Friday, 3 May 2024
รู้เรื่องเมืองมะกัน

Amber Alert ระบบเตือนภัยเมื่อลูกหายตัวในสังคมมะกัน แรงขับเคลื่อนจากโศกนาฏกรรม 'เด็กหญิงแอมเบอร์'

การใช้ชีวิตในอเมริกาทำให้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย ได้เรียนรู้ระบบสังคมที่แตกต่างไปจากเมืองไทย 

ทุกสังคมมีทั้งแง่บวกแง่ลบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องให้เครดิตสังคมอเมริกาคือ ระบบการเตือนภัยพิบัติ 

เมื่อมีเค้าลางว่าเหตุภัยพิบัติ เช่น ทอร์นาโด จะมีการตัดเข้าสู่สัญญาณเตือนภัยทันทีในทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุทุกระบบ ทั้งสถานีวิทยุทั่วไป วิทยุผ่านดาวเทียม หรือวิทยุทางอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงโทรทัศน์ทุกระบบ ทั้งเคเบิลทีวีและสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ 

ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาสัญญาณเตือนภัยพิบัติที่ว่ามา ก็มีสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่งที่อยากให้ประเทศไทยนำไปใช้บ้าง เพราะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในเรื่องการช่วยเหลือเด็กให้รอดจากการถูกลักพาตัว นั่นคือสัญญาณเตือนภัยที่เรียกว่า 'Amber Alert'

เมื่อเกิดการลักพาตัวเด็กขึ้น ทางตำรวจและหน่วยงานหลายหน่วย จะประสานงานกันแล้วแจ้งเตือนด้วยการแทคข้อความและส่งสัญญาณเสียง ไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่อง ในบริเวณที่คาดว่าคนร้ายกำลังมุ่งหน้าไป โดยจะแจ้งให้ทราบถึงรูปพรรณสันฐานใบหน้าของเด็กที่หายไป และลักษณะรถยนต์ที่ใช้ในการลักพาตัวเด็ก 

AMBER Alert หรือ a Child Abduction Emergency เป็นสัญญาณเตือนภัย เมื่อมีเด็กถูกลักพาตัวไป มีการนำระบบนี้มาใช้ทั่วประเทศในปี ค.ศ 1996 หรือเมื่อ 27 ปีที่แล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคดีของเด็กหญิงตัวน้อยวัยเก้าขวบชี่อ 'แอมเบอร์ ฮาเกอร์แมน' ที่ถูกลักพาตัวไปฆ่าในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเท็กซัส

ย้อนหลังไป 27  ปี เมื่อวันที่ 13 มกราคม ปี ค.ศ.1996   เด็กหญิงแอมเบอร์ขี่จักรยานเล่นกับน้องชายอย่างสนุกสนานในลานจอดรถร้างละแวกบ้านตายายของเธอเอง แต่พอตกเย็น ริกกี้ น้องชายวัย 7 ขวบของแอมเบอร์ขี่จักรยานกลับมาเพียงลำพัง

ข่าวนี้โด่งดังไปทั่วประเทศ อเมริกันทั้งประเทศสวดมนต์และเอาใจช่วยครอบครัวของแอมเบอร์กันอย่างชนิดที่เรียกว่า 'จดจ่อ' กันเลยทีเดียว เพราะถือเป็นเรื่องสะเทือนขวัญมากในเวลานั้น  

ไม่กี่วันต่อมา พบร่างไร้วิญญาณของหนูน้อยแอมเบอร์ในลำธารข้างทาง ไม่ห่างจากบ้านตายายของเธอเองเท่าใดนัก 

มีการส่งศพของแอมเบอร์ไปพิสูจน์หลักฐานพบว่า เมื่อตอนคนร้ายจับตัวหนูน้อยไป เธอยังมีชีวิตอยู่และถูกล่วงละเมิดทางเพศ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายจะต้องอาศัยอยู่ในละแวกนั้นด้วยเช่นกัน เพราะคนร้ายไม่ได้ทำอันตรายแอมเบอร์ในทันที แต่ลงมือสังหารหลังจากผ่านไปสองวัน 

