Thursday, 2 May 2024
นายหัวไทร

เช็กความพร้อม ‘เจ้ต้อย’ พร้อมลงนายกฯ อบจ.เมืองคอนอีกสมัย ฟาก ‘แทน’ ยัน สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนสนับสนุนแน่นอน

‘เจ้ต้อย’ ลั่น!! ลงรักษาแชมป์นายกฯ อบจ.นครศรีฯ อีกสมัยแน่นอน ‘แทน’ ยัน สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนสนับสนุน เตรียมแผนเดินสายพบผู้นำทั้ง 23 อำเภอ

ย่ำค่ำของวันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ และ ‘พิทักษ์เดช เดชเดโช’ สส.สองพี่น้อง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ทายาทโดยธรรมของ ‘กนกพร เดชเดโช’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช และ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช นัดพบปะสังสรรค์ปีใหม่กับผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ในอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

“แม่ผมจะลงสมัครรักษาแชมป์นายกฯ อบจ.อีก 1 สมัยแน่นอน” ชัยชนะกล่าว ซึ่งจะต้องขอแรงสนับสนุนจากพวกเรา ที่ถือเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงกัน

ชัยชนะกล่าวอีกว่า ที่ แม่ ‘เจ้ต้อย’ จะลงสมัครในนามกลุ่มพลังเมืองนคร และได้รับการสนับสนุนจาก สส.ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้ง 6 คน

“เราไม่รู้ว่าคู่แข่งคือใครบ้าง เพราะยังไม่มีใครเปิดตัว แต่วาระของเราจะหมดในเดือนธันวาคมปีนี้ และจะมีการเลือกตั้งใหม่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568”

กนกพร กล่าวยืนยันว่า จะลงสมัครอีกสมัย เราในฐานะแชมป์ก็ต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้าน และเต็มที่กับทุกงาน

สำหรับการนัดพบปะสังสรรค์ปีใหม่ครั้งนี้ มีผู้นำท้องถิ่น ท้องที่จากทุกตำบลในอำเภอหัวไทร เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 200 คน และ 100% พร้อมให้การสนับสนุนตระกูล ‘เดชเดโช’ และน่าจะถือได้ว่าเป็นเวทีประเดิม และเจตนาของเจ้ต้อยจะไปพบกับผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ในทุกอำเภอทั้ง 23 อำเภอ

กล่าวสำหรับคู่แข่งของเจ้ต้อยในการชิงเก้าอี้นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช ยังไม่ปรากฏชัดว่ามีใครบ้าง ยังไม่มีใครเปิดตัวชัดเจน แต่เชื่อว่าสำหรับนครศรีธรรมราชแล้ว จะต้องมีคู่แข่งแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้า และตัวแทนจากฝั่งตรงข้ามของเดชเดโช

ที่ต้องจับตา คือ ‘เสนพงศ์’ จะส่งใครลงชิง และอยู่สังกัดไหน แต่การออกตัวแรงของ ‘เทพไท เสนพงศ์’ อดีต สส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งออกมาจากห้องคุมประพฤติ กับการเชียร์แนวทางของก้าวไกล และใส่เสื้อสีส้ม ก็น่าจะสะท้อนทิศทางของ ‘เสนพงศ์’ ได้ไม่น้อย เพียงแต่จะคัดสรรใครมาลงชิง และจะมีปัญหากับก้าวไกลเก่าหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นจาก ‘ฝั่งชลจิตร์’ และฝั่ง ‘ไกรสินธุ์’

แต่การขยับตัวครั้งสำคัญตั้งแต่เนิ่นของ ‘เดชเดโช’ ที่มีเวลาอีกตั้ง 11 เดือนกว่า ถือว่า ‘พร้อม’ ซึ่งหมายถึงพร้อมทั้งขุมกำลัง และปัจจัยเกื้อหนุน ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ รักษาแชมป์ไว้ได้อีกสมัยเป็นแน่แท้

ต้องบอกก่อนว่า เป็นการเขียนตามที่เห็นด้วยตาตัวเอง และยังไม่เห็นคู่แข่งที่ชัดเจน การเมือง คือ การเมือง ที่มีโอกาสเปลี่ยนได้ทุกเวลา

พิสูจน์ระบบคุณธรรม จะด่างพร้อยหรือไม่? หากยังพยายามดันอาวุโสน้อยสุดขึ้นมาอีก

ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะว่างลงในเดือนตุลาคม 2567 นี้ เนื่องจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) จึงต้องสรรหา ผบ.ตร.คนใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่ง กตร. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทางนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอชื่อให้ กตร.พิจารณา

ในปัจจุบัน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เกษียณกันยายน 2567 ดูเหมือนชีวิตข้าราชการตำรวจกลายเป็น 'ผู้ให้' และจำยอมหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.คนอื่นที่มีอาวุโสน้อยได้ไต่ขึ้นไปชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.อยู่ร่ำไป

เมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.รอย มีสิทธิชอบธรรมตามหลักอาวุโส ซึ่งเป็นระบบคุณธรรมของการเติบโตในสายงานราชการตำรวจที่ควรได้รับคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร. แล้วชีวิตของเขาเหมือนถูกสาปจนจำต้องหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.อาวุโสน้อยกว่า แต่เส้นใหญ่สุดปาดหน้าไปเป็น ผบ.ตร.อย่างหน้าชื่นอกตรมมาแล้ว

ภาพสะท้อนอาการ 'ผิดหวัง' ในระบบคุณธรรมตำรวจที่พยายามเดินหลีกหนีระบบเส้นสายเบียดแทรกพุ่งพรวดไปเป็น ผบ.ตร.นั้น ในวันที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ประชุมพิจารณาเห็นชอบแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.รอย ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย

คงไม่ใช่วาสนา พล.ต.อ.รอย ไม่ถึง ผบ.ตร. แต่ระบบคัดเลือกที่ขาดคุณธรรม และถูกกลุ่มอำนาจไม่ยึดบรรทัดฐานตามกฎหมายขัดขวางไม่ให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งปรารถนาของนายตำรวจยศ 'พล.ต.อ.' ซึ่งไต่เต้าจนมีสิทธิไขว่คว้าได้ แล้วระบบคุณธรรมก็ถูกอำนาจอื่นมาทำให้วงการตำรวจด่างพร้อยซ้ำซากอีก

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อไร้โอกาสไปถึง ผบ.ตร.แล้ว พล.ต.อ.รอย ที่อยู่ในวงการตำรวจมาทั้งชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวจากอำนาจการเมืองกดทับจำเจ แน่นอนชีวิตตำรวจที่เหลืออยู่ เขาย่อมต้องการเกษียณในตำแหน่งสุดท้ายของงานตำรวจในกันยายนปี 2567 

แล้ว พล.ต.อ.รอย กลายเป็น 'ผู้ให้' ต้องยอมหลีกทางอีกครั้ง ขณะที่เวลาจะเกษียณเหลืออีก 8-9 เดือน เขาต้องถูกมติ ครม.ให้ย้ายขาดจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.สูงสุดที่หมดโอกาสได้เป็น ผบ.ตร.แล้ว ไปเป็น 'เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ' (สมช.) ที่ว่างเว้นอยู่

ดูเหมือนรัฐบาลเชิดชูเอออวยว่า พล.ต.อ.รอย มีความเหมาะสม มากความรู้ (แต่ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ตามระบบคุณธรรม) ในตำแหน่ง เลขา สมช. ก็ว่ากันไป ส่วนด้านลึกที่ไม่ยกยอกันนั้น คือ คำสั่ง 'ย้ายไปที่ใหม่' เป็นการเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ว่างลง แล้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสสูงคนหนึ่งจะได้มีที่ลงในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เพื่อบ่มเพาะให้ไปเป็นคู่ชิง ผบ.ตร. คนใหม่ที่จะแต่งตั้งช่วงสิงหาคม-กันยายน 2567 

อย่ากระพริบ ดันอาวุโสน้อยสุด ข้ามหัว 'บิ๊กโจ๊ก'

ว่ากันว่า ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโส ยศ 'พล.ต.ท.' ตามหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นครองยศ 'พล.ต.อ.' ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข นรต.รุ่น 39 เกษียณกันยายนปี 2568 ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง

ผู้สันทัดกรณีระดับเขี้ยวล้วนปักใจเชื่อตรงกันว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. คนใหม่กับ รอง ผบ.ตร.ที่อยู่ในโผมีสิทธิเป็น ผบ.ตร.ทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่อีก 4 คน เรียงลำดับอาวุโสในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ดังนี้...

- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกษียณปี 2574 
- พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569
- พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567 
- พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 

ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ เกษียณปี 2568 และเมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ. ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. จะมีอาวุโสน้อยสุด

การประเมินว่า แม้ พล.ต.ท.ประจวบ มีอาวุโสน้อยสุดก็ตาม แต่จะสามารถไขว่คว้าตำแหน่ง ผบ.ตร. มาครองได้เช่นกัน เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ล่าสุดเมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้มีอาวุโสรั้งบ๊วยสามารถทำได้สำเร็จมาแล้ว และเป็น ผบ.ตร.คนปัจจุบันซึ่งจะเกษียณกันยายนปี 2567 

การปักใจเชื่อมั่นเช่นนั้น ส่วนสำคัญมาจากแรงผลักดัน 2 ส่วนทั้งมีกฎหมายและเป็นอำนาจการเมืองต้องการ โดยด้านกฎหมายอ้างถึง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 77 (1) ซึ่งผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ไม่เกี่ยวกับหลักอาวุโสแต่อย่างใด นั่นเท่ากับสะท้อนระบบคุณธรรมเป็นปัจจัยเล็กน้อยที่จะถูกคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร.

