Sunday, 19 May 2024
สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์สำหรับทุกคน

Quotient หรือความฉลาดด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่มีการศึกษาในเชิงจิตวิทยาพัฒนาตัวเองนั้น ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มีการนิยามศัพท์การพัฒนาตัวเองมากถึง 7Q จากเมื่อก่อนจะได้ยินเพียงแค่ IQ หรือ EQ เท่านั้น

“จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ “ ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวเอาไว้ และคำว่า “มนุษย์” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีใจสูง” นั้น จึงอยู่คู่กับการพัฒนาเสมอ หากมนุษย์คนไหน หยุดพัฒนาตัวเอง ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่นั่นเอง บทความนี้จึงอยากจะมานำเสนอให้เห็นว่า ความฉลาด 7 ด้าน ที่เป็นทักษะการพัฒนาชีวิต เพื่อพิชิตความสำเร็จนั้น มาทำความรู้จักกันสักนิด

1.) IQ ( Intelligent Quotient )

ความฉลาดทางสติปัญญา ความฉลาดด้านนี้เป็นความสามารถในการคิด วิเคราะห์ คำนวณ และการใช้เหตุผล การแก้ปัญหาเชิงตรรกะ การทดสอบ IQ เป็นที่นิยมสำหรับการวัดระดับความรู้เชิงวิชาการ

คนที่มี IQ สูง มักจะเป็นคนเก่งวิชาการ ประกอบอาชีพประเภทแพทย์ วิศวกร นักการเงิน เป็นต้น

2.) EQ ( Emotional Quotient )

ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดด้านนี้เป็นความสามารถในการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น สามารถควบคุมอารมณ์และยับยั้งชั่งใจ แสดงออกอย่างเหมาะสม

คนที่มี EQ สูงจะมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ทำงานเป็นทีมได้ดีอีกด้วย

3.) CQ ( Creativity Quotient )

ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์ ความฉลาดด้านนี้เป็นความสามารถในการจินตนาการ สร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆ เช่น การเล่น งานศิลปะ และงานประดิษฐ์สิ่งของ

4.) MQ ( Moral Quotient)

ความฉลาดทางศีลธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี มีความซื่อสัตย์ ซึ่งความฉลาดทางด้านนี้เป็นการปิดจุดอ่อนความฉลาดทางด้านอื่น ที่ว่าเก่งไปหมดแต่ไม่มีศีลธธรรมก็ไม่ดีต่อสังคม การพัฒนาตัวเองจึงควรมีความฉลาดทางด้านนี้ด้วย ซึ่งความสามารถทางด้านนี้ต้องใช้เวลาในการอบรมบ่มนิสัย และขัดเกลาเป็นเวลานาน ซึ่งสถาบันครอบครัวจะมีส่วนมากในการเสริมสร้างความฉลาดด้านนี้

5.) HQ ( Health Quotient )

การมีสุขภาพที่แข็งแรง ข้อนี้มีความสำคัญมากและเป็นพื้นฐานให้กับความฉลาดทางด้านอื่น เพราะหากร่างกายไม่แข็งแรง การพัฒนาความฉลาดในด้านอื่น ๆ จะเกิดขึ้นได้ยากขึ้น

6.) AQ ( Adversity Quotient )

ความฉลาดในการแก้ปัญหา หมายถึงการยืดหยุ่นและปรับตัวในการเผชิญกับปัญหาได้ดี และสามารถเอาชนะอุปสรรคด้วยความยากลำบาก อดทน ไม่ท้อถอย มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทายและกล้าฟันฝ่า

7.) SQ ( Social Quotient )

ความฉลาดทางสังคม เป็นความสามารถในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ความสามารถด้านนี้จะทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และทำให้สังคมเกิดความสงบสุขด้วย

จะเห็นว่าการพัฒนาของมนุษย์นั้นมีหลายด้าน ประกอบกันเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พัฒนาการเหล่านี้หากได้รับการพัฒนาตั้งแต่ยังเด็กก็จะสามารถทำให้เด็กคนนั้นมีศักยภาพและภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตในสังคมได้ดีและง่ายขึ้น หรือแม้จะเป็นผู้ใหญ่ การพัฒนาตัวเองก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่จำกัดอายุ ลองไปปรับใช้และพัฒนาตัวเองกัน เพราะมนุษย์พัฒนาได้เสมอ


เขียนโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: ความฉลาดของเด็กยุคใหม่ไม่ได้มีแค่ IQ และ EQ แต่มีถึง 7Q (hellomagazine.com)

7Q เพื่อความสำเร็จในการทำงาน (7Q for Success) (happy-training.com)

กำหนดการสอบวัดความพร้อม เพื่อพิจารณานักเรียนเข้าศึกษา ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2564

กำหนดการสอบวัดความพร้อม เพื่อพิจารณานักเรียนเข้าศึกษา ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2564

07.50 น. : ผู้เข้าสอบเริ่มขึ้นบนอาคารและเข้าห้องสอบ

08.15 น. : ผู้กำกับห้องสอบชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ

08.30 - 09.30 น. : สอบวิชาคณิตศาสตร์

09.30 - 10.15 น. : สอบวิชาวิทยาศาสตร์

10.15 - 11.00 น. : สอบวิชาภาษาไทย

11.00 - 11.45 น. : สอบวิชาสังคมศึกษา

พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.20 น. : ผู้เข้าสอบหลักสูตรโครงการ EPTS เริ่มขึ้นบนอาคารและเข้าห้องสอบ

13.30 น. : ผู้กำกับห้องสอบชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ

13.40 - 15.20 น. : สอบวิชาภาษาอังกฤษ (สำหรับผู้เข้าสอบที่สมัครสอบหลักสูตรโครงการ ETPS)


ที่มา: https://www.satitpatumwan.ac.th/?p=16211

แม่ที่มี EQ สูงสามารถเลี้ยงลูกได้ดี แม้สถานการณ์บางอย่างไม่เอื้ออำนวย เธอก็ยังสามารถแยกแยะ และสามารถทำหน้าที่แม่ที่ดีได้อย่างไม่บกพร่อง

ผลงานวิจัย พบว่า ลูกเก่ง มาจากการเลี้ยงดูของแม่ที่มี EQ สูง

แม่ สำคัญต่อความสุข และความสำเร็จของคนในครอบครัวอย่างไร

จริงอยู่เรายกให้พ่อเป็นผู้นำครอบครัว แต่ แม่ คือ คนกำหนดบรรยากาศภายในบ้าน จะสังเกตได้ว่าถ้าวันไหนแม่อารมณ์ดี คนในบ้านก็มีแต่รอยยิ้ม ถ้าวันไหนแม่อารมณ์เสีย บรรยากาศในบ้านก็หม่นหมองไปด้วย

แต่ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเป็นแบบนี้

ผู้หญิงส่วนใหญ่ มักมีจุดศูนย์กลางของชีวิตไปขึ้นอยู่กับผู้ชาย (สามี) อารมณ์ก็จะขึ้นลงตามความรักของผู้ชาย กลายเป็นโลกทั้งใบคือนายคนเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดคิด ที่ไปสั่นคลอนต่อความรัก จิตแม่ก็จะตก อารมณ์จะไม่มั่นคง ขาดจุดยืน อ่อนไหวทางด้านจิตใจ  คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือลูก ๆ ของเรานั่นเอง

แม่ที่ EQ สูงสามารถเลี้ยงลูกได้ดี แม้สถานการณ์บางอย่างไม่เอื้ออำนวยก็ตาม เธอก็ยังสามารถแยกแยะและสามารถทำหน้าที่แม่ที่ดีได้อย่างไม่บกพร่อง

ผู้หญิงที่มี EQ สูงมักเลี้ยงลูกแบบไหน​​​

1.) ให้ความรัก หมั่นพูดคุยกับลูก แสดงออกให้ลูกรับรู้ถึงความรักและความอบอุ่น

2.) เข้าใจพัฒนาการของลูกในแต่ละช่วงวัย จะได้ปฎิบัติต่อเขาอย่างถูกต้อง เหมาะสม

3.) ให้ความเป็นส่วนตัว กิจกรรมพักผ่อน อยู่กับเพื่อนบ้าง ฟังเพลงที่เขาชอบ เล่นดนตรีที่เขารัก

