Friday, 17 May 2024
ประท้วง

แฉยับ!! เบื้องหลังบริษัทน้ำมัน 'สหรัฐฯ - ยุโรป' โกยกำไรงาม จากสัมปทานน้ำมันของ รบ.เมียนมา

หลังจากเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 66 ที่เป็นวันครบรอบ 2 ปีเหตุการณ์รัฐประหารในพม่า ก็ได้มีการสรุปรายงานโดยเจ้าหน้าที่พิเศษขององค์การสหประชาชาติ ว่าตั้งแต่ที่มีการยึดอำนาจโดย นายพล มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารคนปัจจุบันเป็นต้นมา มีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,490 ราย โดยในจำนวนนั้น มีทั้งเด็กและเยาวชน กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพลเรือนพม่ามากมาย

ในขณะที่ทั่วโลกร่วมกันประณาม และคว่ำบาตรรัฐบาลพม่า แต่กลับมีการนำเสนอเอกสารลับ โดยกลุ่ม Distributed Denial of Secrets กลุ่มนักเคลื่อนไหวในพม่า Justice For Myanmar ร่วมกับสำนักข่าวชื่อดัง  Finance Uncovered และ The Guardian ซึ่งพบหลักฐานการเสียภาษีจำนวนมหาศาลของกลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของทั้ง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และ ไอร์แลนด์ ที่ได้ผลประโยชน์จากสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในแหล่งก๊าซธรรมชาติของพม่า ที่บ่งชี้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังสามารถแสวงหาผลกำไรมหาศาล แม้จะเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าไปแล้วก็ตาม

เอกสารลับนี้ ยังชี้ว่า บริษัทนัำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาบางแห่ง ยังคงดำเนินกิจการในบริษัทสาขาของตนในพม่าตามปกติ แม้จะมีคำเตือนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ถึงความเสี่ยงในการทำธุรกิจภายใต้สถานการณ์การเมืองในพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำธุรกิจร่วมกับ บริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของเมียนมา (MOGE) ที่เป็นแหล่งเงินทุนหลักของรัฐบาลทหารพม่า 

เมื่อปรากฏหลักฐานว่ายังมีบริษัทน้ำมันจากชาติมหาอำนาจ ที่ยังมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่าเช่นนี้ ทางสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา จึงได้ออกมาแก้เกี้ยวด้วยการประกาศมาตรการคว่ำบาตรพม่าเพิ่ม รวมถึงคณะผู้บริหารระดับสูงของ MOGE ด้วย 

แต่กลับเลือกที่จะเลี่ยง ไม่ยอมคว่ำบาตร MOGE ทุกองค์กรทั้งระบบ ซึ่งยังเปิดช่องให้กิจการเอกชนสามารถทำธุรกิจร่วมกับ MOGE ได้อยู่ ซึ่งตรงข้ามกับทางกลุ่มสหภาพยุโรป ที่ได้ออกมาประกาศคว่ำบาตร MOGE ทั้งองค์กรแล้ว ในประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในพม่า และมีการห้ามบริษัทเอกชนในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปทำธุรกิจร่วมกับ MOGE ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อมก็ตาม

ทั้งนี้ ในเอกสารด้านภาษีที่หลุดออกมามีระบุรายชื่อบริษัทน้ำมันเอกชนของชาติตะวันตกที่ยังร่วมสัมปทานใน MOGE ดังนี้...

- Halliburton บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกัน ที่เปิดสาขาในสิงคโปร์ แจงผลกำไรก่อนเสียภาษีในไตรมาศที่ 3 ของปี พ.ศ. 2564 รวมผลประกอบการ 8 เดือนหลังเหตุการณ์รัฐประหาร ที่ 6.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 207 ล้านบาท)  

- Baker Hughes บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกัน ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมือง ฮูสตัน รัฐเท็กซัส และเปิดสำนักงานในเมืองย่างกุ้ง มีผลกำไรก่อนภาษี ตลอด 6 เดือนจนถึงมีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ 2.64 ล้านดอลลลาร์ (ประมาณ 87 ล้านบาท)

‘พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3’ ยกเลิกแผนการเยือนฝรั่งเศส แผนสุดแสบจากผู้ประท้วง ที่ทำ ‘ผู้นำ-รัฐบาล’ หน้าแหก

(25 มี.ค.66) ในที่สุด ‘เอ็มมานูเอล มาครง’ ผู้นำฝรั่งเศส ก็ต้องยอมถอย เมื่อประเมินสถานการณ์ความรุนแรงจากการประท้วงของกลุ่มสหภาพแรงงาน ที่ออกมาต่อต้านกฎหมายระบบบำนาญใหม่ของเขาอย่างไม่ยอมถอย และสร้างความปั่นป่วนไปทั่วกรุงปารีส และเมืองใหญ่ทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ 
.
แต่ที่ว่าถอย ไม่ได้หมายถึงยอมถอดกฎหมายบำนาญฉบับใหม่ แต่เป็นการพูดคุยกับฝ่ายสำนักพระราชวังบักกิงแฮมแห่งอังกฤษ เพื่อขอยกเลิกหมายกำหนดการเยือนฝรั่งเศสของ ‘สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3’ พร้อมด้วย ‘สมเด็จพระราชินีคามิลลา’ ที่จะเป็นการเสด็จเยือนฝรั่งเศสครั้งแรกในสมัยของพระองค์
.
และก็เป็นไปตามที่คาด การเสด็จเยือนฝรั่งเศสของพระองค์จำเป็นต้องเลื่อนไปก่อน หากแต่หมายกำหนดการเดินทางเยือนเยอรมนียังคงไว้ตามเดิม ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลให้ทั้ง เอ็มมานูเอล มาครง และรัฐบาลฝรั่งเศสเสียหน้าไม่น้อยเลย โดยทำได้แต่กล่าวปลอบใจตัวเองออกสื่อว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และยังเป็นมิตรภาพกันเสมอ
.
ก็อย่างว่า รัฐบาลฝรั่งเศส จะต้อนรับบุคคลระดับประมุขแห่งรัฐที่มาเยือนได้ยังไงในนาทีนี้ หากยังมีการประท้วงกันอย่างดุเดือดทั่วประเทศ แถมท้องถนนในกรุงปารีสตอนนี้ยิ่งกว่าเละเทะ ขยะเต็มเมือง ซากรถยนต์ถูกทุบ ถูกเผาไม่เว้นแต่ละวัน ไม่นับการเดินขบวนประท้วง ปะทะกับเจ้าหน้าที่แบบไม่ลดราวาศอก