มาตรา 77 (1) ระบุว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอกซึ่งดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติหรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

แน่ละเมื่อพิจารณาเพียงชั่วเวลาลมผ่านวูบแล้ว มาตรา 77 (1) ไม่ได้ระบุถึงหลักอาวุโสให้เป็น ผบ.ตร. ซึ่งเป็นความจริง แต่หากพิจารณาประกอบกับมาตรา 78 (1) ระบุหลักเกณฑ์คัดเลือกตำรวจยศ พล.ต.อ.ไปเป็น ผบ.ตร. ไว้ดังนี้...

"การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77 (1) โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"

โปรดสังเกตุว่า มาตรา 78 (1) กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือก รอง ผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร.ตามมาตรา 77 (1) นั้น ได้เน้นถึงระบบอาวุโสมาเป็นส่วนประกอบสำคัญด้วย และไม่ต้องตีความให้ซับซ้อนอีกเลย เพราะคำว่า ‘คำนึงถึงอาวุโส…’ ย่อมไม่เท่ากับ ‘ผู้มีอาวุโสน้อยสุด’ ต้องได้เป็น ผบ.ตร.

ดังนั้น การคำนึงถึงหลักอาวุโสจึงแปลเป็นอื่นไม่ได้ โดยต้องเคร่งครัดถึงระดับอาวุโสที่มากกว่าคนอาวุโสน้อยสุดจึงควรถูกคัดเลือกให้ได้เป็น ผบ.ตร. เพราะจะเป็นที่ยอมรับของข้าราชการตำรวจ และนี่คือ 'ระบบคุณธรรม' ส่วนคนมีอาวุโสน้อยสุดได้เป็น ผบ.ตร.จึงแสดงถึงส่วนหนึ่งเป็นความต้องการของอำนาจการเมืองผลักดัน

หากอำนาจการเมืองหนุนดันยศ พล.ต.อ.อาวุโสน้อยสุดเป็น ผบ.ตร. แล้วนายกฯ คัดเลือกหยิบชื่อส่งให้ ก.ตร.พิจารณา พร้อมล็อบบี้ให้แต่งตั้ง ด้วยพฤติการเช่นนี้ย่อมเป็นการทำให้ระบบคุณธรรมด่างพร้อย ข้าราชการตำรวจย่อมอ่อนโรยในการทำหน้าที่ แล้วเสียงสังคมก็ดังกระหึ่มกระตุ้นให้ปฏิรูปตำรวจพ้นจากระบบเส้นสายของการเมืองต้องการ

กล่าวอย่างแจ่มชัดเฉพาะ พล.ต.ท.ประจวบ หากได้เลื่อนยศมาเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เขาจะมีอาวุโสน้อยสุดเพียงเป็น รอง ผบ.ตร.ตั้งแต่การโยกย้ายปกติเมษายนถึงได้รับโปรดเกล้าฯ กระทั่งถึงสิงหาคมและกันยายนปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงการชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.กับรอง ผบ.ตร.คนอื่นคึกคัก ลุ้นระทึก แต่เขามีอาวุโสประมาณ 5-6 เดือนเท่านั้น 

ด้วยอาวุโสน้อยสุดเช่นนี้ หากทะลุไปถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในกันยายนปี 2567 ความครหาได้เพราะอำนาจการเมืองผลักดัน โดยเป็นอำนาจการเมืองที่ พล.ต.ท.ประจวบ คุ้นเคยพื้นที่เชียงใหม่ แล้วอาจมีสัมพันธ์กับนักการเมืองเชียงใหม่ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคเพื่อไทยต้องการให้เป็น ผบ.ตร

ดังนั้น ศักดิ์ศรีของ พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมมั่วหมองด้วยเส้นสายของอำนาจนัการเมือง ถูกกล่าวหาเป็นตำรวจที่ทำให้ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจด่างพร้อย แต่ถึงที่สุดเขาอาจไม่ต้องการเป็นตำรวจด้วยระบบเส้นสายก็ได้

การคาดหมายว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผบ.ตร.ในอนาคต มาจากผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์เอาทางภววิสัยที่เป็นตำรวจภาค 5 มาก่อน เป็นคนจัดระเบียบรอรับทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 แล้วประเมินว่า อำนาจการเมืองต้องการให้เป็น ผบ.ตร.

แต่ด้านลึกที่เป็นอัตวิสัยแล้ว พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมไม่ต้องการ ผบ.ตร.ด้วยทางลัดตามอำนาจการเมืองก็เป็นไปได้ เพราะเขารู้ตัวเองว่า อาวุโสใน รอง ผบ.ตร.เพียง 5-6 เดือนมันน้อยนิดที่เป็น ผบ.ตร.ด้วยระบบคุณธรรมและทำให้องค์กรตำรวจภาคภูมิใจได้ 

ดังนั้น ยังมีเวลาและปัจจัยแห่งอนาคตอีกที่จะประเมินและฟันธงว่า พล.ต.ท.ประจวบ เมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ ผบ.ตร.ตามอำนาจการเมืองเพื่อไทยหมายปองไว้หรือไม่

โปรดย้อยรอยศึกษาอำนาจแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. คนที่ 8 เมื่อ 26 ตุลาคม 2554-30 กันยายน 2555 ล้วนละม้ายคล้ายคลึงกับการย้าย พล.ต.อ.รอย ไปเป็น เลขา สมช.ยิ่งนัก

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ สร้างบาดแผลให้ประเทศ ชี้!! ทั้งหมดคือการดีล มีเส้นมีสายก็ได้ลดโทษ-รอดนอนคุก

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ บาดแผลประเทศ ‘วัชระ’ กังวลผู้นำการเมืองไม่มีรากเหง้า เป็นเครื่องมือต่างชาติครอบงำความคิดเด็กเยาวชน เป็นอันตรายต่อประเทศ บทสะท้อนชั้น 14 มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก เชื่อ!! ไปจบที่ศาลอาญาทุจริต ‘จตุพร’ ย้ำ อภัยโทษเฉพาะรายทักษิณ จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่ติดไม่ถึง 1 วัน บาดแผลใหญ่แต่ทั้งหมดมาจากการดีล ชี้!! จุดแข็ง ‘ก้าวไกล’ ยังไม่เคยเป็นรัฐบาลแบกความหวังไว้ทั้งหมด จ่อยึดกลไกประเทศ ผู้มีอำนาจทนไม่ได้ หวั่นจบแบบรัฐประหาร 22 พ.ค.

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ที่ห้องประชุมสำนักกีผฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงาน ‘กินขนมจีน ซดกาแฟ ดูแลเพื่อน’ และ ‘Newstalk for friends’ โดยบนเวทีมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมพูดคุยระดมความคิดการฟื้นฟูกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทวงถามยุติธรรมในบ้านเมือง โดยมีนายปรเมษฐ์ ภู่โต อดีตผู้ดำเนินรายการรายการคุยถึงแก่น ช่อง NBT ดำเนินรายการ โดยบนเวที นายวัชระกับนายจตุพร ซึ่งเคยทำกิจกรรมในรั้วรามคำแหงด้วย และเคยมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้าม ได้จับมือสร้างความสมานฉันท์กันด้วย

นายวัชระ เพชรทอง กล่าวว่า “จะบอกว่าเราลูกพ่อขุน เราเกิดจากรามคำแหง เราออกไปรับใช้พี่น้องประชาชน นายจตุพร พรหมพันธุ์ อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าผมในหลายๆ เรื่อง และในที่สุดเราก็มาจับมือกันที่รามคำแหง เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปในอนาคต ส่วนจะมีกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง และเราจะตกเป็นจำเลยอะไรร่วมกันบ้าง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า เป็นลูกพ่อขุน ที่เราเรียนรามแท้ๆ เราเรียนจริงๆ อาจจะจบนานหน่อยไม่เหมือนกับ ‘นายบรรหาร ศิลปอาชา’ หรือ ‘นายเฉลิม อยู่บำรุง’ ที่จบอย่างรวดเร็วด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนจาก คุณอารังสรรค์ แสงสุข

เมื่อเราเห็นว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ในฐานะที่เรารักความเป็นธรรม เราก็ใช้สิทธิของความเป็นพลเมือง สิทธิตามรัฐธรรมนูญไปทำหน้าที่ ที่พึงกระทำอย่างไม่ผิดกฎหมาย และเป็นสิทธิที่เราสามารถจะดำเนินการได้ในฐานะประชาชนธรรมดา ซึ่งสิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเรามีความกล้าที่จะไปทำการสิ่งนั้น ก็เพราะรั้วรามคำแหงสอนให้เรามีความกล้าหาญ กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอธิการบดีที่ไม่ยุติธรรม เราทะเลาะกับอธิการบดี และเราก็ได้เผยแพร่แนวคิดทางการเมืองที่รักชาติ รักความยุติธรรม และสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดเรา รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ และไม่เคยทรยศต่อประชาชนไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน”

