Saturday, 5 July 2025
สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์สำหรับทุกคน

หลังจากตอนที่แล้ว คุณพ่อแฟรงค์ เล่าเรื่องการรับมือกับลูกวัยรุ่นในแบบของคุณพ่อ วันนี้จะมาแบ่งปันวิธีจัดการกับเวลาและงานอดิเรก รวมถึงการเตรียมพร้อมลูกให้เดินทางไปสู่ความฝันได้

“ความเชื่อทำให้เราไม่ได้ตรวจสอบอะไรทั้งสิ้น”

คำพูดของคุณพ่อแฟรงค์ทำให้ได้ฉุกคิด คุณพ่อแฟรงค์มีลูก 2 คน คนโตก้าวเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว ในช่วงวัยรุ่นคุณพ่อผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และพ่อแฟรงค์คือผู้ใหญ่ที่เตือนเราให้ไม่ลืมตรวจสอบความเชื่อของเราเอง

“ผมจะบอกกับลูกว่า ฟังพ่อนะลูก แต่อย่าเชื่อพ่อทั้งหมด มีอะไรที่พ่อไม่รู้ ให้บอกพ่อด้วย เด็กรุ่นนี้ถูกต่อว่าว่ารอไม่เป็น แต่มองอีกอย่าง เค้าเกิดมารองรับความรวดเร็วของเทคโนโลยีสมัยที่คนรุ่นเราเริ่มตามไม่ทัน ผมเคยคุยกับลูก เวลาเราเห็นคนนุ่งจีวร เราเห็นเค้าเป็นอะไร เห็นเป็นพระ ลองให้ลูกจินตนาการว่าให้คนเดิมที่นุ่งจีวรมาใส่ชุดแนวฮิปฮอป เราจะเห็นเค้าเป็นแบบไหน ผมกับลูกก็หัวเราะกัน บางทีรูปลักษณ์ภายนอกหรือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ส่งผลต่อความเชื่อของเราที่มีต่อเค้าได้ ผมไม่ได้ให้ปฏิเสธความเชื่อ แต่ให้ตรวจสอบความเชื่อ”

ตอนที่แล้วคุณพ่อแฟรงค์พูดถึงการรับมือกับลูกวัยรุ่นในแบบของคุณพ่อ วันนี้เรามาต่อกันว่า คุณพ่อแฟรงใช้วิธีใดจัดการกับเวลาและงานอดิเรก รวมถึงการเตรียมพร้อมลูกให้เดินทางไปสู่ความฝันได้

จากที่พ่อแฟรงค์เล่า พ่อแฟรงค์ไม่ได้ทำอะไรแตกต่างไปจากพ่อแม่คนอื่น ๆ ส่งลูกไปเรียนดนตรี เล่นกีฬา หรือกิจกรรมที่เป็นที่นิยม แต่สิ่งที่พ่อแฟรงค์น่าจะทำได้ดีเป็นพิเศษกว่าพ่อแม่หลายคน คือคุณพ่อแฟรงค์เลือกที่จะใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด

“ครั้งหนึ่งผมส่งลูกไปเรียนดนตรีเป็นปกติ แล้วหลังจากเค้าเรียนเสร็จ ก็ให้ลูกเดินเล่นในห้างรอพ่อไปรับ ผมรู้สึกว่าทำไมเราปล่อยให้เค้าเดินเรื่อยเปื่อยในห้างรอเราอยู่คนเดียว หลังจากนั้นผมตั้งใจว่าจะใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด แล้วพอเราใช้เวลากับเค้า เราจะรู้ว่าลูกชอบอะไร เก่งอะไร พิเศษเรื่องไหน เราก็จัดเวลา จัดลำดับความสำคัญให้ลูกได้ จัดลำดับความสำคัญของงานอดิเรก อันไหนหาเงินได้ หาได้เท่าไหร่ เราจะทำอันไหนก่อนหลัง จัดตารางแต่ละวัน เด็กสมัยนี้ทำงานอดิเรกได้หลายอย่างต่อวัน อันไหนเร่งด่วนและมีประโยชน์ก็ทำก่อน การบ้านยังถึงเวลาส่ง ก็ทำทีหลังได้ งานไหนได้ประโยชน์ ได้ความรู้ได้ทักษะ ก็แบ่งเวลาไปทำ และเมื่อเราทำแล้ว ก็ให้ทำงานอดิเรกนั้นให้ดี”