อันที่จริง ไอเดียแสบทรวงเรื่องการประท้วงนี่ ไม่ได้เกิดขึ้นแบบบังเอิญต่อข้อเรียกร้องเรื่องกฎหมายระบบบำนาญใหม่แบบไร้เชิง แต่ต้องยกให้หัวคิดคนฝรั่งเศสที่มีเป้าหมายใช้การประท้วงมามีส่วนล้มหมายกำหนดการเยือนฝรั่งเศสของกษัตริย์อังกฤษมาตั้งแต่แรก เพื่อฉีกหน้ามาครง 

โดยเริ่มจากการข่มขู่ ให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 อย่าเข้าใกล้พระราชวังแวร์ซายส์ ถ้าไม่อยากเจอดี ซึ่งมีการเขียนกำแพงด้วยข้อความว่า “พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ท่านรู้จัก ‘กิโยติน’ หรือไม่?” และยังลากเครื่องประหารกิโยตินจำลองมาวางไว้หน้าวังแวร์ซายส์ ที่ตั้งใจจะสื่อว่าเอาไว้สำเร็จโทษพระเจ้ามาครง (ซึ่งมาครงถูกเปรียบเทียบกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่โดนสำเร็จโทษด้วยกิโยตินในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส)

และด้วยมุกกิโนติน ทีเล่น ทีจริง ที่บริเวณหน้าวังแวร์ซายส์นี่เอง ที่ทำให้ทางการฝรั่งเศสต้องยกเลิกงานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์รับเสด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และราชินีคามิลล่า เพราะไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าวันงานจริง ผู้ประท้วงจะยกทัพใหญ่มา ละลาบ ละล้วง จาบจ้วงอะไรบ้าง

นอกจากนี้ หากมองข้ามไปถึงแผนการเสด็จเยือนเมือง Bordeaux ที่เป็นแหล่งผลิตไวน์ชื่อดังในฝรั่งเศส และจะประทับรถรางของเมืองด้วยนั้น ก็ปรากฏว่า พนักงานรถรางประท้วงหยุดงาน ไม่ยอมวิ่งรถรางให้ด้วย และล่าสุดอาคารศาลาว่าการเมือง Bordeaux ก็ถูกผู้ประท้วงจุดไฟเผาไปเรียบร้อยแล้ว

เหล่านี้ จึงแลดูสมควรแก่เหตุให้ยกเลิกแผนการเสด็จเยือนฝรั่งเศส

แน่นอนว่า แม้ที่ฝรั่งเศสจะมีเหตุประท้วงกันบ่อย แต่การประท้วงของกลุ่มสหภาพแรงงานในตอนนี้ อยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่ากลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองที่มาครงเคยเจอเมื่อ 3 ปีที่แล้วอย่างมาก และเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลาย 10 ปีของฝรั่งเศส ที่ตอนนี้มีผู้บาดเจ็บ ทั้งผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่เกือบ 200 คน รวมถึงมีผู้ประท้วงถูกจับกุมไปแล้วกว่า 400 คน

ตอนนี้ มาครง ยังคงใจดีสู้เสือ กล่าวว่าการประท้วงยังอยู่ในระดับ ‘ควบคุมได้’ และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จะเสด็จมาเยือนอีกครั้งในช่วงฤดูร้อนหน้าแน่นอน 


ที่มา : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/100027974785452/posts/pfbid0VGUXqnW8Evp8DTdJNWnPtCs6kcQXGW2s2BLSzZUpejiLx8BfaeGY3hWr7TyXKfsjl/?mibextid=Nif5oz

อ้างอิง : https://www.france24.com/en/live-news/20230324-%F0%9F%94%B4-britain-s-king-charles-iii-s-state-visit-to-france-postponed

https://www.france24.com/en/europe/20230322-king-charles-set-to-face-strikes-and-disruption-in-france-on-first-foreign-visit

https://guernseypress.com/news/world-news/2023/03/24/macron-says-common-sense-meant-delaying-king-charless-visit/

https://www.telegraph.co.uk/world-news/2023/03/24/king-charles-state-banquet-move-versaille-louvre-elysee-aids/

https://www.bbc.com/news/world-europe-65057249

https://www.dailymail.co.uk/news/article-11880903/French-politicians-receive-GUILLOTINE-death-threats-Macron-faces-vote-no-confidence-TODAY.html
 

‘ฝรั่งเศส’ ประท้วงเดือด ต้านการปฏิรูประบบรับเงินบำนาญ สู่ความรุนแรงถึงขั้น จุดไฟเผา-ขยะเกลื่อนเมือง

(25 มี.ค.66) การเสด็จเยือนฝรั่งเศสของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากประเทศเผชิญกับการประท้วงอย่างรุนแรงเป็นวงกว้างเกี่ยวกับการปฏิรูปเงินบำนาญ

ประชาชนชาวฝรั่งเศสจำนวนมากร่วมประท้วงรัฐบาลทั่วประเทศ เพราะไม่เห็นด้วยกับการปรับเกณฑ์อายุรับเงินบำนาญจากเดิม 62 ปี ขึ้นเป็น 64 ปี

พนักงานเก็บขยะที่ร่วมการประท้วงมาแล้วกว่าสองสัปดาห์ในหลายเมือง ทำให้ในหลายเมืองต้องเผชิญกับปัญหาขยะคงค้างกองโต อย่างในกรุงปารีส จะพบเห็นกองขยะจำนวนหลายพันตันที่ถูกทิ้งไว้กลางถนน

‘นพ.รุ่งเรือง’ ขึ้นศาล จ.นนทบุรี เอาผิดคนป่วน กระทรวงสาธารณสุข ทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า

เพจเฟซบุ๊ก โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ ข้อความเกี่ยวกับที่  นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง ได้ไปขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อเอาผิดกับคนที่มาป่วนกระทรวงสาธารณสุข และทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า โดยมีใจความว่า ...

