Thursday, 2 May 2024
นายหัวไทร

จับตา!! ‘ประชาธิปัตย์’ นัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 บ่ายวันนี้ เคาะวันเลือกหัวหน้าพรรค-คกก.บริหารชุดใหม่ หวังสยบความขัดแย้ง

(14 พ.ย. 66) เวลา 14.00 น.วันนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดรักษาการ เพื่อกำหนดวัน-สถานที่จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทนชุดของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้ สส.มาเพียง 25 คนเท่านั้นเอง จากในทีแรกที่ตั้งเป้าไว้ 60 คน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2566 เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประสบปัญหา ‘องค์ประชุมล่ม’ ถึง 2 ครั้ง จากปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคของ 2 ขั้วกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค นายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ และนายชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรค เป็นแกนนำกลุ่ม มี สส.ในมือ 22 คน ชูนายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค

กลุ่มผู้อาวุโสของพรรคที่มี สส. 3 เสียง ซึ่งให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคให้กลับมานำพรรคอีกครั้ง ซึ่งไม่มีการเจรจารอมชอมกันภายในพรรค จึงทำให้ไม่สามารถเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้และหัวหน้าพรรคคนใหม่ได้

จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า ในการนัดวันประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 นี้ ปัญหาดังกล่าวจะยุติลงและได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ที่สมาชิกพรรคทั่วประเทศให้การยอมรับหรือไม่ หรือจะมีการตบเท้าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เพิ่มความขัดแย้งในพรรคเพิ่มขึ้นอีก 

การทอดเวลาในการประชุมใหญ่วิสามัญมานานถึง 2 เดือน ทราบว่า มีความพยายามในการเจรจากัน เพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง และเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ พรรคจะได้เดินหน้าต่อไปได้

การเจรจาต่อรองน่าจะนำผลการสอบสวนเรื่องการโหวตสวนมติพรรคของกลุ่ม สส.ในสายของนายเฉลิมชัยมาพิจารณาด้วย โดยมติของคณะกรรมการสอบสวน น่าจะพบว่า สส.ที่โหวตสวนมติพรรคมีความผิด และจะเสนอบทลงโทษออกเป็น 3 แนวทาง ตามฐานความผิด คือ 1.) ลงโทษขับพ้นพรรค (บางคน) 2.) ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมกำหนดเงื่อนไข (บางคน) และ 3.) ตักเตือนด้วยวาจา พร้อมกำหนดเงื่อนไข (บางคน) โดยข้อสรุปนี้ จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารด้วยเพื่อลงมติ

กระแสสอย ‘71 สส.ฉาว’ จากหลากพรรคเงียบกริบ ปล่อยนั่งชูคอกินเงินเดือนในสภาฯ ไร้การตรวจสอบ

ครบ 6 เดือนเต็มแล้วที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา จำนวน สส.เขต 400 สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน รวมเป็น 500 คน

กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง สส.ทุกคนที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในระบบเขตเลือกตั้ง ท่ามกลางการร้องเรียนเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย จน กกต.ทำงานไม่ทัน มีเรื่องร้องเรียนทั้งซื้อเสียงเลือกตั้ง จัดเลี้ยง กล่าวหาว่าร้าย (ใส่ร้าย) คู่แข่ง แต่ กกต.ไม่มีปัญญาจับคนทำผิดกฎหมายได้เลยแม้แต่รายเดียว ทั้ง ๆ ที่ กกต.มีกลไกมากมาย ทั้งส่วนกลาง และระดับจังหวัด ทั้งยังมีผู้ตรวจการเลือกตั้งเป็นตัวช่วยอยู่อีกด้วย

ชาวบ้านทุกหย่อมหญ้ารับรู้รับทราบถึงการซื้อเสียงกันครึกโครม ตั้งแต่หัวละ 500-2,000 บาท แต่ละเขตเลือกตั้งผู้สมัครที่คาดหวังว่าจะได้ทุ่มกันเขตละ 20-30-50 ล้านบาท แต่ กกต.กลับไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปสืบเสาะมาได้เลย ทั้ง ๆ ที่มีฝ่ายสืบสวน ฝ่ายสอบสวนอยู่พร้อมสรรพ

เสร็จการเลือกตั้งจึงมีเรื่องร้องเรียนการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย ผู้ร้องต้องหาหลักฐานไปส่งให้ กกต.เอง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ ก่อนการเลือกตั้ง กกต.ไม่มีปัญญาสอยผู้สมัครรายใดได้เลย แม้แต่รายเดียว แถมเสร็จการเลือกตั้ง กกต.กลับรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่มีคะแนนอันดับ 1 และมีเรื่องมีราวร้องเรียนอยู่ เข้าไปเดินเฉิดฉายอยู่ในสภา นั่งชูคอสะล่อนเกือบครึ่งสภา ไม่มีใบแดง ใบเหลือง หรือใบส้ม ใบดำ เลยแม้แต่ใบเดียว

แถมยังออกมานั่งชูคอแถลงข่าวคอเป็นเอ็น ‘ผลการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม’ เป็นการแถลงรับรองผลการเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อร้องเรียน และความสงสัยของชาวบ้าน