ความฝันมีให้เรารู้ว่าเราไปไหน แค่ระหว่างเดินทางไปเรามีความสุขก็เพียงพอแล้ว

“จะทำตามความฝัน ต้องเตรียมตัวเราให้เราไปสู่เป้าหมายได้ สุขภาพต้องพร้อมด้วย อาหารการกินสำคัญ ทานอาหารเช้า ออกกำลังกาย พยายามนอนช่วง 4 ทุ่มถึงตี 5 นอนเวลาอื่นยังไงก็ไม่เพียงพอเหมือนช่วงนี้ เพราะไม่ใช่ช่วงที่ Growth Hormones หลั่ง”

เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ให้ลูกหา skill ของเค้าเอง แล้วสนับสนุนเค้า

“เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนพูดได้ก่อน บางคนวิ่งได้ก่อน ให้ลูกหา skill ของเค้าเอง แล้วสนับสนุนเค้า ถ้าเรากดเค้าไว้ นอกจากสิ่งนั้นจะไม่เบิกบานแล้ว เราจะสูญเสียอัจฉริยะบุคคลแน่นอน ความฝันมีไว้ให้เรารู้ว่าเราเดินไปไหน เราก็เดินสบาย ๆ เดินของเราไปเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข สำคัญคือ อย่าผลักลูกไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม”

น้องเฟียนที่นั่งอยู่เคียงข้างพ่อ ดูเป็นตัวของตัวเองเหมือนวัยรุ่นทั่วไป และเมื่อเค้าเดินไปจับเปียโน น้องเฟียนก็ฉายแสงของศิลปินออกมาทันที ความสัมพันธ์ที่ดีของลูกชายศิลปินวัยรุ่นกับพ่อที่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกเปล่งประกายตลอดการสัมภาษณ์

เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และคุณลูกทุกคนค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ รับมือกับลูกวัยรุ่น เพื่อไปต่อให้ถึงเป้าหมาย

Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/249307613299909

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

คติประจำใจจาก "B.B. King" (นักแต่งเพลง นักกีตาร์ ชาวอเมริกัน)

“The beautiful thing about learning is nobody can take it away from you.”

“สิ่งที่วิเศษสุดสำหรับการเรียนรู้ คือไม่มีใครสามารถเอามันไปจากคุณได้.”


B.B. King (นักแต่งเพลง นักกีตาร์ ชาวอเมริกัน)

ราชกิจจานุเบกษา ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และการชำระเงินคืนกองทุน ใช้บังคับตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินให้ กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน พ.ศ. 2563 ความว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 (7) และ (17) มาตรา 39 มาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 44 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาในการประชุมครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ได้มีมติให้ออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน พ.ศ. 2563”

ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับกับการดำเนินการให้กู้ยืมเงินตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป

ข้อ 3 ให้ยกเลิก

(1) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน พ.ศ. 2561

(2) ระเบียบคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562

ข้อ 4 ในระเบียบนี้

“กองทุน” หมายความว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

“ผู้กู้ยืมเงิน” หมายความว่า นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 และให้หมายความรวมถึงนักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 และนิสิตหรือนักศึกษาผู้รับทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืนจากกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ด้วย

“เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา” หมายความว่า เงินที่กองทุนจัดสรรให้ผู้กู้ยืมเงินเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าครองชีพ

“นักเรียนหรือนักศึกษา” หมายความว่า ผู้ซึ่งศึกษาอยู่ในสถานศึกษา และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาในสถานศึกษาด้วย

“สถานศึกษา” หมายความว่า โรงเรียน สถาบันอุดมศึกษา หรือสถานศึกษาอื่นของรัฐ โรงเรียนของเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนและสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

“ค่าเล่าเรียน” หมายความว่า เงินค่าเล่าเรียน ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากนักเรียนหรือนักศึกษา

“ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายอื่นที่มิใช่ค่าเล่าเรียนที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากนักเรียนหรือนักศึกษาตามระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งของสถานศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา

“ค่าครองชีพ” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพระหว่างศึกษา

“สถาบันการเงิน” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

“นิติบุคคล” หมายความว่า นิติบุคคลไทยที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย

“ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

“ผู้จัดการ” หมายความว่า ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

ข้อ 5 ในการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชำระเงินคืนกองทุน ให้กองทุนสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ขอกู้ยืมเงิน ผู้กู้ยืมเงิน และผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 และตามระเบียบนี้ รวมทั้ง กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของกองทุน ทั้งที่ออกใช้บังคับอยู่แล้ว และที่จะออกใช้บังคับต่อไปในภายหน้าโดยเคร่งครัด

ข้อ 6 ให้ผู้จัดการเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ แล้วรายงานให้คณะกรรมการทราบ รวมทั้งการออกประกาศกำหนดแนวปฏิบัติเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมแนวทางและวิธีดำเนินการตามระเบียบนี้

หมวด 1 การให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

ข้อ 7 กองทุนจะสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ใน 4 ลักษณะ ดังต่อไปนี้

อ่านต่อทั้งหมด http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/058/T_0001.PDF

งบประมาณกระทรวงวัฒนธรรมถูกหั่น สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ถูกลดงบประมาณส่วนทุนการศึกษาที่จะให้นักเรียน นักศึกษาของสถาบันในแต่ละปี ตัดเหลือ 50 ทุน จากจำนวน 100 ทุน ซึ่งอาจกระทบความต่อเนื่องที่ได้รับทุน

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้รับงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 รวมทั้งสิ้น 7,104,347,600 บาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 858,540,900 บาท คิดเป็นร้อยละ 10.78 นั้น

ตนได้แจ้งให้ที่ประชุมผู้บริหารทราบว่า หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณเพิ่มในปีนี้ คือ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ได้รับ 88,843,000 บาท เพิ่มขึ้น 14,737,500 บาท คิดเป็นร้อยละ 20 โดยส่วนที่เพิ่มเป็นการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศ ในด้านการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม การสร้างค่านิยมให้คนไทย ซึ่งโยกจากที่หน่วยงานอื่นมาให้ศูนย์คุณธรรมดำเนินการ

ทั้งนี้ เนื่องจากศูนย์คุณธรรม มีบุคลากรอยู่จำกัด การดำเนินงานจึงต้องใช้วิธีบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการศาสนา สำนักงานปลัด วธ.กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

นายอิทธิพลกล่าวอีกว่า ขณะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ถูกลดงบประมาณมากที่สุด โดยได้รับจำนวน 1,053,641,700 บาท ลงลด จำนวน 248,539,500 บาท โดยถูกตัดจากที่เสนอขอไป ถึงร้อยละ 30

ทั้งนี้ งบประมาณที่ถูกปรับลดอยู่ในส่วนทุนการศึกษาที่จะให้นักเรียน นักศึกษา ของสถาบัน ในแต่ละปี ซึ่งได้มีการมอบให้ จำนวน 100 ทุน ในปีนี้ถูกตัดเหลือ 50 ทุน ซึ่งอาจกระทบต่อความต่อเนื่องที่ได้รับทุน อย่างไรก็ตาม สบศ. จะทำเรื่องเสนอขอแปลงงบประมาณเพิ่มเติม ในชั้นกรรมาธิการ และจะปรับแผนงานในส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเน้นย้ำว่าให้เรียงลำดับความสำคัญและจำเป็นมากที่สุด

“ในส่วนกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้มอบหมายให้ทบทวนแผนงานจัดกิจกรรมวัฒนธรรม ประเพณี ที่ได้มีการสนับสนุนผ่านเครือข่ายวัฒนธรรมต่าง ๆ รวมถึงการดำเนินงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยย้ำให้เจาะกลุ่มให้แคบลง เนื่องจากงบประมาณต้องใช้อย่างจำกัด ซึ่งส่วนที่ต้องให้ความสำคัญ และขยายผล คือ เรื่องอาหาร และผ้า

ทั้งนี้ ผมยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานสร้างความเข้าใจกับเครือข่ายทางวัฒนธรรมทุกภาคส่วนที่เคยร่วมงานกันถึงการได้รับงบประมาณในการดำเนินงาน แผนกิจกรรมต่างๆ ที่ลดลง รวมถึงให้มีการปรับขอบเขตการดำเนินงานกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมตามสัดส่วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต” รมว.วัฒนธรรมกล่าว.