ที่น่าเศร้าที่สุดคือจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังจับกุมคนร้ายที่ฆ่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารไม่ได้ คดีนี้จึงค้างคามาจนปัจจุบัน กลายเป็นหนึ่งในคดีที่เรียกว่า Cold Case

ข่าวแสนเศร้าของเด็กหญิงแอมเบอร์ สั่นสะเทือนหัวใจทั่วอเมริกา ทุกคนต่างคิดว่าแอมเบอร์อาจจะไม่เสียชีวิต ถ้าผู้ที่อยู่รอบข้างสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงทีภายในเวลา 8 นาทีแรก หลังจากที่แม่หนูน้อยขี่จักรยานออกจากบ้าน หรือจนกระทั่ง 8 นาทีแรกหลังจากตำรวจได้รับแจ้งจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่ามีเด็กถูกอุ้มขึ้นรถไปในลักษณะลักพาตัว

มนุษยธรรมจอมปลอม ‘จุดด่างดำ’ ใต้กระโปรงเทพีเสรีภาพ ในวันที่ลุงแซมชอบอ้างภาพว่า ‘ตนเป็นผู้โอบอ้อมอารี’

อเมริกาชอบอ้างเรื่องสิทธิและเสรีภาพมาตลอด รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มักเอาวาทกรรมเหล่านี้มากล่าวหาชาติอื่นอยู่เสมอ จนชาวโลกเอือมระอา เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ลุงแซมนี่แหละที่ชอบชี้นิ้วใส่หน้าคนนั้นคนนี้แล้วป่าวประกาศว่า “พวกแกช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง” 

ดูพระเอกอันดับหนึ่งอย่างไอสิ ทั้งหล่อทั้งโอบเอื้ออารี แถมมีเทพีเสรีภาพเป็นพยานหลักฐานว่าประเทศไอนั้นต้อนรับผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนา ว่าแล้วยักคิ้วติดกันสองทีซ้อน ยิ้มฟันขาวกระจ่างไปทั้งปาก หลิ่วตานิดหนึ่งตามแบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ด

ที่ฐานอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนิวยอร์ก มีบทกวี 14 บรรทัดที่เรียกว่า ‘ซอนเนต์’ ของเอมม่า ลาซารัส บทกวีนั้นชื่อ The New Colossus มีเนื้อความเชิงกล่าวต้อนรับผู้อพยพทุกคนในโลกนี้มาสู่อเมริกา ดิฉันแปลท่อนสุดท้ายอันมีใจความสำคัญว่า...

“ได้โปรดส่งผู้อ่อนล้าและทุกข์เข็ญ
ผองชนที่ใคร่ดอมดมกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ
ผู้ถูกหยามว่าเป็นเพียงเดนมนุษย์จากดินแดนของท่าน
หรือภิกขาจารไร้เรือนพักอาศัย
โปรดนำผู้คนเหล่านี้มาสู่อ้อมอกข้าเถิด
ข้าชูคบเพลิงรอรับพวกท่าน ณ เบื้องสุวรรณบาลแห่งนี้”

ลุงแซมชอบด่าคนอื่นว่าไร้มนุษยธรรม ไม่เคยส่องกระจกดูตัวเองว่ากระทำต่อคนอื่นไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าชาติไหนๆ อย่างไทยเราแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรฮิงญา แต่ก็อ้าแขนรับคนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยความเมตตาเยี่ยงชาวพุทธ แม้ว่าโรฮิงญาเหล่านี้จะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ภายหลังก็ตาม หรือแม้แต่คราวที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว, เขมร หรือพม่าเดือดร้อนเพราะสงครามภายใน เราโอบอุ้มไว้ด้วยความการุณมาทุกยุคสมัย ดูอย่างชาวมอญเถอะ เข้ามาพึ่งพระบรมธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวจนกลายเป็นคนไทยอย่างเต็มตัว ไม่ว่าชาติใดภาษาไหน หากเดือดร้อนมา เราก็ยื่นขันน้ำให้ดื่มดับกระหายทั้งสิ้น