“เมื่อเราเห็นแล้วว่าสภาพบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ภายใต้พรรคการเมืองที่เราเห็น ในฐานะที่เราแพ้น้องส้ม เราแพ้น้องส้มทั้งประเทศ ก็ยอมรับว่าน้องส้มเก่ง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยที่มาจากอเมริกาหรือสิ่งที่ไรามองไม่เห็น แต่เป็นที่รับรู้กันว่า การเมืองนอกประเทศก็เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และเข้ามาแทรกแซงถึงรั้วมหาวิทยาลัย โดยเรานั้นกลายเป็นคนที่ล้าหลัง คนที่ตามไม่ทันกับสื่อเหล่านั้น และเขาก็ได้ไปครอบงำความคิดของเด็กๆ เยาวชนจำนวนมาก จำนวนหนึ่งให้มีทัศนคติอย่างนั้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศของเรา ซึ่งควรจะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างสงบและร่มเย็นตามประสาคนไทย ด้วยวิถีของอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แต่สิ่งที่แทรกซึม แทรกแซงเข้ามานั้น กำลังจะทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศยูเครนในอนาคต เราอาจจะได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติ มุ่งแต่เป็นเครื่องมือของประเทศนอกประเทศของเรา ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเป็นประเทศไหน ตรงนี้อันตราย”

นายวัชระ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าเราได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ประสีประสา ไม่มีรากเหง้าความเป็นไทย และนำประเทศไปสู่สงครามระหว่างประเทศในอนาคตเหมือนกับประเทศยูเครน ก็จะตกอยู่ในอันตราย ในฐานะที่เราจบรามคำแหง เราเป็นลูกพ่อขุน เราก็ต้องกล้าที่จะบอกว่าความจริงนั้นคืออะไร และให้ความรู้กับเยาวชนคนหนุ่มสาว ตั้งแต่ในท้องถิ่นของตนเอง ไปถึงในระดับภาพกว้างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำและถ้าพวกเรายังจะรักษาประเทศนี้ ภายใต้อัตลักษณ์ของความเป็นไทย เราก็ควรที่จะออกไปพูดในความจริงและบอกกับทุกๆ คนว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างไร และอย่ากลัวว่าจะเสียคะแนนนิยม เมื่อเราเห็นว่าทักษิณกลับประเทศและเห็นว่าหลักการ ระบบนิติรัฐ นิติธรรม กระบวนการยุติธรรมถูกทำลาย เราก็ต้องจะต้องกล้าพูด กล้ายื่นหนังสือ ถ้าเราไปยื่นหนังสือถึงหน่วยราชการ หน่วยราชการนั้นๆ ก็ต้องปฏิบัติหรือตอบหนังสือของเรามา ว่าเขาทำหรือไม่ทำอย่างไรและสิ่งต่างๆ เหล่านั้น หนังสือที่เขาตอบมาเหล่านั้น ก็จะเป็นพยานหลักฐานที่สามารถที่จะเอาผิดในอนาคต กับหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

“ถ้าเขาละเว้นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ว่าหน่วยราชการใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ปปช. หรือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและเมื่อเราไปทำแล้วเราได้หนังสือกลับมาแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นว่า เรื่องนี้จะไปจบที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะต้องไปจบที่นั่น ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองที่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนให้นักโทษชายคนหนึ่งมีอภิสิทธิ์หนือกว่านักโทษทั้งประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีประมาณ 280,000 คน ทุกเรือนจำทั่วประเทศ ปรากฎว่ามีนักโทษคนเดียวที่ไม่เคยติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว และมีรายงานว่าป่วยแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ และได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงบัดนี้เป็นเวลานานมากจนเรียกได้ว่า พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไม่เชื่อว่ามีการป่วยจริง ตรงนี้ก็ต้องมีการพิสูจน์กันในอนาคต”

นายวัชระ กล่าวว่า คนที่รู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าตนก็คือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะว่าจตุพรกับทนายนกเขาได้เกาะติด และติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่พี่ปอง อัญชลี ได้พูดคุยในรายการของแนวหน้า Talk ซึ่งพี่ปองอัญชลีก็ได้พูดกับ พี่บุญยอด สุขถิ่นไทย บอกว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไปที่ 3 แห่งหมุนเวียนกันก็คือ 1 ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 2 ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อภาษาอังกฤษ แล้วอยู่ใกล้ๆ กับไอคอนสยาม ซึ่งตรงนั้นก็ไม่ทราบว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ได้สิทธิพิเศษอะไรถึงไม่ได้ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ตลอดเวลา ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไปที่คอนโดแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง รวม 3 ที่ ตรงนี้มันก็สะท้อน และคนที่ติดคุกก็คือคนจน คนที่เป็นลูกหลานประชาชนที่ไม่มีเงินถึงต้องติดคุก คนที่ไม่มีเส้นไม่มีสายก็ติดคุก แต่คนที่มีเงินก็ไม่ต้องติดคุก เสี่ยเปี๋ยงที่ร่วมทุจริตในคดีจำนำข้าว ก็มาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนข้างนอก ตั้งนานแล้ว

“กรมราชทัณฑ์ก็อึดอัดแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หรือแม้แต่อดีตอธิบดี ‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ ซึ่งปัจจุบันก็นอนอยู่ที่ชั้น 7 โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในแดนต่างๆ คือ ถ้าเป็นคนที่มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก แต่ว่าท่านอดีตบอร์ดองค์การโทรศัพท์ เห็นว่าก็ยังนอนอยู่ในเรือนจำ ซึ่งจริงๆ แล้ว ท่านก็ทำงานให้กับชั้น 14 ในอดีต ก็ควรที่จะได้รับสิทธิในการ ที่จะไปรักษาตัวที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจด้วย แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ไป ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่มีเส้น ไม่มีสาย ไม่มีเงินก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสะดวกสบายได้ และสิ่งที่ผมในฐานะลูกพ่อขุนได้ ไปทำตามที่พี่น้องประชาชนได้บอกให้ไปทำ ขอให้ไปดำเนินการ เราก็ได้ไปทำเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนซึ่ง เชื่อว่าคุณจตุพร ก็จะพูดในประเด็นนี้และรู้รายละเอียด ทั้งหลายทั้งปวงได้ดีกว่าผม” นายวัชระ กล่าว

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า เคยมาพูดที่รามหลายครั้ง ในช่วงที่ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าผมมีส่วนกับ ‘พลตรีจำลอง ศรีเมือง’ ได้ร่วมกันสู้ในเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 กันมา วันหนึ่งเขาก็ไปยกพรรคไปกับคุณทักษิณ วันที่เขาเป็นหัวหน้าพรรควันแรก เขายังไม่ประสีประสาเลย ผมได้กำหนดหัวข้อให้เขามาพูดว่ากว่าจะเป็นวันนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นเรื่องหัวข้อที่ง่ายที่สุดทางการเมือง และก็อยู่กันมายาวนาน ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นต่าง และอยู่ในพรรคนั้นๆ ได้นานที่สุดคนหนึ่ง เพราะปกติคนเห็นต่างก็จะต้องถูกเตะออกไป แต่ผมเป็นคนที่เห็นต่างและก็ยังอยู่กันได้ คือผมนี้ถ้าถือหลักว่าให้ทิ้งกันก่อนมันก็คงจะไม่ใช่วิสัย ก็กล้ำกลืนกัน เห็นต่างนี่ก็ซัดกันต่อหน้า ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ เช่นกรณีสุดซอยนี่ผมหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่เอานะ และผมหันหลังเลยวันนั้นผมบอกถ้ายังดื้อดึงกันแบบนี้ คนจะฆ่าตัวตายไม่รู้จะห้ามยังไงนะผมพูดอย่างนี้เลย ผมนี่หันหลังออกและท้ายที่สุดก็มาตาม เพราะว่าประเมินสถานการณ์แล้วว่ากำลังจะมีการยึดอำนาจ แต่นั่นอีกแหละ ท้ายที่สุดเมื่อจนมุม ก็ไปดีลกันก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ เอาประชาชนที่ชุมนุมออกจากที่ชุมนุม ผมที่เป็นแกนนำก็ต้องรู้จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปเจรจากับพลเอกประยุทธ์ในวันนั้น

“เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นไปดังที่เล่าให้ฟังกัน เมื่อท้ายที่สุดนั้นเมื่อแยกกันคือความจริง ช่วงอยู่กันผมยังยืนยันอีกครั้งว่ามีเรื่องจำนวนมาก ที่เห็นไม่เหมือนกันฟาดกัน เพียงแต่ว่าผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ว่าเขาต้องให้อะไรและต้องไปเกรงใจอะไร เราก็เป็นตัวของเราแบบนักกิจกรรมสมัยอยู่รามคำแหงอย่างไรผมก็ปฏิบัติตัวกันอย่างนั้น และก็จนกระทั่งหันหลังกันอย่างเด็ดขาด กรณีเรื่องชั้น 14 นั้น เรื่องนี้เป็นบาดแผลของสังคมไทยระยะยาวเพราะ มันเป็นที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลทั้งปวง ประหลาด ไม่เคยพบเคยเจอเคยเห็นในประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงนั้นทุกครั้งของการที่คิดจะกลับบ้านก็มีการ ดีลการต่อรองกันทั้งสิ้น”

