Monday, 13 May 2024
รู้ทันการเมืองไทย

เสถียรภาพทางการเมือง แรงส่งเศรษฐกิจเหงียนพุ่ง หนึ่งในคำตอบ!! ทำไม ศก.เวียดนาม โตสุดในอาเซียน?

ในช่วงการเลือกตั้งครั้งนี้ สิ่งที่ควรจะนำมาพิจารณาคือ การมองประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาประกอบ จึงขอนำข้อมูลจาก Quora ซึ่งเป็นบทความที่สรุปมุมมองของนักธุรกิจต่างชาติวิจารณ์ประเทศต่าง ๆ ใน ASEAN แล้วสรุปว่า เวียดนามมีเศรษฐกิจที่เติบโตมากที่สุดใน ASEAN ตามรายละเอียดดังนี้

บริษัทของเราต้องเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ่อยมาก และเราพบว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีความโชคดีที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด อันเนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้

1.เสถียรภาพทางการเมืองทำให้ศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงด้วย หลังจากเวียดนามมีการปฏิรูป Đổi Mới โดย Nguyễn Văn Linh เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (18 ธันวาคม พ.ศ. 2529 – 28 มิถุนายน พ.ศ. 2534) ในขณะนั้น เป็นการเน้นตลาดเสรี แต่ยังคงใช้ระบบการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ แต่ลดความเข้มงวดตามแบบนิยมสังคมนิยม รัฐบาลเวียดนามได้ทำให้เกิดความ 'สะดวก' ในการทำธุรกิจและการไหลเข้าของนวัตกรรมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หลังสงคราม เวียดนามเชื้อเชิญกลุ่มทุนที่ร่ำรวยจากเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด เสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในเอเชีย และได้รับเงินกู้จากธนาคารทุนดั้งเดิมเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

2.รัฐบาลเวียดนามอนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นถือสองสัญชาติหรือหลายสัญชาติเป็นรูปแบบหนึ่งของกระบวนการปรองดองและเยียวยา สิ่งนี้ได้สร้างการไหลเข้าของเงินทุนจากชาวเวียดนามพลัดถิ่น ซึ่งขณะนี้มีความมั่นใจที่จะนำเงินที่หามาอย่างยากลำบากกลับคืนสู่เศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูง

3.เวียดนามอาจเป็นประเทศที่ไม่มีการปิดกั้นอย่างแท้จริงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่มีอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ หรือข้อพิพาททางการทูต ต่างจากมาเลเซียและอินโดนีเซียที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล หรือสิทธิพิเศษอื่น ๆ ทั้งนี้ผู้นำของเวียดนามได้ทำการศึกษากฎหมายของเพื่อนบ้านที่ประสบความสำเร็จมากกว่า และเรียนรู้ว่า สิ่งใดใช้แล้วได้ผล และสิ่งใดที่ไม่ควรนำมาใช้ในประเทศของตน เวียดนามเชื้อเชิญกลุ่มทุนนิยมโดยตรง และยอมให้กองทุนลอตเตอรี่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ห้ามการพนันอื่น ๆ โดยเด็ดขาด

4.ผู้นำเวียดนามมีความมั่นใจและมองการณ์ไกล ด้วยชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ในการได้รับเอกราชและพลังผลักดันในอินโดจีน ผู้นำของพวกเขาเบื่อหน่ายกับสงคราม และในยุค 80 ตระหนักว่าการเป็นศัตรูกับเพื่อนบ้านนั้นไม่มีประโยชน์ พวกเขาทำการรณรงค์ทางด้านการทูต และเข้าสู่ ASEAN ในปี ค.ศ. 1995 สิ่งนี้นำมาซึ่งโอกาส เช่น การนำเข้าปุ๋ยและการส่งออกข้าวจาก/ไปยังอินโดนีเซียที่ทำกำไรมากมาย และการนำเข้าต้นกล้าจากไทยเพื่อเพิ่มคุณภาพของพันธุ์ข้าว และการหลั่งไหลเข้ามาของครูชาวฟิลิปปินส์เพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา โดยเฉพาะศักยภาพด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ และจำนวนประชากรที่เฟื่องฟูในช่วงทศวรรษที่ 90 ถึงปี 2000

