Sunday, 19 May 2024
ธนาธร

‘ธนาธร’ นำทัพวิทยากรสานต่อ ‘หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ครั้งที่ 3’ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ -11 สิงหาคม 2566 ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย

กลับมาอีกครั้งกับ ‘Progressive Academy หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้าครั้งที่ 3’ ที่กรุงเทพฯ ในครั้งนี้เราออกแบบหลักสูตรใหม่ที่ครบเครื่องทั้งสาระความรู้ ความสนุกสนาน และการลงมือปฏิบัติที่จะพาคุณทะลุกะลาใบน้อยๆ ที่พวกเขาครอบหัวเราไว้ เพาะเมล็ดพันธุ์ของผู้ไม่ยอมจำนน เพื่อเปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ สู่สังคมที่ดีกว่า

พบกับวิทยากรชั้นนำมากมาย นำทีมโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ I ปิยบุตร แสงกนกกุล I พรรณิการ์ วานิช I กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ I พริษฐ์ วัชรสินธุ I เดชรัตน์ สุขกำเนิด I ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ I ประจักษ์ ก้องกีรติ I ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ I เคท ครั้งพิบูลย์ I ธนวรรธน์ สุวรรณปา I ชัยพงษ์ สำเนียง I คมกฤช อุ่ยเต็งเค่ง I ศุภลักษณ์ กาจญนขุน และวิทยากรรับเชิญพิเศษอีกมากมาย 

นอกจากนี้เรายังมีกิจกรรม Workshop ติดทักษะเพื่อการเปลี่ยนแปลงนำทีมโดยทีมคิด Space I Pud Production x Common School และ Vivi recap 

เพราะเราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่คือ พลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

กระบวนการเรียนรู้ ทั้งหมด 62 ชั่วโมง ประกอบไปด้วย

1.) การบรรยาย (Lecture) : 28 ชั่วโมง
2.) กิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ (Activity Base) : 12 ชั่วโมง
3.) กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) : 13 ชั่วโมง
4.) การทัศนศึกษา (Field Trip) : 9 ชั่วโมง
5.) การค้นคว้าอิสระและลงมือปฏิบัติ (Independent Research)

วันรับสมัคร
เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้-11 สิงหาคม 2566 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!
ประกาศผลผู้ผ่านคัดเลือก 12 สิงหาคม 2566 ทางอีเมล
ระยะเวลาหลักสูตร : 6 สัปดาห์ ทุกเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม-23 กันยายน

เงื่อนไขการรับสมัคร
1.) อายุตั้งแต่ 15-25 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
2.) ผู้สมัครต้องเข้าร่วมกิจกรรมตลอดหลักสูตร
3.) ผู้สมัครต้องทำโครงการเมื่อจบหลักสูตร

ลงทะเบียนที่ : https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe0R_AMuAxhJ7aaA8EQxzlv6wFldrMsiBDBcKAxwusz985Wgw/viewform

‘เศรษฐา’ วืดนายกฯ ถ้าไม่ยอมเจ็บ พรรคส้มป่วน ‘ไพร่หมื่นล้าน’ ก้าวพลาด!!

ช่วงวันหยุดยาว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปสถานการณ์ ด้วยการหมายเหตุสถานการณ์น่าสนใจเพียง 3 เรื่องก็พอจะเห็นภาพใหญ่ทางการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง ตามมาครับ...

เรื่องแรก – กรณีการเดินทางของไพร่หมื่นล้าน อดีตหัวหน้าพรรคไปพบ ‘คนแดนไกล’ ที่ฮ่องกง เมื่อ 24-25 ก.ค.ที่ผ่านมา สื่อมวลชนงัดหลักฐานเที่ยวบินชัดเจน พร้อมรายงานผลการเจรจาว่าไพร่หมื่นล้าน ผู้นำทางจิตวิญญาณเจรจาสูตรรัฐบาลว่า… พรรคสอง ก. หรือ ก้าวไกลยอมถอยเป็นฝ่ายค้านและจะโหวตให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่มีเงื่อนไขว่าเพื่อไทยต้องไม่เอาพรรคสองลุง เข้าร่วมรัฐบาล…

งานนี้ถูก ส.ว.ตัวตึง ‘สมชาย แสวงการ’ ออกมาดักคอว่าเป็นสูตร ‘ซ่อนปมซ่อนเงื่อน’ วางแผนให้พรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาลในภายหลัง...