ไม่มีใครอยากจะขึ้นศาลหรือเป็นคดีความ 

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (15 มิถุนายน 2566) หมอมาขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี ในคดีที่มีกลุ่มคนมาทำลายพระบรมรูปอนุสาวรีย์ สมเด็จพระราชบิดา สมเด็จย่า กรมหลวงชัยนาทนเรนทร ด้วยการสาดสีแดง เอาเชือกดึงอนุสาวรีย์ท่านให้พังลงมา  และท่านเป็นศูนย์รวมดวงใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคน นอกจากนี้กลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน และมีแกนนำ รวมถึงกลุ่มคนที่จัดตั้งขึ้นได้มาประท้วงทำลายข้าวของ ทำลายสถานที่กระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสาดสีแดง

ในวันนั้น หมอออกไปรับม็อบพยายามเจรจาด้วยสันติวิธีแต่ไม่เป็นผล กลุ่มบุคคลดังกล่าวทั้งด่ากระทรวงสาธารณสุข ด่าผู้บริหารระดับสูง โจมตีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงพี่น้องประชาชนให้หลงเชื่อ รวมถึงใช้คำหยาบคาย ด่าบิดามารดาของหมอ ด้วยคำหยาบคายมากๆ เช่น อวัยวะเพศ ซึ่งคดีดังกล่าว หมอได้ติดตามทำงานร่วมกับตำรวจ จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด และส่งฟ้องศาล เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน และพี่น้องประชาชน 

ในตอนนี้ สามารถบังคับใช้กฎหมายจนผู้กระทำผิดถูกลงโทษ (น่าจะถึงขั้น “จำคุก”) แม้ว่าจะเหนื่อยมากๆ นับตั้งแต่วันที่เริ่มรวบรวมพยานหลักฐาน ตามจับกุมผู้ต้องหา จนถึงส่งฟ้องศาล แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรปล่อยให้คนผิดลอยนวล ต่อไปจะเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไรหมอขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยให้กับทางกระทรวงสาธารณสุข จนถูกทำร้ายร่างกายไปด้วย จนถึงการทำงานอย่างจริงจังของตำรวจ การรวบรวมพยานหลักฐาน และจับตัวผู้กระทำผิดส่งฟ้องศาลจนศาลลงโทษผู้กระทำผิด

แต่สำหรับหมอแล้ว การปราบคนพาล อภิบาลคนดี ดูแลส่งเสริมคนดี และอย่าให้คนชั่ว คนพาล มีอำนาจหรือลอยนวลจากการกระทำความผิดเป็นเรื่องที่ระลึกและต่อสู้มาโดยตลอดชีวิตข้าราชการตั้งแต่เป็นตำรวจจนมาเป็นหมอในปัจจุบัน ครับ

หมออยากฝากถึงทุกๆ ท่าน ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หมอยึดมั่นปฏิบัติเสมอมา พระองค์ทรงพระราชทานไว้ว่า 

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”

‘สนธิ’ แจง ปฏิบัติการ 10 ข้อ เพื่อนำไปสู่ การแบ่งแยกดินแดน ยกตัวอย่างการประท้วงในฮ่องกง สู่การพยายามเปลี่ยนแปลงใน ‘ปาตานี’ 

นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ก่อตั้งในเครือผู้จัดการ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้จัดรายการ สนธิทอล์ค เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2566 เล่าถึง การพยายามแบ่งแยกดินแดนของ ‘ปาตานี’ ยกตัวอย่างอ้างอิงจาก ฮ่องกงโมเดล โดยนายสนธิ ได้เล่าว่า ...

ฮ่องกงโมเดล คือตัวอย่างที่บุคคลบางกลุ่ม สมคบคิดกับคนต่างชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการปกครองเป็นการขายชาติ แต่ชูป้ายว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งถึงณปัจจุบันนี้ ฮ่องกงโมเดลได้อวสานไปแล้ว เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง เป็นเหตุให้ประเทศเจ้าแห่งอาณานิคม จำเป็นต้องย้ายฐานปฏิบัติการจะให้บุคลากรต่างๆ มาที่ประเทศไทย เพื่อจะผลักดันปาตานีโมเดล เพื่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของไทย ซึ่งเนื้อหาในการปฏิบัติการเพื่อแบ่งแยกดินแดนนั้นสรุปได้ 10 ประการดังนี้

ข้อที่ 1 เขียนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ให้แตกต่างกัน เพื่อเป็นการแบ่งแยกผู้คนออกจากกัน ใช้วัฒนธรรมมาอ้างเพื่อแบ่งแยกทางอัตลักษณ์

ข้อที่ 2 อ้างค่านิยมสากล สร้างความเชื่อว่า เป็นค่านิยมที่ต้องยึดถือเช่น ประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม

ข้อที่ 3 สร้างประวัติศาสตร์ว่าถูกกดขี่ ไม่เท่าเทียม

ข้อที่ 4 เรียกร้องโดยไม่สนใจหลักการใดๆทั้งสิ้น

ข้อที่ 5 ขยายผลจากการขับไล่ผู้นำไปสู่การเรียกร้องเอกราช

ข้อที่ 6 สร้างแนวร่วมนักการเมือง NGO สื่อมวลชน

ข้อที่ 7 การสร้างฮีโร่ในการเคลื่อนไหว ฮีโร่ผู้กล้าหาญที่จะท้าทายผู้มีอำนาจ เหมือนกับเพนกวินเหมือนกับรุ้ง แล้วลงไปสู่ในระดับเด็ก อย่างตะวัน หรือหยกและอีกหลายๆคน ยิ่งถ้าเป็นเด็กก็ยิ่งดีถ้าถูกมาตรการปราบปรามจากภาครัฐก็จะมองได้ว่าเป็นการที่ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เป็นสงครามระหว่างรุ่นสร้างกระแสได้ว่าให้มันจบที่รุ่นเรา

ข้อที่ 8 มีการสร้างสัญลักษณ์ร่วม เพื่อให้สื่อมวลชนและสังคมจดจำได้อย่างง่ายดาย เช่นสีเสื้อ การสวมเสื้อสีดำการกางร่มสีเหลือง การปฏิวัติร่มในประเทศฮ่องกง การใช้สัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว

ข้อที่ 9 การสร้างเครือข่ายเคลื่อนไหวในระดับสากล การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันมิได้กำหนดจำกัดอยู่แค่ภายในประเทศของตัวเองเท่านั้น แต่ประเทศที่หนุนหลังนั้นก็ได้ขยายการเคลื่อนไหวไปสู่ประเทศอื่นๆด้วย โดยอ้างพาราดอนภาพหรือความเป็นพี่เป็นน้องกัน

ข้อที่ 10 สร้างความชอบธรรมโดยการสนับสนุนของต่างชาติ เป็นการเปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในการภายในของประเทศ

‘ฝรั่งเศส’ ปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง ก่อจลาจลเผาเมืองปารีส จากกรณีตำรวจยิงเด็กวัยรุ่น 17 ปี เสียชีวิตคาด่านตรวจ

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ตำรวจปราบจลาจลในฝรั่งเศสกว่า 2000 นาย ออกปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงในกรุงปารีสจำนวนมาก ที่ออกมาประท้วงหนักในกรณีที่ตำรวจฝรั่งเศสยิงวัยรุ่นชายวัย 17 ปีเสียชีวิตในบริเวณด่านตรวจ

การประท้วงได้ยกระดับไปสู่ความรุนแรง มีการจุดไฟเผากองขยะ รถยนต์ข้างทาง อาคารสาธารณะ สถานีตำรวจ และยังทำลายทรัพย์สินราชการเป็นจำนวนมาก ติดต่อกันเป็นคืนที่ 2 แล้ว อีกทั้งมีการปะทะกันระหว่างตำรวจปราบปรามที่ใช้แก๊สน้ำตา และกลุ่มผู้ประท้วงที่ยิงพลุไฟ และขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ ล่าสุดมีผู้ประท้วงถูกจับกุมตัวแล้วไม่ต่ำกว่า 150 ราย

‘เจอราลด์ ดาร์มานิน’ รัฐมนตรีมหาดไทยของฝรั่งเศส กล่าวถึงเหตุความไม่สงบในกรุงปารีสเมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาว่า “เป็นความรุนแรงที่แสดงออกถึงการต่อต้านสัญลักษณ์ของระบอบสาธารณรัฐ ที่ไม่สามารถรับได้อีกต่อไป ศาลาว่าการเมืองต่างๆ โรงเรียน และสถานีตำรวจหลายแห่งถูกเผา และทำลาย ซึ่งเราได้จับกุมคนก่อเหตุได้ราว 150 คน”

รัฐมนตรีมหาดไทยยังกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ, ทหาร และหน่วยดับเพลิง ที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์รุนแรงด้วยความกล้าหาญ อีกทั้ง ยังประนามกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรงว่า ‘ไร้ยางอาย และปราศจากความยั้งคิด’

สาเหตุที่จุดกระแสการประท้วงในหลายเมืองของฝรั่งเศส เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (27 มิ.ย. 66) ที่เขตนองแตร์ ชานกรุงปารีส เมื่อตำรวจฝรั่งเศสได้เรียกหยุดรถคันหนึ่งเพื่อตรวจค้น โดยตำรวจอ้างว่า มีการขัดขืนและพยายามจะขับรถชนเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องยิงเพื่อป้องกันตัว ทำให้ ‘Nahel M’ วัยรุ่นชายวัย 17 ปี ถูกยิงเข้าบริเวณทรวงอกในระยะเผาขนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งข้อเท็จจริงขัดกับภาพจากกล้องวงจรปิด ที่คนขับได้หยุดรถแล้ว และตำรวจยืนในตำแหน่งด้านข้างรถ และใช้ปืนจ่อเข้าไปในรถ

เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ชุมชนกลุ่มน้อยในฝรั่งเศส ที่เชื่อว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐ และการตัดสินใจใช้ความรุนแรงของตำรวจฝรั่งเศส ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตในกรณีคล้ายกับ Nahel M มาแล้วถึง 13 ราย

‘เอมานูเอล มาครง’ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของ Nahel M และยังกล่าวว่า “ประเทศเรามีเยาวชนคนหนึ่งถูกสังหาร ด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถอธิบายได้ และให้อภัยไม่ได้เช่นกัน และสั่งให้มีการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด”

ด้านครอบครัวของวัยรุ่นชายผู้เสียชีวิต เรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสออกมาเดินขบวนประท้วง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบุตรชาย แต่สุดท้ายกลายเป็นเหตุบานปลายที่มีการเผาทำลายอาคาร ทรัพย์สินราชการในหลายเมือง ทั้งกรุงปารีส เมืองตูลูซ ดีฌง และลียง จนทางการฝรั่งเศสต้องส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมสถานการณ์ และจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้เป็นจำนวนมาก

เรื่องคดีความของวัยรุ่น 17 ปี ก็เรื่องหนึ่ง แต่การใช้ความรุนแรงจนเกือบจะเผาบ้าน เผาเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่สามารถเอามาเฉลี่ยกันได้ เพราะสังคมไม่อาจสงบได้หากเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์
 

การเผชิญหน้า 'จลาจล-ประท้วง-เสรีภาพ' ของผู้นำหนุ่ม ในยุค 'วิกฤติเศรษฐกิจ-โซเชียลกำหนดวิธีคิด' ให้ผู้คนลุกฮือ

ไม่นานมานี้ YouTube ช่อง 'Kim Property Live' ได้โพสต์คลิป เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ การประท้วง การจลาจล ในประเทศฝรั่งเศส โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ...