ก่อนหน้านี้เมื่อสักสองเดือนก่อน มีข้อมูลหลุดออกมาจาก กกต.ว่า เตรียมสอย สส. 71 เขต จากทั้งหมด 400 เขต จากพรรคการเมืองหลักเกือบทุกพรรค ทั้งเพื่อไทย ก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ มีระบุชัดว่ามีจังหวัดไหน เขตไหน แต่แล้วข่าวนี้ก็หายไปตามกระแสลมหวน ไม่มีข่าวไม่มีคราวความคืบหน้าอะไรออกมาอีกเลยจนถึงวันนี้

6 เดือนเต็มที่ กกต.ปล่อยให้ผู้ถูกร้องเรียน และส่อว่าจะมีมูล เข้าไปนั่งอยู่ในสภาอันทรงเกียรติ กินเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทางจากภาษีประชาชน เดือนละ 2-3 แสนบาท แถมบางคนไม่ได้เป็น สส.ที่มีส่วนร่วมอยู่ในการทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง กลับได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางการเมือง เข้าไปเบ่งกล้ามอยู่ในทำเนียบบ้าง ในกระทรวงต่าง ๆ บ้าง ลูกน้องเดินตามหน้าตามหลังเบ่งอำนาจบารมีกันยิ่งกว่า ‘แมงปอ’

หรือว่า กกต. ขี้ขลาดจากประสบการณ์ที่เลินเล่อ เสนอให้ใบส้ม ‘สุรพล เกียรติ์ไชยากร’ ผู้สมัคร สส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และศาลพิพากษาให้ กกต.ต้องชดใช้เงิน 62 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย

หรือการปล่อยข่าวออกมาว่าจะสอย 71 เขตเลือกตั้ง และทอดเวลาออกไปสองเดือน เป็นการเคาะกะลา แม้จะยังมีเวลาอยู่ตามกรอบของกฎหมายสอยได้ใน 1 ปี แต่ไม่ควรลืมว่า ‘ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม’ และประชาชนเป็นผู้เสียโอกาส กกต.ควรจะเร่งมืออย่างรอบคอบ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่ทอดเวลาออกไปจนชาวบ้านชาวช่องรู้สึกได้ถึงความอ่อนด้อย และไร้ประสิทธิภาพ

‘ถาวร’ พร้อมหนุน ‘พระนาย’ นักเรียน รร.นานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ หลังคว้าแชมป์กอล์ฟเยาวชน รายการ ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’

‘พระนาย’ นักเรียนทุน Bloomsbury international school Hatyai คว้าแชมป์ กอล์ฟเยาวชน ‘ถาวร’ ยินดีพร้อมหนุน พัฒนานักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย สู่ระดับมืออาชีพในอนาคต

ช่วงระหว่าง วันที่ 10-12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่สนามกรังปรีซ์ กอล์ฟคลับ จังหวัดกาญจนบุรี มีการจัดการแข่งขัน กอล์ฟเยาวชน ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’ ส่วนกลาง สนาม 5 คลาส S-A-B โดยมีตัวแทนเยาวชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน

โดยผลการแข่งขันในรุ่นคลาส AB ผู้คว้าแชมป์ ได้แก่ นายวิศว์ จิตตธร, รุ่นคลาส AG แชมป์ ได้แก่ นางสาวธัญจิรา อิสสระผล, รุ่นคลาส BB แชมป์ ได้แก่ นายพระนาย เหรียญไกร และเป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย, รุ่นคลาส BG แชมป์ ได้แก่ นางสาวมาริษา โตใจ, รุ่นคลาส SB แชมป์ ได้แก่ นายภูธเนษฐ์ กังวล, รุ่นคลาส SG แชมป์ ได้แก่ นางสาวพิมพ์ชมพู ฉายศิลป์รุ่งเรือง

สำหรับพระนาย เหรียญไกร เป็นนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่มี ‘ถาวร เสนเนียม’ นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาอยู่

‘ถาวร เสนเนียม’ ประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai ได้ออกมาแสดงความยินดีกับน้องพระนาย เหรียญไกร ซึ่งเป็นนักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทยที่มีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนต่อความฝันของอาชีพคือ

1. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
2. Bloomsbury International School Hatyai และ
3. ร้าน Crochet ซึ่งจะเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องพระนายในการแข่งขันกีฬากอล์ฟ 

“ผมในฐานะประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai เราพร้อมสนับสนุนน้องพระนาย ให้เดินตามความฝันทั้งด้านการเรียนและด้านกีฬาอย่างสุดกำลัง” ถาวร เสนเนียม กล่าว

โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ บริหารโดยคุณพิมพ์จันทร์ เสนเนียม ทายาทของถาวร เสนเนียม 

นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ถาวร เสนเนียม ว่า…

“คณะผู้บริหาร Bloomsbury International School Hatyai โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ คณะนี้เข้าบริหารตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งผม นายถาวร เสนเนียม รับหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษา จนถึงขณะนี้ Bloomsbury International School Hatyai ได้รับรองการประเมินความเป็นมาตรฐานจาก 2 องค์กร คือ

1.มาตรฐานของสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565

2.มาตรฐานของ CIS (Council of International Schools) ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมกราคม 2565 (January 2022)

