Monday, 29 April 2024
ภูเก็ต

‘เทรซี เอมิน’ ศิลปินดังอังกฤษ ขอบคุณประเทศไทย หลัง ‘โรงพยาบาล-โรงแรม’ ดูแลอย่างดี ขณะล้มป่วย

(18 ธ.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เทรซี เอมิน ศิลปินชื่อดังของอังกฤษ อยู่ระหว่างพักผ่อนใน จ.ภูเก็ต ของไทย แต่แล้วก็เกิดอาการเจ็บป่วย โดยเจ้าตัวโพสต์ผ่านอินสตาแกรมเมื่อวันอาทิตย์ (17 ธ.ค.66) ว่า เธอรู้สึกเหมือน ‘ใช้เก้าชีวิตของตนเองไปอีกหนึ่งชีวิต’ เธอไม่สบายอย่างมาก และขอขอบคุณโรงพยาบาล และโรงแรมหรูที่เธอเข้าพักบนเกาะภูเก็ต

“ไม่ใช่มะเร็งแต่เป็นอาการแทรกซ้อนที่ลำไส้เล็กจากการติดเชื้อ และแผลเป็นบนเนื้อเยื่อรวมถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินยิ่งทำให้อาการเลวร้ายเป็นล้านเท่า จนลำไส้เล็กฉันเกือบระเบิด โชคดีที่ฉันอยู่ในประเทศไทย ระหว่างทางกลับจากออสเตรเลีย ฉันจึงเข้าโรงพยาบาลที่ดีมากสองสามวัน ตอนนี้กำลังพักฟื้นในที่พักหรู”

เอมิน วัย 60 ปี คนดังจากขบวนการศิลปินอังกฤษรุ่นใหม่ ช่วงปลายทศวรรษ 1980-1990 ต้องต่อสู้กับมะเร็งและได้รับการผ่าตัดใหญ่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ในอดีต ศิลปินผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเทอร์เนอร์ เคยถูกมองว่า เป็นเด็กเลวในทศวรรษ 1990 สร้างผลงานแนวแหกกฎกุลสตรีอังกฤษ 

ผลงานศิลปะจัดวาง My Bed เตียงที่ยังไม่จัดรายล้อมไปด้วยข้าวของรก ๆ ส่วนตัว เช่น ขวดวอดก้าเปล่า ซองบุหรี่ และถุงยางอนามัย เรียกเสียงฮือฮาในอังกฤษทันทีที่เปิดตัวในปี 2542

ผบช.สตม. จับมือผู้ว่า , นายก อบจ.ภูเก็ต เปิดประชุมสภากาแฟจังหวัดภูเก็ต ระดมความคิดสร้างเมืองภูเก็ตให้เข้มแข็ง พร้อมรับนักท่องเที่ยวอย่างประทับใจ ลั่นต้องช่วยกันควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้เสียภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

วันนี้ (26 ธ.ค.66) เวลา 08.00 น. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. เป็นประธานในการประชุมสภากาแฟสัญจร จว.ภูเก็ต โดยมี นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต , นายเรวัต อารีรอบ นายก อบจ.ภูเก็ต,​ พล.ร.ท.สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 , นายประสิทธิ์ สินเสาวภาคย์ รองนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต , ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต, แรงงานจังหวัดภูเก็ต หน่วยงานราชการและภาคเอกชน ทุกภาคส่วน เข้าร่วมในการประชุม ณ ตม.จว.ภูเก็ต

พล.ต.ท.อิทธิพล ฯ กล่าวว่า ที่เชิญทุกภาคส่วนมาประชุมสภากาแฟในวันนี้ เนื่องจากภูเก็ตเป็นจังหวัดที่สำคัญที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายเปิด Visa Free ดึงนักท่องเที่ยวจากหลายๆ ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย เป็นต้น จึงอยากมารับฟังปัญหาจากทุกภาคส่วน เพื่อบูรณาการกันแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วครบวงจร