ประการสำคัญยิ่ง งานนี้ผู้นำทางจิตวิญญาณเสียหายชนิดประเมินค่ามิได้ เพราะบรรดานักวิชาการ ปัญญาชน ชนชั้นกลาง รวมทั้งมวลมหาประชาชาวด้อมส้มที่ศรัทธาอุดมการณ์พรรคก้าวไกลเห็นว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการเมืองแบบเดิมๆ ดังนั้นขอให้ชายชื่อ ‘ธนาธร’ แถลงด่วนว่าอะไรเป็นอะไร...

เรื่องที่สอง – วันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เกิดการรัฐประหารเงียบในการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค ณ เวลา 08.30 น.ทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าสิ้นสภาพ ต้องล้างไพ่เลือกกันใหม่ได้ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม แต่เลขาธิการพรรคเปลี่ยนจาก ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เป็น ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ...ไม่แต่เท่านั้นหัวหน้าพรรคป้อมมีคำสั่งทันทีแต่งตั้งน้องชาย ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘บิ๊กป๊อด’ เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค

เป็นที่รู้กันว่าสำหรับ ‘บิ๊กป๊อด’ อดีต ผบ.ตร.คนดังนั้นเป็น มาสเตอร์ไมด์ ในพรรคพลังประชารัฐมาโดยตลอด งานนี้เปิดตัวมาอยู่เบื้องหน้า เท่ากับว่าพรรคนี้มี ‘พัชรวาท-ธรรมนัส’ เป็นเพลย์เมกเกอร์ เปิดซุปเปอร์ดีลกับพรรคเพื่อไทย… ถึงขนาดมีข่าวลือลอยลมล่วงหน้าว่ามานานแล้วว่า บิ๊กป๊อดขอนั่งมหาดไทย ผู้กองขอคุมเกษตรฯ…

เรื่องที่สาม – เรื่องการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ที่ฮือฮากันไม่เสร็จก็คือ ทันทีที่จอมแฉ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เกมพลิก ทักษิณถอย ยกเลิกกลับไทย สถานการณ์เปลี่ยน” ไม่กี่นาทีหลังเพจกรรมการข่าวเอาไปโพสต์ต่อ… ปรากฏว่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ลูกสาวนายห้างโพสต์สวนทันทีว่า “เพ้อเจ้อ” ซึ่งถ้าแปลความตามนี้ก็หมายถึงว่า คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันว่าวันที่ 10 ส.ค.นี้ คุณพ่อทักษิณกลับบ้านแน่…

และนั่นก็ต้อง… ขยายความกันต่อว่าดีลการเมืองเกมใหญ่ก็ยังไม่พลิกไปจากเดิมคือ เพื่อไทยเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาพรรคก้าวไกลออกจากสมการ กำหนดวันโหวตนายกรัฐมนตรีวันที่ 4 ส.ค.นี้

การเมืองในช่วงวันหยุดยาวนี้คือ การเจรจาหาความลงตัว… โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์ที่ไพร่หมื่นล้านตั้งไว้ว่าต้อง ‘ไม่มีสองลุง’ ถึงแม้จะฟังดูเพ้อเจ้ออยู่บ้าง แต่ก็ทำเอาพรรคเพื่อไทยปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะหากเศรษฐา ทวีสิน จะเป็นนายกฯ ต้องกลืนคำพูดที่ว่าไม่เอาพรรคสองลุงของตัวเอง… ต้องยอมเจ็บแต่จบ… แต่ถ้างอแงมากๆ หวยนายกฯ คนที่ 30 อาจจะพลิกไปออกที่ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’

สรุปสูตรข้ามขั้ว… ไม่มีก้าวไกล แต่มีพรรคภูมิใจไทยและขั้วเดิมไปเติมแทนยังเป็นทิศทางหลัก… และเป็นไปได้โดยที่พรรคเพื่อไทยต้องยอมเจ็บ ไม่ป๊อดมาก แต่ขณะเดียวกันพรรคสองลุงก็ต้องลดการต่อรองหรือต้องสร้างสภาพเงื่อนไขให้การเมืองเดินหน้าไปได้… ไม่อย่างนั้น อาจทำให้มวลมหาประชาชาวด้อมส้มอันบางเบามีลูกฮึดขึ้นมา… ขอบอก!!

