Sunday, 6 July 2025
อังกฤษ

เปิดเรื่องราว ‘ชาวฮ่องกง’ ผู้ถือ ‘พาสปอร์ต BNO’ หวังหนี ‘จีน’ ซบ ‘อังกฤษ’ ไร้สิทธิประโยชน์-อยู่ต่ำกว่าพลเมืองในประเทศ สุดท้ายมีคนจบชีวิตประท้วง

ก่อนและหลัง...สหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่ชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่งถึงทำก็คือ ‘การอพยพ’ ไปอยู่ประเทศอื่น ๆ อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ ประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม โดยการอพยพไปอยู่อังกฤษนั้น ชาวฮ่องกงใช้สถานะความเป็น ‘พลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล)’ หรือ British National (Overseas) ซึ่งจะได้หนังสือเดินที่เรียกว่า ‘British National (Overseas) passport หรือ BN(O) passport’

โดยสถานะดังกล่าวได้มาจากการลงทะเบียนโดยสมัครใจของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับดินแดนอดีตอาณานิคมฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นพลเมืองในดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ (British Overseas Territories citizen : BDTC) ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1997 การลงทะเบียนสถานะ BN(O) จำกัดเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีก่อนการโอน โดยถือเป็นการจัดเตรียมชั่วคราวสำหรับอดีต BDTC ผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน (หลังปี 1997) ไม่สามารถได้รับสถานะนี้ได้

BN(O) ถือเป็นพลเมืองของเครือจักรภพ จึงไม่ใช่พลเมืองอังกฤษ ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเข้าสู่สหราชอาณาจักรเหมือนชาวต่างชาติอื่น ๆ ทั้งยังไม่มีสิทธิ์ในการพำนักในอังกฤษโดยอัตโนมัติ และชาวฮ่องกงที่เลือกเป็น BN(O) แล้ว ทุกคนจะต้องสละสัญชาติจีน(ฮ่องกง) โดยมีสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในฮ่องกงหลังจากที่รัฐบาลจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (ซึ่งก่อให้เกิดการจลาจลในฮ่องกงในปี 2019-2020) สหราชอาณาจักรได้อนุญาตให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) และสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในความอุปการะของพวกเขาสามารถสมัครวีซ่าถิ่นที่อยู่แบบต่ออายุทุก 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2021

BN(O) ทำให้ผู้ถือได้รับสถานะพิเศษเมื่ออาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะช่วยให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ได้รับสัญชาติอังกฤษภายใต้กระบวนการที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถดำรงตำแหน่งสาธารณะหรือตำแหน่งในรัฐบาล มีผู้ถือ BN(O) ประมาณ 2.9 ล้านคน โดยประมาณ 720,000 คนในจำนวนนี้ถือหนังสือเดินทางอังกฤษที่ถูกต้อง และได้รับความคุ้มครองจากกงสุลเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนไม่รับรองหนังสือเดินทางประเภทนี้ว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่ถูกต้อง และจำกัดไม่ให้ผู้ถือ BN(O) เข้าถึงการคุ้มครองจากกงสุลอังกฤษหรือจากคณะผู้แทนทางการทูตของสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและสาธารณรัฐประชาชนจีน

หนังสือเดินทาง BN(O) ยุคแรกจนถึงปี 1990

สำหรับชาวฮ่องกงผู้ที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้มีการจัดทำโครงสร้างโครงการปลอดวีซ่าอย่างชาญฉลาด ซึ่งปัจจุบันปี 2024 ผู้ที่ต้องการอพยพออกจากฮ่องกงส่วนใหญ่เพื่อค้นหา 'ประชาธิปไตย' และ 'เสรีภาพ' และที่มากกว่านั้นคือ กลุ่มหัวรุนแรงรุ่นใหม่ที่เคยเป็นแกนกลางของการประท้วงต่อต้านรัฐบาล/การจลาจล/การก่อการร้ายในปี 2019 แต่กลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์ย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักร เนื่องจากเกิดหลังจากการส่งมอบในปี 1997 และ BN(O) ของผู้ปกครองไม่สามารถส่งต่อไปยังพวกเขาได้ ดังนั้น สหราชอาณาจักรจึงสามารถหลีกเลี่ยงการอพยพเข้ามาของเยาวชนที่ปัญหาเหล่านี้ได้