ซึ่งถือว่ามีคุณภาพในด้านการเรียนการสอนและการบริหารเป็นที่น่าพอใจยิ่ง

วิธีการตรวจสอบว่าโรงเรียนใด สามารถดำเนินการจัดการศึกษาได้มาตรฐานหรือไม่ กฎหมายได้กำหนดให้มีการรับรองมาตรฐานเรียกว่าการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการติดตาม และตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ระบุไว้ในมาตรา 49 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คือ สมศ. เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

เป้าหมายของการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อให้สถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม และโปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ สร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษาของชาติ โดยให้มีเอกภาพเชิงนโยบาย ซึ่งสถานศึกษาสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนา คุณภาพการศึกษาให้เต็มศักยภาพของสถานศึกษาและผู้เรียน ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับสถานศึกษา ในการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษา สร้างความเป็นอิสระ เสรีภาพทางวิชาการ เอกลักษณ์ ปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม และพลเมืองของโลก ตามเป้าหมายการศึกษาชาติ

สำหรับการประกันคุณภาพโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาตินั้น นอกจากจำเป็นต้องได้รับการประเมินและประกันคุณภาพจาก สมศ. แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับรองการประกันคุณภาพภายนอกจากองค์กรซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกระทรวงศึกษาธิการหรือองค์กรที่เป็นสากล เช่น CIS , WAS เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กร CIS ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นการยืนยันว่าโรงเรียนแห่งนี้ สามารถจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนมีมาตรฐานทัดเทียมกับโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ ทั่วโลก สร้างความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active citizen) มุ่งเน้นให้เป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะเรียนรู้ (Learner) อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก (well being) และสร้างความยั่งยืน (sustainable)”

‘รามคำแหง’ มหาวิทยาลัยประชาชน ที่เป็นมากกว่าห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่คือแหล่งบ่มเพาะความรู้ ที่ให้โอกาสและสร้างบัณฑิตสู่สังคมตลอด 52 ปี

“รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ” คือประโยคแรกที่พบเห็นในวันที่ก้าวย่างเข้าสู่รั้ว ‘รามคำแหง’

‘รามคำแหง’ คือ ‘มหาวิทยาลัยประชาชน’ เป็นตลาดวิชา แหล่งศึกษาเรียนรู้ของลูกคนยากคนจน ที่ถูกระบบการศึกษาแบบ ‘แพ้คัดออก’ ถีบส่งมา

ในเดือนพฤษภาคมของปี 2523 ผมหอบสังขาร พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปในรั้วรามคำแหงด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น มาหาความหมายของชีวิต เป้าหมายคือ ‘หอบใบปริญญาไปฝากพ่อแม่’

ในวันนั้น รามคำแหงคราคร่ำไปด้วยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่พลาดหวังกับการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัยเปิด พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่ ที่มานั่งคอยแนะนำ คอยบอกในการกรอกใบสมัครเข้าเป็นนักศึกษา

ไม่เพียงแค่นั้น รุ่นพี่ยังคอยแนะนำ-ชักนำให้เข้าร่วมการทำกิจกรรมกับกลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษา บอกเล่าถึงปัญหาของสังคมที่เรา ในฐานะลูกหลานประชาชนจะต้องเข้าร่วมเพื่อการสะท้อนปัญหา หรือแก้ไขปัญหา

ผมไม่รู้จักรามคำแหงมาก่อนเลย ก่อนจะมาสมัครเป็นนักศึกษา รู้แค่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ที่สอนต่อจากระดับมัธยมเท่านั้น กลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษาอะไร ผมไม่รู้จัก ก็ต้องสอบถาม และรับรู้จากรุ่นพี่ที่มาคอยแนะนำ บอกเล่า

ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ตามรุ่นพี่เล่าให้ฟัง คือ ‘จบง่าย’ แต่ผมคิดอยู่นิดเดียวว่า ต้องเรียนอังกฤษถึง 4 เล่ม ซึ่งเป็นวิชาที่ผมสอบตก ต้องแก้มาตลอด แต่ไม่น่าจะมีคณะอื่นที่เหมาะสำหรับเรา เอาล่ะ… ไม่ลองก็ไม่รู้

เทอมแรกของลูกหลานประชาชน ลงทะเบียนเรียนไป 18 หน่วยกิต รวมถึงวิชาภาษาอังกฤษด้วย สมัครเสร็จหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากลับที่พัก ไปนอนค้างหอพักเพื่อนในซอยเทพลีลา

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว…”

กระดาษแผ่นเดียวอันเป็นสัญญลักษณ์ของการเรียนจบ เป็นใบเบิกทางชีวิต แต่จริงๆ แล้ว 6 ปีในรั่วรามคำแหง เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมากมาย ได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่มีสอนในตำรา ต้องไขว่คว้าหาเอาเอง ซึ่งมีแหล่งศึกษาเรียนรู้มากมาย

6 ปีที่เราถูกเคี้ยวจนข้น ก่อนเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยประชาชนที่เราภาคภูมิใจยิ่ง ก้าวเดินออกมาอย่างมาดมั่นว่า เราเข้มแข็งพอ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีพอที่จะสู้กับใครก็ได้ ในภาวะสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

“จบรามฯ” เรากล้าบอกกับใครก็ได้ อย่างไม่รู้สึกด้อยกว่า พร้อมที่จะเดินเชิดหน้าสู้ในสังคมเส็งเคร็ง และที่ผ่านมา เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ‘ลูกพ่อขุน’ ไม่แพ้ใคร ทุกแวดวงวิชาชีพจึงเต็มไปด้วย ‘บัณฑิตรามคำแหง’