4.) ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ด้วยการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ

5.) ให้โอกาสและอิสระในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่บังคับจิตใจ จะทำให้ลูกรู้สึกมีความภาคภูมิใจในตัวเอง

6.) สอนให้ลูกรักตัวเอง และรักคนอื่นเป็น จะได้มีความโอบอ้อมอารี เริ่มต้นจากเรื่องง่าย ช่วยเหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ รินน้ำให้ดื่ม ช่วยยกกระเป๋า

7.) มีระเบียบกฎเกณฑ์ที่พอดี ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป ให้ลูกสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี ถ้าบังคับมากจนเกินไป จะทำให้ลูกมีความกดดันสูง เกิดความเครียดในการใช้ชีวิต

8.) ให้ลูกรู้จักคิดแบบเป็นเหตุและเป็นผล หมั่นอธิบาย ว่าอะไรควรไม่ควร เรื่องกาลเทศะ การรักษามารยาทเป็นเรื่องสำคัญที่ลูกต้องเข้าใจเหตุผล

9.) สอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ฝึกให้มีวินัย ในกิจวัตรประจำวัน เวลาไหนเรียน เวลาไหนเล่น

10.) การศึกษาที่ดี การฝึกจิตใจที่ดี มีผลต่อการมี EQ สูง พยามให้ลูกได้เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง พยายามแยกแยะให้ลูกเข้าใจระหว่าความจริง กับความเห็น

สายตาที่ลูกมองมา ต้องการเห็นอะไร

“ลูก” อยากเห็นแม่ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ มีเหตุมีผล เป็นตัวของตัวเอง มากกว่าแม่ที่อ่อนไหวอารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ลูกต้องการเสาหลักไว้ยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ ในขณะที่พวกเขายังแกร่งไม่มากพอ

สำหรับลูก ๆ ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออนาคต ถ้าวันหนึ่งเจอกับความผิดหวัง เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ในเวลานั้นทุกคนต้องการพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับไว้เยียวยาตัวเอง และที่แห่งนั้น ก็คือ “บ้าน” ขอให้ทุกคนกลับไปบ้าน  เพราะที่นั่น มี “แม่” ที่จะคอยซับความทุกข์ของลูกให้คลายลง แม่ที่คอยโอบกอดให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง

แม่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็งและอดทน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะยังคงทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไปไม่มีวันหยุด “แม่ คือผู้สร้างโลก” โลกที่สวยงามเสมอสำหรับลูก

วิธีคิดที่ถูกต้องนำมาสู่ชีวิตที่ถูกต้องเสมอ

ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับ “คุณแม่” ทุกคน ขอให้มีชีวิตที่ทรงพลังในทุกๆวันคะ


เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima

อ้างอิงจาก

https://th.theasianparent.com/

https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/

ประเทศจีน กำลังพิจารณาถอดภาษาอังกฤษ ออกจากวิชาภาคบังคับ เหตุเพราะมีการใช้งานจริงเพียงแค่ 10% ในการทำงาน เน้นให้ความสำคัญกับวิชาพลศึกษา ดนตรี และศิลปะมากขึ้น

เป็นอีกประเด็นที่นี่สนใจ ในการประชุมสองสภาของจีน

ในวันที่ 4 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา 许进 Xǔ jìn ผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ได้มีการเสนอให้ถอดภาษาอังกฤษออกจากวิชาภาคบังคับสำหรับชั้นประถมและมัธยม และให้ไปเน้นในวิชาพละ ดนตรี และศิลปะแทน

โดยให้เหตุผลว่า ภาษาอังกฤษนั้นมีการใช้งานจริงเพียงแค่ 10% ในการทำงาน อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีการแปลภาษาแบบ Real time ก็เข้ามาทลายอุปสรรคทางการสื่อสาร อันสังเกตได้จากอาชีพ ล่าม และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่น้อยลงเรื่อย ๆ