5.เวียดนามมีความสัมพันธ์ที่ดีในอดีตกับเพื่อนบ้านที่ใหญ่ที่สุดอย่างอินโดนีเซีย เป็นที่ทราบกันว่าในช่วงสงครามประกาศเอกราชของเวียดนาม อินโดนีเซียเสนอเกาะของตนเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม และ UNHCR ร่วมกับชาวเวียดนามก็เคารพในการสนับสนุนด้วยการคืนที่ดินให้กับรัฐบาลอินโดนีเซียในช่วงทศวรรษที่ 90

เลือกตั้ง 66 ตัวกำหนดจุดยืนไทย ในขณะ 'จีน-สหรัฐฯ' ขับเคี่ยวกัน หากได้ผู้นำอ่อนประสบการณ์ อาจเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

                  

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรื่องที่สำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งที่คนไทยไม่ได้ใส่ใจ ด้วยคิดว่า เป็นเรื่องไกลตัวคือ “ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในเกมช้างชนกัน (ระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน) ในบริบทของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” อันที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยมาก ๆ เพราะที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ตำแหน่งที่ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดีที่สุดในทวีปเอเชีย

                          

การเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลถึงผู้ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งต้องมีความรู้ ความสามารถ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และมีแนวคิดตลอดจนวิธีที่จะทำให้ประเทศชาติ บ้านเมือง รอดพ้นจากผลกระทบจากเกมช้างชนกันครั้งนี้ไปได้อย่างดีที่สุด กล่าวคือ ประเทศชาติ บ้านเมือง และคนไทยทั้งหมดทั้งมวลจะเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้อย่างน้อยที่สุด... เพราะการเจรจา ไม่สามารถใช้ที่ปรึกษาแทนได้ ต้องเป็นระดับ ผู้นำต่อผู้นำ…ซึ่งต้องเป็นผู้นำที่มีประสบการณ์ชีวิตสูง เพราะเดิมพันหนนี้สูงมากด้วยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเกิดความผิดพลาดจะร้ายแรงและรุนแรงมาก จนไม่อาจจะคาดคิดได้

                       

ในอดีตไม่กี่สิบปีก่อน ประเทศไทยเกือบจะเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเหมือนเช่นประเทศยูเครนในปัจจุบัน เพราะในช่วงสงครามเวียดนาม ไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบกับสหรัฐ ยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา ตาคลี อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ รวมทั้งที่ดอนเมือง เพื่อให้สหรัฐฯได้ขนระเบิดไปทิ้งที่เวียดนาม กัมพูชา และลาว จนทำให้ลาวเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก (โดยเครื่องบินของสหรัฐฯนำระเบิดมาทิ้งในดินแดนลาว ระหว่างปี ค.ศ. 1964-1973 กว่า 5.8 แสนเที่ยว หนักรวมกว่า 2 ล้านตัน)

                   

เมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้ในการทำสงครามเวียดนาม ต้องขนทหารสหรัฐฯ กลับ โดยทิ้งให้ประเทศไทยต้องปากกัดตีนถีบในการช่วยเหลือตัวเองเพื่อป้องกันประเทศ ในช่วงนั้นไทยเราไม่สามารถหนีภาพการเป็นสาวกประเทศที่สวามิภักดิ์สหรัฐฯ อย่างที่สุดไม่ได้ และเวียดนามก็ประกาศบุกไทยเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ไทยยอมให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในประเทศ

                 