หันมาดูกรณีอเมริกา ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือ คนแถบอเมริกากลางมักได้รับข้อมูลอย่างผิดๆ มาตลอดว่า เมื่อมาถึงอเมริกาแล้ว จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และสามารถอาศัยอยู่ในอเมริกาได้ในฐานะ 'ผู้ลี้ภัย' แต่ความจริงคือเมื่อกลุ่มผู้อพยพเดินทางมาถึงพรมแดนเม็กซิโก-อเมริกา จะถูกเจ้าหน้าที่อเมริกาผลักดันให้กลับประเทศ แถมยังมีฝูงไฮยีน่าหรือพวกเครือข่ายค้ามนุษย์หลอกเอาเงินทองหรือข่มขืนอีกด้วย

ยุคทรัมป์ ทรัมป์นั้นกีดกันผู้อพยพจากประเทศโลกที่สามชัดเจน ทรัมป์เคยหลุดปากเรียกผู้อพยพจากประเทศอเมริกากลางและแอฟริกาว่าเป็น 'ประเทศรูขี้' หรือประเทศโสโครกมาแล้ว อย่าว่าแต่ทรัมป์เลย จะว่าไปทุกรัฐบาลนั่นแหละที่ปากว่าตาขยิบอยู่ตลอด ปากยิ้มร่าแสดงว่าข้าคือพระเอกอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับยกตีนเขี่ยพวกเม็กซิกันและอเมริกากลางที่ยากจนไปพ้นๆ บ้านตัวเอง  

นอกจากทรัมป์จะสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกแล้ว โอบาม่าก็ทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือสั่งประจำการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 1,200 นาย เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนและการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

ความปากว่าตาหยิบนั้นเห็นได้มาตลอดในประวัติศาสตร์อเมริกา ย้อนหลังไปหลายสิบปี จะเห็นว่าลุงแซมกีดกันผู้อพยพและคนผิวสีในชาติตนเอง ไม่ให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกับคนผิวขาวอยู่ตลอดเวลา เช่น ค.ศ.1790 มีการออกกฎหมายให้สัญชาติ (Naturaliztion Act) มุ่งกีดกันไม่ให้คนผิวดำได้เป็นพลเมืองอเมริกัน 

ก่อนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีประธานาธิบดีที่ชูนโยบาย 'อเมริกาต้องมาก่อน' มาแล้ว นั่นคือ วาร์เรนจี. ฮาร์ดิง ประธานาธิบดีคนที่ 29 (ค.ศ.1921-1923) ออกนโยบายกีดกันต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้าที่วาร์เรน จี.ร์ดิง จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาวยิวและพวกยุโรปตะวันออกหลั่งไหลมาสู่อเมริกาถึง 22 ล้านคน ชาวยุโรปที่ลงเรือเดินทางมาอเมริกา จะเข้ามาทางนิวยอร์กในช่วงเวลานั้น สิ่งแรกที่มองเห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาคือ เทพีเสรีภาพ

จับตา 'ไช่อิงเหวิน' สตรีผู้อาจพา 'ไต้หวัน' เป็นยูเครน 2 หลังตามซบลุงแซมเป็นซีรีส์ เย้ย 'สีจิ้นผิง' จนกัดกราม

ดูทรงแล้วประธานาธิบดีหญิงแห่งไต้หวัน ไม่หวั่นอาเฮียแผ่นดินใหญ่ เพราะหันไปซบอกเหี่ยวๆ ของลุงแซมเต็มที่ 

นางเคยให้สัมภาษณ์สื่ออเมริกันว่า ถึงจีนแผ่นดินใหญ่จะย้ำแล้วย้ำอีก ว่าจะรวมชาติไต้หวันด้วยสันติวิธี แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าอาเฮียจะเปรี้ยวตีนขึ้นมาถึงขั้นหักหาญด้วยกำลัง ไต้หวันเลยพุ่งไปขอความช่วยเหลือจากอเมริกา แถมบอกต่อด้วยว่าไต้หวันจะไม่รีรอที่จะมองหาความช่วยเหลือจากตะวันตก แบบเดียวกับเคียฟ หากว่ามีขัดแย้งปะทุขึ้น 

คือ...น่าจะอยากเป็นยูเครน 2 ว่าซั่น!!