ด้าน นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร ประธานหอการค้า จ.ภูเก็ต กล่าวว่า เรามีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพำนักระยะยาว และมาต่อวีซ่า ขอให้ทำอย่างรวดเร็ว ประทับใจ อย่าให้เกิดปัญหาความล่าช้า อยากให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดเรื่องการป้องกันความปลอดภัย โดยเฉพาะพวกที่เข้ามาทำงานสีเทา เป็นมาเฟีย อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยกวดขัน นอกจากนี้เรื่อง Big Data การแชร์ข้อมูลกันระหว่างหน่วยงาน เช่น การแจ้งที่พักของชาวต่างชาติ จะทำให้มีข้อมูลของชาวต่างชาติทั้งหมด ภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง จากการรวบรวมข้อมูลของเจ้าหน้าที่

ผบช.สตม.ฯ กล่าวต่อว่า ในด้านความมั่นคงของจังหวัด อยากให้จังหวัดภูเก็ตมีคณะทำงานเพื่อคัดชาวต่างชาติหรือคนต่างด้าว เพื่อผู้ที่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อสังคม สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ ตม.พิจารณาเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้  นอกจากนี้เราต้องช่วยกันดึงนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุนในไทยให้มากๆ เพื่อช่วยรัฐบาล และเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยว

นายเรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า อบจ.ภูเก็ต สนับสนุนรายได้ไปยังสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ลูกค้าบางรายกว่าจะเข้ามาประเทศไทยเพื่อลงทุนได้ ค่อนข้างยากลำบาก เพราะฉะนั้นเข้ามาแล้ว เราต้องดูแลเขาเป็นอย่างดี ในเอเชียของเรามี 10 ประเทศที่เป็นคู่แข่งเกาะภูเก็ต เราต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ของจังหวัดภูเก็ต

นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช กงสุลกิตติมศักดิ์ ฮังการี กล่าวว่า เรามีนักลงทุนที่ยังไม่ได้รับการส่งเสริม คือนักลงทุนที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจแรก 4 แสนล้าน มาจากการท่องเที่ยว แต่อีกด้านมาจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ บ้านจัดสรร คอนโด วิลล่า ภูเก็ตกำลังจะเป็นแบรนด์ดิ้งระดับโลก ใกล้ฮาวาย คนที่มาซื้ออสังหา มองอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นยุโรปตะวันออก จึงอยากให้ภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ช่วยสนับสนุนและผลักดันด้วย 

ด้าน นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้จะไปตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองการอยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ควบคุมและคัดกรองชาวต่างชาติที่มาก่อความวุ่นวาย กระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และขอบคุณ ผบช.สตม.ที่มาแนะนำสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับชาวภูเก็ต 

‘อ.ธรณ์’ สุดดีใจ!! ไทยพบ ‘วาฬเผือก’ ตัวแรกที่ภูเก็ต ที่สุดแห่งความหายากในโลก มีเงินก็ใช่ว่าจะได้พบเจอ

(6 ม.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ของ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ข้อมูลกรณีโลกโซเชียลได้เผยแพร่คลิปพิกัดการพบ ‘วาฬเผือก’ ที่เกาะคอรัล (เกาะเฮ) จังหวัดภูเก็ต โดยระบุว่า…

“ข้อมูลยืนยันชัดเจนพร้อมระบุพิกัดโดยเจ้าของคลิป เรามี ‘วาฬเผือก’ รายงานแรกของไทย และน่าจะเป็น ‘วาฬโอมูระเผือก’ รายงานแรกของโลกด้วยครับ

‘วาฬโอมูระ’ ต่างจากบรูด้าชัดสุด คือ สันบนหัว โอมูระมี 1 สัน บรูด้ามี 3 สัน

ภาพจากคลิปพอบอกได้ว่า วาฬเผือกตัวนี้มีสันเดียว เป็นวาฬโอมูระ หมายความว่าเป็นดับเบิ้ลหายาก!!