เมื่อสหรัฐฯ ขนทหารออกจากประเทศไทยไป รัฐบาลไทยก็ต้องช่วยตัวเองในการป้องกันประเทศ แต่ก็ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เพียงพอต่อการต้านกองทัพเวียดนาม (ซึ่งขณะนั้นถูกจัดให้มีความแข็งแกร่งอันดับที่ 4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยในยุคนั้นยังไม่ติด 20 อันดับแรกเลย) รัฐบาลไทยจึงร้องขอต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ขอใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่สหรัฐขนกลับไม่หมด แต่คำตอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ คือ ไม่อนุญาตให้รัฐบาลไทย นำอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ไปใช้ในการป้องกันประเทศ พร้อมทั้งจัดการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ตกค้างในไทยกลับประเทศจนหมด

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ

ประเด็น ‘ค่าไฟฟ้าแพงมหาโหด’ กลายเป็นข่าวใหญ่ของสื่อหลายสำนัก เป็นประเด็นหาเสียงของนักการเมืองและพรรคการเมือง และถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีของนักเคลื่อนไหว โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นคือจัดให้มีกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นประเด็นที่ใช้โจมตีว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรองกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก เป็นพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนพลังงาน กระทั่งมีคนบางพวกบางกลุ่มกล่าวหาว่า มีการสมรู้กันทุจริตฉ้อโกงประเทศชาติและฉ้อโกงประชาชนด้วยการกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรองมากจนล้นเกิน

ทำไมประเทศไทยจึงต้องจัดให้มีกระแสไฟฟ้าสำรองไว้เป็นจำนวนมาก? เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริการกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนย่อมต้องทราบดีว่าแต่ละปี แต่ละห้วงเวลา ประเทศไทยต้องใช้กระแสไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าใด จะต้องเตรียมกระแสไฟฟ้าปริมาณเท่าใด เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ของผู้บริโภคในทุกฤดูกาล เมื่อประเทศจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าและจำเป็นต้องมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้ให้เพียงพอต่อการใช้สอยโดยไม่ขัดสน ซึ่งปริมาณการสำรองที่พอเหมาะพอดีจะมีผลต่อประสิทธิภาพและสมรรถนะในการทำกำไรของการประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะต้องใช้สติปัญญาความสามารถและเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบจึงจะสามารถรักษาประโยชน์แห่งรัฐและองค์กร ตลอดจนประโยชน์ของประชาชนได้ 

เพราะหากการสำรองกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้แล้วก็จะเกิดผลกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะถ้ากระทบต่อการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็จะกลายความเสียหายมากมาย ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้จนมากเกินต่อความจำเป็น และเกินกว่าอัตรามาตรฐานปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ควรสำรอง ก็จะเกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน เพราะทุกจำนวนที่มีการสำรองกระแสไฟฟ้านั้นจะต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้จำหน่าย ไม่ว่าจะมีการใช้กระแสไฟฟ้านั้นหรือไม่ก็ตาม เพราะปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดย่อมต้องทราบดีอยู่แล้ว เพราะสถิติบันทึก จึงสามารถประมาณการความต้องการกระแสไฟฟ้าได้ 

‘การสำรองไฟฟ้า’ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ
1. กำลังผลิตสำรองของระบบผลิตไฟฟ้า (Standby Reserve) เป็นโรงไฟฟ้าสำรองตามแผนการผลิตไฟฟ้า โดยมาตรฐานสากลจะกำหนดไว้ราว 15 เปอร์เซ็นต์ ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเนื่องจากในการวางแผนการผลิตไฟฟ้า จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างรอบคอบ อาทิ ความต้องการไฟฟ้าที่อาจเพิ่มสูงกว่าการพยากรณ์ การหยุดซ่อมโรงไฟฟ้า การเสื่อมสภาพของโรงไฟฟ้า ความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง ข้อจำกัดของระบบส่งในแต่ละพื้นที่ และลักษณะทางเทคนิคของ โรงไฟฟ้าแต่ละประเภท

2. กำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Spinning Reserve) เป็นกำลังผลิตสำรองจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ หรือ สามารถ สั่งเพิ่มการจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ระบบมีความต้องการ ซึ่งตามมาตรฐานจะอยู่ที่ 800-1,600 เมกะวัตต์ หรือ อย่างน้อยมากกว่า กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด เพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้องที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดใหญ่ เช่น กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติก็สามารถสั่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทันที ป้องกันปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ ซึ่งอาจลุกลามจนเกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง (Blackout) ได้

อย่างไรก็ตาม ‘การสำรองไฟฟ้า’ ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นกับเงื่อนไขและฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานไฟฟ้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่าความต้องการค่อนข้างสูง โดย กฟผ. ได้ศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าของหลายประเทศเอาไว้ ดังนี้ (ข้อมูลของปี พ.ศ. 2563)

-สเปน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 100% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 80% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 180%

-อิตาลี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 81% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 55% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 136%

-โปรตุเกส มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 65% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 65% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 130%

-เดนมาร์ค มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 32% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 98% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 130%

-เยอรมนี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 13% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบอีก 98% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 111%

-เนเธอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 65% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 28% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 93%

-สวิสเซอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 81% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 11% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิต ที่มากกว่าความต้องการ 92%

-จีน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 68% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 23% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 91%

-ออสเตรเลีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 44% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 21% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 65%

-สวีเดน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 36% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 21% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 57%

-มาเลเซีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 47% เทียบกับค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 4% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 51%

-ไทย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการที่ใช้รักษาความมั่นคงของระบบ (Firm) 22% เทียบกับ ค่าวางแผนที่ 15% และมีพลังงานทดแทนเสริมเข้ามาในระบบ 17% ทำให้โดยรวมมีกำลังผลิตที่มากกว่า ความต้องการ 39% 
(ที่มา : The Bangkok Insight)

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง (2) เหตุใด ‘คสช.’ ไม่ใช้ ม.44 จัดการ ปม ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่แม้ไม่ได้ดึงพลังงานมาใช้ แต่รัฐก็ต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้า

 

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผู้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ถูกโจมตีเรื่องค่าไฟฟ้าแพงเป็นอย่างหนัก โดยถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ในสภาวะอากาศร้อนขนาดนี้บ้านเรายังคงมีไฟฟ้าใช้อย่างไม่ขาดแคลน ด้วยเพราะมาตรการจัดการสำรองกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่งทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งประเด็นที่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวมากมายหลายคนมักจะหยิบยกขึ้นมาพูดคือ โรงงานไฟฟ้าสำหรับผลิตไฟฟ้าของกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้าบางโรงนั้นไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเลย แต่ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้ด้วย แน่นอนสถานการณ์ที่กระแสไฟฟ้าพอใช้โรงงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าสำรองจึงไม่ต้องเดินเครื่องทำงาน เพราะไม่มีความจำเป็น หากแต่กระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งานแล้วโรงงานเหล่านั้นถึงจะเดินเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า แต่โรงงานเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาต มีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าต้องจ่ายเอง ไม่ใช้เงินงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด คนที่พูดนั้นไม่ได้รับผิดชอบต้องการลงทุนมูลค่ามหาศาลเหล่านี้เลย แถมยังเจตนาจงใจที่จะไม่พูดถึงอีกด้วย 

เราท่านในฐานะเจ้าของสิทธิในการเลือกตั้งอันมีค่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนการใช้สิทธิกาบัตรลงคะแนนจึงต้องคิด ทบทวน และพิจารณาโดยใช้สติและปัญญาอย่างรอบคอบด้วยเหตุและผลที่ถูกต้องและแท้จริงประกอบ ผู้เขียนได้เคยเสนอบทความเรื่อง ‘การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ’ https://thestatestimes.com/post/2023042021 ซึ่งผู้อ่านสามารถใช้เพื่อประกอบการพินิจพิจารณาให้รอบด้านและถูกต้องได้ 

อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกันก็คือ แล้วทำไมรัฐบาลคสช. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จึงไม่นำ ม.44 มาใช้ในกรณีนี้ หากเราท่านได้ย้อนไปดูถึงการใช้ ม.44 ของรัฐบาลคสช. นั้น ส่วนใหญ่มาก ๆ จะใช้เป็นคำสั่งในทางปกครองเพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างรวดเร็วแทนที่กระบวนการปกติซึ่งมีความล่าช้า ด้วยกระบวนการปกติมีระบบระเบียนขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย การบริหารบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความถูกต้องโปร่งใส ลดการทุจริตโกงกิน แก้ปัญหาความล่าช้าในการแก้ปัญหาอันเป็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนให้รวดเร็วขึ้น ต่างจากการใช้กฎหมายพิเศษลักษณะนี้ในอดีต อาทิ ม.17 (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร และศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์) ม. 21 และ ม.27 (พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่) ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาสังคมและอาชญากรรม เช่น ใช้ประหารชีวิตผู้กระทำผิดคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ ต่อประชาชน ฯลฯ ซึ่งการใช้ ม.44 แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงดังที่ได้กล่าวมา ด้วยไม่มีใครที่บาดเจ็บล้มตายด้วย ม.44 ของรัฐบาลคสช.เลย

การใช้ ม.44 โดยรัฐบาลคสช.ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีน้อยเรื่องน้อยรายมากในกรณีที่มีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนแกประชาชนจริง ๆ อย่างเช่นกรณีการใช้ ม.44 ในการปิดเหมืองทองคำชาตรีที่ดำเนินกิจการโดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ด้วยเหตุผลว่าทางเหมืองทองคำชาตรีสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่าง ๆ หลายด้าน แต่ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2559 ได้ถูกเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่สัมปทานเหมืองล้วนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการสร้างปัญหามลพิษปัญหาสุขภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม มีการเคลื่อนไหวคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่และหยุดกิจการเหมือง จากปัญหาร้องเรียนจากชาวบ้านซึ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากมลพิษจากเหมือง ที่ให้เกิดปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารพิษปนเปื้อนที่มากับดิน น้ำ และอากาศ รวมถึงยังมีสภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากเสียงของอุตสาหกรรม และกลายเป็นข้อพิพาทต่อมาอีกหลายปี

ถ้าการทำรัฐประหารแล้วกลุ่มทุนผูกขาดประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแต่กลุ่ม SM ที่ผูกขาดแทบทุกธุรกิจ การที่รัฐบาลคสช.ไม่ได้ยกเลิกสัญญาการผลิตกระแสไฟฟ้าสำรอง โดยใช้ ม.44 ถือเป็นการใช้กฎหมายพิเศษอย่างถูกต้อง เหมะสม ไม่ลุแก่อำนาจ ด้วยการใช้กระบวนการทางศาลปกติ ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตีความมานานแล้วว่า สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนในลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถยกเลิกได้ และถ้าหากรัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 กับเอกชนในทางธุรกิจ จะทำให้นานาชาติไม่ยอมรับประเทศไทย และไม่มีบริษัทต่างชาติใดเข้ามาลงทุนเลย ด้วยประเทศล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเพียงแค่รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกการทำเหมืองทองชาตรี โดย บมจ.อัคครา ชั่วคราว เพื่อให้ปรับปรุงเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็มีสารพัดกลุ่มทั้งไทยและฝรั่งร้อง คัดค้าน ต่อต้าน กันจนระงม หรือ ถ้า รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกสัมปทานขุดน้ำมันในอ่าวไทย กับเชฟรอน จากสหรัฐอเมริกา จะเกิดอะไรขึ้น นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลคสช. ไม่นำ ม.44 มาบังคับใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

