Sunday, 19 May 2024
ภูมิใจไทย

‘เสี่ยหนู’ มั่นใจ ‘ภท.’ มีความรับผิดชอบ ไม่ขายฝัน ทำได้จริง ลั่น!! หากได้เป็นนายกฯ พร้อมดูแลคุณภาพชีวิต ปชช.ทุกด้าน

(22 มี.ค. 66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงเป้าหมายการทำงาน หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า การจะเป็นนายกฯ ได้ ต้องอาศัยหลายปัจจัย ชั่วโมงนี้ใกล้เลือกตั้ง ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจในตัวเรา และตัวพรรค ที่ผ่านมาน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่า พรรคเราพูดแล้วทำ ไม่ขายฝัน ทำได้จริง ตรงนี้เชื่อว่าประชาชนมองเห็น แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ ตนมองว่าเรื่องคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสุข

รัฐฯ ต้องดูแลคนไทย เราต้องช่วยอำนวยความสะดวกกับประชาชน เขาบอบช้ำจากวิกฤตเศรษฐกิจ เราต้องพักหนี้ให้เขา ให้เขามีโอกาสฟื้นตัว เมื่อเขาแก่ตัวลง เราต้องมีระบบคัดกรองสุขภาพ ดูแลช่วยเหลือ พอถึงช่วงวัยหนึ่ง ผู้สูงวัยอาจป่วยติดเตียง รัฐฯ ต้องไม่ทอดทิ้ง ให้เป็นภาระของลูกหลาน พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายกรมธรรม์ผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ ได้รับสิทธิ์เป็นสมาชิกกองทุนประกันชีวิต และมีกรมธรรม์ประกันชีวิตทันที โดยไม่ต้องสมัคร และไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต ผู้สูงอายุสามารถกู้เงินมาดูแลตัวเองได้ เมื่อเสียชีวิต ทุกคนจะมีมรดกให้ลูกหลาน ทายาทและครอบครัว รายละ 1 แสนบาท ให้คนที่จากไปไม่ต้องกังวล

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกัน เราต้องทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้น การที่ไทยตั้งอยู่ศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน นี่คือโอกาสที่ไทยต้องรักษาไว้ ในเวทีโลกต่างพูดกันว่าใน 20 ปีนี้ อาเซียนจะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของโลก นี่คือสิ่งที่ไทยต้องได้ประโยชน์ด้วย เราต้องเร่งพัฒนาตัวเอง วางเป้าหมายให้ชัด แล้วไปให้ถึง จะเป็น ‘เมดิคัล ฮับ’ จะเป็นศูนย์กลางการลงทุน จะเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยว เราต้องเอาจริง ตอนนี้ เราเป็นเซ็นเตอร์ด้านการขนส่งได้

พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายแลนด์บริดจ์ เชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน ด้วยทางถนน ทางรถไฟ ทางด่วน ทางท่อ ร่นเวลาการขนส่งจาก 7 วันเหลือเพียง 1 วัน เป็นโครงการที่จะช่วยให้ไทยมีศักยภาพ ในการเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมของภูมิภาค

“การเป็นผู้นำไทย ต้องคิดถึงประชาชน ต้องกล้าคิด กล้าตัดสินใจ และต้องรับผิดชอบ นี่เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง” นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7572175

‘ภูมิใจไทย’ ชูนโยบาย ‘ฟรีหลังคาโซล่าเซลล์’ มั่นใจ!! ช่วยลดค่าไฟ 450 บาท/หลังคาเรือน