ลำพังวาฬโอมูระ ถือว่าหายากในโลกอยู่แล้ว พบเฉพาะเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงตอนใต้ญี่ปุ่น

ในไทยมีรายงานน้อยกว่าบรูด้าอย่างเห็นได้ชัด ปกติจะเจอฝั่งอันดามัน ในอ่าวไทยมีบ้างแต่น้อยกว่า และอยู่ลงไปทางใต้ ไม่ค่อยเข้ามาในอ่าวไทยตอนใน โอกาสที่เราลงเรือดูวาฬแถวสมุทรสงคราม/เพชรบุรี แล้วเจอวาฬโอมูระแทบไม่มี ส่วนใหญ่มักเป็นนักท่องเที่ยวไปสิมิลัน สุรินทร์ พีพี เกาะรอบภูเก็ต ที่รายงานเข้ามา

เมืองนอกก็ยิ่งหายากครับ อันที่จริง เมืองไทยที่ว่าหายาก ยังรายงานการพบเจอเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

แล้วถ้าเป็นโอมูระเผือกล่ะ ?

โอ้ย ผมไม่รู้จะบอกยังไง มีเงินร้อยล้านพันล้านอยากเจอก็ไม่ใช่จะได้ ต้องใช้โชคล้วนๆ ประเภทหนึ่งในสิบล้านหรือกว่านั้น จึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีรายงานแรกของโลกในบ้านเรา

ข้อมูลจากคุณก้อย เจ้าของคลิป ระบุรายละเอียดชัดเจน

วันที่พบ : วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 เวลา 16.00 น.
สถานที่พบ : ระยะประมาณ 9 กม. ทางใต้ของเกาะคอรัล (เกาะเฮ) จ.ภูเก็ต (ได้พิกัดส่ง ทช.แล้ว)
เรือที่พบ : เรือ Happy Ours

รายละเอียดจากคุณก้อย : พบวาฬสองตัวที่คิดว่าน่าจะเป็นวาฬชนิดเดียวกัน ว่ายอยู่ด้วยกัน ตัวหนึ่งมีสีขาวสวยงาม อีกตัวหนึ่งสีปกติ บ้านเรา (คุณก้อย) ตั้งชื่อน้องว่า ‘ถลาง’ สำหรับวาฬสีขาว และ ‘บูกิต’ สำหรับวาฬสีปกติ

หากน้องๆ ยังอยู่กับเรา โดยเฉพาะน้องถลาง รับประกันว่าอันดามันดังระเบิด ต่อให้ป๋านักดูวาฬระดับโลกก็ยังต้องอยากมาเห็น

หากพบเจอน้องอีก รายงานกรมทะเลทันทีครับ ที่สำคัญ อย่าเข้าไปใกล้เกินไป รักษาระยะห่าง ดับเครื่อง อย่าวิ่งเรือตัดหน้า ฯลฯ

หากเราเจอน้องบ่อยๆ จนแน่ใจสถานที่อาศัย จะเสนอให้เป็นสมบัติทะเลชาติด้วยซ้ำ เพราะอย่างที่บอก นี่ไม่ใช่เรื่องปรกติ นี่คืออะไรที่หายากจริง… ยิ่งกว่าจริง ขอบคุณ คุณก้อย Happy Ours Phuket Charter Team

รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านที่เพจ ThaiWhales ช่วยประสานงานจนได้ข้อมูลสำคัญยิ่งของทะเลไทย ดีใจเอ๊ยดีใจครับ

'หญิงอุ้มเด็ก' นำพระมาขอแลกข้าว เจ้าของร้านบอกไม่เป็นไร "ผมให้กินฟรี"

(22 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Phuket Times ภูเก็ตไทม์’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

มีหญิงสาวอุ้มเด็กน้อยเดินมาจากสี่แยก เดินเข้ามานั่งที่ร้านข้าวขาหมูโบราณกะทู้ สี่กอ บริเวณ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งหนุ่มเจ้าของร้านใจดีห่อข้าวให้ และหญิงสาวรายนี้บอกว่าจะเอาพระแลกค่าข้าว แต่พ่อค้าบอก “ไม่เป็นไร…”

'สาวจีน' เซ็ง!! เล่นร่มร่อนที่ภูเก็ต 'ขาหัก-กระดูกโผล่' แต่คู่กรณีหาว่าสำออย ร้องเตือนชาวจีน "ผู้ประกอบการไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเรา"