วันนี้จะมาชวนคุยเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส การประท้วง การจลาจล การต่อต้านและความไม่สงบ ภายใต้บริบทของประเทศคิดที่มีความหลากหลาย และสร้างสรรค์ รวมทั้งเป็นเจ้าของแบรนด์หรู ต่างๆ มากมาย ซึ่งวันนี้ต้องเผชิญความท้าทายจากอำนาจของประชาชนภายใต้อิทธิพลสื่อที่ผู้นำหนุ่มแห่งฝรั่งเศสกำลังปวดหัว

โดยเราต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับรากเหง้าและวัฒนธรรมการประท้วงของฝรั่งเศสกันก่อน ประเทศของเขามีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปีค.ศ 1789 ซึ่งเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศส และนี่ก็คือเอกลักษณ์ของทางประเทศฝรั่งเศส ที่เกี่ยวกับ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ประเทศฝรั่งเศสมีการนัดกันหยุดงานและประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพลักษณ์ของประชากรในฝรั่งเศสเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง และกล้าท้าทายต่ออำนาจ คนในฝรั่งเศสนั้นมีความรู้ มีการศึกษาค่อนข้างดี และก็ยังมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เยอะอีกด้วย อีกทั้งทางด้านสหภาพแรงงานก็เข้มแข็ง ทำให้เกิดการประท้วง ทั้งในฝั่งของคนทำงานและบริษัท จึงทำให้เราเห็นภาพที่วุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม ประเทศฝรั่งเศสนั้น ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีสินค้าแบรนด์ดัง แบรนด์หรูที่โด่งดังไปทั่วโลกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลุยส์วิตตอง Hermes Chanel ยิปแซง Peugeot ยางมิชลิน ห้างคาร์ฟูร์ เครื่องสำอางลอรีอัล Ibis axa แต่ก็แทบจะไร้ค่า เมื่อเทียบกับพลังของผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีคิดแห่งเสรีภาพค้ำชู

กลับมาพูดกัน ในปัจจุบันของฝรั่งเศส มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุการณ์มันลุกลามกันมาตั้งแต่ เหตุการณ์เสื้อกั๊กเหลือง ที่คนประท้วงกันในเรื่องของนโยบาย โลกร้อน ขึ้นภาษีน้ำมัน ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ที่นโยบายเอื้อไปทางคนที่ร่ำรวย เพราะว่าประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง มาจากสายของการเงินธุรกิจ 

นอกจากนี้ตัวเขาก็ยังมีแนวคิดที่จะเลื่อนการเกษียณออกไปอีก 2 ปี เนื่องด้วยระบบบำนาญของฝรั่งเศส ดูแลประชาชนไม่ไหวแล้วประชาชนเริ่มที่จะแก่มากขึ้น เงินที่เข้ามาก็น้อย ดอกเบี้ยก็ต่ำ พอยืดเวลาเกษียณออกไปก็ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ เกิดการหยุดทำงานการประท้วงไปทั่วฝรั่งเศส (สำหรับคนไทยนั้นอาจจะตกใจแต่สำหรับคนฝรั่งเศสการ Strike หยุดงานการเดินขบวนการประท้วงนั้น เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว)

ทว่า เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่มความร้อนแรงให้กับประเทศฝรั่งเศส ทั้งในเรื่องของการเมืองและเรื่องของสังคมนั่นก็คือ การที่ตำรวจท่านหนึ่ง ทำการวิสามัญวัยรุ่นอายุ 17 ปี ซึ่งน้องคนนี้ก็ได้มาจากแอฟริกาเหนือ (ก็ต้องบอกว่าในประเทศฝรั่งเศสนั้นมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติที่เยอะ มีผู้ที่อพยพเข้าเมืองมาเยอะ และถ้าดูจากแผนที่แล้วประเทศฝรั่งเศสนั้นจะอยู่ทางตอนบนของประเทศซีเรีย ตะวันออกกลาง) 

ฉะนั้นเมื่อมีผู้อพยพเข้ามากันเยอะ เพื่ออาศัยลี้ภัยสงคราม เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติก็เริ่มมีการก่อตัวให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้อพยพนั้นก็เติบโตขึ้นมากเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) พอมีเหตุการณ์การวิสามัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น ทำให้ความรุนแรงปะทุขึ้นมา มีคนยิงพลุใส่ตำรวจ เผารถยนต์ของตำรวจ โดยล่าสุดมีการจับกุมผู้ประท้วงไปแล้ว ประมาณ 1,100 คนจากทั่วประเทศ และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 40,000 คนได้เข้าควบคุมสถานการณ์ 

แน่นอนว่า การประท้วงในครั้งนี้ ได้ท้าทายอำนาจของประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ซึ่งก็ได้มีการเรียกประชุมฉุกเฉินและมีการขอให้ผู้ปกครองนั้นดูแลบุตรหลานให้ดี ให้อยู่กันแต่ในบ้าน ซึ่งทางฝ่ายค้าน ก็ได้ใส่ประธานาธิบดีมาครงทันทีว่าอ่อนแอ ควบคุมกฎหมายไม่ดีรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ไม่ได้