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/2053049

พรุ่งนี้แล้ว!! พร้อมหรือยัง? เปิดแนวปฏิบัติในการเข้าสอบและการใช้พื้นที่สนามสอบ การสอบวัดความพร้อมเพื่อเข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน

โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ได้กำหนดการสอบวัดความพร้อมเพื่อเข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ในวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564 ณ สนามสอบโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จึงกำหนดแนวปฏิบัติในการเข้าสอบและการใช้พื้นที่สนามสอบสำหรับผู้เข้าสอบ (นักเรียน) และผู้ปกครองนักเรียน ดังต่อไปนี้

1.) ตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กำหนดให้ผู้เข้าสอบต้องทำแบบสอบถามเพื่อคัดกรองผู้เข้าสอบ โดยสามารถดาวน์โหลดและพิมพ์เอกสารจากเว็บไซต์ของโรงเรียนหรือสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ พร้อมกรอกข้อมูลให้เรียบร้อยล่วงหน้า แล้วนำส่งที่จุดคัดกรองก่อนเข้าสนามสอบ หรือสามารถรับแบบสอบถามได้ที่เจ้าหน้าที่ที่บริเวณจุดคัดกรอง

2.) ผู้เข้าสอบต้องผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ณ จุดคัดกรอง ก่อนเข้าสนามสอบและอาคารสอบ หากมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.3 องศา โรงเรียนจะดำเนินการให้นั่งพักระยะเวลาหนึ่งแล้วตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายอีกครั้ง หากอุณหภูมิร่างกายยังคงสูงอยู่ โรงเรียนจะพิจารณาดำเนินการในลำดับต่อไป

ตำแหน่งจุดคัดกรอง ได้แก่ บริเวณทางเข้าอาคารสาธิตปทุมวัน 1 และประตูทางเข้าบริเวณอาคารสาธิตปทุมวัน 3 โรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน และบริเวณทางเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

3.) ผู้เข้าสอบต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ภายในสนามสอบ ยกเว้นกรณีที่มีเหตุจำเป็น

4.) โรงเรียนไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดเข้ามาในห้องสอบ จึงขอแนะนำให้ผู้เข้าสอบนัดหมายจุดนับพบกับผู้ปกครองให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องสอบ ทั้งนี้โรงเรียนจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหาย หรือการสูญหายของอุปกรณ์สื่อสารและของมีค่าที่นักเรียนนำติดตัวเข้ามาในสนามสอบไม่ว่ากรณีใด ๆ

5.) ผู้เข้าสอบและผู้ปกครองสามารถดูข้อมูลสถานที่และอาคารสอบได้จากแผนผังสถานที่สอบจากสื่อประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน หรือป้ายประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ภายในสนามสอบ และสามารถสแกน QR Code เพื่อแสดงเส้นทางไปยังอาคารสอบต่าง ๆ

ทั้งนี้โรงเรียนมีเจ้าหน้าที่และนักเรียนช่วยปฏิบัติงานที่มีบัตรประจำตัวแสดงตน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานภายในโรงเรียนและบริเวณต่าง ๆ ภายในสนามสอบ ผู้เข้าสอบและผู้ปกครองสามารถสอบถามข้อมูลหรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับสนามสอบ และสถานที่ภายในสนามสอบได้ตามความเหมาะสม

6.) ไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเข้ามาในบริเวณอาคารสอบและห้องสอบไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งนี้สนามสอบที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มีพื้นที่โดยรอบอาคารสอบที่ผู้ปกครองสามารถรอรับหรือนัดพบกับนักเรียนได้โดยการใช้พื้นที่ดังกล่าว ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด

7.) โรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองนำรถเข้ามาภายในโรงเรียนได้ ทั้งนี้สนามสอบโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน ไม่มีที่จอดรถ จึงขอให้หยุดรถเพื่อส่งนักเรียนได้ที่บริเวณจุดที่กำหนดให้เท่านั้น ส่วนสนามสอบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผู้ปกครองสามารถนำรถไปจอดได้บริเวณสนามฟุตบอลและบริเวณถนนโดยรอบอาคารได้ ซึ่งโรงเรียนกำหนดประตูทางเข้า - ออกที่ประตูหน้าโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน ถนนอังรีดูนังต์ และประตูหน้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ถนนพญาไท จึงขอแนะนำให้ใช้เส้นทางการเดินรถตามความเหมาะสม

หากการใช้พื้นที่จอดรถในสนามสอบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเต็มพื้นที่แล้ว ผู้ปกครองสามารถใช้บริการที่จอดรถที่อาคารจอดรถรถมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เสียค่าบริการจอดรถ) หรือสถานที่อื่นตามความสะดวกของ ผู้ปกครอง

8.) สำหรับผู้เข้าสอบหลักสูตรโครงการนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษภาคภาษาอังกฤษ (EPTS) ซึ่งมีตารางการสอบทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โรงเรียนจะจัดอาหารกลางวันพร้อมน้ำดื่มให้แก่ผู้เข้าสอบหลักสูตรโครงการ EPTS (ในกรณีที่ผู้ปกครองมีการจัดเตรียมอาหารกลางวันให้แก่นักเรียน จะต้องดำเนินการมอบให้นักเรียนก่อนเข้าอาคารสอบตั้งแต่ช่วงเช้า) สำหรับผู้เข้าสอบหลักสูตรปกติมีกำหนดการสอบเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น เมื่อสิ้นสุดการสอบในเวลา 11.45 น. ผู้ปกครองสามารถรับนักเรียนกลับได้ทันที

9.) กรณีที่ผู้เข้าสอบและผู้ปกครองมีข้อสงสัยหรือปัญหาใด ๆ ในวันสอบ ให้ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานอำนวยการโรงเรียน ชั้น 1 อาคารสาธิตปทุมวัน 1 (สนามสอบโรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน) หรือที่ห้องประชุมหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ตึกเฉลิมพระเกียรติ72 พรรษาฯ (สนามสอบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา) หรือติดต่อสอบถามได้ที่อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักเรียนช่วยปฏิบัติงาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานบริเวณสนามสอบ

อ่านประกาศฉบับเต็ม https://www.satitpatumwan.ac.th/wp-content/uploads/2021/03/แนวปฏิบัติในการสอบ-ม1-2564-1.pdf

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.satitpatumwan.ac.th/?p=16556

‘กอด’ เป็นการแสดงออกสุดคลาสสิก แต่แฝงอานุภาพมหาศาล การโอบกอดที่ไม่ต้องมีคำพูดปลอบโยนใด ๆ แต่ช่วยให้ผู้ที่ถูกโอบกอดรู้สึกดีและผ่อนคลายความหนักอึ้ง เยียวยาจิตใจในวันที่อ่อนไหว

เวลาที่รู้สึกท้อแท้ เศร้าในใจ วันที่อ่อนไหว ไร้ที่พึ่ง การได้รับคำปลอบโยนทางคำพูดหรือการรับฟังอาจช่วยได้ แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่เรามองว่า ทำได้ง่ายกว่าทุกอย่าง ไม่ต้องประดิษฐ์คำพูดสวยหรู ไม่ต้องกังวลว่าจะพูดถูกหรือผิด ตรงใจของผู้ฟังหรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ใช้พียงตัวเราและความเข้าใจ โอบรัดวามผิดหวังและความเปราะบางนั้นไว้ สิ่งนั้นเรียกว่า ‘กอด’