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1990-1997

นอกจากนี้ สำหรับพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เกิดหลังปี 1997 มีน้อยมาก ๆ ที่จะยอมต้องทิ้งลูก ๆ ไว้ข้างหลังหรือจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ลูก ๆ ได้รับการศึกษาในสหราชอาณาจักรในฐานะนักเรียนต่างชาติ ส่วนผู้ประกอบการอิสระส่วนใหญ่มักจะไม่ยินยอมอพยพแบบถอนรากถอนโคนและเริ่มต้นชีวิตใหม่ตั้งแต่ต้นในประเทศใหม่ที่ต่างไปกว่าเดิม เว้นแต่พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำ สื่อตะวันตกอาจนำเสนอภาพที่ชาวฮ่องกงถูกกดขี่ ข่มเห่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว ฮ่องกงคือแหล่งทำมาหาเงินของพวกเขา

หนังสือเดินทาง BN(O) ปี 1997-2020

ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) เมื่อย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักรจะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ได้จนกว่าจะได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจะต้องดำรงชีวิตด้วยเงินออมที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ย่ำแย่ จะมีชาวฮ่องกงสักกี่คนที่หางานได้ดีกว่างานที่ใช้ทักษะธรรมดา สำหรับงานระดับบริหารในสหราชอาณาจักรปิดโอกาสสำหรับผู้ถือ BN(O) แทบจะโดยสิ้นเชิง ผู้ที่ไม่สามารถหางานประจำได้ก่อนที่เงินออมจะหมดจะถูกบังคับให้หาทางออกต่าง ๆ ผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่าสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตนเองได้ แต่ต้องหาเขตที่คนท้องถิ่นมีอัธยาศัยดีต่อผู้อพยพมาก ๆ 

หนังสือเดินทาง BN(O) ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2020

เมื่อวีซ่า 5 ปีหมดอายุ และภายใน 1 ปีหลังวีซ่าหมดอายุจะไม่มีการรับประกันการได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหางานได้ค่าตอบแทนดี รัฐบาลอังกฤษอาจแค่บอกว่า “คุณอยู่มานานมากแล้วและขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา” หลังจากแยกผู้ที่มีศักยภาพที่จะอยู่ต่อออกจากมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่มีภาระผูกพันด้านสวัสดิการระยะยาว ในขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรได้รับการสนับสนุนทางการเมืองบางส่วนจากพันธมิตรตะวันตก เนื่องจากความมีมนุษยธรรมที่ชัดเจนในการช่วยเหลือชาวฮ่องกง 'หลายล้านคน' ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของ 'จีน(ที่ชั่วร้าย)' ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรัฐบาลไม่ขัดแย้งกับรายงานของสื่อที่บอกเป็นนัยว่าประชากรฮ่องกงทั้งหมดมีสิทธิ์ในการต่อต้านจีน 

ท้ายที่สุด จำนวนผู้ที่ไปนับหมื่นครอบครัวและผู้ที่อยู่ระยะยาวจะยิ่งลดน้อยลงไปอีก ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ฆ่าตัวตายในอังกฤษ หลังชีวิตในสหราชอาณาจักรแทบไม่มีอะไรดั่งที่เธอฝัน เพราะชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) ถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’ เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับหนังสือเดินทาง ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

นี่คือเรื่องราวของชาวฮ่องกง ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีต่างพากันเห็นว่า หนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษ (โพ้นทะเล) หรือ British National (Overseas) passport (BN(O) passport คือ หนังสือเดินทางที่จะนำพาพวกตนและครอบครัวไปสู่แดนสวรรค์ในสหราชอาณาจักร แต่พอได้ไปใช้ชีวิตอยู่จริงแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนกับการตกอยู่ในนรกทั้งเป็น ถือเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ของบรรดาผู้ที่ชังชาติ อยากย้ายประเทศจนตัวซีดตัวสั่นทั้งหลาย ว่า “ไม่เจอ...ก็ไม่รู้ ไม่เจ็บ...ก็ไม่จำ”

เมืองผู้ดีวิกฤต!! ‘คนไร้บ้าน’ พุ่งแตะ 7.9 หมื่นครัวเรือน แนวโน้มเพิ่มจำนวนต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลยังไร้ทางแก้

คนไร้บ้านในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และตอนนี้แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ตามรายงานที่เผยแพร่โดยหน่วยงานอิสระด้านเฝ้าระวังการใช้จ่ายสาธารณะ เมื่อไม่นานที่ผ่านมา