หลังจากที่ได้มีการถกเถียงกันบนโลก 微博 Wēi bó

China Youth Daily ได้ทำผลสำรวจเกี่ยวกับประเด็นนี้พบว่า มีผู้สนับสนุนสูงถึง 43% ในขณะที่ 48% เชื่อว่าภาษาอังกฤษยังจำเป็นสำหรับยุคโลกาภิวัตน์นี้

จากข้อมูลสถิติ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีผู้คนพูดมากที่สุดในโลกประมาณ 1.35 พันล้านคน ในขณะที่ภาษาจีนมาเป็นอันดับ 2 ที่จำนวน 1.12 พันล้านคน

แล้วคุณล่ะ มีความคิดเห็นอย่างไร


ที่มา : http://www.thatsmags.com/china/post/32411/lawmakers-propose-dropping-english-as-core-subject-again?fbclid=IwAR06xKKyuYCCOlnNBRFrZY8xC1MDhVuIaSD2FxkYyZKNYL_g66Iyam_SIbQ

เฟซบุ๊ก สำนักงานยุทธศาสตร์การศึกษา สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความ เปิดข้อปฏิบัติในการสอบ O-NET ปีการศึกษา 2563 มีดังนี้

ระเบียบการเข้าห้องสอบ

1.) ไม่มีเลขที่นั่งสอบ (ไม่มีสิทธิ์สอบ)

2.) ไม่มีบัตรแสดงตน (ไม่มีสิทธิ์สอบ)

3.) ไปผิดสนามสอบ (ไม่มีสิทธิ์สอบ)

4.) ไปสายเกิน 30 นาที (ไม่มีสิทธิ์สอบในวิชานั้น)

5.) ห้ามนําเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสารเข้าห้องสอบ

6.) ให้นั่งสอบจนหมดเวลา

7.) อนุญาต ให้นํานาฬิกาเข้าห้องสอบ (ต้องเป็นนาฬิกาธรรมดาที่ใช้ดูเวลาเท่านั้น)

หลักฐานที่ใช้ในการเข้าห้องสอบ

บัตรประจําตัวประชาชน หรือบัตรประจําตัวนักเรียนที่มีรูปถ่าย หรือ บัตรที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ที่มีรูปถ่ายและยังไม่หมดอายุ

อุปกรณ์และหลักฐานที่อนุญาตให้นําเข้าห้องสอบ

1.) ปากกา ใช้สําหรับกรอกรายละเอียดต่าง ๆ บนหัวกระดาษคําตอบ

2.) ดินสอดํา 2B ใช้สําหรับระบายรหัสวิชา เลขที่นั่งสอบและคําตอบที่ต้องการเลือก

3.) ยางลบ

4.) กบเหลาดินสอ

5.) บัตรประจําตัวประชาชน หรือบัตรประจําตัวนักเรียนที่มีรูปถ่าย หรือบัตรที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ที่มีรูปถ่ายและยังไม่หมดอายุ

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวนักเรียนที่มีรูปถ่าย หรือบัตรที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ที่มีรูปถ่าย และยังไม่หมดอายุ.


ที่มา: https://www.facebook.com/bmaedustrategy/posts/1619905211529371

โรงเรียนโพธิสารพิทยากร ประกาศรับสมัครและคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โครงการพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค (Education Hub) หรือ International Program ปีการศึกษา 2564

โรงเรียนโพธิสารพิทยากร โรงเรียนในโครงการพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค (Education Hub) หรือห้องเรียน International Program เป็นหลักสูตรบูรณาการ ระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ กับ Government of South Australia

รับสมัคร INTERNATIONAL PROGRAM

- โครงการ International Program (IP)

- เป็นหลักสูตรบูรณาการ ระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ กับ Government of South Australia

- รับสมัครนักเรียน ประเภท ความสามารถพิเศษด้านวิชาการ 15 คน / นักเรียนต่างชาติ 10 คน / นักเรียนไทยหรือต่างชาติ (สอบคัดเลือก) 25 คน

- เปิดดูรายละเอียดต่าง ๆ ในประกาศของโรงเรียนได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/3qTSubi (ภาษาไทย) / http://bit.ly/3uQhmmP (English Version)