‘พี่สาวธนาธร’ เปิดใจ ‘น้องชาย’ ทิ้งไทยซัมมิท ทุ่มการเมือง สถานภาพปัจจุบันเหลือแค่ผู้ถือหุ้นและสมาชิกครอบครัว

ไม่นานมานี้ ช่อง TikTok ‘Khunkoii.Tiva’ ได้โพสต์คลิปที่ ‘นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ’ พี่สาวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไว้ว่า…

การที่คุณธนาธรเขาตั้งพรรคการเมืองนั้น ต้องขอบอกก่อนว่าไม่มีใครในครอบครัวรู้นะคะ เรียกว่าเป็นความคิดแบบ ‘ปัจเจกบุคคล’ โดยเฉพาะ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเล่าออกสื่อมาก่อนเลยนะคะ ก็คือว่า ตอนนั้นที่ข่าวการตั้งพรรคของคุณธนาธรออกข่าวครั้งแรกทาง BBC ไทย น้องสาวเป็นคนโทรศัพท์มาบอก เพราะปกติเขาจะสนิทกัน น้องสาวเขาโทรมาบอกว่า “แจ้ เอกเขาไปทําอะไร?” เราก็เลยถามกลับไปว่า “เขาทําอะไรคืออะไร?” น้องก็บอกว่า “ที่เขาไปตั้งพรรคการเมือง” ตอนนั้นเราก็ทํางานอยู่ ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่ได้ดูอะไรเลย หลังจากนั้นมีคนส่งคลิปมาให้ดู

ตอนนั้นคุณแม่กำลังเที่ยวอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น คุณแม่ท่านก็ร้อนใจมาก จึงรีบกลับมา แล้วก็มีการประชุมครอบครัวกันในเรื่องนี้ เพราะแกไม่ได้บอกใครก่อนเลยนะคะ จําได้ว่าประชุมตั้งแต่ 9 โมงกว่า ก็มีการทะเลาะกันกับคุณแม่ เพราะท่านไม่อยากให้ทำ

มีคําถามนึงของคุณแม่ที่ถามคุณเอกว่า “ไทยซัมมิทกับประเทศชาติ เธอจะเลือกอะไร?” คุณเอกตอบว่า “เลือกประเทศชาติ” คุณแม่ถามกลับว่า “แล้วประเทศชาติไปเกี่ยวอะไรกับเธอ? ทําไมถึงไม่เลือกธุรกิจของบ้านเรา” คุณเอกแกไม่เลือกธรุกิจของบ้าน

คุณแม่เลยยื่นคำขาดไปว่า “ถ้าเธอจะไป เธอต้องไปเลย และห้ามกลับมายุ่งกับธุรกิจที่บ้านอีก เพราะฉะนั้น เธอต้องลาออกจากการเป็นกรรมการของทุกบริษัทให้หมด จะไม่ได้หลุดเข้ามาในธุรกิจของที่บ้านอัก และถ้าเธอออกไปทําการเมืองแล้วไม่สําเร็จ เธอจะกลับเข้ามาไม่ได้ทำธุรกิจของที่บ้านอีกแล้ว”

คือก็คล้ายๆ กับลองใจ คงน่าจะเหมือนกับบีบบังคับกลายๆ เพราะท่านไม่อยากให้ลูกชายไปทำการเมืองด้วยแหละ แต่สุดท้ายคุณเอกแกก็เลือกที่จะไป คือแกก็ลาออกจากคณะกรรมการทุกอย่างเลย แกจะมีฐานะเป็นแค่ผู้ถือหุ้น ซึ่งถ้ากลับมาหาครอบครัว คุณธนาธรก็จะยังเป็น ‘สมาชิกครอบครัว’ แต่ไม่ได้ทํางานในครอบครัว เพราะฉะนั้น รายได้ เงินเดือน อะไรก็ตามทุกอย่าง คุณธนาธรก็จะไม่มีเลย”

‘อัษฎางค์’ ชำแหละ!! ‘ข้อบิดเบือน-ดิสเครดิตชาติไทย’ โดย ‘ธนาธร’ ย้อนถาม ‘สถาบันพระปกเกล้า’ ใครเชิญคนแบบนี้มาเป็นวิทยากร

(28 ก.ย. 66) ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

‘สถาบันพระปกเกล้า’ กำลังเล่นอะไรกับ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 27 (ปปร.27) โดยสถาบันพระปกเกล้า ภายใต้โจทย์ ‘การเมืองใหม่ในโลกปัจจุบัน’