ตอนนั้นอังเคิลแซมฟังแล้วรีบเบ่งกล้ามอวดโลก พลางยืดอกเหี่ยวๆ โชว์ซิกแพ็กที่ไม่ค่อยมี เพราะฉุบวมทั้งน้ำอัดลมและเบียร์ เด้งรับคำอวยของไต้หวันทันที พลางป้อนยาหอมเพียบ แถมเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งกองทัพสหรัฐฯ รับปากสนับสนุนด้านการทหารแก่ไต้หวัน

พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ ย้ำว่าอเมริกามีพันธสัญญาผ่านกฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน แถมประธานาธิบดีไบเดนเคยบอกหลายวาระเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า อเมริกาจะเดินหน้าให้การสนับสนุนด้านการทหารและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ไต้หวัน

ความขุ่นเคืองของสองจีนประทุขึ้นจนถึงจุดเดือด เมื่อป้าแนนซี่ เพโลซี่ปากแจ๋วไปไต้หวัน อาเฮียสีที่นั่งเจี๊ยะเต้อยู่บนเหล่าเต๊งถึงกับสั่งเลี๊ยะพะ ด้วยการซ้อมรบด้วยอาวุธจริงรอบเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ป้าแนนซี่เห็นท่าไม่ดี กลัวออกจากเกาะไม่ได้เลยเผ่นไปก่อน ไม่ได้อยู่นาน แต่เหมือนกวนติงกันเห็นๆ คณะตัวแทนจากอเมริกาคณะนั้นคณะนี้แห่แหนไปไต้หวันรัวๆ เล่นเอาเฮียสีขบกรามกรอดๆ 

เท่านั้นยังไม่พอ 'ไช่ อิงเหวิน' เดินสายไปเยือนประเทศแถบละตินอเมริกา นางไม่แคร์ใดๆ ทั้งที่จีนแผ่นดินใหญ่ทั้งปลอบทั้งขู่ แต่หนูก็จะไป โดยมีเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อ้าแขนรอรับอยู่ในแคลิฟอร์เนีย   

พญามังกรหนวดกระดิก ขู่ฟ่อทันทีว่า ลื้อทำตัวแบบนี้ เดี๋ยวเจอจัดหนักจากอั๊วแน่นอน ฆ่าได้หยามไม่ได้ ทำนองนั้น แล้วเฮียสีสั่งซ้อมรบรัวๆ ล้อมเกาะไต้หวันอีกรอบ ซึ่งอเมริกาก็แล่นเรือไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่แถวไต้หวันทันทีที่จีนแผ่นดินใหญ่ซ้อมเสร็จ 

กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวันปี 1979 กำหนดให้สหรัฐฯ รับประกันกับเกาะปกครองตนเองแห่งนี้ในด้านทรัพยากรต่างๆ สำหรับปกป้องตนเอง และปกป้องการเปลี่ยนแปลงสถานะแต่เพียงฝ่ายเดียวของปักกิ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กำหนดให้สหรัฐฯ มอบการปกป้องด้านการทหารแก่เกาะแห่งนี้

ระหว่างการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในเดือนตุลาคม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่าปักกิ่งจะทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ แต่สงวนสิทธิใช้กำลังแก้ไขปัญหาถ้ามีความจำเป็น...แปลแบบชาวบ้านว่า ทางจีนแผ่นดินใหญ่จะไม่หักหาญน้ำใจ คือจะไม่ปล้ำด้วยกำลัง จะค่อยๆ โอ้โลมจนกว่าไต้หวันจะใจอ่อน หากไม่ยอมขึ้นมา ก็จำเป็นต้องฟาดกันแรงๆ 