(26 ก.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของสหราชอาณาจักรเปิดเผยรายงานระบุว่า แม้มีกฎหมายลดคนเร่ร่อนในประเทศปี 2017 แต่สถานการณ์คนไร้บ้านยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้น และคาดหมายว่าจะเสื่อมทรามลงไปมากกว่านี้อีก

รายงานพบว่าจากช่วง 3 ไตรมาสของปี 2018-2019 จนถึงช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023-24 จำนวนครัวเรือนที่ได้รับการรับรองจากทางการท้องถิ่นของพวกเขาในฐานะคนไร้บ้าน เพิ่มขึ้น 23% เป็น 78,980 ครัวเรือน ขณะที่จำนวนครัวเรือนที่ต้องพักอาศัยในที่พักพิงชั่วคราว เพิ่มขึ้น 35% เป็น 112,660 ครัวเรือน

ในรายงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน บอกต่อว่า จำนวนคนเร่ร่อนที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงขาดแคลนที่พักอาศัยเพื่อสังคมหรือโครงการบ้านของทางรัฐ ต้นทุนค่าบ้านที่ค่อนข้างสูง และการระงับโครงการเงินสงเคราะห์ช่วยจ่ายค่าเช่าสำหรับผู้เช่าบ้าน

ทั้งนี้ ในรายงานยังพบด้วยว่า ทางการท้องถิ่นต้องใช้จ่ายเงินในด้านบริการคนเร่ร่อนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2010-11 แตะระดับ 2,440 ล้านปอนด์ในปี 2022-23

นอกจากนี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินระบุด้วยว่า มีพบเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง "แต่รัฐบาลยังคงไม่มียุทธศาสตร์และเป้าหมายสำหรับลดจำนวนคนเร่ร่อน" 

ขณะที่กระทรวงยกระดับบ้านและชุมชน (DLUHC) ล้มเหลวในการเพิ่มจำนวนอุปทานล้าน ทั้งนี้ ทางกระทรวง DLUHC ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงบ้าน ชุมชนและรัฐบาลท้องถิ่น เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

"งบประมาณยังคงกระจัดกระจายและโดยทั่วไปเป็นแบบระยะสั้น ขัดขวางการทำงานเพื่อป้องกันคนไร้บ้าน และมีการลงทุนอย่างจำกัดจำเขี่ยในด้านที่พักอาศัยชั่วคราวคุณภาพดีและรูปแบบบ้านอื่น ๆ" รายงานระบุ

"คนไร้บ้านในทุก ๆ เคส ล้วนแต่เป็นเรื่องเศร้าของมนุษย์" เกรซ วิลเลียมส์ สมาชิกระดับสูงของสภาลอนดอน ด้านที่อยู่อาศัยและการฟื้นฟู กล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับการมีหนทางใหม่ ๆ ในการจัดการกับปัญหานี้

‘โจ๋วัย 17 ปี’ บุกไล่แทงเด็กน้อยในคลาสเรียนเต้น ประเทศอังกฤษ ดับสลด!! 2 ราย - เจ็บ 11 ราย เบื้องต้นตำรวจยังไม่ทราบแรงจูงใจ

(30 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุคนร้ายวัย 17 ปีรายหนึ่ง ใช้อาวุธมีดบุกเข้าไปไล่แทงผู้คนในชั้นเรียนที่กำลังจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปเกี่ยวกับเทเลอร์ สวิฟต์ ในช่วงปิดเทอมสำหรับเด็กอายุระหว่าง 6-11 ปี โดยมีครูผู้หญิง 2 คนสอนโยคะและสอนเต้น เมืองเซาท์พอร์ต เมืองชายทะเลใกล้กับเมืองลิเวอร์พูล

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีเด็กเสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 11 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 6 คน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นว่าผู้ก่อเหตุเดินเข้ามาจากถนนและเริ่มทำร้ายเด็ก ๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่ในห้องพยายามปกป้องพวกเขา

ต่อมาตำรวจอังกฤษ ได้จับกุมมือมีดวัย 17 ปีไว้ได้ พร้อมกับตั้งข้อหาฆาตกรรมและพยายามฆ่า จากการสอบสวนเบื้องต้นยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุที่ชัดเจน ขณะที่ทีมสอบสวนไม่ถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายแต่อย่างใด

ด้าน กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงแสดงความเสียใจ ส่งคำอธิษฐาน และความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สุดเลวร้ายดังกล่าวด้วย