นายจตุพร กล่าวว่า “วันหนึ่งผมก็เอะใจ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยผมเรื่องถูกขัง และไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ ว่าขาดคุณสมบัติก็ไปขังและไม่ให้ไปใช้สิทธิ์ ผมเป็น สส.ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแรก หรือมีบุคคลอื่นหรือเปล่า ที่เขียนใบสมัครรับเลือกตั้งอยู่ในเรือนจำ ประทับตราเรือนจำพิเศษ และก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง กกต. บอกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ กกต.ท่านหนึ่งคุณสดศรี บอกว่าต้องไปใช้สิทธิ์นะ ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะเป็นปัญหา ผมก็ร้องต่อศาล ว่าขอไปใช้สิทธิ์อ้างคุณสดศรี ศาลก็บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของคุณสดศรีเท่านั้น และปรากฏว่ารับรองผมเป็นคนที่ 500 เลย คือต้องการขังไว้ต่อเกือบร่วมเดือน”

“แต่เอาล่ะนั่นมันเป็นเรื่องเล็ก แต่วันหนึ่งเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมไม่รู้ว่าเป็นการดีลกันก่อนโดยที่ผมก็ไม่รู้ ศาลรัฐธรรมนูญนักอ่านวันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งตอนนั้นกระแสเสื้อแดงยังแรงกัน จะมีการรำลึกราชประสงค์วันที่ 19 พฤษภาคม ผมก็สงสัยว่าอยู่ดีๆ นัดก่อนวันชุมนุมได้อย่างไร และก็ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านด้วยเสียง 8 ต่อ 1 มี คุณชัช ชลวร ประธานศาลคนเดียวที่ให้พูดที่เหลือ บอกไม่ไปใช้สิทธิ์ก็ขาดคุณสมบัติ ทั้งที่ กกต. เขต บอกมีเหตุอันสมควรจะไม่เกี่ยว วันรุ่งขึ้นคนก็จากที่มาแสนก็มา 2 แสน”

“ผมไม่รู้ว่าอดีตนายกทักษิณเขาไปพูดว่าคนที่พายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามผมมาแล้ว ต่อไปนี้ผมไปเองได้แล้ว บนเวทีนี้เลิกรักหมด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง สักพักโทรศัพท์เข้ามาบอกว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ผมก็ถามว่ากลับวันไหนล่ะ สัปดาห์หน้าเจอกันที่กรุงเทพฯ เห็นไหมการดีล คือพร้อมจะทิ้งเลย และก็เพื่อจะลากคนให้มาเต็มเอาเหตุของผมมาตัดสินก่อน 1 วัน ความจริงตัดสินหลัง 1 วันก็ได้ เห็นไหม ดังนั้น พอดีลก็ปรากฏว่าไม่สำเร็จ และก็ดีลต่างกรรมต่างวาระจนกระทั่งมา ผ่านมา 20 ครั้ง จนกระทั่งมาวันที่ 22 สิงหาคม 22 สิงหานี้นะ กลับมาประเทศไทยถ้าไม่มีการดีล 1 เมื่อผู้ต้องหาถูกออกหมายจับหนีฟังคำพิพากษา มีคดีที่ศาลอ่านไปทั้งหมดแล้ว 12 ปี ขาดอายุความ ไป 2 เหลืออีก 10 นัดพร้อม 1 ก็เหลือ 8 ตำรวจต้องควบ” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

เลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ เดือด!! หลัง ‘ก้าวไกล’ เริ่มเดินสาย ด้าน ‘เจ้าถิ่น-บ้านใหญ่-ตัวเต็ง’ เรียงคิวหวนคืนบัลลังก์เพียบ!!

ใจเย็นๆ ครับ เลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ…

ใบแดงยังไม่เห็น แต่เห็น ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ หัวหน้าพรรคก้าวไกลลงไปนครศรีฯ ควานหาตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ แล้ว

นำเรียนเพิ่มเติมว่า สำหรับเขต 8 นครศรีฯ มี ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ เป็น สส.อยู่ ในนามพรรคภูมิใจไทย และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องให้ศาลฏีกาพิจารณาคำร้องค้านผลการเลือกตั้ง

ซึ่งโดยขบวนการถือว่า ยังไม่เสร็จสิ้น เป็นเพียงความเห็นของ กกต.ที่มีผ่ายสืบสวนสอบสวนไปรวบรวมพยานหลักฐานตามคำร้อง และสรุปสำนวนคำร้อง พร้อมความเห็นเสนอต่อศาลฏีกา

ศาลฏีกายังคงต้องเรียกทั้งผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และพยานของทั้งสองฝ่ายไปไต่สวนอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะมีคำวินิจฉัยสั่งการ (ตัดสิน) ลงมา น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน

เอาความจริงว่า ยังไม่รู้ว่าศาลฏีกาจะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร ก็เป็นไปได้หมด ทั้งยกคำร้อง และลงโทษตามคำร้อง ขึ้นอยู่กับพยาน-หลักฐานของทั้งสองฝ่าย

เขต 8 มีทั้งเรื่องร้องเรียนการจัดเลี้ยง และจ่ายเงินซื้อเสียง เรื่องจัดเลี้ยงนั้น กกต.ได้ยกคำร้องไปแล้ว เพราะเป็นงานเลี้ยงของเศรษฐีจากภูเก็ตที่เขาจัดเลี้ยงทุกปี

เขต 8 เมื่อมีแววว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ จึงเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันคึกคักก่อนเวลาอันควร เจ้าถิ่น ‘ชินวรณ์ บุณยเกียรติ’ น่าจะกลับมาลงสมัครในเขตนี้ ในนานพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ ก็เคยลั่นวาจาไว้แล้ว คำไหนคำนั้น ให้ชินวรณ์ลงทวงแชมป์คืน

ส่วนภูมิใจไทยแชมป์เก่า ก็น่าจะส่งคนลงรักษาแชมป์ ทราบว่า มุกดาวรรณประสงค์จะให้หลานสาวลงแทน แต่ฐานคะแนนยังไม่ชัวร์ เพราะยังมือใหม่อยู่ ยังต้องเดินตามหลัง สจ.มุก พบปะพี่น้องประชาชน สำหรับภูมิใจไทย ให้จับตา ‘บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ’ อดีต สจ.อีกคนหนึ่งที่การเลือกตั้งครั้งก่อนลาออกจาก สจ.น่าจะหวังลง สส.เขต 8 แต่พลาดโอกาสไป

ถ้ามีการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 ไม่แน่ ‘บิ๊กโอ’ อาจจะลงชิงในนามพรรคภูมิใจไทยก็เป็นได้ เขตนี้ก็จะกลายเป็นว่า ‘พ่อตากับลูกเขย’ ชนกัน เพราะ ‘บิ๊กโอ’ เป็นลูกเขยชินวรณ์ ไม่รู้ว่าเคลียร์ปัญหาในครอบครัวจบแล้วหรือยังนะ แต่เห็น ‘บิ๊กโอ’ เดินทางไปร่วมงานเดียวกันกับ สจ.มุกเป็นบางครั้งบางคราวอยู่

ส่วนพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคก็พูดชัดแล้ว ให้คนเดิม ซึ่งหมายถึง ‘สุนทร รักษ์รงค์’ ลงเหมือนเดิม ซึ่งครั้งที่แล้ว สุนทรได้มาอันดับสอง รองจาก สจ.มุก สุนทรถ้าตั้งเป้าว่าจะชนะ ต้องออกแรงมากกว่าเดิม แก้ปัญหาเก่าที่ยังคั่งค้างอยู่ด้วย

พรรคก้าวไกล กำลังควานหาตัวคนใหม่มาลงแทน จริงๆ ก็มีตัวดีอยู่ แต่คราวที่แล้วถูกเตะไปลงเขต 7 ทั้งๆ ที่บ้านเกิดอยู่เขต 7 และในเขต 7 ก็ทำคะแนนไว้ไม่เสียหาย แต่เจ้าตัวยืนยันแล้วว่า ไม่ย้ายมาลงเขต 8 แน่นอน รอแก้มือในเขต 7

เขต 8 นครศรีฯ ทราบว่า สาย ‘เสนพงศ์’ เสนอตัวลงในนามก้าวไกลแล้วเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่แน่คะแนนสงสารสำหรับ ‘เทพไท เสนพงศ์’ ก็มีอยู่ไม่น้อยกับการถูกเล่นงานจนต้องไปฝึกงานอยู่พักใหญ่ แถมยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองทั้งพี่ทั้งสองนานถึง 10 ปี ถ้าเทพไทขยับส่ง ‘ครรชิต เสนพงศ์’ ลงชิงในนามก้าวไกลก็น่าสนใจไม่น้อย

พรรคอื่นๆ ยังไม่เห็นพรรคไหนขยับอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนะ แต่เชื่อว่าเขต 8 แทนต้องขยับตัวเต็มที่ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้คนใหม่ ต้องไม่พลาด

‘โรงเชือด-เกษตรกร’ จี้รัฐ!! ช่วยลืมตาดูความจริง สรุป!! “วัวโลละร้อย จะขายได้กี่โมง ขายที่ไหน?”