กำหนดการรับสมัคร

วันที่ 1 - 23 มี.ค. 64 รับสมัครออนไลน์ ที่ลิงค์ http://www.ps.ac.th/admission

วันที่ 25 มี.ค. 64 ทดสอบความสามารถนักเรียนสมัครประเภท ความสามารถด้านวิชาการ และนักเรียนต่างชาติ

วันที่ 3 เม.ย. 64 สอบคัดเลือกประเภทนักเรียนไทยหรือต่างชาติ

มีคำถามข้อสงสัยใดๆ ติดต่อสอบถามได้ที่ กลุ่มบริหารวิชาการ โทร.024486130 ต่อ 117 (ในวันเวลาราชการ)


ที่มา: http://www.ps.ac.th/psth/?p=8027

คติประจำใจจาก "Oprah Winfrey" สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิง เจ้าแม่พิธีกรทอล์คโชว์

“Education is the key to unlocking the world, a passport to freedom.”

"การศึกษาคือกุญแจสู่โลก คือพาสปอร์ตสู่อิสระเสรี"


Oprah Winfrey สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิง เจ้าแม่พิธีกรทอล์คโชว์

สสส.- มหิดล ชูนวัตกรรมแนวคิด MIDL 4 ด้าน เสริมเกราะป้องกันเด็กไทยรู้เท่าทันสื่อ ห่วงเด็กตกเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) พบเด็กเข้าถึงสื่ออย่างปลอดภัยเพียง 56 %

สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) แถลงผลสำรวจและการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการเป็นพลเมืองดิจิทัลของเด็กไทยวัยเรียนในยุค New Normal” ภายใต้โครงการวิจัยการสำรวจสถานการณ์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลของเด็กไทย อายุ 6 - 12 ปี

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย สำรวจโดยใช้นวัตกรรมแนวคิด Media Information and Digital Literacy (MIDL) ว่าด้วยกรอบสมรรถนะ 4 ด้าน ได้แก่ 1.) เข้าถึงสื่อ อย่างปลอดภัย 2.) วิเคราะห์ วิพากษ์ และประเมิน 3.) สร้างสรรค์เนื้อหา และ 4.) ประยุกต์ใช้และสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์สังคมที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมออกแบบและสร้างเครื่องมือในรูปแบบแอนิเมชัน สีสันสดใส เข้าใจง่าย เหมาะสมกับพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก

ความน่าเป็นห่วงที่พบคือการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) พบเด็กเป็นทั้งผู้กระทำและเหยื่อจากการถูกกระทำโดยไม่รู้ตัว รวมถึงการพบเห็นภาพโป๊เปลือย และเว็บไซต์การพนัน สิ่งสำคัญคือความใส่ใจของผู้ปกครองในการดูแลการเข้าใช้สื่อของเด็ก ถือเป็นการสร้างองค์ความรู้และฐานข้อมูลระดับประเทศ

ผศ.ดร.สุภาภรณ์ เกียรติสิน หัวหน้ากลุ่มสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการระบบสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวว่า การสำรวจสถานการณ์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลของเด็กไทย อายุ 6 - 12 ปี ได้ดำเนินการสำรวจผ่านเว็บไซต์ www.midlkids.com

ในโรงเรียนไทยทั่วประเทศ 63 โรง มีเด็กนักเรียนร่วมตอบแบบสำรวจ 2,609 คน พบว่า การรู้เท่าทันสื่อเฉลี่ยของเด็กช่วงอายุ 6–8 ปี มีคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 73 ส่วน 9 - 12 ปี อยู่ที่ร้อยละ 76 การสำรวจแบ่งเป็น 4 ด้านตามกรอบสมรรถนะ ได้แก่ ด้านที่ 1 เข้าถึงสื่อ สารสนเทศ และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัยอยู่ที่ร้อยละ 56 ด้านที่ 2 วิเคราะห์ วิพากษ์ และประเมินอยู่ที่ร้อยละ 73 ด้านที่ 3 สร้างสรรค์เนื้อหาและข้อมูลอยู่ที่ร้อยละ 86 และ ด้านที่ 4 ประยุกต์ใช้และสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ร้อยละ 71

