Friday, 3 May 2024
รู้เรื่องเมืองมะกัน

ครั้งหนึ่ง 'โรบินฮู้ด' ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะวีรกรรมปล้นคนรวยมาแจกคนจนดันถูกใจพี่หมี

เชื่อไหมว่าประเทศที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพทุกตารางนิ้วอย่างอเมริกา ชี้หน้ากล่าวหาตัวละครอย่างโรบินฮู้ดว่าเป็น 'คอมมิวนิสต์'  

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะมีการประกาศ 'แบน' หนังสือโรบินฮู้ดอย่างเป็นทางการทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในรัฐอินเดียน่าเลยทีเดียว

ย้อนความ...สาเหตุที่ทำให้โรบินฮู้ดและสหายโด่งดัง ก็เพราะพฤติกรรมปล้นคนรวยเอามาแจกคนจน ทำให้หลายคนสงสัยว่าโรบินฮู้ดมีตัวตนจริง หรือเป็นแค่เรื่องเล่า     

โดยต้นเรื่องนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 12-14 คืออาจจะเป็นใครก็ได้ในช่วงนั้น ส่วนป่าเชอร์วู้ดอันเป็นพำนักพักอาศัยของโรบินฮู้ดและผองเพื่อนมีอยู่จริง  

(ป่าเชอร์วู้ดมีพื้นที่ 32 กิโลเมตรในมณฑลนอตติงแฮมเชียร์ พื้นที่เป็นทุ่งราบและป่าทึบ สมัยก่อนพื้นที่ทุกตารางนิ้วในป่าเชอร์วู้ดเป็นพื้นที่ป่าสงวนให้กษัตริย์และราชวงศ์ใช้ล่าสัตว์)

ทีนี้ทำไมอยู่ ๆ โรบินฮู้ดถึงถูกอเมริกากล่าวหาว่าเป็นคอมมี่ไปได้?

นั่นก็เพราะสืบเนื่องมาจากวีรกรรมของโรบินฮู้ดเป็นถูกอกถูกใจพี่หมีขาวโซเวียต ในยุคที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ขยายตัวไปบางส่วนของโลกหรือยุคสงครามเย็น เลยยกโรบินฮู้ดให้เป็นวีรบุรุษต้นแบบของระบอบคอมมิวนิสต์ จนนำไปเป็นตัวเอกในหนังชวนเชื่อยุค 1970s - 1980s   

พอพี่หมีขาวรัสเซียเนียนเอาโรบินฮู้ดมาเป็นตัวเอกในหนังโฆษณาชวนเชื่อก็เป็นเรื่อง อเมริกาพ่อทุกสถาบันเห็นเข้าก็ตัวสั่นเร่า ประกาศแบนทันที และรัฐที่ประกาศปังดังลั่นคือ รัฐอินเดียน่า 

ในปี 1953 คณะกรรมการหนังสือเรียนของรัฐอินเดียน่าออกคำสั่ง 'แบน' หนังสือโรบินฮู้ดทุกเล่มทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วทั้งรัฐ โดยให้เหตุผลว่า พฤติกรรมของโรบินฮู้ดที่ปล้นคนรวยไปช่วยคนจนนั้น ดูแล้วมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ที่มุ่งยึดทรัพย์สินและบ้านช่องนายทุนเอามาให้ชนชั้นกรรมาชีพ โถ..ลูกอีช่างโยง

คงต้องขอเล่าประวัติศาสตร์อเมริกาช่วงสงครามเย็นให้ฟัง แล้วจะเห็นภาพว่าทำไม?...ทำไมรัฐอินเดียน่าถึงกล่าวหาโรบินฮู้ดแบบนี้

อเมริกาขับเคี่ยวกับทั้งพี่หมีขาวและพญามังกรจีนอย่างถึงพริกถึงขิงในยุคสงครามเย็น เป็นการต่อสู้กันระหว่างสองค่ายการปกครองระหว่างเสรีประชาธิปไตยกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งลุงแซมต่อต้านอย่างสุดตัวสุดตีน จนเข้าข่ายบ้าคลั่งในบางครั้ง

ช่วงสงครามเย็นที่ว่านี่แหละเกิดการล่าแม่มด โดยกล่าวหาว่าคนนั้นคนนี้มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เรียกว่าใครเกลียดใครหรืออยากล้างแค้นใคร แค่บอกทางการว่าไอ้นั่นอีนี่เป็นคอมมิวนิสต์รับรองถูกลากไปสอบสวนหมด เลยโดนกันทั่วหน้า ไม่ว่าเป็นนักการทูต นักเขียน กองทัพ รวมไปถึงบุคลากรในวงการภาพยนตร์

กลุ่มสุดท้ายนี่ถูกล่าอย่างหนัก เพราะคณะกรรมการของรัฐสภายุคนั้นเชื่อว่า ผู้กำกับหรือผู้สร้างหนัง สามารถชี้นำมวลชนให้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ผ่านทางภาพยนตร์เพื่อล้างสมอง หลายคนถูกสอบสวนอย่างหนัก ถูกขึ้นบัญชีดำ หรือถูกบีบให้คายชื่อเพื่อนหรือคนรู้จักที่เข้าข่ายเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งบางก็เอาตัวรอดด้วยการซัดทอดคนบริสุทธิ์

โดยจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มดคอมมิวนิสต์มาจาก ลัทธิแม็คคาร์ธี (McCarthyism) ที่มาจากชื่อวุฒิสมาชิกโจเซฟ แม็คคาร์ธี แห่งพรรครีพับลิกัน ซึ่งอีตาแม็คคาร์ธีนี่ขวาจัดแบบชนิดที่เรียกว่าสุดโต่ง เกลียดคอมมิวนิสต์ชนิดสุดติ่งทิงนองนอย เลยกลายเป็นไล่ล่ากวาดล้างบรรดาคนที่มีแนวโน้มจะเป็นคอมมิวนิสต์ในอเมริกา

ช่วงนั้นทุกคนโดนไล่ล่าไม่เว้น แม้กระทั่งประธานาธิบดีเฮนรี เอส. ทรูแมน ยังโดนแม็คคาร์ธีกล่าวหาว่า อ่อนข้อให้กับพวกคอมมิวนิสต์และปกป้องสายลับโซเวียต 

ชี้เป็น ชี้ตาย!! เมื่อการกราดยิงเป็นเรื่องปกติในสังคมอเมริกา ไม่เกี่ยวกับ ‘ผู้ป่วยทางจิต’ และ ‘เด็กติดเกม’