‘52 ปี รามคำแหง’ ได้สร้างคน สร้างบัณฑิตมาแล้วกว่า 1 ล้านคน และยังมีนักศึกษาในระบบอีกร่วมแสนคน

รามคำแหงจึงไม่ใช่แค่ตึก ไม่ใช่แค่ห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่เป็นแหล่งบ่มเพาะ แหล่งศึกษา แหล่งเรียนรู้ ทั้งในระบบ และนอกระบบ เพื่อนมากมายก็เจอในรั้วรามคำแหง

ที่ไหนมีคน ที่นั้นมีปัญหา รามคำแหงได้ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหามามากมาย ทุกประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง รามคำแหงจะต้องถูกบันทึกไว้ถึงการมีส่วนร่วม

“มีรามฯ ถึงมีเรา” ถ้าไม่มีรามฯ ก็ไม่มีเราในวันนี้ เพราะรามคำแหง คือ ‘เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง’

จับยามสามตา ทิศทางการเมือง ‘บุญญามณี’ เมื่อ ‘สรรเพชญ’ เปรย “ต้องทบทวนของตนเอง”

(10 ธ.ค. 66) น่าสนใจยิ่งกับบทบาทต่อไปของ ‘บุญญามณี’ ซึ่งหมายถึง ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทายาททางการเมืองของนิพนธ์ บุญญามณี

น่าสนใจเพราะทั้ง ‘นิพนธ์’ และ ‘สรรเพชญ’ อยู่คนละขั้วกับทีมที่ชนะการเลือกตั้งในศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทีม ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ เข้ามาบริหารพรรคชุดใหม่ และตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ สส.สงขลา ที่อาจจะกล่าวได้ว่า ‘อยู่คนละฝั่ง’ กับนิพนธ์ ก็เข้ามานั่งเป็นเลขาธิการพรรค

ท่องยุทธภพไปเจอ ‘สรรเพชญ’ โพสต์ข้อความน่าสนใจยิ่งขึ้น

สจฺจํ เว อมตา วาจา
“คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย”

คำขวัญที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…

วันนี้ท่านอดีตหัวหน้าอภิสิทธิ์ฯ ได้พิสูจน์ให้ชาวประชาธิปัตย์เห็นแล้วว่า คำว่า ‘สัจจะ’ มีความหมายเพียงใด ท่านไม่เพียงแค่พูด แต่ท่านได้แสดงให้เห็น วันนี้คงเป็นอีกหนึ่งวันที่ชาวประชาธิปัตย์หลายๆ คนรวมถึงตัวผมเองต้องคิดทบทวนบทบาทของตัวเองอีกครั้งหนึ่งครับ

และขอให้พี่น้องมั่นใจว่า ผมจะยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไปครับ

‘สฺจจํ เว อมตะวาจา’ เป็นคำขวัญประจำพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน อันเป็นการสะท้อนว่า “พลพรรคค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม ต้องรักษาสัจจะ รักษาคำพูน การพูดความจริง จะเป็นอมตะ ไม่ตาย”

การที่สรรเพชญยกคำนี้ขึ้นมากล่าวอ้างในสถานการณ์นี้ จึงน่าสนใจ น่าคิดกับถ้อยคำที่ตามมากับคำว่า “ทบทวนบทบาทของตนเอง” จะตีความว่าอย่างไรกับวลี “ทบทวนบทบาทของตัวเอง” ก็ไม่อยากตีความ หรือคิดเอาเอง

เช่นเดียวกับบทบาททางการเมืองในอนาคตของ ‘นิพนธ์’ จะเดินหน้าภารกิจทางการเมืองอย่างไร หรือวางไว้เท่านี้ และให้ทายาททางการเมืองเดินหน้าต่อ

จับตาดูนะครับ ทิศทางทางการเมืองของ ‘บุญญามณี’ จะไปทางไหน และเป็นอย่างไร…

‘เชาว์’ ซัดแรง!! ‘ประชาธิปัตย์’ ยุคผู้นำไร้สัจจะ ต่อไปจะกล้าก้มหน้ากราบพระแม่ธรณีได้อย่างไร?

(10 ธ.ค. 66) ‘เชาว์ มีขวด’ อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความน่าสนใจเกี่ยวกับการรักษาสัจจะของผู้นำทางการเมือง ผู้นำของพรรคประชาธิปัตย์…

โดย เชาว์ กล่าวนำว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ผู้นำพรรคไม่มี ‘สจฺจํ เว อมตา วาจา’

“ผมไม่บอกว่าจะได้กี่เขต แต่วันที่พรรคมีวิกฤต ผมประกาศไว้ชัดเจนแล้ว ว่ารอบนี้ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ต่ำกว่า 52 ที่ ผมเลิกเล่นการเมืองทั้งชีวิต เลิกเล่นนะ ไม่ใช่หยุดเล่น เลิกคือหันหลังเดินออกไปเลย”

เริ่มต้นเรื่องราวที่อยากบันทึกไว้ ด้วยคำพูดของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ที่กล่าวไว้ในหลายเวทีหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ วันที่ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มี ‘สจฺจํ เว อมตา วาจา’ เพราะจากที่เคยบอกจะวางมือทางการเมือง กลับมารับหน้าที่กุมบังเหียนพรรค ด้วยเหตุผลว่า…

