Sunday, 19 May 2024
พิธา_ลิ้มเจริญรัตน์

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! พิธาติดสติ๊กเกอร์ ‘ยกเลิกม.112’ ส่อเจตนาบ่อนทำลายการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“กิจกรรมปราศรัยใหญ่ก้าวไกล เมื่อ 24 มี.ค.66 จ.ชลบุรี นายพิธา ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นติดสติ๊กเกอร์ในกิจกรรมของกลุ่มทะลุวังว่า ‘ยกเลิกม.112’ สะท้อนทัศนคติที่พร้อมจะยกเลิก 112 เพื่อทำให้บทบัญญัติที่คุ้มครองกษัตริย์หมดสิ้นไป เป็นการกระทำที่เซาะกร่อนบ่อนทำลาย”

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! หากปล่อยก้าวไกลเดินหน้าแก้ 112 จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“แม้การขอเสนอแก้ไข 112 จะผ่านพ้น แต่การรณรงค์ให้แก้ไขหรือยกเลิกยังคงอยู่ ทั้งการชุมนุม จัดกิจกรรม และการใช้สื่อออนไลน์ หากยังปล่อยให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล กระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! ‘พิธาและพรรคก้าวไกล’ ใช้เสรีภาพที่มีเพื่อล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำวินิจฉัยศาลฯ สะท้อนการใช้สิทธิหรือเสรีภาพการปกครองเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

ย้อนเหตุการณ์ 'ชาวเน็ตกัมพูชา' โผล่เคลม 'พิธา' เป็นคนเขมร  พร้อมงัดหลักฐาน อาจเป็นผู้สืบทอดทางสายเลือดมารดา

ดูเหมือนว่า 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสการเมืองไทยยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และมีเรื่องให้ลุ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่เรื่องใหญ่และเป็นที่พูดถึงมากที่สุดก็คงไม่พ้นเหตุการณ์ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือครองหุ้นสื่อไอทีวีหรือไม่? ซึ่งผลที่ออกมาก็ขัดใจคนบางกลุ่ม และถูกใจคนบางกลุ่ม เพราะศาลมองว่าไอทีวี ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อ ไม่มีรายได้ เป็นผลให้นายพิธาได้หวนสู่ตำแหน่ง สส. ผู้ทรงเกียรติอีกครั้ง

ส่วนอีกเหตุการณ์ก็เป็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล หยุดการกระทำ การพยายามแก้ไข ม.112 และชี้ว่าการเสนอนโยบายแก้ ม.112 ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่มีในการล้มล้างการปกครอง 

จาก 2 เหตุการณ์ที่กล่าวมา ก็ถือว่า นายพิธาและพรรคก้าวไกล ต้องเจอกับคดีใหญ่ ๆ ซึ่งอาจจะผลต่อเส้นทางการเมืองในประเทศไทย เพราะหากศาลตัดสินมีความผิด โทษหนักที่สุดก็คือ หมดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ทางฟากโหวตเตอร์ หรือคนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลก็ต้องมาคอยลุ้น คอยเชียร์เอาว่านายพิธาและพรรคก้าวไกลจะเป็นอย่างไรต่อไป

แต่ว่า…คงไม่เพียงแค่ผู้สนับสนุนในไทยเท่านั้นที่คอยลุ้นคอยเชียร์ เพราะนายพิธาก็มีแรงเชียร์ (แรงเคลม) ส่งตรงจากประเทศกัมพูชาด้วยเช่นกัน 

หากย้อนไปช่วงหลังเลือกตั้งปี 66 ทันทีที่ผลออกมาว่าพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ สส. มาเป็นอันดับ 1 และนายพิธาขึ้นแท่นว่าที่นายกฯ คนที่ 30 ของไทย ชาวเน็ตกัมพูชารายหนึ่งได้ออกมาโพสต์บอกว่า ‘ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ มีเชื้อสายเป็นคนเขมร พร้อมกับแนบหลักฐานรูปในอินสตาแกรมของ ‘นายพิธา’ ที่เคยโพสต์ไว้ตั้งแต่ปี 2558

พร้อมเขียนข้อความแปลไทยได้ว่า “การเมืองไทยจะขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ยังไม่พ้นเลือดคนพระตะบอง ในการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ พิธา ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้คะแนนสูงที่ 1 อาจเป็นผู้สืบทอดสายเลือดมารดา (ตามภาพ IG ของ Tim Pita ที่โพสต์พร้อมรูปถ่ายของโรงเรียนเก่าพระตะบอง ในปี 2559 คุณยายของเขาเคยอาศัยอยู่ในบ้านนี้เกือบศตวรรษ)”

“ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ยังมีเหลนของ ควง อภัยวงค์ ที่ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งในกรุงเทพฯ แต่ล้มเหลว นายควง อภัยวงค์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินเจ้าฟ้าคฑาธร ชุ่ม อภัยวงศ์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งพระตะบอง นายควง อภัยวงศ์ ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่เก่าแก่ที่สุดของไทย และยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 3 สมัยอีกด้วย”

นอกจากนี้ก็มีชาวเน็ตฝั่งกัมพูชาหลายคนออกมาโพสต์โต้เช่นกันโดยแปลไทยได้ว่า “การที่พิธาทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง เป็นการขายชาติ”

อย่างไรก็ตาม ก็มีชาวเน็ตฝั่งกัมพูชา ออกมาคอมเมนต์วิจารณ์กันสนั่น พร้อมพากันมองว่ารูปที่แนบมาเป็นบ้านเกิดของ ทิม พิธา และรูปที่มีการตำข้าวเปลือกนั้น เป็นการช่วยคุณยายของเขาเองอีกด้วย

‘แนวร่วมเพจดัง‘ ร้องสภาฯ สอบจริยธรรมร้ายแรง ‘พิธา’ กรณีเป็นนายประกัน ‘ตะวัน’ ลามปล่อย ‘ป่วนขบวนเสด็จ’

(9 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ นายนิยม นพรัตน์ หรือเค สามถุยส์ นางกัลยาณี จูปรางค์ หรือป้าอยุธยา กลุ่มสีดาจะไม่ทน นายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร ในฐานะแนวร่วมเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร‘ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เพื่อสอบจริยธรรมที่มีความร้ายแรงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายประกัน และผู้กำกับดูแล น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน แกนนำกลุ่มทะลุวัง ในการกระทำอันเป็นการแสดงพฤติกรรมมิบังควรต่อขบวนเสด็จ 504 การให้สัมภาษณ์ให้ร้ายประเทศไทย และการพูดโกหก

โดยนายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากนายพิธาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะนายประกัน และผู้กำกับดูแลน.ส.ทานตะวัน ผู้ต้องหาตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง จนมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงการกระทำที่ต่อเนื่อง มีส่วนสนับสนุนและสัมพันธ์กันและกัน ของนายพิธา พรรคก้าวไกลและผู้ที่เคลื่อนไหว ซึ่งนายพิธา ได้แถลงต่อศาลอาญาในการรับเป็นนายประกันให้นางสาวทานตะวัน ว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล เพื่อให้ปฏิบัติตนตามเงื่อนไขของศาล และจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตามที่กฎหมายรับรองไว้ 

“บัดนี้ พบว่า น.ส.ทานตะวัน หนึ่งในการกระทำอันเป็นการแสดงพฤติกรรมมิบังควรต่อขบวนเสด็จ 504 โดยการพยายามขับรถยนต์ด้วยความเร็ว เพื่อไปให้ทันขบวนเสด็จ จนตำรวจต้องสกัดกั้น มิให้แทรกเบียดเข้าไปในขบวน อันอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ รวมทั้งการแสดงกิริยาก้าวร้าว มีพฤติการณ์ไม่สมควร ในการบีบแตรรถเสียงดังยาวนาน การตำหนิมีปากเสียง และต่อว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้คนไทยทุกหมู่เหล่า” นายแทนคุณ กล่าว

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า รวมทั้ง กรณีที่นายพิธา ได้เคยอภิปรายในสภา ในลักษณะยกย่องนางสาวทานตะวัน ว่า  “มองตาแล้วเห็นพิพิมลูกสาวผมอยู่ในนั้น” ย่อมเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยมิชอบกับเด็ก ไม่เว้นแม้แต่บุตรสาวของนายพิธาเอง ยังทำร้ายลูกสาวได้ลงคอ เพราะรอยพิมพ์ดิจิทัลจะเป็นสิ่งที่สร้างตราบาปให้กับเด็กที่ถูกอ้างอิงตลอดไป