หลายหนที่เจอคำถามว่าทำไมคนอเมริกันถึงบ้าคลั่งสาดกระสุนฆ่าคนบริสุทธิ์ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในที่สาธารณะบ่อยๆ จนคล้ายกับว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสังคมอเมริกัน ทำให้เพื่อนหลายคนในเมืองไทยถามว่า ทำไมจึงมักเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ขึ้นในประเทศที่ ‘ว่ากันว่า’ เจริญแล้ว

นิยามของการการกราดยิงของหน่วยงานอย่าง ‘เอฟบีไอกัน’ คือต้องมีผู้ถูกยิงในเหตุการณ์เดียวกัน 4 คนขึ้นไป รวมถึงตัวผู้ก่อเหตุได้ด้วย สามารถก่อการได้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป แต่ส่วนมากมักพบว่ากระทำการเพียงลำพัง

คนส่วนมากมักคิดว่า มือปืน มีอาการป่วยทางจิต แต่จากงานศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลอมเบียพบว่า มือปืนผู้ก่อเหตุนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหาป่วยทางจิต 

งั้นการเล่นเกมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงล่ะเป็นมูลเหตุนำไปสู่การกราดยิงด้วยหรือเปล่า? 

จากงานสำรวจของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยระหว่างเกมและเหตุการณ์กราดยิง 

สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า อเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงเพื่อสังหารหมู่เป็นจำนวนมากครั้งที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก 

ไม่แปลกหรอก!! เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนอาวุธปืนหมุนเวียนในตลาดมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 270-310 ล้านกระบอก เทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 319 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าชาวอเมริกันแทบทุกคนมีปืนเป็นของตัวเองอย่างน้อยคนละ 1 กระบอก

หลังเหตุการณ์กราดยิงในที่สาธารณะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอเมริกันเลยหันมาถกเถียงอย่างดุเดือดว่า ควรออกกฎหมายจำกัดสิทธิในการพกปืนหรือไม่ เพราะการมีปืนไว้ครอบครองนั้นง่ายมาก ทุกคนเลยอยากซื้อปืนโดยอ้างว่ามีไว้ป้องกันตัว แต่ไม่มีใครย้อนคิดถึงสาเหตุของการมีปืนไว้ประจำบ้านว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน

ด้านฝ่ายที่ไม่อยากให้ควบคุมอาวุธปืน ก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายว่า...อเมริกาเป็นประเทศที่ก่อร่างตั้งตัวด้วยการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ตั้งแต่ใช้ปืนไล่ยิงอินเดียนแดง เพื่อแย่งแผ่นดิน มาจนถึงการลุกขึ้นไล่ชาวยุโรปชาติอื่นที่มาตั้งอาณานิคมบนแผ่นดินใหม่ออกไป แล้วหันไปรบกับชาวอังกฤษจากแผ่นดินแม่ ดังนั้นปืนคือ สิ่งจำเป็นตั้งแต่ในยุคเริ่มบุกเบิก

การให้ประชาชนมีอาวุธปืนไว้ใช้ป้องกันตนเอง ถูกตราไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงประชามะริกัน ฝ่ายที่สนับสนุนการมีปืนในครอบครองอ้างว่าการครอบครองอาวุธปืนเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา แถมแย้งว่าหากมีการออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนจะยิ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สามารถปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามต่าง ๆ ได้ จากนั้นก็ยกสโลแกนเก๋ ๆ ขึ้นมาตบท้ายว่า…

“Gun does not commit crime, people do !” 
“ปืนไม่เคยก่ออาชญากรรม...แต่คนต่างหากที่ทำ !

ส่วนฝ่ายที่อยากให้มีการควบคุมอาวุธปืน ก็ลุกมาโต้แย้งแสดงเหตุผลนานาประการเช่นกัน ว่าจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เข้มงวดกว่านี้ในการครอบครองปืน เพื่อลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีก 

เมื่อไทยมีพระโค อเมริกาก็มี ‘กราวด์ฮอก’ เทพพยากรณ์อากาศ ขวัญใจชนพื้นเมือง

เช้าตรู่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบในเมือง Punxsutawney รัฐเพนซิลเวเนีย แม้หนาวสาหัสขนาดไหน แต่ผู้คนนับพันก็ไม่ย่อท้อต่อความหนาวสุดขั้ว และต่างถือแก้วกาแฟหอมกรุ่นออกมารวมตัวชุมนุมที่ลานกลางเมือง

ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นและส่วนกลางตระเตรียมเครื่องมือของตน รอวินาทีสำคัญที่จะเผยตัวเบื้องหน้าโลกในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ใครคนหนึ่งตะโกนฝ่าอากาศยามเช้าออกไป จากนั้นทุกคนก็ส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม...ทั้งโลกจับตามองเจ้าตัวกราวด์ฮอก (Groundhog) อ้วนปี๋ประจำเมือง ที่ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ตัวเก่าตาย ตัวใหม่มาแทน จะตั้งชื่อกราวด์ฮอกว่า ‘ฟิลด์’ เจ้าตัวกลมปุ๊กหน้าตาตลกนี้เป็นนักพยากรณ์อากาศอันดับหนึ่งแห่งอเมริกาเลยทีเดียว

วินาทีที่นายกเทศมนตรีในเครื่องแต่งกายย้อนยุค ควัก ‘ฟิลด์’ จากโพรงไม้มาชูให้ฝูงชนเห็น ทุกคนต่างโห่ร้องปรบมือให้กำลังใจกันล้นหลาม ท่ามกลางประกายเจิดจ้าของแฟลชวูบวาบของกองทัพนักข่าว ซึ่งเอาเข้าจริงไม่ว่าจะปีไหน เจ้าฟิลด์ ก็จะดูงัวเงียอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความที่เป็นขวัญใจมหาชนมายาวนาน จึงยังคงนอนนิ่งในอ้อมกอดนายกเทศมนตรี ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงรัวชัตเตอร์ถี่ยิบของฝูงชน (ครั้นเมื่อตอนภาพยนตร์เรื่อง Groundhog Day ออกฉายเมื่อปี 1993 ชื่อเสียงของฟิลด์ยิ่งดังทะลุฟ้ายิ่งกว่าดาราฮอลลีวู้ดเสียอีก)

Groundhog Day จัดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี ทั้งในแคนาดาและรัฐทางเหนือของอเมริกา มีความเชื่อเก่าแก่ที่เล่าสืบต่อมาว่า ถ้ากราวด์ฮอกโผล่ออกมาจากโพรงในวันนี้ และทิ้งโพรงไปหากินทันที นั่นหมายถึงฤดูหนาวใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ใบไม้ผลิจะมาถึงในไม่ช้า 