ช่วงแรกของการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ประชาชนต่างคาดหวังว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประชาชนกลุ่มเกษตรกรรากหญ้า ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ถูกตำหนิว่า ‘มือไม่ถึง’ เพราะพรรคเพื่อไทยโปรโมตตัวเองว่า เป็นมือแก้เศรษฐกิจ

แต่ความหวังของประชาชนกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา จากความคาดหวังสูงสุด ต้องยอมรับว่า วันนี้เริ่มถดถอย เพราะนโยบายหลายอย่างที่ประกาศไว้ไม่เกิดขึ้นจริง ไม่ต้องพูดถึงนโยบายเงินดิจิตัล ที่เวลานี้ยังหาข้อสรุปกันไม่จบ ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทอยู่ที่ไหน ปริญญาตรี 25,000 บาท ยังไม่ขยับ ราคาผลผลิตการเกษตรไม่เห็นหน้าเห็นหลัง

ปัญหาภาคเกษตร ในห้วงแรก รัฐบาลมีท่าทีขึงขัง เอาจริงเอาจริง จะทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น 3 เท่า อย่างปัญหาการลักลอบการนำเข้าเนื้อสัตว์ ทั้งหมู เนื้อเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ยางพาราเถื่อน แรกๆ ข้าราชการหลายคนหนาวๆ ร้อนๆ เดินสายตรวจค้นโกดัง ข้าราชการโดนเด้ง แต่ผ่านมา 4-5 เดือนแล้ว เรื่องนี้ก็เหมือนจะจับมือใครดม เอาผิดไม่ได้ 

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมที่เป็นตัวหลักสำคัญในการออกมาเคลื่อนไหวแฉเรื่องนี้ ออกมา ยอมรับว่า “คดีหมูเถื่อนตีนไก่สวมสิทธิ์ ถูกแทรกแซงคดีเงียบ ก็เป็นมวยล้มต้มคนดู รัฐบาลก็ทอดทิ้งเกษตรกร”

เมื่อครั้งประกาศโชว์ผลงาน 60 วันแรก เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ พลิกโฉมประเทศไทย นายเศรษฐา แถลงว่า ประเทศจีนและองค์กรทางด้านรัฐวิสาหกิจที่ลงทุนเกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านอาหาร ปศุสัตว์ และเกษตรกรรม ที่ซาอุดีอาระเบียถึงความต้องการเนื้อวัวจากประเทศไทย ระบุว่า ทั้ง 2 ประเทศมีความต้องการเนื้อวัวที่ชำแหละแล้วเป็นจำนวนมาก แต่ไทยมีโรงเชือดที่ใหญ่ที่สุดคือที่จังหวัดชุมพร เชือดได้วันละ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่บราซิลมีกำลังการผลิตในการเชือดวัวสูงถึง 45,000 ตัวต่อวัน รัฐบาลก็กำลังพิจารณาสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ในการเชือด พร้อมทั้งคำนึงถึงหลักศาสนาอาหารฮาลาล เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น 3 เท่าตามนโยบายที่ประกาศไปก่อนหน้านี้

ครบ 6 เดือน (180 วัน) ก็ยังโชว์ลีลาแสดงวิสัยทัศน์ 8 ด้าน อย่างไร้ความหวัง ไม่กล้าโชว์ผลงาน มีแต่บอกเรื่องจะทำในอนาคต

วันนี้โรงเชือดที่ชุมพร ก็ยังมีปัญหาสภาพคล่องไม่มีเงินไปซื้อวัวมาเชือด ได้ยินข่าวมาว่า ทำเรื่องขอสินเชื่อจากแบงก์รัฐ ก็ไม่ได้ อ้างเงื่อนไขติดปัญหาสารพัด ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายรัฐ แต่ดูเหมือนกลไกราชการไม่ยอมตอบสนอง

นายหัวไทรไปเยี่ยมชมโรงเชือดชุมพรมาแล้ว ถือว่าเป็นโรงเชือดที่ได้มาตรฐาน แต่ยังมีปัญหาสภาพคล่องอย่างที่ว่า วัวเข้าโรงเชือดต่อวันยังไม่เพียงพอกับศักยภาพในการเชือดต่อวันถึง 200 ตัว

ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งเหมือนกันว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวเนื้อบ้านเราก็ยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้นมาตรฐาน ยังต้องยกระดับขึ้นไปอีก อย่างโครงการโคบาลชายแดนใต้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการโคบาลชายแดนใต้งบประมาณกว่า 1,566 ล้านบาท โดยเฉพาะในระยะนำร่อง เริ่มกังวล อาจจะเป็นหนี้ในอนาคต เพราะกู้รัฐมาทำโครงการ

แม่พันธุ์วัวขนาดเล็ก ไม่แข็งแรง ผลัดตกโคลนและไม่สามารถลุกเองได้ และแม้สมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจเลี้ยงโคทาชิมะ ตำบลกระเสาะ อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี จะช่วยมันขึ้นมา แต่ความอ่อนแอของมัน จึงไม่อาจขุนให้เป็นแม่พันธ์ที่สมบูรณ์ได้แล้ว จึงต้องขายเพื่อรอเชือดในราคา 6,000 บาท ทำให้ขาดทุนทันที 11,000 บาท เนื่องจากกลุ่มเกษตรที่เข้าร่วมโครงการโคบาลชายแดนใต้ งบประมาณ 1,566 ล้านบาท จำเป็นต้องซื้อแม่พันธุ์วัวมาในราคาตัวละ 17,000 ตามสัญญาในโครงการ

ในฐานะเคยไปเห็นปัญหาขออนุญาตนำเสนอ คือ ถ้าโรงเชือดที่ชุมพร ซึ่งถือว่า มีความพร้อมที่สุดแล้วยังทำไม่ได้ตามศักยภาพ ก็อย่าไปคิดว่า จะมีนโยบายสร้างโรงเชือดที่นู้นที่นี่อีก เพราะงบลงทุนหลักเป็นพันล้านต่อโรง จะกลายเป็นเรื่องหวานคอแร้ง

วันนี้ราคาโคเนื้อมีชีวิตขายได้กิโลกรัมละ 75 บาท ขณะที่ต้นทุนกิโลกรัมละ 80 บาท ถ้ารัฐบาลมัวดีแต่พูด อีกไม่นานเกษตรกรจะจนลงอีก 3 เท่า ไม่ใช่รวย 3 เท่า

ทางออกเรื่องนี้ #นายหัวไทร แนะต้องทำคู่ขนานหลายเรื่อง คือ...

1.) ต้องทำให้โรงเชือดเดินหน้าสายการผลิตได้ เพราะโรงเชือดซื้อโคเนื้อเข้าไปเชือดกิโลกรัมละ 100 บาท

2.) การลดต้นทุนค่าอาหารเลี้ยงโคเนื้อไม่เกิน 70 บาท แต่ให้คุณภาพคงเดิม ภาครัฐต้องเร่งรัดให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

3.) เกษตรกรหรือฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการต้องไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง โดยกรมปศุสัตว์เข้าไปตรวจรับรอง

4.) สมาคม-สหกรณ์ผู้โคเนื้อรวบรวมโคเนื้อปลอดสารเร่งเนื้อแดงจากฟาร์มที่ผ่านการรับรองโดยกรมปศุสัตว์ ส่งโรงฆ่าสัตว์ที่เข้าร่วมโครงการ

5.) โรงฆ่าสัตว์ต้องตัดแต่งซากโคให้เป็นชิ้นส่วนตามมาตรฐานสากลพร้อมจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก (ถ้าตลาดมีรองรับจริงตามที่รัฐบาล กล่าวอ้าง)

6.) กรมปศุสัตว์ทำความตกลงกับผู้ขออนุญาตนำเข้าเนื้อโคที่ยกเว้นภาษีภายใต้ FTA ขอให้ช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศด้วยการซื้อชิ้นเนื้อโคของเกษตรกรแทนการนำเข้า

7.) กรมปศุสัตว์ขอยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร 100 ล้านบาท ให้โรงฆ่าสัตว์ที่เข้าร่วมโครงการยืมใช้เป็นเงินหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2% (สถาบันการเงินของรัฐเรื่องมาก ไม่ยอมปล่อย)

ข้อเสนออันนี้ไม่ใช่เรื่องของการอุ้ม ไม่ใช่การทุ่มงบประมาณแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่เป็นมาตรการช่วยเหลือเพื่อให้วงจรการผลิตเดินไปได้ ที่เหลือกลไกตลาด และภาคเอกชน เขาเดินกันไปได้เอง

วันนี้นายหัวไทรเดินตามไปคอกวัวขุน เจอแต่คำถามว่า “วัวโลละร้อย จะส่งขายได้กี่โมง ส่งขายที่ไหน”

