Monday, 13 May 2024
การท่องเที่ยว

‘จีน’ เผย ‘ท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยา’ เทรนด์ตลาดเกิดใหม่มาแรง ชู ‘การท่องเที่ยว-ภูมิอากาศ-ภูมิทัศน์-วัฒนธรรม’ ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ

(21 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, เจิ้งโจว รายงานจากสถาบันพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน ระบุว่า การท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาในจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องช่วงไม่กี่ปีมานี้ และจะรักษาแนวโน้มการเติบโตที่รวดเร็วในปีต่อๆ ไป จนเกิดเป็นตลาดการท่องเที่ยวเกิดใหม่

รายงานว่า ด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาจากสถาบันฯ ที่เผยแพร่ในการประชุมการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน ครั้งที่ 2 ระยะ 2 วัน เผยว่า การพัฒนาที่รวดเร็วของการท่องเที่ยวดังกล่าวในจีน มีปัจจัยหลักมาจากการแสวงหาประสบการณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ที่เพิ่มขึ้นของประชาชน รวมถึงนวัตกรรมและการยกระดับอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยว

รายงานที่เผยแพร่ในการประชุมฯ ซึ่งปิดฉากลงเมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในมณฑลเหอหนานทางตอนกลางของจีน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมบริการเชิงอุตุนิยมวิทยาของจีนจะมีมูลค่าสูงกว่า 3 แสนล้านหยวน (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025

‘ชวีหย่า’ เลขาธิการสมาคมอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน กล่าวว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม พายุฝนฟ้าคะนองที่งดงาม ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว น้ำแข็งและหิมะ น้ำค้างแข็ง และป่าฝนล้วนเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยา

อนึ่ง ทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยา แบ่งแบบกว้างออกเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่

1.) ทรัพยากรภูมิทัศน์และสภาพอากาศ อาทิ เมฆ ฝน หิมะ แสงสว่าง และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่พบได้ยาก

2.) ทรัพยากรภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม อาทิ การรักษาสุขภาพ ประสบการณ์ และวัตถุโบราณภูมิอากาศบรรพกาลที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ

3.) ทรัพยากรเชิงอุตุนิยมวิทยาแนวมนุษยนิยม อาทิ อุตุนิยมวิทยาและประวัติศาสตร์ ภูมิทัศน์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น

ปักธง!! 'เมืองรอง 10 จังหวัด' จาก 5 ภูมิภาค นายกฯ พร้อมเปิดตัว ม.ค.67 ลุยกระตุ้น ศก.ไทย

(27 ธ.ค.66) แหล่งข่าวกล่าวว่า ตามที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ผลักดันเมืองรองที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจ ทั้งมิติการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ให้เป็นเมืองหลัก

ล่าสุดได้ข้อสรุปรายชื่อ 10 จังหวัด จากทั้ง 5 ภูมิภาคที่ได้รับการคัดเลือกจากหอการค้าไทยกับ ททท. ที่จะร่วมกันโปรโมตนำร่องแล้ว ได้แก่

1. แพร่
2. ลำปาง
3. นครสวรรค์
4. นครพนม
5.  ศรีสะเกษ
6. จันทบุรี
7. ราชบุรี
8. กาญจนบุรี
9. นครศรีธรรมราช
10. ตรัง

แม้บางจังหวัดอย่างกาญจนบุรีจะเป็นเมืองหลักอยู่แล้ว แต่มองว่าควรส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้วให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำหนดเปิดตัวในเดือน ม.ค. 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นประธานในการแถลงข่าว สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยว 4 ด้าน ดึงศักยภาพของทุกจังหวัดสู่สากล เพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวในประเทศให้คึกคัก ผลักดันรายได้จาก 4 ด้าน ซึ่งล้วนเป็นโจทย์สำคัญในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทย ดังนี้

1.ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง
2.ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายไฮซีซันตลอดทั้งปี
3.เร่งพัฒนาการบริการด้านข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น
4.เพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อทริป และเพิ่มระยะเข้าพักเพื่อให้นักท่องเที่ยวพำนักนานขึ้น

‘สว.วีระศักดิ์’ ร่วมงานครบรอบ 25 ปี ‘PATA’ ก่อตั้ง สนง.ใหญ่ที่กรุงเทพฯ  พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการท่องเที่ยวทั้งใน-นอกประเทศอย่างยั่งยืน