แต่ถ้ากราวด์ฮอกโผล่ออกมาจากโพรง แล้วเห็นเงาของตัวเอง แสดงว่าปีนั้นฤดูหนาวจะยาวนานต่อไปอีก 6 อาทิตย์ แล้วจะเข้าสู่ใบไม้ผลิ คือไม่ว่า กราวด์ฮอกจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร ก็ถือเป็นเรื่องเล่นสนุกของผู้คนในเมืองหิมะที่เบื่อหิมะอันแสนยาวนานนั่นเอง

‘รัสเซีย’ เสียท่า!! ส่งความรวยให้สหรัฐฯ หลังพลาดขาย ‘อะแลสกา’ ไปในราคาแสนถูก

ชาวโลกรู้ว่าอเมริกากับรัสเซียนั้นเป็นคู่กรณีสงครามเย็น จนหลายคนคิดว่าสองชาตินี้คงไม่มีวันยิ้มให้กันได้ แต่จริงๆ แล้วครั้งหนึ่งไอ้นกอินทรีกับพี่หมีขาวเป็นมิตรกันมาก่อน ตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังอยู่ฝ่ายเดียวกันเลย มาแตกหักรักไม่ลงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่แหละ แต่เชื่อไหมว่าอเมริกาได้ครอบครองดินแดนของรัสเซีย และสถาปนาเป็นรัฐของอเมริกาเต็มภาคภูมิ 

เมื่อเอ่ยถึงรัฐอะแลสกา (Alaska) หลายคนรู้สึกหนาวแทนพลเมืองที่นั่น เพราะได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่หนาวสะท้านโลก 

อะแลสกาเป็นรัฐที่ 49 ในบรรดา 50 รัฐของอเมริกา ถูกค้นพบโดยนักเดินทางรัสเซียในปี ค.ศ.1741 พี่หมีขาวเลยกระโจนเข้าครอบครองตั้งแต่ปี ค.ศ.1784 ไอ้ที่โผเข้าหาดินแดนโน่นนี่ไม่ใช่อะไรหรอก พี่หมีแกอยากขยายอาณาจักรไปเรื่อยๆ เพราะช่วงนั้นประเทศต่างๆ ก็ล่าอาณานิคมกัน จะล่องไปล่าแถวไหน ประเทศแถบยุโรปล่ากันหมดแล้ว เลยต้องมุ่งหน้าขึ้นเหนือ 

พี่หมีขาวอยากได้อาณานิคมในดินแดนฝั่งตะวันออก เอาไว้ค้าขายชายเฟือยและเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์ รวมถึงการเรียกเก็บภาษีและทรัพยากรจากอาณานิคม แต่อะแลสกานั้นยกเว้น เพราะการครอบครองอะแลสกาของรัสเซีย เป็นไปเพื่อการทำธุรกิจมากกว่าการตั้งถิ่นฐาน มีการจัดตั้งการค้าขนสัตว์ในปีค.ศ.1781 และตั้งบริษัท Russian American Company ในปี ค.ศ. 1799 

หากเรากางแผนที่โลก จะเห็นว่าอะแลสกาอยู่ไกลจากขอบเขตดินแดนรัสเซีย ด้วยระยะทางที่ห่างกันมากระหว่างอะแลสกากับเมืองหลวงของรัสเซีย ทำให้สื่อสารกันลำบาก แถมไม่มีชาวรัสเซียไปตั้งรกรากในอะแลสกามากนัก นอกจากหนาวแล้วยังไกลปืนเที่ยง เลยมีคนหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่นั่นแค่ 800 คนเท่านั้นเอง  

หนักหนากว่านั้นคือหนาวหูตูบจนเพาะปลูกอะไรไม่ค่อยจะได้ ทำให้ผู้นำหมีขาวเบ้ปากมองบนว่าจะเอาไอ้แผ่นดินนี้ไว้ทำไมหนอเรา นอกจากอะแลสกาจะกลายเป็นดินแดนที่ไม่ทำกำไรให้รัสเซีย ยังเสี่ยงต่อการถูกอังกฤษรุกราน ทำให้พี่หมีขาวนอนกระดิกตีนตรอง ว่าจะเอาไงดีกับไอ้ดินแดนแห่งนี้ ที่สำคัญตอนนั้นรัสเซียกำลังถังแตกเสียด้วย

รัสเซียจนกรอบ เพราะทำสงครามอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ไพศาล การทำสงครามแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เงินมหาศาล โดยเฉพาะสงครามไครเมียในปี 1853-1856 สงครามหนนี้ทำเอารัสเซียสิ้นเนื้อประดาตัวแทบล้มละลาย  หลังเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพปารีส 1856 มีการกันทะเลดำให้เป็นเขตกลางเพื่อไม่ให้รัสเซียตั้งฐานยุทธศาสตร์ นั่นยิ่งทำให้สูญเสียช่องทางการค้าขายกับประเทศอื่นไปโดยปริยาย

เมื่อถังแตกก็ต้องขายของเก่ากินนั่นแหละ กวาดสายตาทั่วแผ่นดินแล้วพบว่าอะแลสกาเป็นแผ่นดินของรัสเซียในบริเวณอเมริกาเหนือ แถมยังรกร้างว่างเปล่าเต็มไปด้วยน้ำแข็ง จนทางรัสเซียคิดว่าหาประโยชน์อะไรไม่ได้ และไม่อยากจ่ายเงินก้อนโตในการดูแล เลยเอาไปเร่ขายให้อเมริกา ซึ่งตอนนั้นยังดี ๆ กันอยู่ แถมทั้งรัสเซียและอเมริกามีศัตรูร่วมกันคืออังกฤษ เลยใส่พานวางถวาย

รัสเซียตัดสินใจเสนอขายอะแลสกาให้อเมริกาใน ค.ศ. 1859 แต่การเจรจาซื้อขายถูกชะลอไปเนื่องจากสงครามเย็น จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867 วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ซื้ออะแลสกามาจากรัสเซีย  

การซื้อขายครั้งนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก สื่อในอเมริกาลงข่าวเสียดสีว่าการซื้ออะแลสกาเป็นความโง่เขลาของ ซูเวิร์ด และเป็นสวนหมีขั้วโลกของ จอห์นสัน ส่วนชาวรัสเซียต่างไม่พอใจที่อะแลสกาถูกขายไป เพราะรัสเซียทุ่มเทพัฒนาอะแลสกามาอย่างยาวนาน อยู่ ๆ จะมาขายไปง่ายๆ ได้ไง แถมขายถูกเสียด้วย