(22 มี.ค.66) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวในเวทีเสวนาออนไลน์ : ล้านหลังคา ล้านโซล่าเซลล์ จัดโดย สภาองค์กรของผู้บริโภค โดยนำเสนอว่า พรรคภูมิใจไทย มี ‘นโยบายพลังงานสะอาด ลดรายจ่ายประชาชน ฟรีหลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้า หลังคาเรือนละ 450 บาท มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อน เดือนละ 100 บาท 60 งวด’ โดยคาดว่าจะมีการติด โซล่าเซลล์ 21 ล้านหลังคาเรือน เราคิดว่าจะติดให้ฟรีทุกครัวเรือน เป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริง โดยแหล่งเงินจะมาจากการทำกองทุนขายพันธบัตร ระดมทุนให้สามารถติดโซล่าเซลล์ ได้ทุกหลังคาเรือน

“ทำเหมือนกับการเปลี่ยนระบบโทรทัศน์จากระบบอนาล็อก ไปเป็นโทรทัศน์ระบบดิจิตอล เมื่อไม่นานที่ผ่านมา  เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ให้สามารถทำฐานการผลิตโซล่าเซลล์ ในประเทศไทย คิดดูว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมหาศาล คิดดูว่า 21 ล้านหลังคาเรือน จะมีการจ้างงานเท่าไหร่ ในปีที่ผ่านมา เรื่องหลังคาโซล่าเซลล์ เติบโตเพียง 1% ประเทศไทยไม่มีโรงงานผลิตโซล่าเซลล์ หากการติดโซล่าเซลล์ 20 ล้านหลังคาเรือน เกิดขึ้น เราจะเป็นฐานโรงงานผลิตโซล่าเซลล์ และเกิดกาจ้างงานมหาศาล และผลิตไฟฟ้า ได้ประมาณครึ่ง ของพลังงานที่ผลิตในประเทศ เป็นพลังงานสะอาด” นายสิริพงศ์ กล่าว

‘ภูมิใจไทย’ ชูนโยบาย ‘ภาษีบ้านเกิดเมืองนอน’ เน้นกระจายงบฯ - อำนาจ พัฒนาพื้นที่ท้องถิ่น

(23 มี.ค.66) นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการกระจายอำนาจ หน้าที่ และงบประมาณ ไปสู่ท้องถิ่น โดยระบุว่า ท้องถิ่นมั่งคั่ง ประเทศมั่นคง เป็นสัจจะธรรม แต่อำนาจหน้าที่ กฎหมายไม่รองรับ เช่น ให้จัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งต้องมีเครื่องมือ คืออำนาจ หน้าที่ และงบประมาณ ปัจจุบันไม่รองรับ 100% เช่นบุคลากร เข้ามาทำหน้าที่บริหารท้องถิ่นตัวเองทำเองไม่ได้ มีคนไปจัดการให้ ซึ่งไม่ตรงตามวัตถุประสงค์

“พื้นที่แต่ละแห่งไม่เหมือนกัน เช่น ทางใต้มีเรื่องทะเล ทรัพยากร สภาพสังคม และงบประมาณ เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา ท้องถิ่นเขาพูดกัน 2 เรื่อง คือ อำนาจในการบริหารจัดการ 100% ไม่ต้องอิงส่วนกลางได้ไหม เขาเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง เช่น กฎหมายการกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ ถ้าไม่ให้ไป มันทำไม่ได้ การถ่ายโอนที่ไม่ครบ เช่น ไม่มีคนให้ ไม่มีงบประมาณให้ และภารกิจก็ถ่ายโอนไม่ครบอีก ให้ท้องถิ่นไปดูแลสถานีรถโดยสาร แต่สายทางไม่ให้ไป ให้ดูแค่สถานี หรือการถ่ายโอน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รพ.สต. แต่การรักษาทำอย่างไร ให้งานไปแต่ไม่สามารถทำงานได้ ให้มอบภารกิจไปแต่ทำไม่ได้ เราต้องคิดดำเนินการแก้ไขให้กฎหมายรองรับการกระจายอำนาจให้มากที่สุด

'เรืองไกร' รับ 'พปชร.-ภท.' ถกตัวเลขขั้วรัฐบาล เชื่อ ‘เพื่อไทย’ ไม่แลนด์สไลด์เหตุปัจจัยเปลี่ยน