“ผมมีความจำเป็นครับ และผมก็อยากจะเห็นพรรคเดินไปข้างหน้า ผมจะทำทุกอย่างให้พรรคมีเอกภาพ ผมจะทำให้พรรคซึ่งมีอยู่แล้วนี้ ยึดมั่นในหลักการและอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญเมื่อสักครู่ที่ผมคุยกับท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ก็คือ ผมยืนยันกับหัวหน้าอภิสิทธิ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่”

ก้าวแรกของเส้นทางหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายเฉลิมชัย ก็ได้ทำลายหลักการ และคำขวัญของพรรค ‘สจฺจํ เว อมตา วาจา’ คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะท่านไม่ได้รักษาสัจจะ สัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

ผมไม่ได้รังเกียจนายเฉลิมชัยเป็นการส่วนตัว แต่การที่นายเฉลิมชัยตระบัดสัตย์ต่อคำพูดตนเองที่ให้ไว้ต่อสาธารณะ แล้วก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสิ่งที่ไม่สง่างามในทางการเมือง และเป็นการทำลายพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทุกคำพูดของนายเฉลิมชัย นับตั้งแต่วันนี้คือ ‘คำพูดของพรรคประชาธิปัตย์’ นายเฉลิมชัยพูด ก็คือพรรคพูด เพราะฉะนั้น ตราบใดที่นายเฉลิมชัยยังเป็นผู้นำพรรค พรรคประชาธิปัตย์ก็จะไม่มีความน่าเชื่อถือต่อสาธารณะอีกต่อไป

“ผมไม่แน่ใจว่า นายเฉลิมชัย จะก้มกราบพระแม่ธรณีบีบมวยผม บริเวณลานที่ทำการพรรค ซึ่งมีคำขวัญ ‘สจฺจํ เว อมตา วาจา’ อันแปลว่า ‘คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย’ ที่จารึกอยู่ใต้ฐานพระแม่ธรณีฯ ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของพรรคอย่างไม่ละอายได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่ได้มีวาจาสัตย์จริง ทุกคำพูดที่พ่นออกมาว่าจะฟื้นฟูพรรค สำหรับผมไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย เพราะวันนี้คำว่า ‘พรรค’ ถูกทำลายจากคำว่า ‘พวก’, ‘อุดมการณ์’ ถูกทำลายเพราะความกระสันในอำนาจและผลประโยชน์ ไม่น่าแปลกใจที่นายเฉลิมชัย จะไม่กล้าฟันธงว่า พร้อมเป็นฝ่ายค้านไม่ร่วมรัฐบาล เพราะบางคนเห็นแสงรำไร กับ 2 โควตารัฐมนตรีในรัฐบาลที่ยังว่างอยู่”

เป็นที่รับรู้กับว่า ‘เชาว์  มีขวด’ ก้าวเข้าสู่วงการทางการเมืองจากการชักชวนของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ให้เข้ามาทำหน้าที่รองโฆษกพรรคในสมัยที่อภิสิทธิ์นั่งเป็นหัวหน้าพรรค และถือว่าทำหน้าที่ได้ดี เมื่ออภิสิทธิ์ถอยออกไป เชาว์ก็ลดบทบาทตัวเองลง ไปประกอบอาชีพทนายความเหมือนเดิม

ก้าวต่อไป 'ประชาธิปัตย์' จะฝ่ามรสุมไปอย่างไร? หลังวิกฤติเลือดไหลออกซัดโถม โซเชียลถล่มเละ

พรรคประชาธิปัตย์จะเดินต่อไปท่ามกลางกระแสคลื่นลมแรงอย่างไร หลังการประชุมใหญ่เลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทนชุดของ 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' อดีตหัวหน้าพรรคที่ลาออกหลังผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม นำพาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยิน ได้มาแค่ 25 ที่นั่ง จากเป้าที่ตั้งไว้ 60-70 ที่นั่ง

ที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์เลือก 'เฉลิมชัย ศรีอ่อน' เป็นหัวหน้าพรรค มี 'เดชอิศม์ ขาวทอง' สส.สงขลา เป็นเลขาธิการพรรค โดยไม่มีคู่แข่ง ซึ่งคู่แข่งอย่าง 'มาดามเดียร์ วทันยา บุนนาค' ถูกตัดออกด้วยคุณสมบัติที่ไม่ครบ เป็นสมาชิกพรรคไม่ถึง 5 ปี แต่ในทางปฏิบัติถ้าจะให้สง่างามในสไตล์ประชาธิปัตย์ ต้องเปิดช่องให้มาดามเดียร์ได้ลงแข่งขัน เพียงแค่งดเว้นการบังคับใช้ข้อบังคับพรรคข้อนี้ ทุกอย่างก็จะสง่างาม และมาดามเดียร์ก็ยากจะชนะอยู่แล้ว เพราะโหวตเตอร์ส่วนใหญ่ถูกล็อกไว้หมดแล้ว

การประชุมยังไม่แล้วเสร็จ สมาชิกบางคนเริ่มทยอยลาออก ประเดิมด้วย 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ที่ปิดห้องคุยกับเฉลิมชัย 10 นาที แต่ไม่มีอะไรลงตัว ทั้งสองยังยืนยันในจุดยืนของตัวเอง 'อภิสิทธิ์' จึงถอยออกไปนั่งดู ให้ 'เฉลิมชัย' เป็นตัวแสดงบทนำต่อไป