(14 ม.ค.67) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา นับเป็นโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ของ ‘สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว’ (Pacific Asia Travel Association) หรือ ‘PATA’ ที่ก่อตั้งมานานถึง 71 ปี (นับเป็นสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับเอเชียแปซิฟิกที่เก่าแก่ที่สุด)

คุณปีเตอร์ ซีโมน ประธาน PATA ได้เชิญคุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาเป็นผู้ขึ้นกล่าวนำการจัดกิจกรรม ‘Power of Networking’ ของ PATA ที่ห้องประชุมชั้น 3 ของอาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค สุขุมวิท ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งของที่ทำการแห่งใหม่ของ PATA

กิจกรรมครั้งนี้ มีผู้บริหารในแวดวงการท่องเที่ยวเดินทางนานาชาติกว่า 50 ท่าน ทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคการเดินทาง ทั้งของไทยและนานาชาติเข้าร่วม เช่น ผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ การบินไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถานทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้บริหารธุรกิจนำเที่ยวระหว่างประเทศ ผู้บริหารเครือโรงแรมใหญ่ ผู้บริหารสมาคมส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการนานาชาติ และผู้สื่อข่าวต่างประเทศด้านท่องเที่ยวประจำประเทศไทย

โดยคุณวีระศักดิ์ ได้กล่าวถึงประสบการณ์ที่ PATA มีมายาวนานในการช่วยทำให้ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้ปรากฏขึ้นบนแผนที่ท่องเที่ยวโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีสำนักงานของ PATA กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ของโลก ตั้งแต่จุดกำเนิดของ PATA ที่ฮาวาย ต่อมาขยายไปยัง ซานฟรานซิสโก, ปักกิ่ง, ลอนดอน, ฟิลิปปินส์ และในที่สุดย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่เข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ว่าประสบการณ์ที่ได้ผ่านการเห็นการดำเนินการด้านท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ในยุคต่างๆ จะเป็นประโยชน์อย่างลึกซึ้ง ต่อการช่วยแนะนำแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในประเทศไทย รวมทั้งจะช่วยขยายการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบและยั่งยืนให้กับประเทศในภูมิภาค ให้ทำงานต่อเชื่อมกันไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างดีอีกด้วย

ชาวเน็ตชื่นชม ‘แท็กซี่’ แปะข้อความไว้ข้างรถ ไม่ต้องถาม ไปทุกที่ โดยส่วนมาก ชอบปฏิเสธคนไทย เน้นรับต่างชาติ เพราะหลอกง่ายกว่า

(14 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Mod Dang' ได้โพสต์เรื่องราวน่าสนใจลงในกลุ่ม 'รวมพลคนขับแท็กซี่' โดยเป็นภาพของรถแท็กซี่คันหนึ่ง ที่มีข้อความติดอยู่บริเวณกระจกของคนนั่งข้างคนขับ ที่ได้ระบุข้อความว่า "ไม่ต้องถาม ไปทุกที่ โอนจ่ายได้" ซึ่ง ทำให้ได้รับคำชื่นชมจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากในปัจจุบันแท็กซี่จำนวนมากมักจะปฏิเสธผู้โดยสารคนไทย จะเน้นรับแต่ต่างชาติ เพราะหลอกง่ายกว่าคนไทยเรื่องไม่กดมิเตอร์ จนทำให้การท่องเที่ยวของประเทศเสียหายไปช่วงหนึ่ง

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกสู่โลกโซเชียลแล้วกว่า 3 พันครั้ง พร้อมกับคอมเมนต์ชื่นชมแท็กซี่คันนี้เป็นจำนวนมาก บ้างก็บอกว่า หายากแล้วแท็กซี่แบบนี้ , ขอให้เจริญๆ , แบบอย่างที่ดี , คนที่สังคมต้องการ บ้างก็เตือนให้เพิ่มความระมัดระวังมิจฉาชีพ หรือ ลูกค้าจะลวงไปปล้น

เจ้าหน้าที่จีน เผยตัวเลข นทท.เข้า-ออกสูงเกือบ 3 ล้าน เหตุจาก นโยบายฟรีวีซ่า-ชำระเงินง่าย สะดวกสบาย 

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า สือเจ๋ออี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน อ้างอิงข้อมูลจากสำนักบริหารการตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน ระบุว่าจีนพบยอดการเดินทางขาเข้าและขาออกของผู้มาเยือนต่างชาติ รวมอยู่ที่ 2.95 ล้านครั้ง ในช่วงสองเดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปี 2024