(28 ก.พ. 67) บนโซเชียลฯ แชร์โพสต์จาก เพจ ‘ลุยจีน’ เป็นเรื่องราวของนักท่องเที่ยวชาวจีนรายหนึ่งนามว่า น่าต๋าหาน 娜达韩 เล่าให้ฟังผ่านแพลตฟอร์ม Douyin ว่าประสบอุบัติเหตุเล่นพาราไกลดิ้ง หรือร่มร่อนชายหาด แล้วเกิดอุบัติเหตุที่หาดกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าผู้ประกอบการร่มร่อนชายหาดรับผิดชอบเพียงแค่ 5 หมื่นบาท

ซึ่งน่าต๋าหาน เล่าว่า ระหว่างมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เห็นร่มร่อนตรงหาดกะรน จึงไปทดลองเล่น ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตอนร่อนลง ร่มควบคุมไม่อยู่ ทำให้ขาลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง แข้งซ้ายหักครึ่งกระดูกโผล่ออกมา คนขายร่มร่อนปฐมพยาบาลขั้นต้น ก่อนเรียกรถพยาบาล แต่เนื่องจากการจราจรติดขัด ใช้เวลา 2 ชั่วโมง โรงพยาบาลแรกพบว่าเครื่องมือไม่พร้อม ผ่านไป 5-6 ชั่วโมงจึงส่งต่อไปยังโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต ผ่าแข้งที่หักแล้วใส่ดามเหล็กเข้าไป แผลเย็บยาว 15 เซนติเมตร ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการความปลอดภัยต่ำมาก จ่ายเงินเสร็จลากไปใส่เสื้อชูชีพแล้วมีคนให้บริการมาประกบหน้าหลังทันทีโดยไม่อธิบายใดๆ พูดแค่ "Hurry Hurry, Safe Safe" แล้วลากไปเล่นเลย

หลังเกิดอุบัติเหตุ ผ่าตัดใส่เหล็กดามเรียบร้อย คู่กรณีแสดงท่าทีฉุนเฉียว กล่าวหาว่าสำออยอยากได้เงิน พยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่เชื่อผล CT scan และคำบอกเล่าอาการจากแพทย์และพยาบาล กล่าวหาว่ากุเรื่องเพื่อจะเอาเงินอย่างเดียว ทั้งนี้ ค่ารักษาพยาบาลจากการผ่าตัด 150,000 บาท น่าต๋าหานเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีเพียง 200,000 บาท เพราะไม่อยากให้ยืดเยื้อ อยากให้เรื่องจบเร็ว แต่คู่กรณีกลับตอบกลับมาว่ามีให้แค่ 50,000 บาทเท่านั้น และมีท่าทีแข็งกร้าวอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมจ่ายเพิ่มใดๆ บอกห้ามแจ้งความ สุดท้าย น่าต๋าหานให้ทางโรงพยาบาลเปิดแผลให้คู่กรณีดูชัดๆ ถึงมีท่าทีอ่อนลง

พร้อมกันนี้ น่าต๋าหานเตือนชาวจีนว่าอย่าเล่นกีฬาผาดโผนในไทย เพราะมีความเสี่ยงต่อชีวิต สังเกตว่าไม่มีคนไทยในพื้นที่เล่น มีแต่ชาวต่างชาติรวมทั้งชาวจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก เห็นว่าผู้ประกอบการไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเรา เห็นคนต่างชาติแบบตนเป็นแค่แหล่งเงินเท่านั้น และจากที่สอบถามฝั่งที่ขายบริการร่มร่อน พบว่าทุกปีมีอุบัติเหตุแบบที่ประสบหลายเคส แต่ไม่เคยเป็นข่าว ยิ่งทำให้บริการแบบนี้น่ากลัวมากๆ เพราะหลังจากที่แข้งหักเข้าโรงพยาบาล คู่กรณีก็ยังคงขายบริการนี้ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

‘แพทย์สาว’ ร้อง!! ถูก ‘เจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ชื่อดัง’ ทำร้าย เหตุไม่พอใจนั่งหน้าบ้าน พร้อมขู่!! รู้จัก ตร.ยศใหญ่ ยิงตายก็ไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang โพสต์ข้อความและภาพว่า ลูกสาวที่เป็นหมออยู่ใน จ.ภูเก็ต ถูกชาวสวิสทำร้าย โดยมีข้อความว่า