สาธิต ปิตุเตชะ เป็นอีกคนที่ลาออกตามอภิสิทธิ์ไป ไม่เว้นแม้กระทั่ง 'ติ๊งต่าง' แฟนพันธุ์แท้ของประชาธิปัตย์ ก็ลาออก พร้อมวลี “ยกพรรคให้เขาไป” เราอยู่กันไม่ได้กับคนไร้สัจจะ และสีเทา

สัจจัง เว อมตะ วาจา วาจาจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย คำขวัญใต้พระแม่ธรณีบีบมวยผม ใต้โลโก้พรรคถูกหยิบขึ้นมากล่าวขานเหน็บแนมไปยังเฉลิมชัยอย่างแหลมคม ทิ่มเข้าไปเต็มอก เหตุเพราะเฉลิมชัยเป็นลั่นวาจาไว้เองในหลากหลายเวทีว่า ถ้าผลการเลือกตั้งได้น้อยกว่าเดิม จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต ถอนกลับไปอยู่บ้านประจวบคีรีขันธ์ แต่การกลับเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ต่างให้ความหมายที่ตรงกับว่า 'ตระบัดสัตย์'

สิ่งที่ไม่ควรลืม คือการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือผู้ที่จะเป็น 'แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี' ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหมายถึงตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศ นักการเมืองสำคัญคือ คือต้องรักษาคำพูด ไม่กลับกลอกไปมา เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน การรักษาสัจจะ รักษาคำพูด และใจถึงพึ่งได้ จนนักการเมืองหลายคนนำมาใช้เป็นคำขวัญประจำตัวว่า "ใจถึงพึ่งได้ คำไหนคำนั้น"

สถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์เวลานี้เหมือน 'คนป่วยวิกฤติ' มีแต่เลือดไหลออก ล่าสุด 'อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์' ก็โพสต์เฟซบุ๊กอำลาไปอีกคนหนึ่งแล้ว และคิดว่า ยังจะมีอีกไม่น้อยที่ถอยออกไป

จับกระแสจากโซเชียลกับการเปลี่ยนแปลงในพรรค ยิ่งน่ากลัวกว่า พลันที่พรรคประชาธิปัตย์โพสต์รายชื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ลงบนเพจของพรรค ก็โดนถล่มเละ พูดได้ว่า 'เละเป็นโจ๊ก' เกิน 95% ตำหนิด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และโบกมือลา กระแสใน x (ทวิตเตอร์) ก็ไม่แตกต่างกัน

สิ่งที่เป็นคำถามคือ คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าฟื้นฟูพรรค ฟื้นหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคได้อย่างไร เพราะแค่ก้าวแรกก็โดนเตะตัดขาจนจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว

3 เดือนจะต้องเห็นผล และจะมีการประเมินผลงานกรรมการบริหารพรรคทุกคน...นี่คือ วาจาของเฉลิมชัยที่ลั่นไว้ในวันที่ได้รับเลือกตั้ง ในวันที่ยังไม่เห็นทิศทาง แนวทาง ว่าจะหยิบอะไรขึ้นมาเป็นจุดขาย ท่ามกลางการถูกถล่ม 'พรรคสีเทา ไม่ใช่สีฟ้า' แม้เฉลิมชัยจะบอกว่า กรีดออกมาเลือดก็เป็นสีฟ้า ไม่แตกต่างจากอภิสิทธิ์

77 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 78 พรรคประชาธิปัตย์ยังต้องไปหยิบเอกสารอุดมการณ์ของพรรคมานั่งอ่านทบทวนกันใหม่ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นก้าวเดินไปข้างหน้า หันกลับมาหัวเราะใส่พรรคเก่าแก่ ที่บอกกับสังคมว่าเป็น สถาบันทางการเมือง

‘นิพนธ์-สรรเพชญ’ ขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ 67 ทั่วสงขลา แต่ไร้โลโก้ ปชป. คอการเมืองลือสนั่น!! หรือเลือกตั้ง อบจ.ปี 68 บ้านใหญ่จะหวนคืนสังเวียน?

(27 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวบรรยากาศการเมืองในจังหวัดสงขลา ก่อนการเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 มีการพูดถึงพรรคการเมืองที่อยู่คู่ภาคใต้และจังหวัดสงขลามาอย่างยาวนานอย่าง ‘พรรคประชาธิปัตย์’ (ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม) ที่ภายหลังการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจบริหารในพรรค โดยทีมบริหารชุดเก่าแพ้ให้กับทีมบริหารชุดใหม่ ภายใต้การนำของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน มี ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ สส.สงขลา ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค พร้อมกับวลี ‘ตระบัดสัตย์’ เพราะเฉลิมชัยเคยลั่นวาจาไว้ว่า “ถ้าผลการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ได้น้อยกว่าเดิม (52 ที่นั่ง) จะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต”

แต่เฉลิมชัยกลับเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งหมายถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคต แปลความได้ว่า ไม่ได้เลิกเล่นการเมืองจริง สมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งจึงทยอยลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค

แฟนคลับประชาธิปัตย์ต่างมีความเห็นแตกต่างกันไปหลายฝ่าย โดยในจังหวัดสงขลามีการจับตาไปที่ ‘บ้านบุญญามณี’ ซึ่งถือเป็นบ้านใหญ่การเมืองในจังหวัดสงขลา ที่ขณะนี้ มีการขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ 2567 ไปทั่วเมือง ในขณะที่เจ้าตัวเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัว จ.แม่ฮ่องสอน

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า รูปภาพสวัสดีปีใหม่ของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต สส.ประชาธิปัตย์หลายสมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น ไม่ปรากฎรูปโลโก้พรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด รวมทั้งเมื่อสำรวจไปพื้นที่เขตอำเภอเมืองสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ สส.ของ นายสรรเพชญ บุญญามณี เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นลูกชายของนายนิพนธ์ก็ไม่มีโลโก้พรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นที่พูดคุยกันในกลุ่มคอการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงเครือข่ายการเมืองต่างพูดคุยกันว่า มีความไม่ปกติใดเกิดขึ้นหรือไม่ หรืออนาคตจะไม่มี ‘บุญญามณี’ อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์?

นอกจากนี้ ยังพบว่า ภาพป้ายสวัสดีปีใหม่ 2567 ของนายนิพนธ์ บุญญามณี นั้น ยังปรากฏทั่วจังหวัดสงขลา จึงมีการจับโยงวิจารณ์ถึงวาระนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ที่จะหมดวาระลงในเดือนธันวาคม ปี 67 และจะมีการเลือกตั้งในต้นปี 68 วงร้านกาแฟวิจารณ์กันสนั่นว่า เป็นไปได้หรือไม่? ที่นายนิพนธ์จะย้อนกลับมาลงชิงนายกฯ อบจ.สงขลาอีกครั้ง โดยละทิ้งจากพรรคประชาธิปัตย์

กล่าวสำหรับนายกฯ อบจ.สงขลา ปัจจุบัน ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นั่งบริหารอยู่ และถือได้ว่าเป็นทีมเดียวกับนายนิพนธ์ โจทย์ของคอการเมืองจึงยากขึ้น ในขณะที่มีการวางตัวคนที่จะมาสืบทอดต่อจากนายไพเจนแล้วด้วย รอเพียงให้เกษียณอายุราชการเท่านั้น

แต่อย่าลืมว่า ‘การเมือง’ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป มีเหตุผลอธิบายได้

‘ชาวนครศรีฯ’ โอด!! เหตุประสบปัญหา ‘วัยรุ่นแก๊งซิ่ง’ ป่วนมา 10 ปี ร้องเรียนแล้ว แต่ไร้หน่วยงานดูแล เหมือน ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’

เมื่อสัปดาห์ก่อน 20-22 ธันวาคม 2566 ผมลงไปทำพิธีปล่อยปลาดุกลำพัน ตามโครงการลำพันคืนถิ่น ป่าพรุควนเคร็ง ครั้งที่ 8 บริเวณศูนย์อนุรักษ์ปลาดุกลำพัน ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีฯ

เย็นของวันที่ 20 ธันวาคม ระหว่างไปนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหารถนนเลี่ยงเมือง ได้มีคนที่รู้จัก #นายหัวไทร เข้ามาร้องเรียนเรื่องความเดือดร้อนรำคาญถึงกับนอนไม่หลับมายาวนานร่วม 10 ปี แต่ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลแก้ไข

ความเดือดร้อนรำคาญเกิดจากแก๊งซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่พอดึก ๆ จะมีกลุ่มวัยรุ่นนำรถจักรยานยนต์มาซิ่งแข่งกันบนถนนสายหลัก ช่วงตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลหัวไทร ไปวนกลับตรงวงเวียน วนแล้ววนอีกกันอยู่คืนละหลาย ๆ รอบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังพักผ่อน สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสอง

วัยรุ่นแก๊งซิ่งเหล่านี้มาจากหลายตำบล บางวันก็มีจากต่างอำเภอเข้ามาสมทบ นัดหมายกันผ่านกลุ่มไลน์ บางคันก็จะมีสก๊อยติดสอยห้อยตามมาด้วย

ชาวบ้านเคยร้องเรียนทางอำเภอ ทางตำรวจให้เข้ามาแก้ไขปัญหา แต่เสียงร้องของชาวบ้าน เหมือนเสียงนกเสียงกา ไม่เคยได้รับการแก้ไข ผ่านนายอำเภอมาแล้วหลายคน ผ่านผู้กำกับมาก็หลายคน ผ่านผู้ว่าฯ ผู้การฯ มาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ปัญหาก็ยังอยู่

‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ คือคำขวัญของฝ่ายปกครอง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย แต่ทุกข์ชาวบ้านในตลาดหัวไทรสิบกว่าปี ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาแก้ไข

ทราบว่า…เช้าของวันที่ 21 ธันวาคม นายอำเภอได้เชิญชาวบ้าน (คนเดียว) ไปให้ข้อมูล ซึ่งจริง ๆ เรียกผู้กำกับ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สารวัตรปราบปรามไปสอบถามก็น่าจะมีข้อมูลมากพอ ถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีข้อมูล แสดงว่า ที่ผ่านมา ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ ทุกข์ของชาวบ้าน ไม่ใช่ทุกข์ของเรา ยิ่งตอนหลังศูนย์ราชการ ทัังที่ว่าการอำเภอ โรงพัก ย้ายออกไปอยู่นอกชุมชน ยิ่งห่างไกลชาวบ้าน ห่างไกลปัญหา