ต้องยอมรับความจริงว่า เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงวัวเนื้อประสบปัญหาด้านการตลาด ทั้งไม่มีที่ระบาย ต้องค่อยๆ ขายทีละตัวสองตัว เมื่อมีงานศพ งานแต่ง รังแต่จะแบกรับต้นทุน และท้ายที่สุดคือ 'ขาดทุน' โรงเชือดก็ขาดเงินหมุนเวียนซื้อวัวเข้าโรงเชือด

อยากเรียกร้องให้รัฐบาล ลืมหูลืมตา ดูข้อเท็จจริง รับฟังปัญหาจากผู้รู้จริง จะได้แก้ไขปัญหาถูกจุด และเป็นระบบ

'ผู้ว่าฯ นครศรีฯ' ตื่น!! เรียกถก แก้น้ำขาดแคลนโซนลุ่มน้ำปากพนัง หลัง 'ชลประทาน' อ้างไม่มีงบซื้อน้ำมันใส่เครื่องสูบน้ำ

"ได้แต่นั่งมองน้ำไหลผ่านคลองราชดำริ แต่ไม่มีโอกาสใช้น้ำ เนื่องจากไม่มีเครื่องสูบน้ำ ชลประทานมีเครื่องสูบน้ำ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีงบค่าน้ำมัน"

นี่เป็นเสียงคร่ำครวญจากเกษตรกรผู้ทำไร่ ทำนา ปลูกผัก ปลูกพริกขี้หนู ปลูกปาล์ม ในโซนลุ่มน้ำปากพนัง ร้องเรียนผ่าน #นายหัวไทร ถึงปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรในช่วงนี้ 

เข้าใจว่า น้ำไม่ได้ขาด แต่มีปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำ เพราะชาวบ้านบอกว่า เห็นน้ำเต็มคลองราชดำริ เพียงไปชลประทานไม่ตื่นขึ้นมาบริหารจัดการ...

- บริหารจัดการเครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- บริหารจัดการงบประมาณ การนั่งบ่นว่าไม่มีงบประมาณในการจัดซื้อน้ำมันมาใส่เครื่องสูบน้ำ นั่งบ่นอย่างไรมันก็ไม่มาหรอกครับ

หน้าที่โดยตรงคือ กรมชลประทาน เขต-โซนลุ่มน้ำปากพนังอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานชลประทานที่ 15 เมื่อรับรู้ว่าชาวบ้าน เกษตรกร มีปัญหาไม่มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร ก็ต้องแก้ไขปัญหา ผ่านวิธีคิดแบบบริหารจัดการ ผ่านการประสานงาน

ถามว่ากรมชลประทานมีเครื่องจักรกลไหม มีเครื่องสูบน้ำไหม ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า “มี” ถามว่า กรมชลประทานมีงบประมาณจัดซื้อน้ำมันใส่เครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ำไหม ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า “มี” ถ้าบอกว่าไม่มีถือว่า บกพร่องต่อหน้าที่ บกพร่องในการจัดทำงบประมาณ ท้องถิ่นมีงบประมาณไหม ตอบว่า “มี”

ถ้ากรมชลประทานบอกว่าไม่มีงบประมาณ ถามว่าทางจังหวัดมีงบไหม งบฉุกเฉินภัยแล้งน่าจะมี อาจจะแย้งกลับมาว่า ทางผู้ว่ายังไม่ประกาศอุบัติภัย (ภัยแล้ง) จะเอางบฉุกเฉินมาใช้ไม่ได้ ก็แค่ประกาศสิครับ จะได้เบิกงบมาช่วยเกษตรกร

หรือถ้าจนปัญญา ก็ลองประสานความช่วยเหลือไปยังท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เชื่อว่าองค์กรท้องถิ่นมีงบแน่นอน เพียงแต่ไม่มีใครประสานขอการสนับสนุนไปมากกว่า ละเลยต่อปัญหาของชาวบ้าน งบประมาณไม่ขาดหรอก

แต่ที่ขาดคือ ขาดการประสานงานที่ดีของสำนักงานชลประทานที่ 15 ที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่อยู่ ปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อนได้ไง แค่นั่งบ่นว่าไม่มีงบประมาณ ไม่มีประโยชน์หรือครับ

ท่านได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปยังกรมชลประทาน ต้นสังกัดแล้วหรือยัง ท่านได้นำเรียนท่านผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าใหญ่ของข้าราชการในจังหวัดแล้วหรือยัง ถ้าบอกว่า แจ้งแล้ว ขอการสนับสนุนไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ก็ต้องโทษไปยังหน่วยงานที่ใหญ่กว่า ทำไมไม่ดูแล รับผิดชอบต่อปัญหาทุกข์ร้อนของประชาชน 'บำบัดทุกข์ บำรุงสุข' คือคำขวัญของกระทรวงมหาดไทย ทางจังหวัดได้ทำหน้าที่แล้วหรือยัง

ย้อนไปเมื่อปี 2564 ซึ่งเกิดภัยแล้งในโซนลุ่มน้ำปากพนังเช่นกัน ทางกรมชลประทานไม่ได้นิ่งเฉย เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน มอบหมายให้นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล ส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องสูบน้ำของ ฝ่ายปฏิบัติการเครื่องจักรกลสูบน้ำที่ 4 (จังหวัดสงขลา) 

ส่วนเครื่องจักรกลสูบน้ำสำนักเครื่องจักรกล ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 12 นิ้ว (0.3 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) จำนวน 3 เครื่อง (ติดตั้งหมู่บ้านละ 1 เครื่อง) บริเวณบ้านบางหารหมู่ 1 บ้านปลายคลองหมู่ 6 และบ้านคลองแดนหมู่ 12 ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตพื้นที่โครงการชลประทานนครศรีธรรมราช สำนักงานชลประทานที่ 15 โดยสูบน้ำจากคลองเชียรใหญ่ส่งไปยังคลองซอยแต่ละจุดสามารถสูบน้ำได้รวมวันละ 71,200 ลูกบาศก์เมตร เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภัยแล้งพืชผลการเกษตร-ไม้สวนยืนต้นพื้นที่รับประโยชน์ 3,500 ไร่ 

และได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 12  นิ้ว (0.3 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) จำนวน 3 เครื่อง บริเวณคลองเชียรใหญ่บ้านบางจันทร์ หมู่ 7 ตำบลเชียรใหญ่ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตพื้นที่โครงการชลประทานนครศรีธรรมราชสำนักงานชลประทานที่ 15 โดยสูบน้ำจากคลองเชียรใหญ่ส่งไปยังคลองซอยสามารถสูบน้ำได้วันละ 71,200 ลูกบาศก์เมตร เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภัยแล้งทางการเกษตรนาข้าว พืชสวน และไม้ยืนต้นพื้นที่รับประโยชน์ 3,500 ไร่ 

และได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 12 นิ้ว (0.3 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) จำนวน 3 เครื่องบริเวณประตูระบายน้ำปากคลองค้อ หมู่ 3 ตำบลเกาะทวด อำเภอปากพนังจังหวัดนครศรีธรรมราช เขตพื้นที่โครงการชลประทานนครศรีธรรมราช สำนักงานชลประทานที่ 15 โดยสูบน้ำจากคลองค้อส่งไปยังคลองซอย สามารถสูบน้ำได้วันละ 71,200 ลูกบาศก์เมตร เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภัยแล้งทางการเกษตรนาข้าว พืชสวน และไม้ยืนต้นพื้นที่รับประโยชน์ 6,000 ไร่

ก็ต้องย้อนไปดูว่า ทำไมเมื่อปี 2564 กรมชลประทานจึงได้สั่งการให้นำเครื่องจักรกลมาติดตั้งสูบน้ำให้เกษตรกรได้ ปีนี้ทำไมจึงไม่ได้

ปฐมเหตุของปัญหาในปีนี้เกิดจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มย่าน อ.ชะอวด ต้องการใส่ปุ๋ยปาล์ม แต่เนื่องจากปีนี้ฝนตกต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคม มาจนย่างปี 2567 ต้นปีฝนจึงหยุด ชาวสวนปาล์มย่านชะอวด จึงต้องการให้ชลประทานสูบน้ำออกไป คือดันน้ำลงทะเล ทั้งที่แพรกเมือง และชะอวด แต่พี่น้องประมงชายฝั่งก็จะได้รับผลกระทบ เมื่อน้ำจืดไปผสมอยู่กับน้ำเค็ม ปลาทะเลก็อยู่ไม่ได้

มีข้อเสนอจากชาวบ้านให้กรมชลประทานสูบน้ำดันเข้าคลองไส้ไก่ ส่งน้ำเข้าไปอยู่ในคลองย่อยให้เต็ม เมื่อถึงหน้าแล้ง เกษตรกรจะได้มีน้ำใช้ในหน้าแล้ง แต่หน่วยงานรับผิดชอบไม่ทำ อ้างคำเดียว แบบกระต่ายสามขา "ไม่มีงบประมาณ"…จบข่าว

วันนี้ทราบว่า นายขจรเกียรติ์ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แบบแหกขี้ตาตื่นมา พร้อมหน่วยงานท้องถิ่นด้วย ก็ได้แค่หวังว่า ปัญหาชาวบ้านจะได้รับการปัดเป่า หมดทุกข์ อยู่สุข เสียที

‘นิพนธ์’ ลุยญี่ปุ่นเจรจาคู่ค้า ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง ต่อยอด-แตกไลน์ เพิ่มการผลิตอาหารแมว-สุนัข ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