คำถามคือ ใครในสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้เชิญธนาธรมาเป็นวิทยากรอบรมนักบริหารระดับสูง? ทั้งที่คนทั้งชาติทราบว่าธนาธรสนับสนุนให้มีการยกเลิก ม.112 และ ม.116 (ที่มา : https://www.thaipost.net/x-cite-news/307412/)

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยพิจารณา ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่เสนอให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เป็นภัยต่อความมั่นคงอันนำไปสู่ล้มล้างการปกครองได้

ทั้งที่สถาบันพระปกเกล้า เป็นสถาบันวิชาการชั้นนำด้านการพัฒนาประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ธรรมาภิบาล และสันติวิธี มุ่งนำความรู้สู่สังคม เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ธนาธรบรรยายที่สถาบันพระปกเกล้า ด้วยการยกผลงานของก้าวไกลถือเป็นการมาหาเสียหรือไม่ นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงหรือข้อมูลที่แสดงถึงความไม่เข้าใจสถานการณ์จริงในปัจจุบัน (ข้อมูลจาก https://thestandard.co/thanathorn-26092023/)

ธนาธร กล่าวหาว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกหลายปีติดต่อกัน (ข้อมูลจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา https://www.krungsri.com/…/industry-outlook-2023-2025) ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566-2568 ประเทศแกนหลักมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางกระแส ‘Deglobalization’ หรือ ‘การทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ เมื่อโลกไม่อภิวัฒน์ กันแบบเดิม โลกาภิวัตน์กำลังเปลี่ยนโฉมไปหลังจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจใหญ่ คือ สหรัฐอเมริกาและจีน ที่แสดงท่าทีล่าสุดออกมาชัดเจนว่า ต่างตั้งเป้าจะเป็นประเทศมหาอำนาจผู้นำของโลก และมีเจตนาจะแข่งขันกันจริงจังขึ้นอีกในระยะข้างหน้า เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์กำลังจะเปลี่ยนภาพไปจากเดิม

‘Deglobalization’ หรือ ‘การทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ คือ ‘โลกาภิวัตน์บนเงื่อนไขความเป็นมิตร’ การเชื่อมโยงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศจะยังเดินหน้าไปได้ แต่จะไม่เน้นประสิทธิภาพสูงสุดของห่วงโซ่การผลิตเช่นเดิมแล้ว จะกลายเป็นเชื่อมโยงกับกลุ่มมิตรประเทศเท่านั้น
ธนาธรเข้าใจเรื่องดังกล่าวนี้หรือไม่? มากน้อยแค่ไหน? จึงออกมาโจมตีว่าประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยโลกจริงหรือไม่?

อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.0% ในปี 2567-2568 ในขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ดังนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกตรงไหน?

มาดูรายละเอียดตรงนี้กัน

เศรษฐกิจโลกในระยะ 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจาก 3.2% ในปี 2565 สู่ 2.7% ในปี 2566 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยสู่ราว 3.0% ในปี 2567-2568 แม้ว่าผลเชิงลบจากโรค COVID-19 จะคลี่คลายลงแต่หลายปัจจัยยังคงกดดันเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่นำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าและวิกฤตพลังงานที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจทำให้การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) เข้มข้นขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตต่ำในปี 2566-68 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอลงจาก 1.6% ในปี 2565 เหลือ 1.0% ในปี 2566 และ 1.2% ในปี 2567 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นสู่ 1.8% ในปี 2568

เศรษฐกิจของยุโรปจะเผชิญวิกฤตพลังงานที่รุนแรงและยืดเยื้อนาน โดยคาดว่าในช่วงปี 2566-2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 1.4% ต่อปี ชะลอลงแรงจากที่ขยายตัว 3.1% ในปี 2565 ผลพวงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่เข้าขั้นวิกฤต

เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตต่ำจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าขยายตัวเฉลี่ย 1.3% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 จาก 1.7% ในปี 2565 เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ชะลอลงจาก 8.0% ในปี 2564

เศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มเผชิญหลายปัจจัยกดดันให้การเติบโตต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 แม้เศรษฐกิจอาจปรับดีขึ้นจาก 3.2% ในปี 2565 สู่เฉลี่ย 4.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 แต่คาดว่าจะต่ำกว่า 6-7%

เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ปรับตัวดีขึ้นจากที่เติบโต 3.2% ในปี 2565