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ปวดหัวพอสมควร ปัญหาเก่าก็มีสะสมมาเยอะอยู่แล้ว ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นไปถึง 6% ตอนนี้ก็ได้ลงมาอยู่ราวๆ 5% แล้ว ส่วนตัวเลข GDP นั้นถึงแม้จะไม่ติดลบแต่ก็ถือว่าแทบจะไม่โตเลย ตัวเลขอยู่ที่ 0.9% เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง ประชาชนก็ย่อมจะมีความกดดันสูงอยู่แล้วและเมื่อมีเหตุการณ์ปะทุขึ้นมาอีก จุดเดือดนี้ ก็ได้แพร่ขยายออกไปได้ง่าย 

อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของท่านประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ได้มี Action ต่างๆ เพื่อจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรายได้ ค่าครองชีพ ได้มีการเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลกให้มาตั้งโรงงานที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะถ้าโรงงานการผลิตอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ก็จะเกิดการจ้างงานทำให้คนฝรั่งเศสนั้นมีงานทำเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งประธานาธิบดีมาครง ก็เคยจีบอีลอนมัสก์ ให้มาสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศฝรั่งเศส 

ขณะเดียวกัน ก็เคยชวนเจ้าสัวซีพีของไทยไปเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศส เพราะนโยบายหลักของประธานาธิบดีมาครงนั้น เน้นไปที่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศในทวีปยุโรปอยู่แล้วที่จะเน้นในเรื่องนี้ เขาไม่อยากจะซื้อพลังงานจากทางด้านประเทศรัสเซีย แต่การขึ้นภาษีดีเซลนั้นก็ยังติดขัดกับพวกเสื้อกั๊กเหลืองอยู่ คนฝรั่งเศสไม่เอาด้วย เพราะว่ามองว่าเป็นการรังแกคนที่จน คนทางภาคเกษตรกรรมนั้นใช้พลังงานดีเซลที่เยอะ แล้วต่อมาเหตุการณ์จลาจลในประเทศฝรั่งเศสนั้นก็ได้ลุกลามไปยังประเทศเบลเยียม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เกิดการปล้นในเมืองโลซาน โดยยึดประเทศฝรั่งเศสเหมือนโมเดลในการประท้วงการเรียกร้องประชาธิปไตย ประชาชนในหลายประเทศดูฝรั่งเศสเป็นตัวอย่าง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการประท้วงการจลาจลแบบนี้ มันก็ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจที่เปิดอยู่ก็ต้องปิดตัวลงไป จะทำการค้าการขายกันก็ไม่ได้ ทำให้เกิดการสูญเสีย ประมาณ 1 billion Euro หรือว่าประมาณ 1,000 ล้านยูโร ซึ่งก็คล้ายคลึงกับบ้านเราถ้าเกิดการประท้วงปิดห้างกันการค้าการขายระบบเศรษฐกิจของบ้านเราก็เสียหาย นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวเพราะว่าคนไม่กล้ามาท่องเที่ยวกัน ทำให้เกิดการกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของฝรั่งเศสมากขึ้นไปอีก เพราะฝรั่งเศสนั้นก็เป็นประเทศที่เน้นการท่องเที่ยว ของที่เป็นแบรนด์เนมของที่เป็นแฟชันสัญลักษณ์ของความหรูหรา จนรัฐบาลของฝรั่งเศสจะต้องมาการันตีให้ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

ถึงตรงนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีแนวคิดทางด้านการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มีความเข้มแข็งของประชาชน มีความเข้มแข็งของสหภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองค่อนข้างสูง แต่อีกด้านหนึ่งก็มักทำให้เกิดการประท้วงการจลาจล ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงหลัง Social Media ก็มีผลอย่างมากต่อการนำมาซึ่งความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนที่เดินขบวนกันแบบสันติ แต่ปัจจุบันก็ได้ รุนแรง จนเกินต้านจากการปลุกปั่นในออนไลน์

วงจรหายนะของ ‘ฝรั่งเศส’ ที่ฉุด ‘เศรษฐกิจ’ ให้ถดถอย หลังตัวจุดชนวน ‘การประท้วง’ ปะทุบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ติ๊กต็อกบัญชี ‘@spacebarmediath’ ซึ่งเป็นช่องที่ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับข่าวเศรษฐกิจ สำหรับ EP. นี้ จะเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสที่กําลังเดินวนอยู่ในวงจรหายนะ ยิ่งวนอยู่ในวงจรนี้นานเท่าไร เศรษฐกิจก็ยิ่งถดถอย แล้ววงจรนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ‘คุณทราย-โศธิดา โชติวิจิตร’ พิธีกรดำเนินรายการ ได้ออกมาอธิบายเอาไว้ว่า…

“1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คือ มูลค่าความเสียหายคร่าว ๆ เฉพาะภาคการท่องเที่ยวสําหรับการประท้วงฝรั่งเศสครั้งนี้ เพราะว่านักท่องเที่ยวต้อง ‘ยกเลิก’ ทริปการท่องเที่ยวทั้งหมด เพราะผู้ชุมนุมประท้วงได้ทุบทําลายและปล้นซูเปอร์มาร์เก็ตไปมากกว่า 250 แห่ง เผาธนาคารไป 250 แห่ง ทำลายร้านค้าเล็ก ๆ ไปอีก 250 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีรถยนต์ที่ถูกเผาไปรวมกันมากกว่า 5,000 คัน จากความเสียหายเหล่านี้ ทำให้มีตัวเลขที่จะออกมา ‘กดดันเศรษฐกิจ’ คือ ‘ค่าเคลมประกัน’ ที่ตอนนี้ยอดสูงถึง 305 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการเคลมประกันถึง 5,900 เคส 