(23 มี.ค.66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) การสนทนารับประทานอาหารเที่ยง ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เมื่อวานนี้ มีการพูดคุยสมการตัวเลขทางการเมืองขั้วรัฐบาล โดยเป็นการคุยกันต่อเนื่องจากครั้งก่อน พบปะคุยกันปกติ และครั้งที่แล้วยังบอกให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ในฐานะทำงานด้วยกันมา และพูดคุยว่าในเส้นทางการเมืองถ้าเป็นไปได้ก็เป็นพันธมิตรกันไป ส่วนการประเมินตัวเลข ก็เป็นสิ่งที่คาดหวังกัน

เมื่อถามว่า มีการประเมินสมการนี้ เหตุใดไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รวมอยู่ด้วย นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่ได้ปฏิเสธรวมไทยสร้างชาติ เพราะเป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐ ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คือเรื่องของความปรองดอง ก้าวข้ามความขัดแย้ง และยินดีต้อนรับหมด เพื่อให้การบริหารบ้านเมืองเดินหน้าไปได้

‘อนุทิน’ ชี้!! ‘ภท.’ พกพาความจริงใจเข้ากรุง หวังใช้ผลงานมัดใจ แม้ไร้ ‘กระแส-กระสุน’

(23 มี.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. ที่พรรคมีความเคลื่อนไหวที่เข้มข้นกว่าครั้งที่ผ่านมา ว่า เราเต็มที่กับการเลือกตั้งทุกครั้ง และเอาจริงในทุกเขตเลือกตั้ง เราเลือกคนที่เข้าใจพื้นที่ ต้องเกิดที่นั่น โตที่นั่น เป็นคนดี มีความสามารถ กับพื้นที่ กทม. เรามีประสบการณ์แล้วว่า คน กทม.ต้องการอะไร และเรามีแนวทางแก้ไขไว้ให้ ที่ผ่านมา หลานคนบอบช้ำจากเรื่องเศรษฐกิจ ที่มาจากเรื่องโรคระบาด มีการกู้หนี้ยืมสิน เราเลยมีนโยบายพักหนี้ หลายคน มีความลำบากเรื่องค่าครองชีพ เรามีนโยบายกำหนดอัตราการขนส่งคมนาคมใหม่ เพื่อลดภาระคนไทย

อีกทั้งเรายังมีนโยบายแยกย่อยออกไปอีก ทั้งเรื่องสังคม ความปลอดภัย เขตนี้ จะมีกล้องตรงถนน เขตนี้จะมีการยกระดับเรื่องการเดินทาง แต่ละเขตมีปัญหา และมีการดูแลที่ต่างกัน เราศึกษามาแล้วว่าท่านต้องการอะไร เราก็เสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งที่ผ่านมา เราพูดและเราทำ ผลงานเห็นชัดอยู่แล้ว ก็หวังว่าจะทำให้คนกรุงเทพฯ ไว้วางใจพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านมา ตนดีใจที่เวลาไปไหนมาไหน มีคนเข้ามาถ่ายรูป ทักทายพูดคุยด้วย แสดงว่าเราก็มีคะแนน ที่ทำไปไม่เสียเปล่า

เมื่อถามว่า คิดอย่างไร ที่มีการตั้งฉายาว่าภูมิใจไทย เป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง นายอนุทิน  กล่าวว่า เป็นเรื่องดี เพราะ คำพูดนี้ มันสะท้อนว่าคนต่างจังหวัดเวลาเขามากรุงเทพฯ เขามาด้วยความจริงใจ และจริงจัง หวังจะทำงาน พิสูจน์ตัวเอง ภูมิใจไทยก็เหมือนกัน เราก็หวังจะทำงานรับใช้ประชาชน กทม. และเราก็จริงใจ ตั้งใจด้วย ขอเพียงท่านให้โอกาส เราไม่ทำให้ผิดหวัง