เรามีโอกาสอ่านบทความจากต่างประเทศ เป็นบทความว่าด้วยเรื่อง การกอดเป็นประจำนำไปสู่ประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยในบทความนั้นมีข้อมูลที่น่าสนใจตอนหนึ่งว่า เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักจิตบำบัดครอบครัว ชาวอเมริกัน กล่าวว่า เราต้องการการกอด 4 ครั้งต่อวัน เพื่อความอยู่รอด ต้องการกอด 8 ครั้งต่อวัน เพื่อการรักษาซ่อมบำรุง และต้องการกอด 12 ครั้งต่อวัน เพื่อการเติบโต และในการศึกษาที่เรียกว่า “ความหมายของการกอด: จากพฤติกรรมการทักทายไปจนถึงการสัมผัสโดยนัย” Lena Forsell และ Jan Åström ได้ระบุว่าการกอดสั้น ๆ 10 วินาที ช่วยต่อสู้กับความรู้สึกเหนื่อยล้าทางใจ

พอได้รู้แบบนี้แล้ว คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรกอดกัน ถึงแม้การกอดบ่อย ๆ อาจจะดูเคอะเขินไปบ้าง เพราะไม่ใช่เรื่องที่คนไทยทำเป็นประจำเหมือนอย่างการทักทายของชาวต่างชาติ แต่เรากำลังจะบอกว่า การกอด ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความเสน่หา ไม่ใช่ทำแค่กับคนรัก เราสามารถกอดพ่อแม่ กอดเพื่อน กอดพี่น้อง กอดแฟน กอดสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งกอดคนแปลกหน้าที่ต้องการกำลังใจ ใครจะไปรู้ บางครั้งการกอดของเราอาจจะช่วยใครสักคนไว้ในวันที่เค้าเคว้งคว้าง หรือบุบสลาย

วันที่เรามองหาคนที่จะอยู่ข้าง ๆ แต่กลับพบว่ารอบตัวว่างเปล่า คงเป็นความรู้สึกเคว้งคว้าปนเศร้าใจ ช่วงเวลาเหล่านั้นกลายเป็นเวลาที่ยากลำบากที่จะผ่านไปตัวคนเดียว คงจะดีไม่น้อย หากเราได้วางความเหนื่อยใจไว้ที่ไหล่ของใครสักคนสักพัก โดยที่ไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้ามาแบกความเหนื่อยล้าตรงนั้น เพียงแต่ให้เขาเป็นที่พักพิงช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าทางจิตใจในช่วงขณะหนึ่ง

เราเองก็ชอบทั้งการเป็นผู้กอด และผู้ถูกโอบกอด ตัวเราเปลี่ยนบทบาทไปได้ตามแต่ละสถานการณ์ ในวันที่เราเข้มแข็งและเจอคนที่อ่อนแอกว่า เราคงไม่ปฏิเสธการกอดปลอบใจ กลับกันในวันที่เราเหนื่อยล้า หมดแรง เราก็อยากเป็นฝ่ายที่ถูกโอบกอดไว้เช่นกัน เรามองว่า การกอดเป็นการแสดงออกที่ง่ายที่สุด แต่มีอานุภาพที่สดชื่นเบาสบายที่สุดเช่นกัน

ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราอาจไม่ได้ต้องการคนเข้าใจ ปลอบใจ หรือพาเราก้าวข้ามผ่านมันไป แต่สิ่งที่คนเราต้องการอาจเป็นเพียงการอยู่ข้าง ๆ คอยรับฟังและไม่ทอดทิ้ง แม้จะเหน็ดเหนื่อย หมดแรง แต่การถูกโอบกอดอย่างอบอุ่นหรือตบบ่าก็สามารถช่วยให้รู้สึกดีได้จริง ๆ


เขียนโดย เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://brightside.me/inspiration-health/7-health-benefits-regular-hugs-can-bring-you-794694/

คติประจำใจจาก 'John Dewey' (นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน)

“Education is not preparation for life; education is life itself.”

“การศึกษาไม่ใช่การเตรียมตัวของชีวิต มันคือชีวิตในตัวมันเอง”


John Dewey (นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน)

ASEAN SHOLARSHIPS AY 2022 ทุนรัฐบาลสิงคโปร์ ระดับมัธยมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2022 เปิดรับสมัครแล้ว!!