ธนาธร กล่าวหาว่า ประเทศไทยติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุด

ความจริงคือ ความเหลื่อมล้ำของไทยเคยติด TOP 5 โดยอยู่ในอันดับที่ 4 ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก จากข้อมูล Gini Wealth Index ปี 2018 ของ เครดิต สวิส (Credit Suisse) แต่อันดับของ Gini Wealth Index ในปี 2021 ไทยมีอันดับที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด คือก้าวจาก อันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 97 ของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด (ที่มา: https://theactive.net/data/inequality-index-truth/)

คุณไปอยู่ไหนมาธนาธร คุณยังหลงหรือจมปลักอยู่ที่ปี 2018 หรือ พ.ศ.2561 หรือ?

คุณจะบริหารประเทศด้วยข้อมูลที่ล้าหลังขนาดนั้นเลยหรือ แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร?

สถาบันพระปกเกล้า ปล่อยให้คุณธนาธรเอาข้อมูลเก่าตกยุคไปอบรมข้าราชการที่เป็นนักบริหารระดับสูงแบบนี้ แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?

คุณกล่าวว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผูกพันอย่างแยกไม่ได้ กับอัตราการเกิดของประชากรที่ตกต่ำลง ซึ่งสวนทางกับอัตราการตายของประชากร ซึ่งจะทำให้ประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มต้องทำงานหนักขึ้นเพียงเพื่อให้ประเทศไทยยังยืนที่เดิมในด้านผลิตภาพ และการดูแลประชากรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น

นี่เป็นการหาเสียงของคุณกับประชากรวัยทำงาน ด้วยการสร้างภาพว่ารัฐบาลบริหารประเทศผิดพลาดจนทำให้ประชากรวัยทำงานต้องทำงานหาเงินเลี้ยงประชากรผู้สูงอายุหรือไม่?

ธนาธร กล่าวหาว่า การที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเฉลี่ยทุก 4.5 ปี แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่มีฉันทามติร่วมกันว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาอย่างไร?

ขอยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญปี 60 ประชาชนได้ร่วมกันทำประชามติว่าให้อำนาจ สว. เลือกนายกรัฐมนตรีแต่พรรคก้าวไกลกลับไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญและประชามตินี้ แต่กลับเสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพรรคก้าวไกลก็เป็นหนึ่งในตัวปัญหาที่ต้องการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพราะไม่ยอมรับในฉันทามติร่วมกัน ว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่กำหนดหรือไม่?

สถาบันพระปกเกล้าเปิดสถานที่ให้ธนาธรมาให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริงหรือไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่?

นอกจากนี้ ยังมีถ่อยในลักษณะการเสียงกับผู้บริหารระดับสูงหรือไม่? เช่น เรื่องระบบการคิดค่าน้ำประปาเป็นระบบไอโอที! หรือเรื่องความสำเร็จของพรรคก้าวไกล คือความสำเร็จของการเมืองแบบใหม่ที่เป็นไปได้! และเรื่องที่คณะก้าวหน้าได้ทำร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง เช่น การทำน้ำประปาที่ดื่มได้! ระบบการคิดค่าน้ำประปาเป็นระบบไอโอที!

'ธนาธร' ขายฝัน!! ยกนโยบายก้าวไกลคุยโว หวังดิสเครดิตรัฐบาล แนะวิธีใช้เงิน 5 แสนล้าน แต่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแท้จริง

(18 พ.ย.66) จากกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ต่อสาธารณชน โดยนายธนาธรเสนอว่า หากมีเงิน 5 แสนล้าน สิ่งที่ควรจะทำก็คือการกระจายเงินไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้าน นอกเหนือจากงบประมาณประจำที่รัฐต้องจ่ายอยู่แล้ว ซึ่ง 5 ด้านที่ว่านี้ ได้แก่ การสาธารณสุข การคมนาคม น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ และการศึกษา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่นายธนาธร ได้พูดถึงนั้น เปรียบเสมือนเป็นเหมือนทีวีที่ไม่มีจะอะไรฉาย ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาละครฉากซ้ำๆ มาเผยแพร่แบบนี้ ซึ่งแต่ละหัวข้อทั้ง 5 ด้าน รวมแล้วใช้ 456,900 ล้านบาทนั้น เป็นโครงการระยะยาว ตามที่นายธนาธรฯ บอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปีหรือสองสมัย ได้แก่ 1.สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,900 ล้านบาท 2.รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท 3.น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท 4.ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท และ 5.จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท โครงการเหล่านี้อยู่ในแผนเศรษฐกิจระยะยาวของรัฐบาล แต่ไม่ใช่โครงการที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที นอกจากนี้ยังเป็นการหาทางลงให้กับตัวเองและพรรคก้าวไกล เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่เป็นนโยบาย 300 ข้อที่พรรคก้าวไกลได้หาเสียงไว้ในการเลือกตั้งทั้งสิ้น