"ดังนั้น การกระทำดังกล่าวข้างต้น เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายและจริยธรรม รวมทั้งพฤติการณ์ที่ชอบพูดโกหกซ้ำซาก และการสัมภาษณ์ในลักษณะให้ร้ายประเทศของนายพิธาหลายเรื่อง ที่กระทบต่อศีลธรรม และภาพลักษณ์อันดีของสภาผู้แทนราษฎร เช่น การให้สัมภาษณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยต่อสื่อต่างประเทศ การกลับมางานศพพ่อไม่ทัน การติดสติกเกอร์ช่องยกเลิก ม.112 การวาดภาพลอกเลียนแบบงานของโมเมนต์ เป็นต้น รวมทั้งการนำเด็กเยาวชนขึ้นเวทีปราศรัย ในลักษณะมีข้อความเกลียดชังอีกด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแบบอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน และประชาชนทั่วไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิเชษฐ์ ไม่ได้ลงมารับหนังสือของแนวร่วมเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร‘ จึงต้องไปยื่นหนังสือผ่านระบบสารบรรณสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแทน

‘ก๊อง-ปรเมษฐ์’ ซัด!! ‘พิธา’ ขาดความเข้าใจเรื่องเช่าที่ราชพัสดุ

(4 ก.พ.67) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกินจากพี่น้องประชาชนชาวหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการจัดการที่ดินทำกิน ระบุว่า…

“มองว่าปัญหาข้อแรกคือเรื่องการจัดการที่ดิน รัฐต้องสร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม ข้อสองคือรัฐบาลควรตรวจสอบที่ดินของรัฐที่อยู่กับกระทรวงทั้ง 8 กระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กลาโหม มหาดไทย เกษตร ฯลฯ ว่ามีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่เท่าใด ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ มีเท่าไรที่สามารถนำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและพัฒนาชนบทด้วย”

นายพิธากล่าวต่อว่า “ในส่วนของหนองวัวซอ เป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายๆ กันทั่วประเทศ กล่าวคือ พื้นที่หนองวัวซอมีที่ดินที่ทหารครอบครอง 39,235 ไร่ พื้นที่ที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการซึ่งซ้อนทับกับที่ดินของประชาชนมีอยู่ 9,255 ไร่ มีประชาชนใช้ประโยชน์อยู่ 1,597 ราย พื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ประชาชนคัดค้านการเป็นที่ดินของทหารมาตลอด เรียกร้องการพิสูจน์สิทธิ์มาตลอด แต่ไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จากรัฐ จากการขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จนต่อมากลายเป็นที่ดินราชพัสดุในความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง”

ทั้งนี้ ที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งถือครองโดยกองทัพ ทั้งที่ที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของรัฐที่ควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่กระทรวงการคลังต้องการให้ประชาชนเช่าที่ดินเพียง 3 ปี ซึ่งตนมองว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคง เกษตรกรไม่สามารถวางแผนเพาะปลูก หรือผู้เช่าที่ดินไม่สามารถวางแผนจัดการที่ดินของตนได้ เมื่อเทียบกับการที่รัฐอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังมากถึง 99 ปี

"หากต้องการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไม่มีประเทศพัฒนาแล้วที่ไหนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินมากถึง 60% ดังนั้นกลับไปที่หลักการเดิม ที่ประชาชนควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และรัฐบาลควรจะใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมจริง ๆ" พิธากล่าว

ล่าสุด นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ ‘ถึงแก่น Live’ ก็ได่ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีที่นายพิธา วิพากษ์โครงการหนองวัวซอโมเดล อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยระบุในบางช่วงบางตอนของรายการว่า…

“การที่คุณพิธาพูดว่า ให้ชาวบ้านเช่าแค่ 3 ปี ไม่มีหลักประกัน พูดแบบนี้คือ คนที่ไม่เคยเช่าที่ราชพัสดุ...บ้านผม ชุมชนบ้านครัวเขตปทุมวัน กลางกรุงเลย ก็เช่าที่ราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ มาตั้งแต่รุ่นทวด จนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาก็ต่อให้ทุกปี คนถือสิทธ์เสียชีวิต ทายาทก็ไปทำเรื่องเช่าต่อมาแบบนี้”

‘พิธา’ เปิดใจเศร้า อภิปราย ม.152 อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง

(5 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายปิดเป็นคนสุดท้าย ว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจเล็กน้อยว่า ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ตนไม่เคยเสียใจเลยที่ตนไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ตนจะชนะเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ก็ไม่ได้น้อยไปกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่มาเป็นฝ่ายค้าน เพราะตนก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่รัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านแทน Active แค่ไหน

