดของนักท่องเที่ยว รัฐบาลในอดีตได้รับรายได้มหาศาลจากภาคการท่องเที่ยว แต่ละเลยที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อยกระดับสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นระดับโลก

ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญของประเทศและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โครงการสถานบันเทิงครบวงจร นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ใน Man-made Attractions แล้ว ยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่สากล และการท่องเที่ยวเชิง MICE (Meeting Incentive Convention and Exhibition) ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่ใช้จ่ายเงินสูง และสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศอื่น ๆ มาแล้ว

แน่นอน ผลกระทบทางสังคมที่หลายฝ่ายวิตกกังวล ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ แต่ก็ไม่สมควรที่จะหวาดกลัวไปตามแรงกดดันของสังคมอีแอบ เพราะปัจจุบันสังคมไทยก็อยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นอบายมุขที่ผิดกฎหมาย การนำอบายมุขเหล่านี้ขึ้นมาบนดิน อาจทำให้รายได้ของเจ้าหน้าที่ที่รับส่วยอยู่ในปัจจุบันลดลงหรือหมดไป แต่ก็กลายมาเป็นรายได้ของรัฐบาล ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้างต่อไป

ส่วนกลุ่มเปราะบางทางสังคมซึ่งอาจได้รับผลกระทบ เชื่อว่ารัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับอยู่แล้ว และกลุ่มรากหญ้าที่ต้องการเล่นการพนันที่ถูกกฏหมายแต่ไม่สามารถเข้าถึงกาสิโนในสถานบันเทิงได้นั้น ก็สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิตอลออนไลน์เข้ามาเสริมการให้บริการและการเข้าถึงในระดับรากหญ้า แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเคร่งเครียดของรัฐบาล

ประเทศไทยสูญเสียโอกาสและรายได้ไปนานหลายสิบปี ครั้งนี้จึงเป็นวาระสำคัญของประเทศที่คนไทยทุกคนจะร่วมกันผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

คาด!! ราคาทองอาจพุ่งขึ้นต่อไปในระยะยาวจนถึงปีหน้า  เหตุเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย 'ในภาวะสงคราม-เงินดอลฯ แข็งค่า'

(11 เม.ย. 67) จากบทสัมภาษณ์กับนายแพทย์ กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ในรายการ Business Tomorrow ได้เผยว่า ราคาทองจะพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง โดยจะเป็นคลื่นของราคาทองขึ้นลูกที่ 5 

นพ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า การขึ้นของราคาทองในคลื่นลูกที่ 5 นี้ จะพุ่งขึ้นสูงได้ไกลและขึ้นได้ในระยะยาวโดยมีโอกาสเพิ่มขึ้นไปได้ถึงปีหน้า โดยนพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ในระยะ 3-4 ปีก่อน แม้ราคาจะยังคงแกว่งขึ้นลงตามรูปแบบกราฟตามรายเดือนแล้ว ราคาทองในปีนี้กำลังอยู่ในวัฎจักรของตลาดขาขึ้นอย่างเต็มตัว นพ.กฤชรัตน์ยังกล่าวว่า ราคาทองคำกำลังขึ้นในรูปแบบ 'Cup and Handle' ซึ่งเป็นกราฟขาขึ้นที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถไว้วางใจได้เป็นอย่างมาก

สำหรับเหตุผลของตลาดขาขึ้นของราคาทองคำมาจาก 2 ปัจจัย...

1. สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นเกินระดับของ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไวกว่าการคาดการณ์ที่มองว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นในช่วงหลังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว ทำให้ทองคำที่มองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหรือ Safe Haven 

2. เงินดอลลาร์ที่ยังแข็งอยู่ทำให้นานาประเทศกังวลการเก็บพันธบัตรสหรัฐไว้ โดยในช่วงสงคราม ยังกังวลเรื่องการที่ทุนอาจถูกสหรัฐฯ ยึดได้ในกรณีที่มีปัญหาต่อกัน จึงมองไปที่การซื้อทองคำเข้ามาถือ ธนาคารกลางทั่วโลกเลือกที่จะซื้อทองคำมาถือไว้แทน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top