จาก ‘ผู้นำมะกัน’ สู่ ‘เลือกตั้ง’ ครั้งใหม่ของไทย ‘คนดี’ นั้นไซร้ ย่อมอยู่ในใจผู้คนตลอดกาล

สำหรับมวลมหาประชาชนคนอเมริกันแล้ว ไม่ได้มีแค่ ‘วันวาเลนไทน์’ วันเดียวเท่านั้นที่เป็นวันสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ หาแต่ยังมีอีกวันที่ทุกคนเฝ้ารอ นั่นคือ ‘วันประธานาธิบดี’ 

ที่ว่าเฝ้ารอนี่ไม่ใช่เพราะให้ความสำคัญกับ ‘ประธานาธิบดี’ หรอก แต่เพราะทุกห้างร้านจะ ‘ลดราคาครั้งใหญ่’ ถึงบางคนอดใจไม่ซื้อของขวัญวาเลนไทน์ แต่เลื่อนไปซื้อของขวัญในวันนี้แทน เพราะได้ส่วนลดมากมาย 

วัน Presidents Day หรือ วันประธานาธิบดี ตรงกับวันจันทร์ในสัปดาห์ที่ 3 ส่วนที่เลือกเป็นวันนี้นั้น เพราะเป็นวันเกิดของ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1732 โดยมีการร่างพระราชบัญญัติให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการและเริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1971 

ไม่เพียงแค่เป็นเดือนเกิดของ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ เท่านั้น หากแต่ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ยังเป็นเดือนเกิดของประธานาธิบดีที่มีความสำคัญอีกท่าน นั่นก็คือ ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ โดยในพระราชบัญญัติที่ว่านี้ระบุให้วันประธานาธิบดี เป็น ‘วันสดุดีอับราฮัม ลินคอล์น’ ประธานาธิบดีคนที่ 16 ซึ่งเกิดในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1809 อีกด้วย เรียกว่าเป็นแพ็กคู่แห่งความสำคัญแบบ 1 แถม 1 กันเลยทีเดียว

ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว ก็ขอพาย้อนไปดูสาระน่ารู้เกี่ยวกับผู้นำมะกันในอดีตสักเล็กน้อย โดยเริ่มจากจำนวนประธานาธิบดีนับตั้งแต่เริ่มอย่าง จอร์จ วอชิงตัน ในปี ค.ศ. 1789 มาจนถึงปัจจุบันนั้น อเมริกาจะมีประธานาธิบดีแล้วทั้งสิ้น 46 คน ซึ่งคนล่าสุด ก็คือ ‘ลุงโจ ไบเดน’ นั่นแหละ  

>> อยู่ยั่งยืนยง
ส่วนประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ก็ได้แก่ ประธานาธิบดี ‘แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์’ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ถึง 4 สมัยหรือ 16 ปี หลังจากนั้นมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ในปี ค.ศ. 1951 กำหนดให้บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกิน 2 สมัยติดต่อกัน

ที่สหรัฐฯ นั้น ทุกๆ 4 ปีจะมีการสำรวจโพล ‘ประธานาธิบดีและความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีในการเมืองของฝ่ายบริหาร’ โดยสำรวจความคิดเห็นนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์ของสมาคมรัฐศาสตร์ เกี่ยวกับประธานาธิบดีและการเมืองของฝ่ายการบริหาร ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นให้คะแนนความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีแต่ละคนจาก 0 ถึง 100 ซึ่ง 100 คือ ยิ่งใหญ่, 50 คือ ปานกลาง และ 0 คือ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

>> สุดยอดผู้นำ
สำหรับประธานาธิบดียอดเยี่ยมนั้น ผลสำรวจมักออกมาแบบนี้แทบทุกหน นั่นคือ 7 อันดับประธานาธิบดียอดเยี่ยมอันดับหนึ่งอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลคือ อับราฮัม ลินคอล์น ตามด้วยจอร์จ วอชิงตัน, แฟรงคลิน  รูสเวลต์, ธีโอออร์ รูสเวลต์, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, แฮร์รี ทรูแมน และดไวท์ ไอเซนฮาวร์ โดยอับราฮัม ลินคอล์นได้คะแนนนำสูงลิ่วมาทุกครั้ง เรียกว่าเป็นประธานาธิบดีในหัวใจประชาชนอย่างแท้จริง

>> ผู้นำห่วยแตก
ส่วนประธานาธิบดีห่วยแตกสุด 5 คน เรียงจากบ๊วยสุด คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ตามมาด้วย แอนดรูว์ จอห์นสัน, แฟรงคลิน เพียร์ซ, วิลเลียม แฮร์ริสัน และ เจมส์ บูแคนัน โดยนักวิจัยขอให้นักรัฐศาสตร์ช่วยระบุชื่อประธานาธิบดีที่คิดว่าสร้างความแตกแยกมากที่สุด ผลปรากฏว่านักรัฐศาสตร์ 90 จากทั้งหมด 170 คนยกให้ ‘ทรัมป์’ เป็นผู้นำที่สร้างความแตกแยกที่สุด

'เทพีเสรีภาพ' ภาพลวงตาประชาคมโลกที่เริ่มแดง แย่งชิงดินแดน ขัดแย้งผิวสี ก่อมิคสัญญีลุกลามโลก

การที่อเมริกามีเทพีเสรีภาพตั้งตระหง่านบนเกาะลิเบอร์ตี้จนเป็นโลโก้ของประเทศ ไม่ได้หมายความว่าลุงแซมจะให้เสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันเสมอไป ตามที่คนไทยจำนวนหนึ่งนำไปกล่าวอ้างอยู่เสมอ

ก่อนหน้าจะกลายเป็นยูไนเต็ดออฟอเมริกานั้น ทั้งแผ่นดินมีแต่อินเดียนแดงอาศัยอยู่อย่างเสรี แม้จะมีการสู้รบระหว่างเผ่าบ้าง แต่ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ เช่นที่คนผิวขาวกระทำต่ออินเดียนแดง  

ช่วงก่อนการเข้ามาของชาวยุโรป คาดว่ามีชนเผ่าอินเดียนแดงอยู่ประมาณ 10-12 ล้าน หลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาสงบลง ในปี ค.ศ. 1865 อินเดียนแดงที่เคยมีอยู่นับล้านทั่วประเทศถูกสังหารหมู่ จนลดลงเหลือไม่ถึงสามแสนคน ขณะที่คนขาวหลั่งไหลกันเข้ามาแย่งชิงดินแดนของอินเดียนแดงร่วม 30 ล้านคน