คะแนนเสียงของเราท่านจะมีค่ามากที่สุดในอีกประมาณ 20 วันเท่านั้น ทุกคะแนนเสียงจะสามารถกำหนดอนาคตและความเป็นไปของชาติบ้านเมืองได้ทั้งสิ้น ใช้คะแนนของท่านสร้างประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ด้วยการเลือกพรรคการเมืองและนักการที่ดีที่สุด ไม่ทุจริตโกงกิน ไม่สร้างปัญหา ให้กับชาติบ้านเมืองในอนาคต 

 

ความจริงที่คนไทยต้องทำใจ!! หาก 'สหรัฐฯ' และ 'โซรอส' ยังไม่หยุด ความพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งของไทยจะไม่สูญสิ้น

ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของชาติตะวันตกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะมีขึ้น กลุ่มฝ่ายค้านที่พยายามเข้ามามีอำนาจทางการเมือง และอ้างสารพัดเหตุว่า กองทัพซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงพลังที่สุดของไทยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไทย โดยมี NGO นักเคลื่อนไหว พรรคการเมือง และนักการเมือง ได้รับเงินทุนสนับสนุนและการสนับสนุนทางการเมืองอย่างเต็มที่จาก วอชิงตัน ลอนดอน บรัสเซลส์ และองค์กรชาติตะวันตก รวมถึงมูลนิธิที่มีชื่อเสียงที่สุดของGeorge Soros นั่นก็คือ มูลนิธิ Open Society (OSF)

หนึ่งในผู้เคลื่อนไหวแถวหน้าดังกล่าว คือ Human Rights Watch (HRW) ซึ่งเคยเผยแพร่รายงานประณามการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 ว่าบ่อนทำลาย ‘สิทธิในการลงคะแนนเสียง’ เพื่อทำความเข้าใจกับโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก Soros ที่เผยแพร่โดย HRW ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงตกเป็นเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองตั้งแต่แรก

ทำไมต้องประเทศไทย? ราชอาณาจักรไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคทั้งในด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน และยังคงเป็นเพียงชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงชาติเดียวที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก

ในขณะที่นักวิเคราะห์บางคนยังคงยึดติดกับการเหมารวมในยุคสงครามเย็นเกี่ยวกับบทบาทของไทยในสงครามที่นำโดยสหรัฐฯ แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไทยได้หันเหออกจากวอชิงตันเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพของไทยได้เริ่มเปลี่ยนอาวุธของอเมริกาที่มีอายุมากแล้วด้วยอาวุธของจีน รัสเซีย และยุโรป ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่อาวุธขนาดเล็กไปจนถึงเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง Mi-17 ของรัสเซีย เครื่องบินรบของยุโรป รถถังหลักของจีน และเรือบรรทุกบุคลากรติดอาวุธ (APCs) และแม้แต่เรือและเรือดำน้ำที่สร้างโดยจีน ทั้งไทยยังได้เป็นหุ้นส่วนหลักในโครงการ One Belt, One Road (OBOR) ของจีนอีกด้วย และเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมทั้งสองประเทศกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

ในขณะที่ประเทศไทย โดยความจำเป็น ยังคงต้องรักษาความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกและพันธมิตรของชาติตะวันตกอย่างเช่น ญี่ปุ่น ซึ่งที่สุดแล้วไทยสามารถรักษาสมดุลของความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นอย่างดี แม้จะมีแรงกดดันมากมายมหาศาลให้ไทยต้องเลือกข้างฝ่ายก็ตามที ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้และอื่น ๆ อีกมากมาย สหรัฐฯ ได้มีส่วนร่วมในความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างน้อยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ที่ ทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐี และอดีตที่ปรึกษาของ Carlyle Group ก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง

ภายในปี พ.ศ. 2544 เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า การผงาดขึ้นของจีนในระดับภูมิภาคและระดับโลกนั้นใกล้เข้ามาทุกที และกระบวนการปิดล้อมและโดดเดี่ยวปักกิ่งได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ การให้ผู้รับมอบหมายอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่อำนาจทางการเมืองในไทยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแนวร่วมที่เป็นหนึ่งเดียวของพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่รายรอบจีน