จุดที่เป็นตัวกระตุ้นของการประท้วงครั้งนี้ เกิดจากที่ตํารวจไปยิงเด็กวัยรุ่นเสียชีวิตก็จริง แต่ความอัดอั้นทุกข์ทนที่ทําให้คนออกมาเผาบ้านเมืองตัวเองได้ขนาดนี้ มันเกิดจาก ‘ความยากจน’ ต่างหาก ซึ่งในประเทศฝรั่งเศส เด็ก ๆ ไม่มีบ้านอยู่กันมีมากกว่า 3 หมื่นคน และอาศัยอยู่ในสลัมอีกมากกว่า 9 พันคน รวมถึงทุก ๆ ปี จะมีเด็กมากกว่า 140,000 คน ต้องออกจากโรงเรียนเพราะว่า ‘ไม่มีเงิน’ สําหรับอัตราความยากจนของประเทศฝรั่งเศสตอนนี้พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มากถึง 15.6% นอกจากนี้ ความรุนแรงที่ตำรวจใช้ในการขับไล่คนไร้บ้านก็ยังถูกพาดหัวข่าวให้เห็นกันอยู่เสมอ

สําหรับตอนนี้ PMI Service Sector ที่ได้แก่ การท่องเที่ยว การขายส่ง แฟชัน ตกลงจาก 52.5 มาอยู่ที่ 48 ซึ่งถือว่าเยอะมาก ตั้งแต่เปิดโควิดเป็นต้นมา และ Service Sector นับเป็นอัตราส่วน 80% ของเศรษฐกิจประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเกิดความเสียหายมากที่สุดในตอนที่มีคนมาชุมนุมประท้วง เพราะว่าคนไม่มาเที่ยว คนไม่ซื้อของหรู ไม่ซื้อหลุยส์ วิตตอง ไม่ไปดินเนอร์หรู ไม่ไปปาร์ตี้บนเรือยอร์ช หรือไม่เช่ารถลีมูซีน

ซึ่งการประท้วงในฝรั่งเศสดูจะบ่อยมากขึ้น เพราะนอกจากครั้งนี้ หากย้อนกลับไปครั้งล่าสุดก็ 3 เดือนที่แล้วนี้เอง และถ้าย้อนกลับไปแค่ประมาณปีกว่า ๆ ก็คือภายในปี 2022 ฝรั่งเศสประท้วงมาแล้ว 4 ครั้ง 

หากมองเป็นภาพวงจร ก็คือ คนจน > โกรธ > ประท้วง > เศรษฐกิจเสียหาย > เงินก็ยิ่งน้อย > คนก็จนลงไปอีก ทีนี้จึงเกิดความรู้สึกโกรธ และก็เกิดการประท้วงวนลูปอยู่อย่างนี้ต่อไป ยิ่งวนเศรษฐกิจก็ยิ่งหดตัว 

ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสเองก็มีปัญหาใน ‘การใช้จ่าย’ คือ ใช้เงินเกินรายได้ และตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา รัฐบาลใช้จ่ายเงินเกินรายได้ไปเยอะมากมาโดยตลอด ส่วนอัตราภาษีตอนนี้ก็อยู่ที่ 45% แล้ว ถ้าจะไปขูดรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีประชาชน ก็คงดูจะทำได้ลําบากยิ่งขึ้น ทำให้ประธานาธิบดี ‘แอมานุแอล มาครง’ จึงต้องไปจีบทั้งจีนและบริดจ์ โดยที่ไม่สนใจการแตกแถวจากสหรัฐอเมริกา

แต่ประเทศฝรั่งเศสที่ปัจจุบันร่ำรวยเป็นอันดับ 7 ของโลกจะเดินออกมาจากวงจรแห่งความหายนะนี้ได้หรือไม่? เราก็คงทำได้แค่เอาใจช่วย

‘อี้ แทนคุณ’ ชมม็อบแปลอักษร ‘ค.ควาย’ สร้างสรรค์ ดีกว่าม็อบใช้ความรุนแรง - ทำลายทรัพย์สิน

(24 ก.ค. 66) นายแทนคุณ​ จิตต์​อิสระ ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธิ​ปัตย์​ และอดีต สส. กทม. กล่าว​ถึงการชุมนุม​​ของประชาชนที่สี่แยกอโศก​เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ได้มีโอกาส​ร่วมสังเกตการณ์​ด้วยตนเองบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส พบว่ามีประชาชน​เดินทาง​มาร่วมชุมนุมจำนวนมาก ส่วนใหญ่​ใส่เสื้อผ้าและมีเครื่องประดับทั้งสีดำและส้ม มีสัญลักษณ์​ของพรรคก้าวไกล​และป้ายข้อความ​การปราศรัย​โจมตี สว. ทั้งภาษาไทย​และภาษาอังกฤษ​ตลอดเวลา​ โดยไฮไลต์​อยู่​ที่ผู้​ชุมนุม​พร้อมใจกันแปรอักษร​เป็น​ตัว ‘ค.ควาย’ เต็มถนนบริเวณ​พื้นที่​ที่ชุมนุม ทำให้เกิด​เป็น​ปรากฏการณ์​ใหม่ที่ไม่เคยเกิดในการชุมนุม​ทางการเมือง​ของประเทศ​ไทย