เมื่อถามว่า เรื่องพรรคภูมิใจไทย ไม่มีกระแส อาจจะผิดหวังในพื้นที่เมืองหลวง นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคเราไม่มีกระแส ไม่มีกระสุน แต่เรามีผลงาน และผลงาน ก็น่าจะทำให้ประชาชนเห็นว่า เลือกพรรคภูมิใจไทยมา ท่านจะได้เห็นความเป็นรูปธรรม จับต้องได้ของนโยบายเรา เรากล้าบอกว่า เราเป็นพรรคพูดแล้วทำ เพราะเรามีผลงานมีความเชื่อมั่นจากประชาชน มีความน่าเชื่อถือต่อสิ่งที่เราให้ไว้กับประชาชน 

ปัดตก!! สูตรรัฐบาลบ้านป่ารอยต่อ รทสช. แค่พรรคร่วม!! ไม่มี 'ตู่' อยู่ในสมการผู้นำ เพราะมีแต้มไม่ถึง 50 เสียง

จะเป็นการเดินเกมปลอบใจกันเองหรือมีอะไรมากกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด หรือบางพรรคกำลังติดกับดักนายพรานเลยต้องรับประทานอาหารกันบ่อยหน่อยก็ตาม...

แต่ต้องยอมรับว่าวานซืน (22 มี.ค.66) ทันทีที่จบอาหารมื้อเที่ยงที่บ้านป่ารอยต่อรอบสองระหว่างคณะของภูมิใจไทยนำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล กับ คณะของพลังประชารัฐในฐานะเจ้าบ้าน...ก็พอจะเห็นภาพร่างของรัฐบาลผสมชุดหน้า...แต่ที่เห็นชัดกว่าภาพร่างก็คือ หน้าตาของนายกรัฐมนตรี...หลังเลือกตั้ง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ อนุทิน ชาญวีรกูล...คนใดคนหนึ่ง...

บนโต๊ะอาหารมีการยกตัวเลขจากผลโพลและการประมาณการของแต่ละฝ่าย...ซึ่งเคยเป็นข่าวไปแล้วตั้งแต่อาหารเที่ยงรอบแรกเมื่อ 15 มี.ค.คือ พรรคพลังประชารัฐกับภูมิใจไทยได้คะแนนใกล้เคียงกันที่พรรคละ 70 เสียง…รวมกันก็ 140 เสียง บวกกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆ เกิน 250 เสียงตั้งรัฐบาลได้...

ประการสำคัญ...ลุงกับหลานประสานเสียงเป็นคีย์เดียวกันว่า...ใครได้คะแนนมากกว่าก็เอาไป (เป็นนายกฯ)...

“ถ้าตามคะแนนนี้คือ เรากับหนู (อนุทิน)” ผู้อาวุโสว่า

“ลุงต้องเป็นนายกฯ ลุงเท่านั้นที่ควรเป็นนายกฯ” หลานถ่อมตน

“ไม่เป็นไรเราค่อยดูตัวเลขกันอีกที...”  ลุงจบได้สวย

‘มณีรัตน์’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง-บางนา เตรียมลงพื้นที่แนะนำตัว พร้อมรับฟังปัญหา ปชช.

(24 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูมิใจไทย เขตพระโขนง-บางนา กรุงเทพฯ เตรียมลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อแนะนำตัวและชูนโยบายพรรค พร้อมรับฟังปัญหาของชาวชุมชนหน้าวัดบุญรอด ซ.สุขุมวิท 62 เวลา 10.00 น. และที่ตลาดสี่แยกบางนา เวลา 17.00 น. ในวันพรุ่งนี้ (25 มี.ค.) 