ที่สำคัญเฮียสีบอกตรงๆ ว่า จะต้องให้กองทัพจีนเป็นเจ้าโลกทางการทหารด้วยการชนะทุกสมรภูมิให้ได้ (อเมริกาเองมองว่าจีนต้องการบรรลุเป้าหมายเป็นเจ้าโลกในด้านการทหารในอีกราวๆ 50 ปีข้างหน้า และเป็นเจ้าในระดับภูมิภาคภายในปี 2027)

ไต้หวันปกครองตนเองมาตั้งแต่กองกำลังชาตินิยมที่นำโดย เจียง ไคเช็ก หลบหนีไปยังเกาะแห่งนี้ในปี 1949 หลังพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองแก่คอมมิวนิสต์ กลายเป็นหนามยอกอกตำใจจีนแผ่นดินใหญ่นับแต่นั้นมา เพราะจีนแผ่นดินใหญ่วางนโยบาย 'จีนเดียว' เพราะฉะนั้นการรวมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  

ในสมุดปกขาวที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมเน้นย้ำว่าปักกิ่งมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายรวมชาติอย่างสันติ แต่เมื่อกองทัพจีนใหญ่โตมโหฬารกว่าไต้หวันหลายเท่า  ประธานาธิบดีไช่ จึงเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมถึง 13% และจะทุ่มงบประมาณ 19,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านการทหารในปี 2023 แล้วขู่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ฟ่อๆ ว่า ถ้าอยากรุกรานไต้หวัน ก็ต้องจ่ายแพงอย่างแน่นอน

Redneck & Hillbilly สองกลุ่มคนสุดเหมือน ที่แสนแตกต่าง สะท้อนความหลากหลายแบบไม่เท่าเทียมในถิ่นมะกัน

บรรดาแฟนหนังฮอลลีวู้ดทั้งหลายอาจงง เวลาได้ยินคำว่า 'เรดเนค' (Redneck) และ 'ฮิลล์บิลลี่' (Hillbilly) สองกลุ่มนี้มีความใกล้เคียงกันมาก ราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝด เลยอยากเล่าให้ฟังพอสังเขป

ไม่ใช่จะด้อยค่าดูถูกใครแต่อย่างใด เพียงแต่พยายามจำแนกกลุ่มคนอันหลากหลายในประเทศนี้ อเมริกาเป็นเบ้าหลอมของคนร้อยพ่อพันแม่จากทุกทิศทุกทาง ฝรั่งผิวขาวไม่ได้มีการศึกษาสูงหรือฐานะดีทุกคน แม้ฝรั่งชาติเดียวกันยังดูถูกกันเอง เพราะความแตกต่างระหว่างฐานะ การศึกษา และแนวคิด ความเท่าเทียมอย่างที่มักนำมากล่าวอ้างเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูเท่านั้น เลยอยากเล่าเรื่องคนกลุ่มนี้ให้ฟัง เพราะกลุ่มที่โดนเหยียดเป็นประจำ

อเมริกาเคยขัดแย้งกันถึงขั้นแบ่งฝ่ายเหนือ-ใต้ แยกปกครอง นำไปสู่สงครามกลางเมือง รัฐฝ่ายเหนือชนะรัฐฝ่ายใต้ สำหรับอเมริกันที่อาศัยอยู่ในรัฐทางใต้แล้ว ยังรู้สึกเป็นลบกับการที่ฝ่ายตนต้องเพลี่ยงพล้ำ พวกนี้มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาวใต้จึงมักนำธงสมาพันธรัฐ ซึ่งเป็นธงประจำรัฐฝ่ายใต้สมัยก่อนสงครามกลางเมืองมาประดับไว้ตามรถยนตร์และบ้านเรือน นอกเหนือจากธงชาติอเมริกัน

กลุ่มที่เทิดทูนความเป็น 'อเมริกัน' รวมทั้งความเป็น 'ชาวใต้' อย่างคลั่งไคล้ มักถูกเรียกด้วยน้ำเสียงดูถูกว่าเป็นพวก 'เรดเนค' ทำนองว่าเป็นคนระดับล่าง ไร้การศึกษา ทำงานแบบบลูคอลาร์ ฐานะยากจน ชอบสะสมปืน และคลั่งชาติ พวกเรดเนคจะถูกล้อเลียนในลักษณะว่าโง่และจน โดยมีการวาดการ์ตูนล้อเลียนมากมายเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้