Soros กับประเทศไทย จากบทความของ Jean Perier นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์เรื่อง ‘หลังจาก สูบเลือดไทยจนแห้งแล้ว Soros ก็เข้าสู่กระบวนการสังหาร’ นำเสนอเรื่องราวโดยละเอียดของวิกฤตการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี พ.ศ. 2540 และบทบาทในการเก็งกำไรทางการเงินของ Soros เริ่มจากขั้นแรก เร่งรัดกดดันด้วยกลยุทธทางการเงินต่าง ๆ แล้วจึงหาประโยชน์จากความเสียหายของไทย วิกฤตการณ์ดังกล่าวยังสร้างโอกาสในการโค่นล้มทางการเมืองของรัฐบาลไทยด้วยฝีมือของชาติตะวันตกอีกด้วย

การขึ้นสู่อำนาจของทักษิณหลังจากหายนะทางการเงินนั้นหมายถึงการสร้างประเทศไทยขึ้นใหม่ตามการออกแบบของวอชิงตัน ทักษิณรวบรวมอำนาจทางการเมืองอย่างรวดเร็ว พยายามสร้างพรรคการเมืองพรรคเดียวภายใต้การควบคุมของเขาและผู้สนับสนุนชาติตะวันตก

นอกจากนี้ เขายังได้ดำเนินการในหลากหลายขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนแปลงไทยให้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐฯ รวมทั้งการส่งทหารไทยเข้าร่วมการรุกรานอิรักของสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2546 เชิญชวนให้ CIA ของสหรัฐฯ ใช้ดินแดนของไทยเป็นฐานปฏิบัติการ การแปรรูป ปตท. กลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซ อันเป็นรัฐวิสาหกิจของชาติ และพยายามที่จะผ่านข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-ไทย แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

นอกจากนี้ เขายังหลงระเริงไปกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างมากมาย ซึ่งในที่สุดทำให้มีเหตุผลในการโค่นเขาออกจากอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ในขณะที่ผู้สนับสนุนทักษิณ รวมถึงสื่อตะวันตก อ้างว่า ข้อกล่าวหาการคอร์รัปชันของเขา เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง จาก Wikileaks ซึ่งเปิดเผยว่า สถานทูตสหรัฐฯ ส่งข้อมูลกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่า มีการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีในวันเดียวกับที่เขาขายหุ้นบริษัทของเขาให้กับกลุ่มทุนของสิงคโปร์โดยปลอดภาษี

แม้ว่า สถานทูตสหรัฐฯ จะรับรู้ถึงการทุจริตของทักษิณ แต่ก็ยังคงสนับสนุนเขา และตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้กฎหมายการถือครองของชาวต่างชาติมีโอกาสที่จะเปิดเสรีมากขึ้น โดยอ้างว่า : “ข้อเท็จจริงที่ว่าข้อตกลงดังกล่าวมีโครงสร้างเพื่อให้ครอบคลุมข้อจำกัดของประเทศไทยในการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ทำให้เกิดคำถามร้อนแรงเกี่ยวกับบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของการเปิดเสรีจนถึงปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่หวังว่าจะก้าวไปข้างหน้าคือการถกเถียงทางการเมืองภายในประเทศเกี่ยวกับประเด็นนโยบาย เช่น การถือครองสินทรัพย์โทรคมนาคมของต่างชาติอาจทำให้คนไทยบางส่วนเลิกกลัวการเปิดเสรีตลาด และโดยการต่ออายุข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา”

ตั้งแต่นั้นมา เนื่องจากทักษิณถูกดำเนินคดี และถูกตัดสินว่า มีความผิดในคดีทุจริตและถูกตัดสินจำคุก 2 ปี จึงทำให้เขาต้องหลบหนีตั้งแต่นั้นมาในฐานะผู้หลบหนีที่ซ่อนตัวในต่างประเทศ ทักษิณได้พยายามกลับคืนสู่อำนาจผ่านระบอบการปกครองแบบตัวแทนต่าง ๆ ที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยโดยสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งน้องเขยของเขา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2551 ก่อนที่จะถูกศาลพิพากษาถอดถอน และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ซึ่งทำหน้าที่เป็น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 - 2557 จนกระทั่งมีการรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อโค่นเธอออกจากอำนาจเช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ

Soros และพรรคพวก ให้การสนับสนุนการกลับมาของทักษิณ เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้จากทักษิณในฐานะพรรคพวกของสหรัฐฯ และความพยายามอย่างกระตือรือร้นของเขาในช่วงปี พ.ศ. 2544 - 2549 ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่มีการบูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ จึงเห็นได้ชัดว่า เหตุใดสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป พยายามที่จะพาเขาและพรรคพวกกลับคืนสู่อำนาจ

อย่างไรก็ตาม มันได้กลายเป็นการต่อสู้ที่ยากเย็นแสนเข็ญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังสามารถโกงการเลือกตั้งผ่านการซื้อเสียงอย่างโจ่งแจ้งในต่างจังหวัด และการใช้การก่อการร้ายอย่างเป็นระบบเป็นประจำ ตัวทักษิณเองก็ผ่านความล้มเหลวทางการเมืองต่อเนื่อง และการถูกยึดทรัพย์สินโดยศาลไทย ขยับจากอันดับ 4 ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยตกลงมาอยู่อันดับที่ 14 การประท้วงต่อต้านทักษิณที่มีคนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาลในปี พ.ศ. 2557 ถือเป็นการต่อต้านทั่วประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อไม่ให้เขากลับคืนสู่อำนาจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีแนวโน้มนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่ถึงแม้เขาจะไม่สามารถกลับคืนสู่อำนาจได้ แต่ความสามารถของเขาในการสร้างความแตกแยก และความพยายามในการทำให้ประเทศไทยถอยหลัง รวมถึงการใช้ความรุนแรงมากขึ้น ก็เป็นการสนองตอบวัตถุประสงค์ของวอชิงตันและวอลล์สตรีทในการต่อต้านประเทศที่ไม่พึงประสงค์อย่างจีนได้

นับตั้งแต่ทักษิณถูกขับไล่ในปี พ.ศ. 2549 เขาและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กลุ่ม “สิทธิต่าง ๆ นักศึกษา  นักกิจกรรม และสื่อต่าง ๆ” ได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจาก วอชิงตัน ลอนดอน และบรัสเซลส์ ผ่านการสนับสนุนทางการเมืองและการล็อบบี้โดยตรง และผ่านสหรัฐฯ และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร (องค์กรพัฒนาเอกชน) ซึ่งเกือบทั้งหมดได้รับทุนบางส่วนจากมูลนิธิ Open Society ของ Soros ด้วย

การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรไทย ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้สิทธิเกือบ 4 พันคน ทั้งแบบเข้าคูหาและทางไปรษณีย์

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน

ในการเลือกตั้งทั่วไปของไทย พ.ศ. 2566 การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรไทยในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ถือว่าเป็นหน่วยเลือกตั้งที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่ง ด้วยเป็นประเทศที่มีประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

ขั้นตอนการใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ปี พ.ศ. 2566 ในสหรัฐอเมริกา มีดังนี้

1) ผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้งแบบคูหา (เฉพาะผู้ที่เลือกใช้สิทธิกับสถานเอกอัครราชทูตฯ เท่านั้น) ท่านที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งแบบคูหา สามารถมาลงคะแนนเลือกตั้งที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน (ที่อยู่ 1024 Wisconsin Avenue N.W. Washington D.C. 20007) ระหว่างวันที่ 28 - 30 เมษายน 2566 เวลา 9.00 - 17.00 น. 

(ในภาพ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กำลังใช้สิทธิเลือกตั้ง ณ หน่วยเลือกตั้งประจำที่เลือกตั้ง สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top