ฉะนั้นจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งประเทศอเมริกา ก็เรียกว่าหาความเท่าเทียมกันไม่ได้แล้ว เพราะสร้างชาติบนซากศพอินเดียนแดงมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคแรกเริ่มเลยทีเดียว  

ส่วนการที่เทพีเสรีภาพมาสถิตบนแผ่นดินอเมริกาคือ เรื่องการเมืองล้วนๆ โดยย้อนไปในปีค.ศ.1865 เอดูอาร์ด เดอ ลาบูเลย์ ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านการค้าทาสเสนอว่า ในวาระของการเป็นอิสระจากอังกฤษเกือบ 100 ปี และเพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองมาหมาดๆ น่าจะมีอนุสรณ์สถานให้เป็นที่ระลึกถึงบ้าง แต่ความคิดนี้ตกไป ต่อมา เฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ ปัดฝุ่นความคิดนี้นำเสนออีกหน ว่าฝรั่งเศสจะเป็นผู้ปั้นเทพีเสรีภาพให้ โดยนายเฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดินั่นแหละที่จะปั้นให้ เพราะมีอาชีพเป็นช่างปั้น แต่ลุงแซมต้องหาที่ยืนของแม่สาวเสรีภาพนี้เองนะ 

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพหรือ Statue of Liberty มีชื่อเดิมว่า Liberty Enlightening the World ถือเป็นของขวัญชิ้นมหึมาที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกันในงานฉลองวันชาติครบ 100 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปีค.ศ. 1876 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการในอีก 10 ปีให้หลังคือ ในวันที่ 28 ตุลาคม ปี ค.ศ.1886 โดยมีประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ เป็นผู้รับมอบ     

ฟังดูเหมือนของขวัญอันสะสวยจากรัฐบาลฝรั่งเศสใช่ไหม แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีจุดประสงค์แฝงทางการเมือง

รูปปั้นนี้หนัก 254 ตัน ออกแบบเป็นรูปสตรีสวมเสื้อผ้าคลุมร่างแบบกรีก ตั้งแต่ไหล่ลงมาจรดปลายเท้า สวมมงกุฎที่ศีรษะ มือขวาถือคบเพลิงชูเหนือศีรษะ ส่วนมือซ้ายถือหนังสือคำประกาศอิสรภาพที่จารึกว่า 'JULY IV MDCCLXXVI' หรือวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ที่อนุสรณ์สถานมีทางเดินจากป้อมเข้าสู่ส่วนฐาน ตรงทางเข้ามีแผ่นบรอนซ์จารึกคำประพันธ์ซอนเนท แต่งโดย เอมมา ลาซารัส เมื่อ ค.ศ.1883 โดยใจความกล่าวต้อนรับผู้อพยพมาสู่โลกใหม่ทุกคน ที่ปลายเท้าเทพีมีโซ่หักขาดชำรุด ซึ่งแสดงความหมายของความเป็นไทและมีเสรีภาพจากอังกฤษ

เงินทุนในการสร้างเทพีเสรีภาพ ส่วนหนึ่งมาจากนายทุนฝรั่งเศสที่อยากเข้ามาลงทุนขุดคลองปานามา แต่จะพุ่งไปตรงที่โคลอมเบียเลยก็น่าเกลียด เพราะพี่เบิ้มอเมริกานั่งกระดิกเท้าขวางหน้าอยู่ เลยต้องเดินเข้าไปบีบแข้งบีบขาทุบหลังเอาใจลุงแซมก่อน หวังอยากให้ลุงแซมไฟเขียวให้เข้าไปขุดคลองปานามาในโคลอมเบียนั่นเอง     

เรื่องนี้คือ เรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลของฝรั่งเศสนั่นแหละ ต่อมาโกงกันสะบั้นหั่นแหลกถึงขั้นที่บริษัทฝรั่งเศสล้มละลาย อเมริกาจึงเจ้ามารับช่วงทำต่อ

หลังจากนั้น เทพีเสรีภาพ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาไปโดยปริยาย เนื่องจากผู้อพยพจากยุโรปยุคแรกๆ จะต้องเดินทางเข้าสู่อเมริกาทางเรือ โดยสิ่งแรกที่เห็นบนแผ่นดินอเมริกาก็คือ เทพีเสรีภาพยืนตระหง่านอยู่บนเกาะ Liberty ก่อนที่เรือทุกลำจะจอดเทียบท่าที่ Ellis Island เพื่อให้กลุ่มชนอพยพจากแผ่นดินอื่นเข้าบันทึกข้อมูลในการเดินทางเข้าอเมริกาในยุคที่ยังไม่มีเครื่องบิน

หลังม่าน WW2 คราบน้ำตาของชาวญี่ปุ่น บนผืนธงชาติอเมริกา เมื่อค่ายกักกันยุ่น มีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน

จริงๆ แล้ว อเมริกาซ่อนจุดด่างดำอัปลักษณ์ไว้ใต้ผืนธงชาติมากมาย เลยต้องคุ้ยประวัติศาสตร์บางด้านมาเล่าสู่กันฟัง  

สงครามโลกครั้งที่สองเป็นการรบกันระหว่างมหาอำนาจสองขั้วคือ ฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร  

ฝ่ายอักษะคือ ญี่ปุ่น, เยอรมัน และอิตาลี ส่วนสัมพันธมิตรคือ ฝรั่งเศส, อังกฤษ, รัสเซีย และจีน ส่วนอเมริกาตอนนั้นยังนอนแคะสะดือดูสถานการณ์ ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายกับใครช่วงต้นสงคราม  

แต่อเมริกานอนเกาไข่เล่นได้ไม่นาน เช้าตรู่วันที่  7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฝูงบินญี่ปุ่นก็ถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวาย ทหารอเมริกันตายเพียบ เล่นเอาอเมริกันทั้งประเทศเต้นผางอย่างโกรธแค้น ชะ..ไอ้พวกแจ้บ (คำนี้ใช้เรียกชาวญี่ปุ่นในอเมริกาเวลานั้น) บังอาจมาหย่อนระเบิดบ้านกูได้

อเมริกันนั้นยัวะมาก ประกาศสงครามดังลั่นโลก พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 8 ธันวาคม ลุงแซมประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันที แถมแรงแค้นยังกระเพื่อมไปถึงชาวญี่ปุ่นทุกคนในอเมริกา โดยเฉพาะฮาวาย ซึ่งเวลานั้นมีชาวญี่ปุ่นมาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก รัฐบาลอเมริกันออกกฎหมายบังคับให้คนญี่ปุ่นในอเมริกา ทิ้งบ้านเรือนร้านค้า แล้วกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน ถึงแม้ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นจะได้สัญชาติอเมริกันก็ตาม หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่นที่เกิดในอเมริกา ซึ่งได้สัญชาติอเมริกันตั้งแต่เกิด แต่รัฐบาลไม่แคร์กับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นเหล่านี้แต่อย่างใด

ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942  มอบอำนาจให้ผู้บังคับบัญชาทหารท้องถิ่นกำหนด "พื้นที่ทหาร" เพื่อลงดาบบุคคลใดก็ตามที่มีบรรพบุรุษชาวญี่ปุ่น พูดง่ายๆ คือลากพวกนี้ไปเข้าค่ายกักกันให้หมดนั่นเอง  

คำสั่งนี้เหมือนฝันร้าย ทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นนับแสนต้องทิ้งบ้านเรือนร้านค้าที่ตัวเองเป็นเจ้าของ  เอาติดตัวไปแต่เพียงเสื้อผ้า เพื่อเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันตามคำสั่ง แถมรัฐยังยึดที่ดิน ร้านค้า บ้านเรือน ทรัพย์สินของอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้หลายครอบครัวหมดตัวในพริบตา 

สิ่งที่รัฐบาลอเมริกันทำในเวลานั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากนาซีเยอรมันกระทำต่อชาวยิวเลยแม้แต่น้อย แต่ละครอบครัวได้รับหมายเลขยืนยันตัวบุคคล สนามแข่งม้าแซนตาแอนิตาในลอสแอนเจลิสเป็นศูนย์แรกรับใหญ่ที่สุด รองรับได้มากกว่า 18,000 คน และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในคอกม้าอย่างแออัดยัดเยียด

แม้อเมริกาเพิ่งเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองในตอนท้าย และพลอยฟ้าฟลอยฝนได้รับชัยชนะไปด้วยในที่สุด แต่ความเกลียดชังและอคติที่มีต่อชาวญี่ปุ่นในอเมริกายังไม่จางหายไป ยังมีการคุมขังต่อเนื่อง มีการปล่อยตัวชาวญี่ปุ่นเหล่านี้บ้าง ก็เฉพาะที่ถูกคัดสรรแล้วว่าจงรักภักดีต่ออเมริกาจริง นอกนั้นถูกกักขังกักกันต่ออีกหลายปี แม้กระทั่งทารกแรกเกิดที่เกิดในค่ายกักกันก็ไม่ได้รับการปล่อยตัว 

ค่ายกักกันชาวญี่ปุ่นมีทั้งสิ้น 10 แห่งในหลายรัฐ ทั้งแอริโซน่า อาคันซอร์ แคลิฟอร์เนีย โคโลราโดไอดาโฮ ยูทาห์ และไวโอมิ่ง  ทั้งหมดตั้งอยู่ในสถานที่ทุรกันดาร มีสภาพความเป็นอยู่เลวร้าย ค่ายปรับทัศนคติที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ค่าย Manzanar ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเซียร์ร่า เนวาดา  

ค่ายกักกันทุกแห่งมีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน   หลายคนตาย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพียงแค่เดินเฉียดกำแพงค่าย ช่วงเวลาฝันร้ายในค่ายกักกันกินเวลาประมาณ 3 ปี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยราว 2,000 คน จนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม 1944 มีการประกาศยกเลิกกักกัน แต่เมื่อออกจากค่ายกักกันต้องเผชิญฝันร้ายซ้ำสอง เพราะสิ้นเนื้อประดาตัวทุกครอบครัว

St. Patrick's Day  เทศกาลแห่งความบันเทิงของอเมริกันชน บนวันที่แม่น้ำทั้งสายกลายเป็นสีเขียว

ถนนสายนั้นเป็นเพียงถนนสายธรรมดาอย่างที่เห็นกันดาษดื่นตามย่านเก่าแก่กลางเมืองเล็กๆ ในอเมริกา หากแต่วันที่ 17 มีนาคม เสียงปี่ไอริชจะกังวานแทรกสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ เพราะนี่คือวาระการฉลองที่เรียกว่า St. Patrick's Day   

St. Patrick's Day เป็นเทศกาลงานฉลองของชาวไอริช โดยฉลองกันในวันที่ 17 มีนาคมของทุกปี ทั้งชาวไอริชและไม่ใช่ไอริชจะแต่งกายด้วยชุดสีเขียว ซึ่งเป็นสีหนึ่งในสามสีหลักของธงชาติไอร์แลนด์ เทศกาลนี้ถือเป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนานบันเทิงของอเมริกัน ทั้งๆ ที่เป็นเทศกาลแห่งการระลึกถึง St. Patrick นักบุญคนสำคัญแห่งไอร์แลนด์ 

St.Patrick เกิดในปี คศ 385 และเสียชีวิตวันที่ 17 มีนาคม ปี คศ 461 ดังนั้น ชาวไอริชจึงถือเอาวันนี้มาจัดเทศกาลเฉลิมฉลองเป็น St. Patrick's Day เพื่อแสดงความระลึกถึงนักบุญแพทริก 

ชาวไอริชมีความเชื่อเกี่ยวกับ St. Patrick ว่าสามารถชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิตและขับไล่งูทุกประเภทให้ออกไปจากแผ่นดินไอร์แลนด์ ทั้งๆ ที่แผ่นดินนี้หางูทำยายากอยู่แล้ว ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นเฒ่าหัวงูทั้งสิ้น แต่ความเชื่อคือความเชื่อ ทุกความเชื่อล้วนอาศัยศรัทธาเป็นที่ตั้ง และทุกคนมีสิทธิ์ที่เลือกจะเชื่อในวิถีที่ตนศรัทธา

เทศกาลนี้จัดขึ้นในช่วงที่เรียกว่า ช่วง Lent ของคริสต์เตียน คือเป็นช่วงระหว่าง Mardi Gras และ Easter เป็นช่วงที่ชาวคริสต์จะลด ละ เลิก นิสัยหรือความชอบบางอย่างของตนในช่วงนั้น เทียบให้เห็นง่ายๆ กับสังคมชาวพุทธอย่างเราๆ ก็คงเหมือน "เลิกเหล้าเข้าพรรษา" น่าจะประมาณนั้น