“ผมไม่เคยเสียใจด้วยว่าอธิปอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป อย่างที่ได้เห็นเพื่อน สส. ข้าง ๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคของผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย จริง ๆ รับฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาที่ประเทศไทยต้องเสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายคะแนนเสียงที่เคยให้ไป ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคของท่าน แต่มาถึงวันนี้ ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ผมฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ได้ทำ…จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ผลงาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ส่วน คือ สรุป สะสาง และเสนอแนะ ส่วนแรกเป็นการสรุป ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ 8 ฮับของรัฐบาล คือ ความมืด 8 ด้านของประชาชน Ignite Thailand จะเป็น Darkness Thailand

“มืดเรื่องปากท้อง มืดเรื่องส่วย มืดผูกขาด มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ มืดปฏิรูปของไทย มืดมนคุณภาพชีวิต มืดกระบวนการยุติธรรม ประชาชนคนไทยตอนนี้มืด 8 ด้าน ที่ทั้งล้มเหลว ล่าช้า และละเลย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกว่าในสภามีการอภิปรายไปหมดแล้ว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ยังถกกันไม่ตกผลึก และยังไม่เห็นภาพชัดเจน คือ เครื่องมือในการปฏิรูปกองทัพ นายกรัฐมนตรีบอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ตอนก่อนเลือกตั้งท่านพูดอีกอย่าง ตอนหลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง

นายพิธา อ่านนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย แล้วกล่าวว่าตอนดีเบต นายกรัฐมนตรีก็พูดคล้ายนโยบายพรรคก้าวไกล และมาบอกว่าตนพูดเรื่องเดิมบ้าง ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการในการที่จะปฏิรูปไม่ต้องเอาแบบก้าวร้าว ต้องใช้ความนุ่มนวล ที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงมา ตนว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดแบบนี้ตอนก่อนเลือกตั้ง

“ผมก็เลยงงว่าไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังรู้สึกว่างง เช่น เรื่องไอโอ ก็เดี๋ยวจะพิสูจน์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าใครกันแน่ที่มอมเมาประชาชน หากท่านยังไม่รู้ ผมขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ทำรายงานตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยทหารไทย นอกจากนี้ ยังมีของสำนักข่าวรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต อยากให้ไปศึกษาเผื่อจะหาคำตอบได้ก่อนสิ้นปี ว่า ใครเป็นคนทำไอโอ มอมเมาประชาชน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่างงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธในจุดยืนของพรรคก้าวไกล มีการยกคำกล่าวจะเอาเรือประมงไปรบ ตนเดาเอาว่านายกรัฐมนตรีอาจหมายถึงตน เนื่องจากตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ในรายการดีเบตของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

“เรื่องแบบนี้มันพัฒนาไปเยอะ มีการใช้เรือประมงมาดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ...เทคนิคในการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเยอะ มันมีประเทศบางประเทศเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่มีเรือเป็น 20,000 ลำ ที่ใช้เรือประมงผสมกับเรือรบ ที่ไม่ได้ใช้อาวุธตามปกติ จะได้เข้าใจตรงกันและจะได้เลิกล้อผมสักที” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ย้ำถึงเรื่องเรือฟริเกต ว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นได้ แบบไม่ได้เบียดเบียนภาษีของประชาชนมากเกินไป ทำให้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ด้วย ดังนั้นในเมื่อเข้าเงื่อนไขแบบนี้ตนก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร หวังว่านายกรัฐมนตรีจะหายงง

“ตอนที่มีเลือกตั้ง ไม่ได้เจอนายกฯ สักเท่าไหร่ในเวทีดีเบต เจอแต่หัวหน้าท่าน ทำให้ไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องนี้” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวถึงเรื่องสะสาง ตนพอจะจับทางนายกรัฐมนตรีได้แล้ว โดยจับคำพูดได้คำหนึ่งว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้เป็นแสงสว่าง ไม่อยากเน้นเรื่องปัญหา แต่ในความเป็นจริงข้อเท็จจริง ไม่ได้มีแต่เรื่องบวก ประเทศมีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องความท้าทาย รวมไปถึงโอกาส คนที่จะเป็นผู้นำได้ ถ้าโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ก็จะเกาไม่ถูกที่คัน วินิจฉัยผิดตลอดเวลา เวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเลขมาพูดในสภา จะเน้นเอาตัวเลขที่พวกเป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ไม่มีบริบท ไม่ครบถ้วน เป็นเหรียญด้านเดียว