(9 มี.ค.67) นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีต สส.สงขลา และอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ว่างเว้นจากภารกิจทางการเมือง ก็เดินสายพบคู่ค้าฝนต่างประเทศ เสนอขายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และขอบคุณคู่ค้าที่ให้การสนับสนุนด้วยดีเสมอมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นิพนธ์ว่างเว้นจากภารกิจทางการเมือง เพราะไม่ได้เป็น สส.ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นนายกฯอบจ. และไม่ได้มีตำแหน่งในการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีเวลาว่างมากพอในการเดินสายต่อยอดธุรกิจ

น้องเพชญ สรรเพชญ บุญญามณี ก็เข้มแข็งพอในการดูแลตัวเองในทางการเมืองกับการทำหน้าที่สืบทอดต่อจากบิดาในฐานะ สส.สงขลา โดยพ่อยังทำหน้าที่แค่พี่เลี้ยงอยู่ห่างๆ เป็นลมใต้ปีกให้เหาะเหินไปได้ จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะมีห่วงอยู่ก็แต่ประชาธิปัตย์จะเดินต่อไปอย่างไรท่ามกลางพายุฝนหนัก พายุหมุน พายุฤดูร้อน ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่มี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค มีเดชอิศม์ ขาวทอง เป็นเลขาธิการพรรค แต่เมื่อขับอาสาเข้ามาแล้ว ก็ต้องทำเต็มกำลังความสามารถในการฟื้นฟูพรรค พลิกหาอุดมการณ์พรรคที่จางหายไปบ้าง พร้อมระดมทุกสรรพกำลังมาช่วยกันหอบหิ้วประชาธิปัตย์หนีตกชั้นในดิวิชั่น 1-2-3 และถีบตัวไปในระดับพลีเมี่ยลีก ตามความใฝ่ฝันของ “ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคภาค กทม.

แต่ถนนสายประชาธิปัตย์ในสถานการณ์นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบให้พลพรรคเดินไปอย่างสะดวกโยธินแน่นอน มันเป็นถนนที่ขรุขระ เต็มไปด้วยโขดหินแหลมที่พร้อมจะทิ่มแทง เจาะยางได้ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นโขดหินที่แหลมคมจากก้าวไกล ปลายหอกจากภูมิใจไทย

กล่าวถึงนิพนธ์ นอกจากทำงานการเมืองตามที่ชอบแล้ว ยังเคยเป็นทนายความ เพราะเรียนจบนิติศาสตร์ จากรั้วรามคำแหง และยังทำธุรกิจอีกหลายอย่าง เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจผลิตอาหารกระป๋อง เป็นต้น

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นิพนธ์จึงเดินสายไปพบคู่ค้าที่ประเทศญี่ปุ่น และขอบพระคุณที่สนับสนุน และขยายการตลาดผลิตภัณฑ์จากบริษัทของนิพนธ์ได้มีโอกาสเยี่ยมประธานบริษัทคู่ค้าที่เมือง Kurume, Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และเป็นมิตรภาพอันดียิ่ง
“ปีแรกเริ่มธุรกิจส่งออกอาหารกระป๋อง 1-2 ตู้คอนเท็นเนอร์ แต่ธุรกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว 4-5 ปีผ่านไปการค้าขายเพิ่มเป็น 100 ตู้ คอนเท็นเนอร์ มีสินค้าที่เราผลิต วางจำหน่ายอยู่ในทุกซุปเปอร์มาเก็ต เป็นความภูมิใจที่เคยตั้งความหวังไว้เมื่อ 18 ปีที่แล้วเมื่อก่อตั้ง SIF สยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟู๊ด ว่าเราต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน จำหน่ายในญี่ปุ่นให้ได้” นิพนธ์ กล่าวกับ #นายหัวไทร อย่างภาคภูมิใจ

บริษัทSIF สยามอินเตอร์เนชั่นแนลฟูดส์ จำกัด ตั้งอยู่ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา ผลิตปลากระป๋อง แช่ในน้ำมัน เพื่อการบริโภคของคน และกำลังแตกลาย ขยายไปสู่การผลิตอาหารสัตว์ อาหารแมว อาหารสุนัข

ลูกค้ารายหนึ่งที่นิพนธ์ไปพบรับปากรับคำจะช่วยขยายตลาดอาหารแมว อาหารสุนัข ที่ตลาดกำลังเติบโตมากในญี่ปุ่น และอนาคตคู่ค้ากำลังจะขยายตลาดเข้าไปในเมืองใหญ่ “เข้าโตเกียว” มีทั้งอาหารคน อาหารแมว และอาหารสุนัข

สำหรับอนาคตทางการเมืองของนิพนธ์ เขายังเลี่ยงที่จะตอบ แค่พูดสั้นๆว่า “กำลังประเมินสถานการณ์ เพราะการเมืองเปลี่ยนตลอดเวลา แต่ตอนนี้ยังสนุกกับการทำธุรกิจ แต่มีขาเชียร์ให้กลับไปลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา

‘ผู้ว่าฯนครศรี’ ลงพื้นที่ แก้ภัยแล้ง ให้เกษตรกร  กำชับทุกส่วนให้รายงานตรง เพื่อแก้ปัญหาน้ำ อย่างเร่งด่วน

ทีมข่าว #นายหัวไทร รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่9 มีนาคม ชลประทาน เขต 15 ได้ทยอยนำเครื่องสูบน้ำ ชนิด Hydroflow ขนาด 24 นิ้ว จำนวน 2 เครื่อง เพื่อติดตั้งบริเวณปากคลองชักน้ำสาย 2 เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ ชลประทาน และ เครื่อง  ขนาด  32 นิ้ว จำนวน 4  เครื่องตามที่มีการตกลงในที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 มีนายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานการประชุม เพื่อให้ทางชลประทาน นำเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เข้าไปสูบน้ำให้ทันกับความต้องการของเกษตรกร ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเป็นช่วงเวลาของการทำข้าวนาปี

ทั้งนี้จากรายงานของชลประทาน แจ้งว่า เครื่องสูบน้ำ ขนาด 16”^12”จำนวน 3 เครื่อง จุดติดตั้ง ม. 11 บ้านหนำหย่อม ต. เชียรเขา อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. นครศรีธรรมราช จำนวน 1 เครื่อง ม. 7 บ้านดอนสำราญ ต. เชียรเขา อ. เฉลิมพระเกียรติ จำนวน 2 เครื่อง รวม 3 เครื่อง

ทั้งนี้ตามข้อตกลงในการประชุมร่วมระหว่างตัวแทนชาวบ้านกับชลประทาน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สำนักงานชลประทานที่ 15 จะทยอยติดตั้งเครื่องสูบน้ำ พร้อมเดินเครื่องสูบน้ำต่อเนื่อง ตามแผนต้องติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และเดินเครื่องต่อเนื่องทั้งหมด 51 เครื่อง ในพื้นที่โซนลุ่มน้ำปากพนัง แต่จนถึงเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ติดตั้งไปได้แค่ 11 เครื่อง จากเป้าหมาย 51 เครื่อง บางเครื่องติดตั้งแล้ว แต่ไม่ได้เดินเครื่อง ด้วยเหตุผลไม่มีงบค่าน้ำมัน

ติดตั้งแค่ 11 เครื่อง จากเป้าหมายวางไว้ 51 เครื่อง
-ต.เขาพังไกรครบแล้ว 4 เครื่อง
-ต.หัวไทร 2 เครื่อง
-ต.เชียรเขา 5 เครื่อง

-ควนชลิก 6 เครื่อง ยังไม่ติดตั้ง
-รามแก้ว 4 เครื่อง ยังไม่ติดตั้ง
-ต.แหลม ไม่อยู่ในแผนจะติดตั้งเครื่องสูบน้ำมัน

ตั้งแต่เมื่อวาน (9 มีนาคม) ทางสำนักงานชลประทานที่ 15 ซึ่งรับผิดชอบโซนลุ่มน้ำปากพนัง มีนายก่อพงศ์ เจ้ยแก้ว เป็นผู้อำนวยการชลประทานสำนัก15กลมชลประทาน ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้ครบตามเป้าหมาย โดยมีรองอธิบดีกรมชลประทาน เดินทางไปตรวจสอบด้วยตัวเอง และเริ่มเดินเครื่องสูบน้ำทันที และสูบน้ำทั้งคืน ตลอดคืนที่ผ่านมา

นอกจากติดตั้งเครื่องสูบน้ำให้เกษตรกรแล้ว ทางชลประทานยังดำเนินการขุดลอด กำจัดผักตบชวาในคลองส่งน้ำ (คลองไส้ไก่) ด้วย เพื่อส่งน้ำได้สะดวกขึ้น

นายไพโรจน์ รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดนครศรีธรรมราชกล่าวว่า ความเดือดร้อนที่ภาคเกษตรกรรมเขตลุ่มน้ำปากพนังได้รับผลกระทบจากการเปิดปิดประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิในเขตลุ่มน้ำปากพนัง ปัญหาเกิดขึ้นมากมายมีผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทั้งหน้าร้อน และหน้าฝน ปีนี้แล้งจัด กรมชลประทานไม่ได้ขับเคลื่อนในทุกเรื่องเพื่อเป็นการป้องกัน คำตอบเดียวที่ได้รับ "ขาดงบประมาณ"ในการแก้ปัญหา