ด้าน นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เลวร้ายมากต่อความรู้สึกของคนทั้งประเทศ ผมขอแสดงความเสียใจต่อผู้ประสบเหตุ ครอบครัว เพื่อน และชุมชนโดยรวมซึ่งแทบจะจินตนาการถึงความโศกเศร้านี้ไม่ได้เลย

ทั้งนี้ พยานที่เห็นเหตุการณ์เผยว่า เด็ก ๆ ที่ตัวเปื้อนเลือดพากันหวีดร้องและวิ่งหนีตายออกมาจากชั้นเรียน พวกเขาวิ่งหนีออกมาบนถนน และมีร่องรอยถูกแทงเต็มไปหมด ทั้งที่คอ หลัง และหน้าอกด้วย

ด้าน สำนักงานบริการรถพยาบาลภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (NWAS) กล่าวว่า ได้ให้การรักษาผู้บาดเจ็บ 11 คนจากการถูกแทงในที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงนำผู้บาดเจ็บขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปส่งยังโรงพยาบาล ทั้งนี้ บริเวณที่เกิดเหตุเป็นย่านที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยที่อยู่อาศัย เหตุอุกอาจในครั้งนี้จึงสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนในพื้นที่อย่างมาก

‘โจชัว เซิร์กซี’ ซัดประตูชัยให้ ‘แมนยู’ เอาชนะ ‘ฟูแล่ม’ 1-0 ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ประเดิมเก็บ 3 แต้ม ผงาดลุ้นแชมป์ เจ้าตัวเผย!! นัดนี้เหมือนฝัน มันยอดเยี่ยมมาก

(17 ส.ค.67) ‘โจชัว เซิร์กซี’ ยอมรับเหมือนฝันที่สามารถทำประตูแรกได้ทันที ในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก กับ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ และทีมคว้าชัยชนะเหนือ ‘ฟูแล่ม’

แนวรุกที่เพิ่งย้ายมาจาก โบโลญญ่า ถูกเปลี่ยนลงไปแทน เมสัน เมาท์ ในช่วงครึ่งหลังนาที 61 และก็สามารถใส่ชื่อเป็นซูเปอร์ซับ ในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก นัดแรกได้ทันที โดยประตูชัยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในนาที 87 ช่วยให้ทีม ‘ปีศาจแดง’ประเดิมเก็บ 3 แต้มในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยการชนะฟูแล่ม 1-0 หลังจบเกมเซิร์กซี กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ได้เผยถึงความรู้สึกหลังยิงประตูได้ทันทีในการลงเล่นในลีกสูงสุดอังกฤษครั้งแรก

‘คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ชนะได้ในเกมแรกในบ้าน และทำประตูได้ด้วย’

‘มีคนบอกผมว่า การทำประตู (ที่ฝั่งอัฒจันทร์ สเตรทฟอร์ด เอนด์ คือหนึ่งในความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด’

‘ผมขอบคุณ และโชคดีมากที่ได้สัมผัสประสบการณ์นี้ในเกมแรกของผม มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเราชนะ นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องการ ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้ มันดีมากๆ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์เลย’

"ผมได้รับการต้อนรับที่ดีมากๆ นี่คือทีมที่ยอดเยี่ยม เราต้องการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ มันน่าทึ่ง มันเหมือนฝันจริงๆ" ดาวเตะวัย 23 ปีกล่าวทิ้งท้าย

ชายเกษียณ ถูก ‘ยูโรลอตเตอรี่’ แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างอนาถา กินอาหารแจกฟรี ชี้!! เงินไม่เข้าบัญชี ทั้งที่รอมาเดือนกว่า ทุกครั้งที่โทรหา เจ้าหน้าที่ก็บอกปัด

(7 ก.ย.67) ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ ‘พีท เดลี’ ชายเกษียณอายุชาวอังกฤษได้รับแจ้งว่าเขาเป็นผู้ชนะรางวัล EuroMillions แต่จนถึงขณะนี้เขายังไม่ได้รับเงินรางวัลที่ควรจะได้ ทำให้ต้องพึ่งศูนย์แจกอาหารชุมชนเพื่อความอยู่รอด

สำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติต้องออกมาขอโทษหลังจากเกิดความล่าช้าในการจ่ายเงินรางวัล EuroMillions ให้กับชายคนนี้ ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก

หลายคนฝันที่จะถูกรางวัลจากลอตเตอรี่ และสำหรับ พีท เดลี จาก วีร์รัล (Wirral) ความฝันนั้นก็กลายเป็นจริงเมื่อหมายเลขของเขาถูกรางวัล EuroMillions ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

การถูกรางวัลครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเงินจำนวน £582.20 ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีจากการซื้อลอตเตอรี่เพียง £2.50

เมื่อ Pete โทรไปเพื่อขอรับเงินรางวัล เขาได้รับแจ้งว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 วันก่อนที่เงินจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของเขา แต่ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน เขาก็ยังไม่ได้รับเงินรางวัลดังกล่าว

พีท เดลี ต้องใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาศูนย์แจกอาหารชุมชน (ฟู๊ดแบงค์) หลังจากการจ่ายเงินรางวัล EuroMillions ของเขาถูกเลื่อนออกไปมากกว่าหนึ่งเดือน

แต่ความล่าช้าในการจ่ายเงินรางวัลของ Pete ทำให้เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเงินที่ยากลำบาก

พีท ให้สัมภาษณ์กับ Liverpool Echo ว่า "ผมถูกรางวัล £582.20 และทุกครั้งที่ผมโทรไปหาพวกเขา ผมจะได้รับคำตอบที่ต่างกันออกไป"

"ผมจ่ายเงินซื้อลอตเตอรี่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว นั่นคือ £10 ต่อสัปดาห์ £1,040 ต่อปี รวมทั้งหมดแล้ว 30 ปี และในที่สุดผมก็ถูกรางวัล £500 แต่พวกเขากลับไม่ให้เงินผม"

เขาเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากที่เขาจ่ายค่าต่อประกันรถยนต์ เขาก็ไม่มีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเลย

"ผมไม่สามารถซื้ออะไรได้เลย เพราะผมจ่ายค่าประกันรถไปหมดแล้ว โดยตอนแรกคิดว่าจะได้เงินรางวัลนี้ภายใน 10 วัน"

ตอนนี้ Pete ต้องพึ่งศูนย์แจกอาหารชุมชน (ฟู๊ดแบงค์) และไม่สามารถจ่ายค่าตัดผมหรือซื้อรองเท้าใหม่ที่เขาต้องการได้จนกว่าจะได้รับเงินรางวัลที่ติดค้างอยู่

"ผมติดอยู่ในบ้าน ไม่สามารถไปไหนได้ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะเติมน้ำมัน ผมต้องการเงินนี้จริงๆ ผมกำลังลำบาก เงินนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้" ชายวัยเกษียณจาก เพนส์บี (Pensby) ใน Wirral กล่าว

สำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติได้ออกมาขอโทษสำหรับความล่าช้าที่เกิดขึ้น และได้ให้เหตุผลว่าทำไมการจ่ายเงินให้กับผู้ถูกรางวัลวัย 71 ปีจึงใช้เวลานานเช่นนี้

โฆษกของบริษัท Allwyn (ออลวิน เป็นชื่อของบริษัทที่ดำเนินการลอตเตอรี่ในหลายประเทศ รวมถึงในสหราชอาณาจักร) กล่าวว่า "เราขออภัยอย่างยิ่งต่อความกังวลที่เกิดขึ้น ขณะนี้ทางเราได้โทรไปแจ้งคุณ Daly แล้ว โดยปกติเราดำเนินการจ่ายเงินรางวัลหลายร้อยถึงหลายพันรางวัลให้เสร็จสิ้นในแต่ละสัปดาห์"

เมื่ออธิบายถึงสาเหตุของความล่าช้า พวกเขาเสริมว่า ความล่าช้านี้เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ปรับปรุงกระบวนการขอรับรางวัลใหม่เมื่อต้นปีนี้ เนื่องจากทางที่ทำการไปรษณีย์ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายเงินรางวัลลอตเตอรี่ที่ซื้อผ่านร้านค้าปลีกในระหว่างเงินจำนวน £500.01 ถึง £50,000 อีกต่อไป 

น่าเสียดายที่การเคลมรางวัลจำนวนหนึ่งมีความล่าช้าเนื่องจากสาเหตุต่างๆ อย่างไรก็ตาม เรากำลังพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการเคลมรางวัล และขอยืนยันกับผู้ถูกรางวัลทุกท่านว่าพวกเขาจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน

หนุ่มน้อยนักเตะ ‘รร.กีฬาหนองคาย’ ดังไกลถึง ‘พรีเมียร์ ลีก’ หลังเป็นไวรัล!! มีคนนำไปเทียบ ‘เทรนท์-แจ็ค กรีลิช-เมซุต โอซิล’

(19 ต.ค. 67) เหตุเกิดในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียน 7 คนชิงแชมป์ 7 สี เมื่อวันก่อนซึ่ง โรงเรียนกีฬาหนองคาย ถล่ม หนองกี่พิทยาคม จาก บุรีรัมย์ ไปแบบขาดลอยถึง 5-0 แต่ทุกคนกลับติดภาพจำจังหวะที่ไม่เป็นประตูเมื่อ ชญานนท์ กะมุตะเสน นักเตะตัวรุกของทีมผู้ชนะได้ลากเลื้อยเข้าไปยิงเต็มข้อ พร้อมหันมาทำท่าดีใจด้วยการทำนิ้วรูปตัว N โดยไม่ได้ดูว่า ลูกบอลเจ้ากรรมถูกคู่แข่งสกัดได้บนเส้นประตู

เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็น ไวรัล ทำเป็นคลิปแชร์ว่อนโซเชียล เกิดมีมต่าง ๆ มากมาย ถึงขั้นสกรีนลวดลายบนเสื้อยืดยังมี กระทั่งล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก พรีเมียร์ลีก ได้นำรูปของ ชญานนท์ มาโพสต์แบบ 4 ช่องเคียงข้างท่าดีใจของสตาร์ดังทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวา ลิเวอร์พูล, แจ็ค กรีลิช ปีกทีมชาติอังกฤษสมัยสังกัด แอสตัน วิลล่า และ เมซุต โอซิล อดีตจอมทัพ อาร์เซนอล

พร้อมกันนั้นยังโพสต์แคปชันข้อความแบบปั่น ๆ พลางให้กำลังใจในเวลาเดียวกันว่า ‘ไม่เป็นไรนะน้อง...อย่างน้อยเราก็เท่’

'เคมี่ บาเดน็อช' วัย 44 ปี สาวผิวดำคนแรก ผงาดหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม

เมื่อวันที่ (2 พ.ย.67) ที่ผ่านมาพรรคอนุรักษ์นิยมอังกฤษได้หัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว ที่ชื่อว่า เคมี่ บาเดน็อช นักการเมืองสาวดาวรุ่งผิวดำวัยเพียง 44 ปี หลังจากที่ริชี ซูนัค อดีตหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ลาออกไปเนื่องจากความพ่ายแพ้ยับเยินจากการเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุดในอังกฤษ

โดย เคมี่ บาเลน็อช เฉือนเอาชนะ โรเบิร์ต แจนริค คู่แข่งได้ด้วยคะแนนเสียง 56% จากการลงคะแนนเสียงจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์ทั่วประเทศกว่า 95,000 เสียง ทำให้เธอกลายเป็นหัวหน้าพรรคหญิงผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์พรรคอนุรักษ์นิยม ที่เคยมีผู้หญิงมาแล้วถึง 4 คน นอกจากนี้ยังเป็นนักการเมืองหญิงผิวดำคนแรกที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป

สำหรับประวัติของ เคมี่ บาเลน็อช เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย มีคุณพ่อ คุณแม่เป็นคุณหมอทั้งคู่ เธอเกิดที่เมืองวิมเบอดัน ในกรุงลอนดอน ในปี 1980 ในครอบครัวมีพี่น้องด้วยกัน 3 คน หลังจากที่เธอเกิดได้ไม่นาน พ่อ และ แม่ก็พาครอบครัวย้ายกลับไปอยู่ไนจีเรีย ก่อนที่จะย้ายไปตั้งรกรากทำงานในสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา

เคมี่ เดินทางหวนกลับมาอังกฤษอีกครั้งตอนที่อายุได้ 16 ปี เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย Sussex โดยเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จนถึงระดับปริญญาโท โดยระหว่างที่เรียน เธอทำงานพิเศษที่ร้าน Mc Donald's ไปด้วยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 

หลังจากเรียนจบ เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้าน IT ที่บริษัท Logica และเรียนต่อด้านกฎหมาย แบบภาคพิเศษที่สถาบัน University of London วิทยาเขต Birkbeck จนจบปริญญาตรีอีกใบได้สำเร็จ ก่อนจะมาเอาดีในเส้นทางการเมือง ได้เป็น สส. สังกัดพรรคอนุรักษ์มาตั้งแต่ปี 2017 และวันนี้ เธอได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์ ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาอีกด้วย 