“ถ้าตอนที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากพรรคก้าวไกลยอมลดโทนลง ไม่สุดโต่งตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเงื่อนไขของพรรคที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเงื่อนไขจะแก้มาตรา 112 แบบสุดซอย ในวันนี้พรรคก้าวไกลคงได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล นโยบายทั้ง 300 ข้อที่ประกาศไว้ประชาชนก็อาจได้มีโอกาสทำหากเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ได้แต่ออกมาพูดผ่านโซเชียลมีเดียว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

ขอถามว่าสิ่งที่นายธนาธร กับพรรคก้าวไกลยืนยันที่จะแก้ไขมาตรา 112 อย่างสุดโต่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครเอาด้วย แล้วตนเองจะไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้มีโอกาสทำนโยบาย 300 ข้อที่ตนได้สัญญากับประชาชนก็ตาม โดยคงคิดไปเองว่าทำแบบนี้แล้วจะได้คะแนนสงสารชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ต้องถามนายธนาธรดังๆ ว่าต้องการทำเพื่อประโยชน์ประชาชนจริงหรือไม่ หรือทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองกันแน่

'ธนาธร' ย้ำ พัฒนาประเทศ 5 ด้าน ใช้งบฯ ไม่เกิน 5 แสน ลบ. ลั่น!! ใช้งบฯ ทำ 8 ปี ตกปีละ 6 หมื่นล้าน ทำได้ไม่ต้องกู้เพิ่ม

(18 พ.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่า…

ขอบคุณทุกท่านที่มารับฟังบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร ถ้าต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ในการบรรยายนี้ ผมขอสรุปให้ทุกท่านฟังอีกครั้ง ว่าผมเสนอแนะการพัฒนาประเทศ 5 ด้าน โดยใช้เงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท อย่างไรบ้าง

* สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,000 ล้านบาท
* รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท
* น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท
* จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท
* ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท

รวม 456,000 ล้านบาท

1. การสาธารณสุข ผมเชื่อว่าอนาคตการสาธารณสุขไทยคือการทำเทเลเมดิซีน หรือการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่นเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ ไม่ต้องรอคิวตรวจที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง โดยมีเครื่องตรวจวัดความดัน ค่าน้ำตาลในเลือด สัญญาณชีพต่างๆ ในทุกหมู่บ้าน เก็บขึ้นคลาวด์อย่างเป็นระบบ สามารถพบแพทย์ได้ผ่านหน้าจอ หากอาการป่วยไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เทเลเมดิซีนไม่เพียงทำให้ประชาชนมีความสะดวกสบาย ประหยัดเงินและเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่ยังจะทำให้ไทยมีระบบจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของประชาชนที่สามารถใช้คาดการณ์งบประมาณด้านสาธารณสุข และเตรียมบุคลากรการแพทย์ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย คณะก้าวหน้าได้ทำเทเลเมดิซีนสำเร็จใช้งานจริงแล้วที่เทศบาลตำบลหนองแคน โดยประชาชนเข้ารับการตรวจได้ที่เครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ซึ่งสิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ มีเครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้งบเพียง 60,000 ล้านบาท

2. การคมนาคม ผมเสนอให้มีการจัดทำบริการรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การลดฝุ่นละออง pm2.5 ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พลังงานโดยประชาชนจะใช้รถส่วนตัวน้อยลง และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การทำงาน การประกอบธุรกิจของประชาชนครั้งใหญ่ ที่สำคัญ ยังเป็นการสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า เพราะในอนาคตเทรนด์โลกคือการใช้รถไฟฟ้าอยู่แล้ว รถเมล์ในไทยจะถูกทยอยเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด หากเราไม่พัฒนาอุตสาหกรรมไว้รองรับ สุดท้ายก็จะต้องซื้อจากจีน แทนที่จะสร้างงานและอุตสาหกรรมให้กับคนไทย โดยการทำรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด จะใช้งบประมาณ 88,000 ล้านบาท