พวกที่ภาคภูมิใจในความเป็นเรดเนคของตนจะสังเกตได้ไม่ยาก พวกนี้ชอบใช้รถกระบะ มีสติกเกอร์ธงอเมริกันแปะเต็มกระจกกั้นระหว่างส่วนที่นั่งและส่วนกระบะ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าจะมองข้างหลังเห็นหรือนั่น บางคนก็ติดธงผืนใหญ่ตามความเข้มข้มของความภูมิใจ หากภูมิใจในความเป็นเรดเนคสูงสุดก็จะล่อธงสมาพันธรัฐมาแบบเต็มพิกัด แต่ส่วนมากแค่ปักธงชาติอเมริกันไว้ท้ายรถก็มองออกแล้วว่าพวกนี้เป็นเรดเนคตัวพ่อเลยทีเดียว

ส่วนมากแล้วพวก เรดเนค จะไม่ชอบคนผิวดำและคนสีผิวอื่น นิยมเชื้อชาติตัวเองว่าดีที่สุด การที่ไม่ชอบคนผิวดำนั้น สืบเนื่องมาจากรัฐทางใต้เคยมีทาสมาก่อน พอเลิกทาสแล้วยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จนกระทั่งยุคหลังสงครามกลางเมือง มีองค์กรลับของคนผิวขาวที่เรียกว่า 'คู คลักซ์ แคลน' (Ku Klux Klan - KKK) ซึ่งเเนวคิดเหยียดสีผิวเเบบสุดโต่ง มีจุดประสงค์เพื่อกําจัดคนผิวสี เอเซีย ยิว และคนที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิคให้หมดไปจากอเมริกา สมาชิกในกลุ่มเคเคเคส่วนมากมักมีพวกคอแดงหรือ เรดเนค รวมอยู่ด้วย

พวกเรดเนคชำนิชำนาญเรื่องการต้มกลั่นเหล้าเถื่อนดีกรีแรงที่เรียกว่า 'มูนชายย์' ( Moon Shine) โดยเฉพาะเรดเนคที่อยู่บนภูเขาแอปพาเลเชียน ซึ่งกินพรมแดนติดต่อกันหลายรัฐทางใต้ของอเมริกา บนเทือกเขานี้ยังมีกลุ่มชนอีกกลุ่มที่เรียกว่า 'ฮิลล์บิลลี่' ด้วย ซึ่งถูกจัดรวมในสาขาเดียวกับเรดเนค

พวกฮิลล์บิลลี่นี่เรียกง่ายๆ คือพวกหลังเขา จัดอยู่ในกลุ่มที่โดนดูถูกเหมือนกัน เคยมีบทความตีพิมพ์ใน New York Journal จำกัดนิยามคนกลุ่มนี้ไว้ว่า ฮิลล์บิลลี่เป็นคนผิวขาวที่ยากจน อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา พูดจาเรื่อยเจื้อยตามแต่ใจต้องการ แต่งตัวในแบบที่ว่ามีอะไรก็ใส่ๆ มา ดื่มวิสกี้เมื่อมีวิสกี้ ลั่นกระสุนปืนลูกโม่ตามแต่ใจอยาก

ฮิลล์บิลลี่มักถูกล้อเลียนด้วยตัวการ์ตูนที่วาดใบหน้ารกหนวดเครา เอี๊ยมแบบทำงาน เดินเท้าเปล่า แบกปืนยาว ขับปิ๊กอัพเก่าๆ โทรมๆ และที่สำคัญต้องฟันเหยินเป็นคราบเหลืองอ๋อย

ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเรดเนคหมายถึงกลุ่มคนที่มีลักษณะตามที่เขียนถึงข้างต้น แต่จะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ในอเมริกา โดยมากแล้วพวกนี้มักมาจากรัฐทางใต้ ระยะหลังนี่เริ่มขยายมาอยู่ในรัฐที่ยังมีพื้นที่ป่าสมบูรณ์ อย่างบางรัฐแถวมิดเวสต์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top