อาจจะกล่าวได้ว่า เคมี บาเลน็อช ถือเป็นนักการเมือง ที่ไต่เต้าจากชนชั้นกลางอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของกลุ่มคนผิวสี ผู้อพยพ กลุ่มสิทธิสตรี และกลุ่มชนชั้นกลางได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าหัวหน้าพรรคแรงงาน อย่าง เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบันเสียอีก

แหล่งข่าวภายในพรรคแรงงานเปิดเผยว่า มีการวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงภายในห้องแชทของสมาชิกพรรคแรงงานใน Whatsapp ว่า การที่พรรคอนุรักษ์ได้เลือก เคมี่ บาเลน็อช เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ทำให้พรรคแรงงานเหมือนถูกตบหน้า ทั้ง ๆ ที่ติดป้ายว่าเป็น 'พรรคแรงงาน' แท้ ๆ แต่กลับมีตัวแทนคนผิวสีมาร่วมในคณะรัฐบาลน้อยมาก และเริ่มมีกระแสด้านลบที่มองว่าพรรคแรงงานไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวแทนของกลุ่มคนผิวสี ชาวเอเชีย หรือแม้แต่ชนกลุ่มน้อยในสังคมต่าง ๆ อย่างที่เคยพูดไว้

แต่เมื่อมองมายังฝั่งพรรคอนุรักษ์ที่เป็นคู่แข่งที่มักถูกโจมตีว่าเป็นพรรคของชนชั้นสูง แต่กลับมีหัวหน้าพรรคเป็นผู้หญิงมาแล้วถึง 4 คน และยังเคยเลือกคนเชื้อสายอินเดีย และ คนเชื้อสายอาฟริกันเป็นผู้นำพรรคมาแล้ว

จากการเลือกตั้งในปี 2024 ที่ผ่านมา พรรคแรงงานสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างถล่มทลาย กวาดที่ได้ไปได้ถึง 411 ที่นั่ง ในจำนวนนั้นมี สส. ที่มีเชื้อสายชนกลุ่มน้อยอยู่ถึง 89 คน แต่ทว่ากลับมีเพียง เดวิด ลามมี ที่เป็น สส.ผิวดำคนเดียวของพรรคที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของเคียร์ สตาร์เมอร์

‘พายุดาร์ราห์’ พัดถล่ม!! ชายฝั่งเวลส์ ด้วยความเร็วลม มากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมง สร้างความเสียหายให้ ‘เวลส์ตอนใต้ – อังกฤษฝั่งตะวันตก – ไอร์แลนด์เหนือ’

(8 ธ.ค. 67) ที่อังกฤษ ‘พายุดาร์ราห์’ พัดถล่มชายฝั่งเวลส์ด้วยความเร็วลมมากกว่า 90 ไมล์ต่อชั่วโมง(144 กม./ชม.+) เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค. 67) ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ต้นไม้หักโค่น เที่ยวบินยกเลิกจำนวนมาก สำนักอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนสภาพอากาศสีแดง
พื้นที่ ได้รับผลกระทบ เวลส์ตอนใต้ อังกฤษฝั่งตะวันตก และไอร์แลนด์เหนือ บางพื้นที่น้ำท่วม 

รายงานล่าสุด มีชายผู้ประสบภัย เสียชีวิตแล้ว 2 ราย จากเหตุต้นไม้ล้มทับ

ครองแชมป์ชื่อเด็กชายยอดนิยมในอังกฤษ แซงหน้าชื่อสไตล์ผู้ดี ‘อเมเลีย-โอลิเวอร์’

(9 ธ.ค. 67) สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2024 ว่า ‘มูฮัมหมัด’ (Muhammed) กลายเป็นชื่อที่พ่อแม่ชาวอังกฤษและเวลส์นิยมตั้งให้เด็กผู้ชายแรกเกิดมากที่สุดในปี 2023 โดยมีเด็กชายชื่อมูฮัมหมัดถึง 4,661 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่มี 4,177 คน ส่งผลให้ชื่อดังกล่าวครองอันดับ 1 ของชื่อเด็กผู้ชายยอดนิยม แซงหน้า โนอาห์ (Noah) และ โอลิเวอร์ (Oliver) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ  