3. การทำประปาดื่มได้ ประเทศที่เจริญแล้วล้วนมีน้ำประปาที่ดื่มได้ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชน โดยจากข้อมูลของ Rocket Media Lab คนไทยต้องทำงานถึง 27 นาทีเพื่อซื้อน้ำกิน 1 วัน แต่คนฝรั่งเศสใช้เวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้นในการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาซื้อน้ำกิน 1 วัน น้ำประปาอาจสามารถทำให้ดื่มได้ใน 99 วัน และยังมีการพัฒนาต่อยอดติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์ เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ และออกบิลค่าน้ำอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนเดินจดมิเตอร์ สิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ โดยใช้งบ 67,000 ล้านบาท ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงน้ำประปาสะอาดระดับดื่มได้ทั่วประเทศ และยังก่อเกิดอุตสาหกรรมชิปและสมาร์ทมิเตอร์อีกด้วย

4. สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะเป็นสิ่งที่เราลงทุนน้อยเกินไปมาก เมื่อเทียบกับการจัดการเมืองด้านอื่น ทำให้ขยะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ในเทศบาลตำบลหนองพอก ร้อยเอ็ด คณะก้าวหน้าได้ทำให้เห็นแล้วว่า หากท้องถิ่นจริงจังในการแยกขยะเศษอาหารจากขยะแห้งและขยะรีไซเคิล จะสามารถลดปริมาณขยะได้ทันทีอย่างน้อย 50% และสามารถฝังกลบหรือเผาขยะ และขายขยะต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเสนอให้ใช้งบประมาณ 120,000 ล้าน เพื่อลงทุนซื้อรถขยะที่มีประสิทธิภาพ สร้างบ่อขยะและโรงเผาขยะที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ไม่ปล่อยมลภาวะหรือสารพิษปนเปื้อน โดยการลงทุนขนาดใหญ่หลักแสนล้าน จะสามารถสร้างบ่อขยะและโรงขยะที่ดีเทียบเท่าญี่ปุ่นหรือเดนมาร์ก ที่มีระบบการจัดการขยะดีที่สุดในโลก และคณะก้าวหน้าได้เคยไปดูงานมาแล้ว โดยการสร้างโรงขยะจะต้องไม่เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของนายทุนหรือนักการเมือง แต่ต้องดึงต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียมาร่วมทุนในการสร้าง และไทยเรียนรู้เทคโนโลยีจากประเทศเหล่านี้ เพื่อนำมาต่อยอดสร้างโรงขยะที่ปลอดภัยเองในอนาคต

5. การศึกษา การลงทุนในการศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่าอย่างสูงสุด เพราะในยุคเทคโนโลยีดิสรัปต์ คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนทักษะของอนาคต เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้รอดจากภาวะ AI และระบบ automation เข้ามาแทนที่มนุษย์ ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษาน้อยเกินไป เพราะมัวแต่คิดว่าเด็กอาชีวะต้องตีกัน ทั้งที่ในประเทศพัฒนาแล้ว ทักษะและวิชาชีพช่าง เป็นสิ่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างสูงและได้รับการสนับสนุนอย่างมากโดยรัฐ เราสามารถเพิ่มการลงทุนในโรงเรียนและอาชีวศึกษาได้ โดยอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อปรับปรุงอาคารสถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย ให้กับโรงเรียน แห่งละ 500,000 - 3 ล้านบาท ตามขนาดของโรงเรียน และสถานศึกษาระดับอาชีวะ แห่งละ 20 ล้านบาททุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงอุดหนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาอีก 4,500 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาเด็กตกหล่นจากระบบ รวม 121,000 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้ ผมขอย้ำว่า รัฐสามารถเลือกได้ว่ารัฐจะทำเอง หรือให้เอกชนเข้ามาทำ ทำให้งบประมาณ 456,000 ล้านบาทในการยกระดับประเทศ 5 ด้าน มีความยืดหยุ่นได้มาก ใช้จริงอาจน้อยกว่านี้ เพราะตัวเลข 456,000 ล้าน หมายถึงรัฐลงทุนทำเอง 100% แต่รัฐสามารถใช้บริการเอกชน ดึงเอกชนมาร่วมลงทุน ก็จะลดค่าใช้จ่ายของรัฐลงไป แต่ผมยืนยันว่าในการลงทุนร่วมกับเอกชน จะต้องไม่เป็นช่องทางให้เอกชนเข้ามาแสวงหาสัมปทาน เอากำไรเกินควรบนผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของการจัดงบประมาณที่สมเหตุผล และได้คุณภาพบริการสาธารณะที่ดีสำหรับประชาชน