‘ลุงหนู’ เห็นพ้อง ‘บิ๊กป้อม’ ผู้ได้เสียงมากสุด รวมเสียงข้างมากได้ ควรเป็นนายกฯ

หลังมีกระแสกรณีที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐร่วมรับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่ป่ารอยต่อฯ เมื่อ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยระบุว่า “ไม่ควรเอาคำพูดคนอื่นในวงสนทนามาเล่า ผม และพล.อ.ประวิตร หลักการเดียวกัน ผู้ได้เสียงมากสุด รวมเสียงข้างมากได้ ควรเป็นนายกฯ” 

‘ดร.กมล’ ชี้!! 'ภท.' ขอยกระดับ 'กัญชาศึกษา' เดินหน้าใช้เพื่อ 'การแพทย์-สุขภาพ-เศรษฐกิจ'

ไม่นานมานี้ ดร.กมล รอดคล้าย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อและคณะทำงานยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา พรรคภูมิใจไทย ได้อธิบายเรื่อง กัญชาศึกษา เพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด ว่า....

“ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยเฉพาะการศึกษาที่มีคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ ได้มีการนำกัญชาไปจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ถึงระดับปริญญาเอก”

ดร.กมล ยังได้เสริมอีกว่า “นโยบายกัญชาเพื่อการแพทย์ของพรรคภูมิใจไทยที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และเตรียมจะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต เรามุ่งเน้นไปที่ กัญชาเพื่อการแพทย์ เพื่อการรักษาโรค ซึ่งกัญชามีการใช้มาตั้งแต่โบราณ แล้วยังมีงานวิจัย มีหน่วยงานรับรองว่าถ้าเราใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ เราจะลดการสูญเสียการซื้อยาจากต่างประเทศ โดยใช้กัญชาเป็นสารตั้งต้น ในการแก้ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บของพี่น้องประชาชน”

“ในขณะเดียวกันนั้นกัญชาสามารถใช้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่นอกจากใช้เพื่อการแพทย์แล้วยังใช้ในการประกอบอาหาร ประกอบเครื่องดื่ม ประกอบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัย”

ดร.กมล ได้ยกนโยบายของพรรคขึ้นมาพูดเสริมอีกว่า “ระบบการจัดการของเราในวันนี้คือพรรคภูมิใจไทย ได้มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ผ่านโรงพยาบาลต่าง ๆ ในการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ แต่เรายังมีการขับเคลื่อนผ่านระบบการศึกษาอีกด้วย

“โดยวันนี้พรรคภูมิใจไทยสามารถขับเคลื่อนการเรียนรู้กัญชาเพื่อการแพทย์ไปยังสถานศึกษาของ กศน. ทั่วประเทศใน 77 จังหวัด และอีกประมาณ 800-900 อำเภอ นอกจากในการจัดการเรียนการสอนผ่าน กศน. แล้ว ในสภาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่มีคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ ได้มีการนำกัญชาไปจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ถึงระดับปริญญา

'ซูเปอร์โพล' เผย ปชช. หนุนพรรคร่วม เป็น รบ. อีกสมัย ดัน 'ลุงหนู' นั่งนายกฯ เพราะมีเมตตา-ไม่ขัดแย้งกับใคร

26 มี.ค.2566-สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 (ฉบับเต็ม) กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 53,094,778 คน ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,257 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20 – 25 มี.ค.2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

ที่น่าสนใจคือ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือกพรรคการเมือง แบ่งออกระหว่าง กลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล และ กลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลรวมกันได้ร้อยละ 51.6 ในขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านตอนนี้รวมกันได้ร้อยละ 43.3 โดยในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล อันดับหนึ่งได้แก่ พรรคภูมิใจไทย ได้ร้อยละ 19.1 เพราะ เชื่อมั่นศรัทธานายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ ต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ ต้องการคนมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์การเมือง มีผลงานเป็นที่ยอมรับนานาชาติช่วงวิกฤตโควิด ไม่ต้องการความขัดแย้ง ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ ผู้นำที่ไม่สร้างความขัดแย้ง ต้องการการพัฒนา ชอบนโยบายสุขภาพ และ อสม. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นคนจิตใจดี ช่วยเหลือชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อย เป็นต้น