จริง ๆ ก็ไม่น่าจะยากส่งตำรวจไปตั้งป้อม หรือตั้งจุดสกัด แจ้งผู้ปกครองให้ทราบถึงพฤติกรรมของลูก หรืออาจจะทำทัณฑ์บนไว้ทั้งลูก และผู้ปกครอง

หวังว่าที่เขียนมาจะได้รับทราบกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และนำมาสู่การแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้าน จะได้นอนหลับสนิทเสียที และเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องถึง มท.1 อนุทิน ชาญวีรกูล หรอกนะ แต่ถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข อาจจะถึงเสี่ยหนูนะ

‘นายหัวไทร’ จัดรายการข่าวการเมือง คลื่น FM 89.5 ยึดมั่น!! พูดตรง ไม่หยาบ ไม่เลือกฝั่ง สร้างสรรค์สังคม

ผมเป็นนักข่าวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่เดินบนเส้นทางสายข่าวมา 30 กว่าปี นับตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา กับนักข่าววิทยุ สายทหาร เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นบรรณาธิการวิทยุ เนชั่น บรรณาธิการข่าวภูมิภาคเครือเนชั่น บรรณาธิการสำนักข่าวเนชั่น บรรณาธิการคมชัดลึก บรรณาธิการบริหารช่องระวังภัย และอีกมากมาย เออลี่จากงานประจำมาแล้ว 5 ปี มาประกอบธุรกิจส่วนตัวเล็กน้อย ก็เป็นคนขายไอติม

“แต่ว่าตำแหน่ง journalist ใครปลดไม่ได้ ติดตัวไปจนตายแหละ แม้จะถูกโยกถูกย้ายไปตรงโน้นตรงนี้ แต่ตำแหน่งนักข่าวก็ติดตัวไปตลอด แม้เออลี่มาแล้ว ก็ยังมีจิตวิญญาณนักข่าวสิงอยู่” นายหัวไทร กล่าว

ว่าง ๆ ก็เขียนบทวิเคราะห์แนวการเมืองในนาม #นายหัวไทร เสนอผ่านเฟซบุ๊กเฉลียว คงตุก ผ่านเพจ ผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ตามสถานการณ์ทางการเมือง ด้วยมีข้อมูลปฐมภูมิจำนวนมาก ที่แหล่งข่าวเก่า ๆ แหล่งข่าวใหม่ ที่ยังติดต่อกันอยู่นำมาเล่าสู่กันฟัง ผมมีหน้าที่นำมาประมวล วิเคราะห์

เดินทางไปทำข่าวบ้างตามสมควรทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด แต่ในใจคิดว่า อายุพอสมควรแล้ว ควรจะวางมือจากวิชาชีพนักข่าว แต่เมื่อหลับจากนึกถึง ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ที่ถือเป็นครูคนสำคัญช่วงอยู่ทำงานที่เนชั่น ในวัย 70 กว่าปีจะย่าง 80 ปีแล้ว ก็ยังทำงาน ยังจัดรายการ ยังวิเคราะห์ข่าวทุกวันในสไตล์ของ ‘คนบ้าข่าว’ จึงจะยังคงขอเดินหน้าทำหน้าที่ ‘หมาเฝ้าบ้านต่อไป’ เพราะตำแหน่งนักข่าวไม่มีวันเกษียณ

จู่ ๆ ระหว่างนอนเล่นอยู่ในเปลข้างบ้าน มีคนโทรมาให้ไปร่วมจัดรายการวิทยุ ทางคลื่น FM 89.5 MHz ที่เขากำลังปรับปรุงแนวทางในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยให้จัดแนวการเมืองล้วน ๆ นัดพูดคุยตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย ให้ผมจัด 2 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 17.00-19.00 น. ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาดีสำหรับช่วงข่าวการเมือง

รายการจะเริ่ม 5 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป ก็ลองดูกันอีกสักตั้ง จริง ๆ วางตัวเองไว้ว่า ไม่อยากเอาตัวเองไปผูกยึดกับเวลามากนัก จะไปไหนก็ไป คิดถึงใครก็ไปหา กับเวลาที่มีไม่มากนักแล้ว

แต่เมื่อพรรคพวกขอให้ไปช่วยก็ลองดู เป็นแนวที่เคยทำมาตั้งแต่ปี 2532 โน้น ย้อนกลับมาจัดใหม่ก็ขอฝากติดตามด้วยครับ 

“สื่อที่ทำงานอย่างสร้างสรรค์นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกสี ไม่ใช่นางแบก ไม่ใช่ติ่ง ไม่ใช่ด้อม ไม่ใช้คำหยาบ วิจารณ์แบบฟันธง ตรงไปตรงมา เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม”

โดยจะจัดร่วมกับ ‘จาตุรันต์ บุญเบญจรัตน์’ นักจัดรายการวิทยุผู้สนใจข่าวสารการเมืองเช่นกัน เป็นช่วงเวลาที่ท่านผู้ฟังจะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ ‘มากกว่าข่าว’ รู้ทิศทางในอนาคตของคอการเมือง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top