“เชื่อว่าเกิดขึ้น​ด้วยความคิดสร้างสรรค์​ของแกนนอน คือ นายสมบัติ​ บุญ​งามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด นักกิจกรรม-​เคลื่อนไหว​ทางการเมือง​​ชื่อดัง ที่ออกแบบการชุมนุมในครั้งนี้โดยใช้สัญลักษณ์​สื่อความหมาย​สั้น กระชับ ตรง ทรงพลังและเป็​นที่จดจำ โดยเฉพาะ​ข้อสังเกต​คือ จากอักษร​ ‘ค.ควาย’ ที่มักถูกใช้ในการคอมเมนต์​ในโลกออนไลน์​กับความเห็นต่างเมื่อนำมาแปรอักษรเป็น ‘ค.ควาย’​ บนถนนก็แปลกตาดี โดยอยากสนับสนุน​ให้ใช้ความสร้างสรรค์​รูปแบบนี้ในทุก ๆ การชุมนุม ไม่ซับซ้อน​และตรงไปตรงมา​แสดงออกอย่างแบบสันติวิธี​นี้ ซึ่งย่อมดีกว่าการใช้ความรุนแรงและไปบุกรุกสถานที่ทำการของพรรคการเมื​องหนึ่งที่ทำลายบรรยากาศ​การหาทางออกของประเทศ​ที่กำลังเดินหน้าไปด้วยดี ทำลายทรัพย์สิน​ ทำลายความรู้สึก​ของประชาชนที่รอความหวังโดยกลุ่มการเมือง​หัวรุนแรงเดิม ที่มักใช้วิธีคุกคามคนอื่นด้วยวิธีป่าเถื่อน​เสมอ” นายแทนคุณ ระบุ

ท้ายนี้ยอมรับ​ว่าเป็นห่วงสุขภาพ​ของผู้ชุมนุม​ที่มีทั้งผู้สูงอายุ​ คนหนุ่มสาว เด็กเยาวชน​ที่เสียสละออกไปร่วมชุมนุม โดยอยากทางผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง​จัดสถานที่​การชุมนุม​ให้สอดคล้อง​กับสภาพภูมิอากาศ​ และรองรับผู้เข้าร่วม​ชุมนุม​และผู้ร่วมสังเกตการณ์​จำนวนมาก เพื่อความปลอดภัย​จากโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้น​อีกจากการรวมตัวใกล้ชิด​ด้วย

'ผบ.ตร.' เตือนม็อบทุกคนมีสิทธิชุมนุมได้ แต่ต้องอยู่ใต้กรอบ กม. ชี้!! การดูแลประชุมเอี่ยวตั้งรัฐบาลหนหน้า เข้มงวดมากขึ้น

(8 ส.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมไปทำกิจกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ว่า เท่าที่ได้รับรายงานกลุ่มทะลุวังที่ไปกระทรวงวัฒนธรรมผิดหลายข้อหา โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มาเป็นผู้กล่าวหาแล้ว ในเรื่องบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ซึ่งมีอัตราโทษสูง ตำรวจได้ดำเนินคดีอยู่ ได้ออกหมายเรียกและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.66) ทราบว่า จะมีการมากล่าวหาดำเนินคดีซึ่งข้อหาก็คงคล้าย ๆ กัน คือบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ใครที่เคยได้รับการประกันตัว หรือทำผิดซ้ำซากก็มีโอกาสที่จะถูกเพิกถอนประกัน จึงอยากจะเตือนว่าสิทธิการชุมนุม ทุกคนมีสิทธิที่จะชุมนุมได้แต่ว่าต้องชุมนุมอยู่ในกรอบกฎหมาย อย่าถือว่าท่านไม่รับรู้อะไรแล้วมาโวยวายทีหลังว่าอะไรเป็นสิทธิของประชาชน ไม่ได้ อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด จึงอยากเตือนว่าทุกคนมีกรอบกฎหมายเท่ากัน แต่ละครั้งที่ทำเท่ากับความผิด 1 กรรม

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า บางคดีหากเป็นความผิดเสียหายต่อรัฐ ตำรวจก็สามารถดำเนินคดีได้เลย บางข้อหาตำรวจสามารถดำเนินคดีได้อยู่แล้วแต่หน้างานหากเหตุไม่รุนแรงมาก อาจจะหลีกเลี่ยงการจับกุมซึ่งหน้า หากจำเป็นก็ต้องจับกุมซึ่งหน้า เป็นไปตามแนวทางที่เคยดำเนินการไว้ ทุกคดีเราจะดำเนินคดีย้อนหลังจึงอยากจะเตือนว่าทำอะไรให้คิดถึงหลักกฎหมายด้วย

เมื่อถามผู้สื่อข่าวถามถึงการกระทำผิดซ้ำ? พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลหรืออัยการที่จะต้องพิจารณาหลักฐานว่าเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องตำรวจจะทำตามหน้าที่ของตำรวจไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อยากฝากเตือนน้อง ๆ ว่าความเห็นต่างเป็นสิทธิแต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย ชุมนุมก็เป็นสิทธิที่จะชุมนุมได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญแต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายหากไปรบกวนหรือเข้าไปปิดกั้นอะไรต่าง ๆ เป็นการเข้าข่ายกระทำผิดฐานบุกรุกหรือการรบกวนการครอบครองสิทธิ์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผู้ทำกิจกรรมที่ติดเงื่อนไขกับศาลตำรวจจะพิจารณาดำเนินการอย่างไร? พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวตอบว่า จะเสนอต่ออัยการ ซึ่งจะเสนอทั้งหมด เพราะกฎหมายเท่าเทียมกัน ใครที่เคยทำผิดซ้ำก็ต้องพิจารณา หากยังมีการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องก็ต้องดำเนินการไปตามวิธีการของเรา 

เมื่อถามถึงมาตรการการดูแลความเรียบร้อยหลังจากนี้? พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวตอบว่า ทุกพื้นที่ทราบอยู่แล้วว่าอะไรมีโอกาสที่จะเกิดเหตุในแต่ละพื้นที่จะต้องมีมาตรการรองรับในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ของกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) ทางผบก.น.1 ได้วางกรอบอยู่แล้วว่าพื้นที่ไหนจะมีม็อบจะต้องมีแผนรองรับไว้ทั้งหมด

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้ทางบก.น.1 จะต้องประเมินสถานการณ์เพิ่มเติมหากมีการประชุมหรือมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการตั้งรัฐบาลจะต้องเตรียมมาตรการให้เข้มงวดมากขึ้น ตำรวจทำงานตามการข่าวอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มดังกล่าวก็เป็นกลุ่มที่มีการเฝ้าระวังอยู่แล้ว 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top