ประเทศไทยวันนี้ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าเป็นประเทศที่เจริญได้โดยปราศจากเทคโนโลยี การใช้งบประมาณที่คุ้มค่าสูงสุด จึงเป็นการเอาปัญหาของประชาชนมาแปรเป็นโจทย์ที่รัฐต้องแก้ >> เป็นความต้องการที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ >> สร้างงานที่มีคุณภาพ >> สร้างเทคโนโลยีที่เราเป็นเจ้าของเอง

ซึ่งการทำประปาดื่มได้ ทำรถเมล์อีวี ทำโรงขยะที่มีมาตรฐาน ล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของประเทศไทย

การใช้เงินเกือบ 5 แสนล้านพัฒนาประเทศ 5 ด้านนี้ หากไม่ใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน แต่ใช้งบประมาณแผ่นดินปกติ ทยอยทำ 8 ปี ก็จะตกปีละ 60,000 ล้าน ผมเชื่อว่าสามารถหาได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม เพราะแต่ละโครงการต้องค่อยๆ ทยอยทำอยู่แล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นทีเดียวภายใน 2-3 ปีได้ และถึงแม้ 5 แสนล้านจะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งหากนำมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศ และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย เดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าและมีรายได้สูง ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป

‘จิรายุ’ ซัด!! ‘ธนาธร’ พูดเหมือนแกล้งไม่รู้ ปม 5 ด้านพัฒนาประเทศ ‘รัฐบาลพท.’ ทำอยู่แล้ว

(19 พ.ย.66) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ออกมาเสนอแนวคิดการใช้เงิน 5 แสนล้านบาท โดยเอาไปทำรถเมล์ไฟฟ้า ทำน้ำประปาดื่มได้ เอาไปให้การแพทย์ และเอาไปทำระบบจัดการขยะนั้น ฟังแล้วแปลกใจ เพราะนายธนาธรพูดเหมือนแกล้งไม่รู้ ไม่คิดว่าจะมีแนวคิดย้อนยุค ส่งประเทศกลับไปเป็นแบบรัฐราชการเหมือนในอดีตอีกหรือไม่ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี จะมีส่วนที่เป็นงบสำหรับนโยบายต่างๆ อย่างนี้อยู่แล้ว และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เร่งดำเนินการเป็นวาระเร่งด่วนอยู่แล้ว เพียงแค่ 2 เดือนเศษของรัฐบาลก็มีความคืบหน้าอย่างมากมายหลายโครงการ

นายจิรายุ กล่าวว่า วันนี้เครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดีขึ้นอย่างมากอันจะนำมาซึ่งการลงทุนในด้านต่างๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาคึกคักมากขึ้น การพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการของประชาชนสามารถดำเนินการได้ทันที เป็นการทำงานของรัฐบาลที่ผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตของประเทศและการลงทุนในด้านต่างๆ ได้

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ในทางทฤษฎี ในภาวะเศรษฐกิจซบเซามาหลายปี จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้ประชาชนได้มีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ในประเทศจะมีเงินสะพัด การค้าขายดีขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นในทันที สิ่งที่ตามมาก็จะเกิดการลงทุนในด้านต่างๆ ซึ่งการที่นายธนาธรพูดเช่นนั้นตนเชื่อว่ารู้อยู่แล้วว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เมื่อประสบความสำเร็จก็จะเป็นผลงานของพรรคเพื่อไทยนานเท่านาน เหมือนที่คนไทยชอบพูดว่าพรรคเพื่อไทยมาบริหารเศรษฐกิจก็จะดีทุกครั้งไป ซึ่งอาจกระทบความนิยมของพรรคการเมืองอื่นๆ แต่ตนมั่นใจว่าจากประสบการณ์ของพรรคเพื่อไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าจะสามารถนำพาประเทศไทยกลับมาสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลได้อีกครั้งอย่างแน่นอน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top