สำหรับประเทศไทย ทุนนี้แบ่งให้เข้าสอบเพื่อเรียนต่อ 2 ระดับชั้นคือ เรียนต่อ Secondary 3 และ Pre-University One

ระดับ Secondary 3

เป็นทุนให้เปล่า 4 ปี เข้าเรียนชั้น Secondary 3 - 4 แล้วสอบ GCE O-level และต่อ Junior College อีก 2 ปี แล้วจึงสอบ GCE A-Level เพื่อเอาผลไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป

กำหนดการ

- เปิดรับสมัคร 18 มี.ค. 2564 - 16 พ.ค. 2564

- สอบช่วงกลางเดือน ก.ค. 2564 และประกาศผลสอบ เดือน ก.ย. 2564

- หากได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เดือน ตุลาคม 2564

คุณสมบัติผู้สมัครระดับ Secondary 3

- ถือสัญชาติไทย

- เกิดในช่วงปี ค.ศ. 2005 - 2007 (พ.ศ. 2548 - 2550)

- มีเกรดเฉลี่ยในระดับ ม. 1 และ ม. 2 หรือ ระดับ ม. 2 และ ม.3 ไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีผลการเรียนดีอย่างต่อเนื่อง

- มีทักษะภาษาอังกฤษดี และมีประวัติการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียน

สิ่งที่จะได้รับจากทุนคร่าว ๆ

1.) ค่าใช้รายปีและจัดหาที่พักพร้อมดูแลค่าใช้จ่ายให้

2.) ค่าตั้งรกราก ให้สองครั้ง ให้ครั้งที่ 2 เมื่อขึ้นระดับ Pre-U1

3.) ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้น economy

4.) ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนต่างๆ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบ็ดเตล็ด)

5.) ค่าสอบ วัดผล GCE O-Level และ A-Level (อย่างละครั้งเดียว)

6.) เงินช่วยค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุ

ระดับ Pre-University One

เป็นทุนให้เปล่า 2 ปี เข้าเรียนชั้น Junior College 1 - 2 (เทียบประมาณ ม.5 - 6) แล้วจึงสอบ GCE A-Level เพื่อเอาผลไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป

กำหนดการ

- เปิดรับสมัคร 18 มี.ค. 2564 - 16 พ.ค. 2564

- สอบช่วงกลางเดือน ก.ค. 2564 และประกาศผลสอบ เดือน ก.ย. 2564

- หากได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เดือน มกราคม 2565

คุณสมบัติผู้สมัครระดับ Pre-University One

- ถือสัญชาติไทย

- เกิดในช่วงปี ค.ศ. 2003 - 2004 ( พ.ศ. 2546 - 2547)

- มีเกรดเฉลี่ยในระดับ ม. 3 และ ม.4 หรือ ระดับ ม. 4 และ ม.5 ไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีผลการเรียนดีอย่างต่อเนื่อง

- มีทักษะภาษาอังกฤษดี และมีประวัติการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียน

สิ่งที่จะได้รับจากทุนคร่าวๆ

1.) ค่าตั้งตัวช่วงปีแรก (ให้ครั้งเดียว)ลค่าใช้จ่ายให้

2) ค่าตั้งตัวช่วงปีแรก (ให้ครั้งเดียว)

3.) ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้น economy

4.) ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนต่างๆ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบ็ดเตล็ด)

5.) ค่าสอบ GCE A-Level (ครั้งเดียว)

6.) เงินช่วยค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุ การสอบจะผ่านการพิจารณาจากใบสมัครเป็นหลักก่อน โดยจะแจ้งอีเมลกำหนดการเข้าสอบให้กับผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าสอบเท่านั้น โดยปกติจะแจ้งก่อนสอบไม่นาน ประมาณ 1-3 สัปดาห์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครออนไลน์: https://www.moe.gov.sg/financial-matters/awards-scholarships/asean-scholarships/thailand

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม: https://www.moe.gov.sg/contact


ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/groups/citu.cio.future/permalink/2121009288035882/

ทั้งหล่อทั้งเก่ง!! เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ สำหรับ “ซงจุงกิ (Song Joong Ki)” หนุ่มหล่อพระเอกแถวหน้าจากประเทศเกาหลีใต้ ที่นอกจากจะมีหน้าตาที่หล่อเหลา ผลงานการแสดงยอดเยี่ยม ใครจะไปคิดว่าเรื่องการเรียนเขาก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร

รายการ The List ทางช่อง tvN เคยเปิดเผยว่า ซงจุงกิ (Song Joong Ki) เรียกได้ว่า เกรดสวย เป็นนักเรียนที่ดีมาตั้งแต่ช่วงที่อยู่มัธยม รวมถึงเขาเคยเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนด้วย และเขาก็เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัย Sungkyunkwan University คณะบริหารธุรกิจ ได้อีกด้วย ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เข้าได้ยากมาก เพราะมีอัตราแข่งขัน 45.5 ต่อ 1 เลยทีเดียว

ในสมัยที่เขาเรียนในระดับมัธยม เกรดของเขาได้ถูกเปิดเผยในรายการ Good Morning จากสถานี SBS ว่าเขาเป็นนักเรียนที่มีความตั้งใจเรียนมากๆ เพราะเขาได้คะแนนสอบ 380 คะแนน จาก 400 คะแนน ในการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย Sungkyunkwan University


ที่มา: https://www.sanook.com/campus/1396033/

สมัยเรียนทำกิจกรรมอะไรมาบ้างไหมคะ ? หนึ่งในคำถามที่ผู้สัมภาษณ์เข้าทำงานนิยมถามนักศึกษาจบใหม่ ในวันที่สัมภาษณ์งาน บางทีถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากเกรดใน Transcript หรืออาจจะให้ความสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ

ในโลกยุคปัจจุบันที่เรียกขานว่า โลกยุคดิจิตอล ทักษะในการทำงานที่หลากหลายแบบ Muititasking Skills เป็นทักษะการทำงานที่ถูกพูดถึงเสมอ เทคโนโลยีที่มาไวไปไว ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา การมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง อีกทั้งยังต้องทำงานพร้อมกันหลายอย่าง เช่น การเช็กข้อมูล e-mail กล่องข้อความใน facebook สื่อสารกับลูกค้าผ่าน Line จัดทำเอกสารในโปรแกรม Word โปรแกรม Excel หรือ ทำ Presentation ด้วยโปรแกรม Powerpoint เป็นต้น ทักษะเหล่านี้ล้วนไม่สามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพได้ในระยะเวลาอันสั้น

การฝึกทักษะการทำงานจึงสามารถทำได้ตั้งแต่วัยเรียน จากกิจกรรมในสมัยเรียนนั่นแหละ ชมรม ชุมนุม หรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ หากเด็กคนไหนได้ไปเข้าร่วม นอกจากความสนุกแล้ว สิ่งสำคัญคือการได้ทำงานร่วมกับคนอื่น การทำงานเป็นทีม การเข้าอกเข้าใจ การแก้ปัญหา หากจะกล่าวโดยรวมก็คือ เป็นการฝึก 7Q ความฉลาด 7 ด้าน นั่นเอง (ซึ่งความฉลาด 7 ด้าน ได้กล่าวถึงในบทความครั้งที่แล้ว https://www.facebook.com/thestudytimes/photos/115561173889921)

ข้อดีของยุคเทคโนโลยีแบบนี้ก็คือ การที่เยาวชนหรือเด็กๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ได้มากมาย หากเลือกใช้ในทางที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ การเสริมทักษะทั้ง 7Q ตั้งแต่ยังเด็กนั้น เป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กคนนั้นเผชิญหรือรับมือกับโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย และยิ่งยุคสมัยนี้การแข่งขันในตลาดแรงงานก็สูงลิ่ว สวนทางกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ยิ่งต้องเพิ่มทักษะความสามารถให้เข้าสู่ตลาดแรงงานให้มากขึ้นไปอีก ใครทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม หรือปรับตัวยากในยุคดิจิตอล คงไปไม่รอด ซึ่งหากยังอยู่ในวัยเรียน ผู้เขียนแนะนำว่า น้องๆ ลองหากิจกรรมทำนอกเหนือจากการเรียน แล้วจะเพิ่มทักษะความสามารถให้กับน้องๆ ได้เยอะมากกว่าที่น้องๆ คิด และเมื่อก้าวเข้าสู่วัยแรงงาน น้องๆ ก็จะสามารถเข้าถึงงานที่ปรารถนาได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ


เขียนโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://adecco.co.th/th/knowledge-center/detail/multitasking


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top