อันดับที่สองได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 13.4 เพราะ เชื่อมั่นศรัทธา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายชวน หลีกภัย และอดีตผู้นำพรรค เชื่อมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต มีประสบการณ์ทางการเมือง ความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสถาบันพรรคการเมือง มีหลักการ อุดมการณ์การเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ มีผลงานประกันรายได้เกษตรกร การค้าระหว่างประเทศ ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ เป็นต้น

นอกจากนี้ อันดับที่สาม ได้แก่ พลังประชารัฐ ร้อยละ 10.1 เพราะ เชื่อมั่นใน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีผลงานแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ทำกิน บริหารจัดการน้ำ ความสงบความมั่นคงของบ้านเมือง เป็นต้น และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 7.3 เพราะ เชื่อมั่นศรัทธาใน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานแก้วิกฤตชาติ ความวุ่นวายของบ้านเมือง จริงจัง จริงใจ อดทน     ชอบโครงการ คนละครึ่ง เป๋าตังค์ ชอบนักการเมืองรุ่นเก่า อย่างนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ชอบคนรักชาติบ้านเมืองอย่าง พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา เป็นต้น ที่เหลือเป็น พรรคชาติพัฒนา กล้า ร้อยละ 0.9 และพรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.8 ตามลำดับ

ในขณะที่ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า อันดับแรก พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 36.9 เพราะ ชอบอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ  ชินวัตร ต้องการคนรุ่นใหม่ ต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ เข้าถึงชาวบ้านและประชาชน ชอบนโยบาย ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ เป็นต้น รองลงมาคือ พรรคก้าวไกล ร้อยละ 5.9 เพราะ ชอบหัวหน้าพรรค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ ต้องการคนรุ่นใหม่ อยากลอง ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ เป็นต้น และพรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 0.5 เพราะ ชอบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคตรงไปตรงมา เด็ดขาด ชัดเจน เป็นต้น

เมื่อวิเคราะห์ภาพรวมของความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 51.6 ระบุ จะเลือกพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติพัฒนากล้า ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น ในขณะที่ ร้อยละ 43.3 จะเลือกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ เพื่อไทย  ก้าวไกล เสรีรวมไทย เป็นต้น และร้อยละ 5.1 ระบุอื่น ๆ เช่น ไทยสร้างไทย และไทยภักดี เป็นต้น

ที่น่าพิจารณา คือ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล กับ พรรคร่วมฝ่ายค้าน แบ่งตามกลุ่มจุดยืนการเมือง พบว่า กลุ่มพลังเงียบส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.8 กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.3 และแม้แต่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 15.6 ตั้งใจจะเลือก พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น ในขณะที่ กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.7 กลุ่มพลังเงียบร้อยละ 34.6 และแม้แต่กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 21.4 ตั้งใจจะเลือกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ เพื่อไทย  ก้าวไกล เสรีรวมไทย เป็นต้น ตามลำดับ

นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ คนที่ประชาชนอยากได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในกลุ่มแฟนคลับของพรรคร่วมรัฐบาล จำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นขวัญใจมากสุดใน 4 กลุ่มอาชีพได้แก่ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐร้อยละ 20 พนักงานเอกชนร้อยละ 18.4 อาชีพอิสระค้าขายร้อยละ 19.8 และนักศึกษา ร้อยละ 23.2 เพราะเป็นคนมีความสามารถ มีผลงานเคยแก้วิกฤตชาติ เป็นผู้นำที่ไม่ก่อความขัดแย้งกับใคร จิตใจดี ช่วยเหลือชีวิตคน ไม่ด่างพร้อย ดูแลคนตัวเล็กตัวน้อย ชอบนโยบายสุขภาพ ดูแลใส่ใจคนทุกกลุ่ม เป็นต้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top