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าเด็กไทยควรได้รับการพัฒนาทักษะการเข้าถึงสื่อ ทุกภาคส่วนจึงควรร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัลของเด็กไทย รวมถึงการผลิตสื่ออย่างมีความผิดชอบต่อเด็ก กระตุ้นให้เด็กไทยฉลาดทางดิจิทัล ใช้สื่อได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/726732504656323/

สพฐ. เตรียมดำเนินโครงการโรงเรียนทางเลือก ให้เด็กได้เลือกเรียนตามความถนัดของตัวเอง ปรับรูปแบบบริหารจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มุ่งเน้นการต่อยอดอาชีพ

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เตรียมที่จะดำเนินโครงการการศึกษา มุ่งสู่อาชีพที่เป็นอาชีพเฉพาะทาง เลือกตามความถนัดของผู้เรียน โดยได้เลือกการทำโครงการนี้ในโรงเรียนสังกัด สพฐ.พื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร

เนื่องจากมองว่าโรงเรียนใน กทม.ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงอยู่หลายแห่ง และเด็กเลือกไปสมัครแย่งที่นั่งในโรงเรียนเหล่านี้จำนวนมาก จนทำให้โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางและเล็กมีจำนวนผู้เข้าเรียนลดน้อยลง ดังนั้นตนจึงคิดว่าหากโรงเรียนของ สพฐ.ในเขตกทม.ปรับรูปแบบบริหารจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อมุ่งเน้นการต่อยอดอาชีพจะดีหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษา และสำรวจข้อมูลแล้ว

“เรามีความเป็นห่วงโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางและเล็ก ที่ทุกวันนี้เด็กลดจำนวนลง ไม่เพียงเพราะผู้ปกครองที่สนใจอยากจะพาบุตรหลานไปเข้าโรงเรียนดังอย่างเดียว แต่อัตราการเกิดของประชากรก็ลดน้อยลงเช่นกัน เช่น โรงเรียนวัดสังเวช ในอดีตเป็นโรงเรียนมัธยมฯ ขนาดใหญ่ แต่ทุกวันนี้มีเด็กน้อยมาก

ดังนั้นเราจึงคิดว่า จะส่งเสริมให้โรงเรียนลักษณะนี้จัดการศึกษาเพื่ออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสำหรับดนตรี กีฬา คหกรรม ซึ่งหากอนาคตเด็กสนใจจะประกอบอาชีพเชฟ หรืออยากเป็นนักแสดง ก็สามารถนำความรู้ที่เรียนไปต่อยอดอาชีพในฝันของตัวเองได้ โดยโรงเรียนเหล่านี้จะเป็นโรงเรียนทางเลือกให้เด็กได้เลือกเรียนตามความถนัดของตัวเอง

รวมถึงในอนาคต สพฐ.มีแนวคิดจะทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย โดยเด็กคนไหนอยากเรียนคณะรัฐศาสตร์ก็ให้นำเนื้อหาหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมาให้เด็กม.ปลายได้เรียน หากสอบผ่านก็ให้เก็บสะสมเป็นหน่วยกิตหรือเครดิตแบงค์ เมื่อเรียนจบม.6 และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่ทำความร่วมมือก็ไม่จำเป็นต้องไปลงเรียนในวิชาเหล่านั้นอีก” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/312592942736950/posts/728729127789994/

เรื่องเล่าของคุณพ่อแฟรงค์ คุณพ่อที่มีลูกก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะมาแบ่งปันมีวิธีการ พ่อแม่จะพาลูกก้าวข้ามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไปกับลูกได้อย่างไร Part 1

“ถ้าเรากดเค้าไว้ นอกจากสิ่งนั้นจะไม่เบิกบานแล้ว เราจะสูญเสียอัจฉริยะบุคคลแน่นอน”