ช่วงนี้ นายพิธา ขอประท้วงประธานว่า ให้ตรวจสอบว่าสไลด์ของตนรั่วไหลหรือไม่ เพราะก่อนหน้าตนอภิปราย มีรัฐมนตรีลุกชี้แจงได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าตนจะอธิบายเรื่องนี้ ขนาด สส. ยังไม่เห็นรู้เลย

ก่อนจะไล่เรียงต่อว่า เรื่องภาคส่วนการผลิต นายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า สึนามิเหตุการณ์ลงทุน ตนก็ดีใจว่าไม่ใช้คำว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีตแล้ว แต่สึนามิมันทำลายล้างทุกอย่าง ตนกังวลว่าสึนามิของการลงทุนจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนกับ BOI จะเห็นได้ว่ามาจากประเทศจีน รถ EV มากขึ้น แล้วรถสันดาปที่อยู่ในประเทศไทยจะจัดการอย่างไร นายกรัฐมนตรีได้คิดหรือยัง

ส่วนภาคส่วนการลงทุน นายกรัฐมนตรี บอกว่า โตขึ้น 2.5 เท่าในไตรมาสที่ 4 ก็เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องดี แต่ประเด็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ประเทศไทยตอนนี้เป็นอันดับ 6 นำอยู่แค่กัมพูชา ลาว เมียนมา 2 ปีซ้อน อย่าเพิ่งดีใจ ทุกประเทศเพิ่มขึ้นหมด ส่วนการบริการ จะมีประโยชน์อะไรถ้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมายิ่งใหญ่มโหฬร แต่โฟกัส 80% อยู่แค่ 5 จังหวัด เราไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่ทำให้คนเขาอยากจะไปให้มากกว่าแค่ 5 จังหวัด ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มขึ้น

นายพิธา กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะตอบโต้ แทนที่จะเป็นการตอบสนอง ซึ่งไม่ใช่การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากนี้ ต้องเร่งสางปมตำรวจด้วย

“เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองทะเลาะกัน ท่านเป็นผู้สั่งพักงานทั้งคู่ ท่านจะทำอย่างไร เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมาเลยประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง”

โดยในช่วงท้าย นายพิธา ได้กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล 3 ข้อ คือ 

1. ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวการณ์ผู้นำของรัฐบาล ตนคืดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม.ได้แล้ว เอาคนให้ตรงกับงาน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะทำงานมา 7 เดือน พอที่จะเห็นภาพ ว่าใครมีประสิทธิภาพ ใครรู้จริงในเรื่องที่ทำอยู่ 

2. ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจะมีโรดแมป ในสิ่งที่จะทำได้แล้ว 

3. การฟัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 เพื่อที่จะตอบสนอง ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือเสียงที่ประเสริฐที่สุด

จากนั้น เวลา 02.03 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ได้กล่าวขอขอบคุณประธานและสมาชิกที่ได้ร่วมอภิปราย ตามมาตรา 152 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำหน้าที่ สส.ตามรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการรัฐสภาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะได้นำข้อห่วงใยเหล่านั้นไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกและวิปทั้ง 2 ฝ่าย และได้สรุปผลงานสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 2566 - 9 เม.ย. 2567

จากนั้นได้อ่านพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม และสั่งปิดการประชุมในเวลา 02.15 น. รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น จำนวนกว่า 36 ชั่วโมง

‘รองอ๋อง-วิโรจน์’ ชี้อาจเป็นประชุมสภาครั้งสุดท้าย ลั่น!! ขอทำในสิ่งที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง

จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าตลอด 7 เดือนไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ชนะเลือกตั้งสามารถรวบรวมได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน ทั้งไม่เสียใจที่การอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ชีวิตทางการเมืองแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป และหากพรรคก้าวไกลจะถูกยุบก็ไม่เสียใจ เพราะอาจจะทำให้ถึงเส้นชัยเร็วขึ้นนั้น

ล่าสุด (5 เม.ย. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ได้โพสต์ภาพการอภิปรายของนายพิธา พร้อมเขียนข้อความภาษาอังกฤษผ่านแพลตฟอร์ม  X ระบุว่า “It might be the last day!! #ประชุมสภา”

ซึ่งแปลได้ว่า “อาจจะเป็นวันสุดท้าย”

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้แชร์โพสต์ของนายปดิพัทธ์ พร้อมเขียนข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ผมเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมกันทำในสิ่งที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป กันเถอะครับ”

ทั้งนี้ทั้งนายพิธา หมออ๋อง และนายวิโรจน์ ร่วมอยู่ใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top