ชาวไอริชในอเมริกาจะไปโบสถ์ในช่วงเช้าและเฉลิมฉลองในตอนบ่าย ส่วนมากจับกลุ่มกันเมามากกว่าจะทำอย่างอื่น เพราะคนไอริชขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องความเป็นปีศาจสุรา และความเป็นคนเลือดร้อนชอบทะเลาะวิวาท จะว่าไปเรื่องนี้ก็เหมือนเป็น Stereotype ขึ้นชื่อว่าคนแล้วไม่ว่าชาติไหนก็มีดีมีชั่วเหมือนกันทั้งนั้น เพียงแต่คนสก๊อตและไอริชนี่ขึ้นชื่อกว่าเพื่อน โทษฐานผลิตของเมากินเองได้ดีเยี่ยม แถมยังมอมเหล้าชาติอื่นไปทั่วโลก ด้วย Guinness ซึ่งเบียร์ยี่ห้อดังของไอร์แลนด์  

ช่วงงานฉลองตอนบ่าย ชาวไอริชจะกินดื่มและเต้นระบำ 'Irish Dance' แล้วกินอาหารประจำเทศกาลคือ Corned beef and cabbage นอกจากอาหารจานหลักในวัน St. Patrick's Day แล้ว ยังมีเจ้าแชมร็อค (Shamrock) นี่แหละที่เป็นพระเอกของงาน 

แชมร็อคเป็นใบไม้เล็กๆ สามแฉก ที่ชาวไอริชเลือกแชมร็อคมาใช้เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ St.Patrick's Day เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนี้ในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด แชมร็อคกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งชาติไอร์แลนด์ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวไอริชมาจนถึงปัจจุบัน

องค์ประกอบของงานฉลองอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือ แลปปริคอน (The Leprechaun) คนไอริชเรียกเจ้าตัวซุกซนแต่ขี้เมานี้ว่า 'Lobaircin' หรือ เรารู้จักกันในนาม  'แลปปริคอน'

แลปปริคอนมีที่มาจากนิทานพื้นบ้าน เล่ากันว่า เจ้าแลปปริคอนเป็นคนตัวเล็กๆ สีเขียว มีเวทมนตร์ ใส่หมวกทรงสูง ทำหน้าที่เฝ้าหม้อบรรจุทองคำ และที่สำคัญเป็นสุดยอดของขี้เมาทั้งปวง เชื่อกันว่าหากเราจับแลปปริคอนได้ จะบังคับให้เจ้าตัวเขียวพาเราไปเอาหม้อบรรจุทองคำ 

เมื่อถึงวันที่ 17 มีนาคมทุกปี ทุกเมืองในอเมริกาที่มีชุมชนชาวไอริชมาก่อร่างสร้างตัวอยู่จะจัดงาน St.Patrick's Day ขบวนแห่ St. Patrick's Day เริ่มต้นขึ้นในอเมริกานี่เอง เป็นการแตกยอดมาจากประเพณีในไอร์แลนด์ โดยเริ่มมีขบวนพาเหรดครั้งแรกในบอสตัน ปี 1737 

'คุกนรกกวนตานาโม' สิทธิมนุษยชนที่โลกเลือกลืม ฉาก 'ทรมาน-ย่ำยี' ผู้ก่อการร้าย ที่ 'กัน' ยัดเยียดให้

อเมริกาชอบอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนจนน้ำลายฟูมปากอยู่บ่อยๆ แถมยังสร้างภาพให้ชาวโลกเข้าใจว่าประเทศนี้พิทักษ์หลักสิทธิมนุษยชนสุดชีวิต เลยมักเต้นแท็ปไปรอบโลก โบกธงสิทธิมนุษยชนอยู่ไปมา พลางชี้นิ้วกล่าวหาชาวโลก ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศโลกที่ 3 ว่า 'ละเมิดสิทธิมนุษยชน'

จากนั้นก็หาเหตุในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและแซงซั่นด้วยมาตรการต่างๆ นานา โดยยืมมือสหประชาชาติหรือ 'อียู' จัดการ แต่คงลืมไปแล้วว่า ไอ้คุกนรก 'กวนตานาโม' ของตนนั้น แสนเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน?

ย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ.1903 ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวสต์ ทำสัญญาเช่าพื้นที่อ่าวกวนตานาโมจากรัฐบาลคิวบา ช่วงแรกเอาไว้ใช้เป็นท่าเติมเชื้อเพลิงเฉยๆ ต่อมาขยายสัญญาด้วยการระบุว่า “สัญญาเช่านี้จะสิ้นสุดด้วยการยินยอมจากทั้งสองฝ่ายหรือเมื่อลุงแซมละทิ้งอ่าวนี้ไปเอง” นั่นหมายถึงอเมริกายังคงมีกรรมสิทธิ์เหนือกวนตานาโมไปชั่วฟ้าดินสลายตราบที่ต้องการ  

หลังเกิดเหตุ 9/11 ในนิวยอร์ก ที่นี่กลายเป็นคุกขังนักโทษหลายร้อยคนจาก 35 ประเทศที่อเมริกากล่าวหาว่า 'ก่อการร้าย' 

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไม ถึงเอานักโทษก่อการร้าย ซึ่งส่วนมากเป็นมุสลิมมาไว้ที่นี่ เพราะคุกแห่งนี้ไม่ไกลจากอเมริกา นั่งเรือแค่สองชั่วโมงจากเมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดาก็ถึงแล้ว     

แต่ที่สำคัญ คือ กวนตานาโม ไม่ใช่แผ่นดินอเมริกา!!

ดังนั้นอเมริกาจะทำทารุณกรรมอย่างไรก็ได้กับนักโทษ แถมอ้างได้ว่าการดำเนินการใดๆ ภายในคุก ไม่สามารถฟ้องร้องในศาล โดยอ้างอิงจากคำพิพากษาของศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1950 ซึ่งระบุว่า...

"ศัตรูต่างด้าวซึ่งไม่มีถิ่นพำนักในสหรัฐฯ ไม่สามารถจะเรียกร้องให้ศาลของเราพิจารณาคดีให้ในช่วงสงครามได้"

หลังเหตุการณ์ 9/11 ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายชุดแรกจำนวน 20 คนถูกพาข้ามน้ำข้ามทะเลมาขังที่นี่ ทุกคนถูกซ้อม สวมกุญแจมือ และคลุมศีรษะปิดหน้าตาอยู่ในกรงขังแคบๆ เหมือนกรงหมา

การละเมิดสิทธิมนุษยชนของนักโทษเหล่านั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและปิดเงียบ เพราะผู้คุมสามารถทำอะไรกับนักโทษได้ตามใจชอบ เจ้าหน้าที่อเมริกาบนฐานทัพกวนตานาโม่ออกแบบนโยบายจัดการกับนักโทษตามอำเภอใจ การสอบปากคำรวมถึงการทรมานอย่างวิปริตคือเรื่องปกติของที่นี่ พวกผู้คุมสามารถทรมานนักโทษด้วยวิธีโหดร้ายอย่างไรก็ได้