คำพูดของคุณพ่อน้องเฟียน หรือคุณพ่อแฟรงค์ เปิดนำก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้น้องเฟียนโชว์ฝีมือการบรรเลงเปียโนให้ฟัง บทเพลงที่น้องเฟียนเล่นเป็นเพลงแนวคลาสสิค และที่น่าประทับใจไปกว่านั้น น้องเฟียนแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเอง ตอนนี้หนุ่มน้อยนักดนตรีคลาสสิคคนนี้ได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว พ่อแฟรงค์จึงมาแบ่งปันมีวิธีการว่าเราจะพาลูกก้าวข้ามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปกับลูกได้อย่างไร

คุณพ่อแฟรงค์เปรียบวัยรุ่นเป็นเหมือนกับผีเสื้อ

“ผมเปรียบวัยรุ่นเป็นผีเสื้อตอนที่กำลังเปลี่ยนจากดักแด้เป็นผีเสื้อ ช่วงที่เค้ากำลังออกมาจากตัวดักแด้มันเร็วมากแล้วเค้าจะกลายเป็นผีเสื้อเลย พ่อแม่จะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นลูกเปลี่ยนไป จะกลัวและเครียด พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ถึงเมื่อวานเค้ายังเป็นเด็กอยู่ก็จริง แต่วันนี้เค้ากำลังจะไปเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลูกเค้าเปลี่ยนไปแล้ว เค้าไม่ใช่คนเดิมแล้ว มีแต่เรานั่นแหละที่ยังเหมือนเดิม เราต้องเข้าใจการเติบโตของลูก”

คุณพ่อแฟรงค์ไม่ห้ามลูก และสนันสนุนให้ลูกได้ลองทำ

“เวลาจะห้ามลูก ให้นึกถึงตอนเราอายุเท่ากันกับเค้า ตอนเราอายุ 15 - 16 ปีเท่าเค้าเรารู้สึกยังไง เราก็เป็นแบบเค้าเหมือนกัน ผมจะคุยกับลูกว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือการซ้อมในการใช้ชีวิตจริง ลูกซ้อมไว้เลย ทำให้ดี แล้วเรียนรู้ว่าอยากจะมีชีวิตแบบไหน วัยรุ่นเป็นช่วงที่เค้ากำลังสร้างตัวตน ปล่อยให้ลูกสร้างตัวตน เค้าจะได้เป็นเค้าที่แข็งแรง ไปห้ามเค้า เค้าจะสร้างตัวตนไม่สำเร็จ อย่าเป็นศัตรูกับลูก การห้าม เป็นการผลักให้ลูกไปอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเมื่อไหร่ที่เค้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา เค้าจะอยู่กับเราเพราะเค้ามาขอเงินเราเท่านั้น เมื่อเค้าไปได้เค้าจะไปทันที ตอนเด็กเค้ายอมเราได้ แต่ตอนเค้าเป็นวัยรุ่น เค้าไม่ยอมเราแล้ว ฉะนั้นให้เค้าได้ลองและสนับสนุนเค้า”

ให้ลูกได้เห็นชีวิตจริง น้องเฟียนเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าพ่อเคยพาไปดูเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิต เฟียนจึงรู้ว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดเพื่อแลกกับเงินไม่มากนั้นยากเย็นขนาดไหน

“ผมให้ลูกเห็นว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีการรอคอย มีงาน มีหน้าที่ ความรู้เป็นเรื่องที่หาได้ทั่วไปแล้ว แต่การกระทำ การรู้จักหาวิธีสร้างรายได้สำคัญกว่า ผมเห็นตอนนี้มี AI ที่แปลภาษาได้หลายภาษาแล้ว ฉะนั้น AI จะเข้ามาทำงานแทนที่ทักษะด้านนี้ เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง เทรนด์มันมาแล้ว ถ้าปรับตัวได้ก่อน ก็ไปได้ก่อน”

ตอนต่อไปเราจะมาต่อเรื่องวิธีการจัดเวลาให้กับงานอดิเรกที่ไม่อดิเรก และวิธีจัดการกับความเชื่อของคนยุคเก่าที่คุณพ่อแฟรงค์ใช้กันค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และคุณลูกทุกคนค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ รับมือกับลูกวัยรุ่น เพื่อไปต่อให้ถึงเป้าหมาย

Link : https://www.facebook.com/299800753872915/videos/249307613299909

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top