แต่ละปีคลองระบายน้ำแต่ละสาย (คลองไส้ไก่) น้ำแห้งขอด กรมชลปิดประตูระบายน้ำทำให้ทางทิศเหนือน้ำท่วมขัง-เน่า ขาดการบริการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ 

”พวกเรากำลังเตรียมส่งเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นถวายฏีกาเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและจริงจังกับเกษตรกรลุ่มน้ำปากพนัง“

ผู้สื่อข่าวรายงานในที่ประชุมที่มีผู้ว่าฯเป็นประธานได้มีการซักถามเกี่ยวกับเรื่องของการบริหารจัดการน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังพร้อมทั้งมีการสอบถามว่าผู้ใดเป็นคนพูดว่าไม่มีงบประมาณซึ่งในที่ประชุมได้มีการพยายามชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนกระทั่งนายขจรเกียรติ รักพาณิชย์มณี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชได้สั่งการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน พร้อมกำชับให้รายงานผลการปฏิบัติต่อนายอำเภอในแต่ละพื้นที่เพื่อให้ทันกับความต้องการใช้น้ำของเกษตรกรในพื้นที่และหากพบปัญหาให้รายงานด่วนตรงมายังผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชทันที
 

‘รัฐบาล’ เคลมผลงาน ‘ราคายางพารา’ พุ่ง 80 บาท/กก. แท้จริง!! ‘ยางผลัดใบ-โรคใบร่วง’ ทำให้ดีมานด์สูงขึ้น

รัฐบาล ทั้งนายกฯ รมว.เกษตรฯ โฆษกรัฐบาล โฆษณาจังว่ายางพาราราคาพุ่งถึง 80 บาท/กก.เป็นผลงานรัฐบาล อยากให้พูดไปตลอดทั้งปีนะ ถ้ายางพาราราคาตก อย่าบอกนะว่าเป็นกลไกการตลาด เป็นเรื่องของ demand/subply หรือตลาดโลก

นำเรียนว่าช่วงนี้น้ำยางพาราออกสู่ตลาดน้อย ความต้องการยางพาราสูงขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการบิน เป็นต้น ล้วนต้องการยางพารา

ส่วนสาเหตุน้ำยางพาราออกสู่ตลาดน้อย มาจาก…

- ยางผลัดใบ ช่วงต้นปีของทุกปีจะเป็นช่วงยางผลัดใบ ชาวสวนไม่สามารถกรีดยางได้
- ตั้งแต่ปลายปี 66 มาจนถึงมกราคมปี 67 ภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางพารามีฝนตกต่อเนื่อง ยาวนาน ชาวสวนไม่สามารถออกไปกรีดยางได้
- โรคใบร่วงระบาดในสวนยางพารา โดยระบาดหนักใน 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และลามมาอีกหลายจังหวัด
- โรคใบร่วงยังระบาดไปอีกหลายจังหวัดที่มีการปลูกยางพารา การกรีดยางทำให้น้ำยางลดลง 30-40% และทำให้ต้นยางพาราอ่อนแอลง
- โรคใบร่วงในยางพารา มีมาตั้งแต่ปี 2562 โดยเริ่มระบาดที่อินโดนีเซีย มาถึงมาเลเซีย และเข้ามายังประเทศไทย
- รัฐบาลยังตื่นตัวน้อยกับการแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงในยางพารา และยังอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลองการแก้ปัญหาโรคใบร่วงด้วยซ้ำ

รัฐบาลอย่าเพิ่งตีปีกดีอกดีใจ โฆษณาว่าการที่ยางพาราราคาขยับตัวขึ้นไปสูงอาจจะถึง 80 บาท/กก.ว่าเป็นผลงานของรัฐบาล เพราะยังไม่เห็นวิธีการที่ชัดเจนของรัฐบาลในเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาราคายางพารา มีแต่เห็นว่าเร่งปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราจากประเทศเพื่อนบ้าน (ยางพาราเถื่อน) ซึ่งยางพาราในประเทศเพื่อนบ้านเรา ยังราคาถูกมาก แต่ 20-30 บาท/กก.เท่านั้นเอง จึงมีการลักลอบนำเข้ามาขายในบ้านเรา

อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อน หรือแม้กระทั่้งยางพาราทรานซิส (ผ่านทาง) ไปยังมาเลเซีย ที่อาจจะตกหล่นขายอยู่ในตลาดบ้านเราก็เป็นไปได้

ถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบปราบทั้งยางพาราเถื่อน และยางพาราทรานซิส สาวให้ลึกถึงผู้อยู่เบื้องหลัง แล้วนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน อาจจะถึงกับร้อง ‘อัยหย่า ซี้เลี่ยวฮ่า’ เพราะอาจจะเป็นคนที่อยู่ไม่ไกลตัวนายกฯ ก็เป็นได้ 

ยังไม่เห็นรัฐบาลคิดออกมาเป็นนโยบายในการดำเนินการเกี่ยวกับยางพารา เช่น ที่เคยเป็นนโยบายก่อนหน้านี้ ให้ทุกกระทรวงที่สร้างถนน ต้องวางงบประมาณให้มีส่วนผสมของยางพารา 10% แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นบ้าง แต่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร หรือการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เช่น ที่นอน หมอน รองเท้า ตีนกบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำยางพาราไปทำแท่งแบริเอ่อร์ ที่ช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะยางพารามีความยืดหยุ่น ลดการสูญเสีย หรือยาวสะพานตรงถนนโค้ง ก็ห่อหุ้มด้วยยางพารา จะลดการสูญเสียลงไปได้มาก 

กระทรวงกลาโหม แทนที่จะใช้กระสอบทรายทำบังเกอร์ก็ใช้ยางพารา น่าจะได้ผลดี

ทั้งหมดนี้อยากจะฝากไปยังรัฐบาล ให้ศึกษาเรียนรู้ให้ดีก่อนออกมาตีกิน กลัวว่าสุดท้ายแล้ว จะหาทางลงไม่ได้เหมือนดิจิทัล วอลเล็ต ตายคานโยบาย

'ภูมิใจไทย' จัดทัพหลวงปูพรมขยายฐาน 'นครศรีฯ' หลังเขต 8 จ่อเลือกตั้งใหม่ 'ปชป.-พปชร.-ก้าวไกล' พร้อมหน้า

27 มีนาคมนี้ นครศรีฯ จะคึกคักอีกครั้ง เมื่อเสนาบดีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเดินทางไปเหยียบเมือง เน้นพื้นที่เขตเลือกที่ 8 

นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในสังกัด ตลอดจนกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค จะร่วมงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดธาตุน้อย ต.หลักช้าง อ.ช้างกลางในเวลา 15.30 น. 

โดยก่อนเข้าร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้น ในเวลา 14.00 น. นายอนุทินและนายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ จะร่วมพบปะผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นและตัวแทนสถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เขต 8 ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช 

มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย จะเดินทางลงมาพร้อมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงแรงงาน โดยนายชาดาจะแยกเดินทางต่อไปยัง อ.พิปูนและฉวาง เพื่อพบปะกับชาวบ้าน ส่วนนายพิพัฒน์ เข้าพื้นที่ อ.นาบอน เพื่อพบปะพูดคุยกับชาวบ้านและผู้ประกอบการโรงงานยางพารา ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเปิดเวทีปราศรัย ที่ อ.ช้างกลาง มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าคณะ

เป็นการยกทัพหลวงชุดใหญ่ลงพื้นที่เน้นเขตเลือกตั้งที่ 8 นครศรีฯ และเป็นการลงพื้นที่หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติส่งฟ้อง 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' ชงให้มีการเลือกตั้งใหม่

โดยพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมหาผู้สมัครแทนไว้แล้ว และเดินสายพบปะประชาชนอยู่ต่อเนื่อง หลัง กกต.ชงศาลให้สั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ แน่นอนว่าการลงพื้นที่แบบเต็มแม็กของภูมิใจไทย เป็นการส่งสัญญาณชัดถึงการเลือกตั้งใหม่

สำหรับคู่แข่งของพรรคภูมิใจไทย จะมีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันแล้วว่าจะส่ง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส.หลายสมัยที่สอบตกครั้งที่แล้ว ลงพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง

พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยืนยันว่า ส่งคนเดิม คือ สุนทร รักษ์รงค์ ที่ครั้งผ่านมาได้อันดับ 2 ที่คงจะสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาแล้ว

พรรคก้าวไกล มีอยู่สองตัวเลือก ชายคนหญิงคน รอสรุปว่าจะเลือกใคร หลังพรรคให้ทั้งสองคนไปทำการบ้านมา คนหนึ่งเป็นหญิงสาวชาวจันดี อายุ 26 ปี

พรรครวมไทยสร้างชาติก็หึ่มๆ ว่าจะส่งอยู่เหมือนกัน แต่ภาพยังไม่ชัดนักว่าจะส่งใครลงชิงสำหรับสนามช้างกลาง, ฉวาง, นาบอน, พิปูน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top