การทรมานอย่างหนึ่งที่นักโทษทุกคนต้องเจอ คือการเทน้ำใส่ใบหน้าของผู้ต้องขังที่เรียกว่า Waterboarding หรือ การทำให้สำลักน้ำ 

นอกจากนี้ยังถูกซ้อมและถูกย่ำยีทางศาสนา มีรายงานข่าวแฉออกมาเรื่อยๆ ว่า นักโทษเหล่านี้ถูกทารุณอย่างโหดร้าย หลายคนทนไม่ไหวจนต้องฆ่าตัวตายไป

ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2006 นักโทษในคุกกวนตานาโม 3 รายเสียชีวิตอยู่ในห้องขัง สภาพศพถูกรัดคอ   แม้ว่ากระทรวงกลาโหมจะชี้แจงว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่หน่วยสืบสวนอาชญากรรมกองทัพเรือพบหลักฐานที่บ่งบอกว่านักโทษไม่ได้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เพราะนักโทษทั้งหมดถูกมัดมือไพล่หลัง หากแต่การเสียชีวิตมาจากการสอบสวนที่รุนแรง รวมถึงการซ้อมอย่างหนักจนขาดอากาศจนสิ้นใจในที่สุด

เมื่อครูยึดขนบปฏิบัติจนขาดความยืดหยุ่นและเมตตา  ส่วนพ่อแม่ก็ยัดเยียดความเกลียดชังให้ลูกตั้งแต่เด็ก

ไม่ร้องเพลงชาติ อาจเจอครูแจ้งจับ

เมื่อไม่นานมานี้ มีคดีน่าสนใจคดีหนึ่ง นั่นคือครูอเมริกันแจ้งตำรวจให้มาจับนักเรียนของตัวเอง ด้วยข้อหาประหลาดว่า “นักเรียนรายนี้ไม่ยอมร้องเพลงชาติ”

ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือเด็กนักเรียนที่เปรี้ยวใส่กฎระเบียบโรงเรียนอายุแค่ 11 ขวบเท่านั้น และเป็นเด็กผิวดำแอฟริกัน-อเมริกัน 

ครูสาวในโรงเรียนลอว์ตัน ไชลส์ มิดเดิล อคาเดมี รัฐฟลอริดา โทรเรียกตำรวจมาจับเด็กนักเรียนชายวัย 11 ขวบ เพราะนักเรียนคนนี้ไม่ยอมยืนตรงเคารพธงชาติ โดยให้เหตุผลว่าการเคารพธงชาติเป็นการเหยียดผิว และเพลงชาติมีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นแอฟริกันอเมริกัน

กรณีนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในโซเชียลมีเดีย ว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไร? และจบลงอย่างไร?

ตามเนื้อข่าว เมื่อครูอเมริกันถามนักเรียนว่า...

“ทำไมจึงไม่ไปอยู่ที่อื่น หากว่าที่นี่เลวร้ายเกินทน”

คำถามแบบนี้ฟังดูคุ้นๆ หูอีกแล้ว แต่เด็กสวนกลับไปทันควันว่า...

“พวกเขา (หมายถึงคนผิวขาว) นำผมมาที่นี่”

เดี๋ยวนะ...หนู สงสัยพ่อแม่เปิดหนังเรื่อง ‘รูทส์’ ให้ดูตั้งแต่เกิดเลยล่ะมั้ง คือตอบเอาจริงเอาจังไปมั้ยน่ะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที

เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ความเห็นของฝรั่งอั้งม้อออกไปในแนวว่า พ่อแม่เด็กเสี้ยมให้ลูกเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่างในอเมริกา 

หลายคนมองว่าครูทำเกินกว่าเหตุ เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องโทรเรียกตำรวจมาจับเด็กที่อายุแค่ 11 ขวบเลย แต่ควรใช้หลักความเมตตาอบรมสั่งสอนดีๆ ซึ่งครูสาวส่ายหน้าท่าเดียว เพราะนอกจากพูดจาท้าทายแล้ว เด็กชายคนนี้ยังมีอาการต่อต้านทุกคนอย่างชัดเจน เช่น ขู่ทำร้ายครูและไม่ยอมออกจากห้องเรียน

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เด็กผิวสีรายนี้ก็ถูกส่งไปสถานสงเคราะห์สำหรับเยาวชน หรือเทียบง่ายๆ คือบ้านเมตตาบ้านกรุณาของเราอะไรทำนองนั้นนั่นแหละ

โฆษกของเขตการศึกษาโพล์ค เคาน์ตี พับลิก สกูลส์ แถลงการณ์ว่าเด็กชายถูกจับ เพราะทำให้ระบบของโรงเรียนยุ่งเหยิง และปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งโรงเรียน ไม่ได้ถูกจับเพราะไม่ยอมทำความเคารพธงชาติ 

หากจะถามว่าการที่เด็กไม่เคารพธงชาติมีความผิดไหม ถ้ายึดตามตัวบทกฎหมายอเมริกัน คงต้องตอบว่าไม่ผิด ตามกฎหมายพลเมืองสหรัฐฯ ว่าด้วยบทข้อแก้ไขที่ 1 ที่เรียกว่า The First Amendment ห้ามโรงเรียนบังคับให้เด็กนักเรียนต้องกล่าวปฏิญาณต่อธงชาติสหรัฐฯ หรือเคารพธงชาติ  

แต่ในความเป็นจริง เคยเกิดคดีอื้อฉาวที่ครูโรงเรียนมัธยมคนหนึ่งใช้ด้ามธงชี้กระดานดำประกอบการสอน ผลคือ ครูคนนั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันที

เด็กผิวสีอ้างว่าไม่อยากร้องเพลงชาติและเคารพธงชาติ เพราะเป็นเรื่องการเหยียดผิว ซึ่งก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เนื้อหาเพลงชาติอเมริกาที่เรียกว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’ หรือแปลง่ายๆ ว่า ‘ธงดาราประดับ’ มีที่มาจากบทกวี Defence of Fort M'Henry หรือการพิทักษ์ป้อมแมคเฮนรี่ แต่งโดยฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ ผู้เป็นทั้งทนายและกวี  

แรงบันดาลใจนั้นมาจากธงชาติอเมริกา สะพัดเหนือป้อมเมื่อฝ่ายอเมริกันได้ชัยชนะ ในยุทธการบัลติมอร์ ปี ค.ศ. 1812 ต่อมานำมาทำเป็นเพลงชาติและใช้ชื่อว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top