“#เรื่องเล่า_จากแพทย์หญิงไทยถูกชายต่างชาติชาวสวิสทำร้ายบนผืนดินไทย
ลูกสาวของผมผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพและถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกายและจิตใจของเธอที่ถูกทำร้ายว่า…

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าวเพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ
เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ
โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อยเนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย

ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อนเจอพี่ยามคนนึง แกก็ถามว่าเรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย

ในขณะที่เรานั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจและพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

ฝรั่งคนนั้นแสดงอาการโกรธสบถคำด่าออกมาสารพัด จากนั้นภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้นเรากับเพื่อนแอบดีใจเพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้ แต่ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูดถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอ* สองตัวนี้มานั่งอยู่หน้าบ้านกู พวกมึ* รู้ไหมต่อให้พวกกู ยิงพวกมึ*ตาย กูก็ไม่ผิด เพราะลูกกูเป็นตำรวจและรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กูจะเอาพวกมุ*เข้าคุกให้ได้ กูจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่าให้ส่งตำรวจมา

ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็มาพูดกับเราว่า “อ่อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้ไหมชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมุ*นั่งหน้าบ้านกู”

เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากนั้นตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุกมีโทษหนักกว่าต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกายจ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก

เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ 1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ 2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ 3. ไปคุยกันที่โรงพัก ฝั่งนู้นเขาบอกว่า “#เราขอโทษฝรั่งได้_แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา #และเราจะต้องติดคุก”

หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ซึ่งทำให้เราช็อกมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส ที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ดัง ที่เคลมว่าเขาจะปกป้องดูแลช้างและไม่ทำร้ายช้าง แต่เขาทำร้ายผู้หญิงค่ะ!

รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น #ไม่สมควรมีคนไทยคนไหนโดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย #คนไทยผู้เป็นสุจริตชน #ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ

จาก #ผู้หญิงไทยคนหนึ่งผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย
(28 กุมภาพันธ์ 2024)”

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายเป็นลูกสาวของตนเองประกอบอาชีพเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาล ที่จังหวัดภูเก็ต ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูแลครอบครัวให้ได้รับความเป็นธรรม มีกำหนดการเดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ถึงในค่ำวันนี้เนื่องจากในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน มีกำหนดการเรียกไปพบ เพื่อต้องการที่จะเอาเอกสารใบรับรองของแพทย์ที่ตรวจร่างกายไปให้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเท่าที่ทราบ พนักงานสอบสวนยังไม่ลงหมายเลขคดีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกสาวต้องการขอความเป็นธรรม ในคดีให้อายัดตัวนักธุรกิจรายนี้ อย่างไรก็ดีทราบว่า มีนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีกำหนดการว่าจะมาร่วมพบปะลูกสาว ที่ สภ.ถลางในวันพรุ่งนี้ด้วย (ภรรยาชาวสวิสอ้างว่า มีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักตำรวจระดับรองฯ) อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว ลูกสาวยืนยันว่า จะต่อสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์หญิงรายดังกล่าว ยังได้นำใบลงบันทึกประจำวัน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย

‘ชายชาวต่างชาติ’ คู่กรณี ‘แพทย์หญิง’ อ้าง!! ไม่ได้เตะ แค่สะดุดล้ม ยัน!! มีหลักฐานมอบให้ตร.แล้ว หลังถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

(29 ก.พ.67) จากกรณีเกิดเหตุแพทย์หญิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร้อง กรณี ถูกชายชาวต่างชาติ เจ้าของพูลวิลล่าหรูริมหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้าที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา กับเพื่อนที่บริเวณบันได พูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และถูกภรรยาชาวไทย ของชายชาวต่างชาติ ต่อว่าด่าทอหยาบคายต่างๆ นานา อ้างมีลูกชายเป็นตำรวจ และ รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังมีการนำเสนอข่าวตามสื่อต่างๆ ปรากฏว่า มีกระแสวิจารณ์เกิดขึ้น จำนวนมาก ต่างก็ให้กำลังใจหมอ ที่ปนะสบเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่หมอได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรถลางแล้ว