สำหรับเด็กผู้หญิง ชื่อ โอลิเวีย (Olivia) ยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ตามมาด้วย อเมเลีย (Amelia) และ ไอยลา (Isla) ที่อยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 เช่นเดิม  

เกร็ก ซีลีย์ (Greg Ceely) หัวหน้าศูนย์ติดตามสุขภาพประชากรของ ONS กล่าวว่าวัฒนธรรมป็อปมีอิทธิพลต่อการตั้งชื่อเด็กอย่างมาก โดยชื่อนักร้องชื่อดัง เช่น บิลลี (Billie), ลานา (Lana), ไมลีย์ (Miley), รีฮานนา (Rihanna) และเอลตัน (Elton) กลายเป็นชื่อที่พบได้บ่อยในหมู่เด็กเกิดใหม่  

ในทางกลับกัน ชื่อราชวงศ์อังกฤษ กลับได้รับความนิยมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยชื่อ จอร์จ (George)ตกไปอยู่อันดับที่ 4 มีเด็กเพียง 3,494 คนเท่านั้นที่ใช้ชื่อนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ตัวเลขลดลงต่ำกว่า 4,000 คน ขณะที่ วิลเลียม (William) และหลุยส์ (Louis) ตกไปอยู่อันดับที่ 29 และ 45 ตามลำดับ  

ชื่อจากภาษาอาหรับ เช่น อัยมาน (Ayman) และ ฮัสซัน (Hasan) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นถึง 47% และ 43% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของชุมชนชาวเอเชียใต้และชาวมุสลิมในสหราชอาณาจักร  

ปัจจุบัน ชาวเอเชียใต้จากประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ คิดเป็น 4.3% ของประชากรทั้งหมดในอังกฤษ โดยชาวอินเดียถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและเวลส์ มีจำนวนประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน หรือ 2.5% ของประชากรอังกฤษทั้งหมด

'ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์' จับมือ 'ไทเกอร์' ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการสโมสร

(20 ธ.ค.67) ไทเกอร์ แบรนด์เครื่องดื่มพรีเมียมชั้นนำในเอเชีย ขึ้นแท่นเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของสโมสรฟุตบอลท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ (Tottenham Hotspur) ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญหลังการประกาศ ความร่วมมือกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยความร่วมมือในครั้งนี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการเชื่อมต่อกับคอมมูนิตี้แฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ทำให้แฟนบอลได้ใกล้ชิดกับสโมสรโปรดมากยิ่งขึ้น

ฌอน โอดอนเนลล์ ผู้อำนวยการแบรนด์ระดับโลกของไทเกอร์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่าความกล้าหาญของแต่ละบุคคลมีรากฐานมาจากการสนับสนุนของคนรอบข้าง โดยความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อของเราที่ว่าความก้าวหน้าไม่ได้มาจากคนเพียงคนเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากการร่วมมือกันเพื่อสรรสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เราภูมิใจที่ไทเกอร์เป็นแบรนด์ที่พร้อมจะเฉลิมฉลองและเติมเต็มประสบการณ์เชียร์บอลของแฟน ๆ ทั่วโลก”

ด้วยฐานแฟนบอลกว่า 195 ล้านคนในเอเชีย สโมสรฟุตบอลท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ จึงเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ไทเกอร์ ในการสร้างคอมมูนิตี้ที่เหนียวแน่นและเชื่อมโยง แฟนบอลทั่วโลกเข้าด้วยกัน

ไรอัน นอริส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของสโมสรท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับไทเกอร์ แบรนด์พรีเมียมชั้นนำที่พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับแฟนบอลในเอเชีย โดยใช้ฟุตบอลเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงผู้คนและสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำร่วมกัน”

ไทเกอร์ ได้ทำการสำรวจกับแฟนบอลกว่า 2,000 คน และพบว่าเกือบ 3 ใน 4 ของกลุ่มแฟนบอล เชื่อว่า การที่แบรนด์มีกิจกรรมร่วมกับแฟนบอลทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับทีมที่เชียร์มากยิ่งขึ้น แบรนด์ไทเกอร์จึงเตรียมมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและไม่เหมือนใครให้กับแฟนบอลของสโมรสรท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น แฟนมีตติ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โอกาสพิเศษในการเข้าชมการฝึกซ้อมของทีม และการเข้าร่วมเวิร์กช็อปฟุตบอลกับทีมโค้ชระดับโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top