ขณะที่ชายชาวต่างชาติ นายเดวิด (นามสมมุติ) คู่กรณี ได้เดินทางไปที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทนายความ พร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เข้าชี้แจงกับ พ.ต.ท.ปฎิวัติ ยอดขวัญ รองผกก.สอบสวนสภ.ถลาง หลังแพทย์หญิง คู่กรณีเข้าแจ้งในข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยได้มอบคลิปที่นายเดวิด อ้างถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ขณะเดินเข้าไปด้านหลังแพทย์หญิง แล้วลื่น ทำให้เท้าไปถูกด้านหลังของแพทย์หญิงคนดังกล่าว

โดยนายเดวิด เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านทนายความ ว่า นายเดวิดไม่ได้เตะคู่กรณี แต่เป็นการสะดุด แล้ว เท้าไปถูกหลัง และไม่มีเจตนาที่จะไปเตะ ซึ่งตนเองอยากจะแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากที่จะขอโทษที่เท้าของตัวเองหรือตัวไปถูกคู่กรณี และ ขอยืนยันว่าเป็นการสะดุดล้ม

ขณะที่ทนายความระบุ ว่า ได้มีการพูดคุยข้อเท็จจริงกับ นายเดวิด มาพอสมควรและได้เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งนายเดวิดก็มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและในส่วนที่เกี่ยวข้อง ถ้าจะมีการดำเนินคดี เราก็เตรียมหลักฐานในส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะทนายความก็ต้องทำไปตามพยานหลักฐานว่าไม่ใช่การเตะ ซึ่งตนเองในฐานะทนายความคิดว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้กันดีว่าเหตุการณ์มันคืออะไร

ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ คนอื่นเข้ามาบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้เป็นการบุกรุก และนายเดวิดเคยให้บุคคลในวันนั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ส่วนกรณีที่ภรรยานายเดวิดต่อว่าแพทย์หญิงและเพื่อน นายเดวิด และทนายความไม่ได้ตอบ เรื่องนี้

ขณะที่ นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิง กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวยืนยันว่าจะดำเนินคดีข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ตเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ

และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนที่คู่กรณีออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกต ว่าหากเป็นการล้มใส่ ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตนและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ส่วนของสภาพจริงของลูกสาวแม้ว่าจะมีความระแวงและกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจของเธอ

ทางด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้น พญ.ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการตรวจร่างกายจากแพทย์ เนื่องจากผู้เสียหายระบุถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนคู่กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นชายชาวต่างชาติเจ้าของวิลล่าหรูริม อ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง นั้น ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความกรณีที่ พญ.บุกรุกตามที่มีการกล่าวอ้างในวันเกิดเหตุ

สำหรับเหตุการณ์นี้ ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีภรรยาชาวต่างชาติอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ หรือ มีลูกเป็นตำรวจนั้น ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมาย

'คุณพ่อ' เผย!! 'แพทย์หญิง' ลุยฟ้องฝรั่งคู่กรณี ทวงศักดิ์ศรีให้คนไทย  ลั่น!! ถ้าแค่สะดุดล้มจริง จะด่า 'ลูกสาวตน-เพื่อน' เพื่ออะไร

(29 ก.พ.67) ความคืบหน้ากรณี แพทย์หญิงแจ้งความชาวต่างชาติ ทำร้ายร่างกายที่บันไดวิลลาหรู บริเวณหาดยามู ต.ป่าคลอก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ถลาง ได้นัดผู้เสียหายมาสอบปากคำเพิ่มเติมในวันนี้

ล่าสุด คุณพ่อของแพทย์หญิงคนดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ทางตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ลูกสาวยืนยันว่า จะฟ้องศาลว่าถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ต เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน

ทั้งที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ กลับต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจจะบูมขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด เพราะคำพูดของชาวต่างชาติคู่กรณี ที่พูดว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนกรณีที่คู่กรณี ออกมาบอกว่าไม่ได้เตะ แต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ อยากตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นการล้มใส่ของคนที่ตัวโต น้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตน และเพื่อนที่ไปด้วยกัน แม้ลูกสาวจะมีความระแวงและกังวล แต่ลูกก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจ

สำหรับการตรวจสอบเรื่องการก่อสร้างบันไดนั้น ทางอำเภอถลางและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อไปตรวจสอบแล้ว

ปชช. แห่ไปถ่ายรูป เช็กอิน นั่งเล่นที่บันได จุดเกิดเหตุ ที่หมอถูกฝรั่งทำร้าย จนกลายเป็นข่าวดัง

(2 มี.ค. 67) จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรม ถูกชายต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างเตะหลังขณะนั่งบันไดชมจันทร์หน้าวิลล่าแห่งหนึ่ง บริเวณชายหาดภูเก็ต แถมยังถูกหญิงไทยซึ่งเป็นภรรยาของฝรั่งคนดังกล่าวด่ากราด อ้างมีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่คู่กรณีโต้ลั่นไม่ได้เตะ แค่สะดุดแล้วเท้าไปโดนหลังเท่านั้น

หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวจนกลายเป็นกระแสโด่งดัง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก จนสู่กระแสนัดรวมตัวขับไล่ ในวันที่ 3 มีนาคม เวลา 09.00 น. นั้น ล่าสุดทางเพจ “โหดจัง จังหวัดภูเก็ต” โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า

“สุดจัด #แลนด์มาร์ก แห่งใหม่ของชาวภูเก็ต ใครไม่มาถือว่าพลาดอย่างแรงพี่น้อง ใครไปแล้วบ้าง ถ่ายรูปมาโชว์หน่อย !”

กลายเป็นว่า มีประชาชนจำนวนมาก แห่ไปถ่ายรูปเช็กอิน พร้อมกับนั่งบันได จุดเกิดเหตุที่แพทย์หญิงถูกฝรั่งทำร้ายร่างกาย จนกลายเป็นข่าวดังระดับประเทศ

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมกับแนบรูปถ่ายเซลฟี่ เช็กอินสถานที่เกิดเหตุระนาว ก็มีทั้งคนมีชื่อเสียง เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย เช่น หมอแล็บแพนด้า

ขณะที่ นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ส.ส.ภูเก็ต เขต 3 พรรคก้าวไกล ประธานคณะอนุกรรมาธิการทะเลสาบสงขลาฯ โฆษกคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

ชาวภูเก็ต หลายร้อยคน รวมตัวแสดงพลัง หน้าวิลล่าหรู ที่เกิดเหตุ เพื่อให้กำลังใจ หมอที่ถูกฝรั่งทำร้าย พร้อมประกาศจุดยืน คนไทยคือเจ้าของประเทศ 

(3 มี.ค.67) เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ เวลาประมาณ 09.00 น. บริเวณแหลมยามู ชาวภูเก็ตนัดรวมตัวเพื่อแสดงจุดยืนอย่างสันติและสงบ ว่า ที่นี่คือแผ่นดินไทย คนไทยคือเจ้าของประเทศนี้ มาดีเราต้อนรับ มาไม่ดีเชิญไปที่อื่น อย่ามาสร้างปัญหาในบ้านเมืองของเรา

กิจกรรมในครั้งนี้ มีประชาชนรวมตัวกันกว่า 200 คน เพื่อแสดงจุดยืน มีการร่วมร้องเพลงชาติไทย ชูธงชาติไทย บริเวณบันได ริมชายหาดด้านหน้าวิลล่าหรู ที่เกิดเหตุชาวต่างชาติทำร้ายหมอชาวไทย ทั้งนี้ชาวภูเก็ตที่เดินทางมารวมตัว ยังได้ชูป้ายมีข้อความทวงคืนหาดยามู และข้อความขับไล่ชาวต่างชาติ สัญชาติสวิส ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจได้เดินทางมาดูแลความสงบเรียบร้อย ในกิจกรรมการรวมตัวแสดงพลัง ดังกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top