สือเผยว่าตัวเลขข้างต้นเพิ่มขึ้น 2.3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และฟื้นตัวสูงถึงร้อยละ 41.5 ของระดับก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายฟรีวีซ่าที่จีนขยายครอบคลุมประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมเมื่อไม่นานนี้ อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน มาเลเซีย และสิงคโปร์ และยอดนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ยังเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเทศกาลตรุษจีน

สือกล่าวว่าจีนจะดำเนินงานเพื่อขจัดอุปสรรคและจัดการกับปัญหาในด้านวัฒนธรรมและการท่องที่ยว โดยเฉพาะการทำให้กระบวนการชำระเงินตามสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดการแสดงทางวัฒนธรรม และโรงแรมสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนจะจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม พร้อมเพิ่มความพยายามในการโฆษณาและส่งเสริมตลาดระหว่างประเทศ

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! Q2 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว' เดินหน้าเต็มตัว ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้น คลายทุกข์คนไทย ต่างชาติสนใจแห่ลงทุน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว แรงผลักเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไตรมาส 2' เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้...

การเติบโตที่น่าผิดหวังของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และต่อเนื่องมายังไตรมาสแรกของปี 2567 ทำให้หลายสำนักต้องปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงมาเหลือไม่ถึง 3% ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุนในประเทศเป็นอย่างมาก

แต่ท่ามกลางความหดหู่และความมืดมัว เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ปรากฏขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 โดยวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลจะแถลงความชัดเจนของมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ซึ่งถือเป็นมาตรการ Flagship ของรัฐบาลนี้ 

หลายฝ่ายรวมทั้งฝ่ายค้านมัวหลงประเด็นอยู่ที่เรื่องแหล่งที่มาของเงิน แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน แหล่งเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็จะต้องมาจากเงินกู้ทั้งนั้น เพราะขณะนี้เรามีงบประมาณขาดดุล เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงต้องมาจากการกู้เงินเท่านั้น หากไม่ออกกฎหมายให้อำนาจกู้เงิน ก็อาจออกเป็นงบประมาณกลางปี ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเด็นอยู่ที่จังหวะเวลา หากออกมาได้เร็วก็จะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องแหล่งเงิน ระยะต่อไปรัฐบาลต้องปฏิรูปภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้ และลดการพึ่งพาการกู้เงิน แต่ไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนกล้าแตะประเด็นนี้เลย

พร้อมกันในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงประมาณ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเชิงนโยบาย (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยเสริมมาตรการทางการคลังที่กล่าวข้างต้นในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี แต่จะให้ดีกว่านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะต้องออกมาขอโทษประชาชนที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนจากความผิดพลาดของตนเอง

แผนงาน Ignite Tourism Thailand ของรัฐบาล ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เริ่มปรากฏผลชัดเจนขึ้น เมื่อการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสแรก และคงจะคึกคักไปตลอดทั้งปี รัฐบาลไทยลงทุนด้านการท่องเที่ยวไปมากในรูปของรายได้จากค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูญเสียไป รายได้ภาษีสุราที่สูญเสียจากการลดอัตราจัดเก็บภาษีสุรา ดังนั้นต้องดูแลให้นโยบายการท่องเที่ยวเกิดผลสัมฤทธิ์และสร้างรายได้กลับคืนคลัง

เชื่อมั่นว่าด้วยการผสมผสานนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการท่องเที่ยวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ปี 2567 นี้จะเป็นปีทองของการลงทุนไทยอย่างแน่นอน

‘สาวจีน’ โผเข้ากอด พี่เจ้าหน้าที่อุทยานผาแต้มฯ ทั้งน้ำตา ย้ำ!! วันนี้กลับมา เพื่อขอบคุณ ที่ช่วยชีวิตไว้ เมื่อ5 ปีที่แล้ว

เมื่อวานนี้ (20 เม.ย.67) เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติผาแต้ม Phataem National Park เผยเรื่องราวดีๆที่แม้จะผ่านไปแล้ว 5 ปี แต่นักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนคนนี้ไม่มีวันลืม โดยระบุว่า ...

 " News ปลื้มปริ่ม นักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนโผเข้ากอดเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เพื่อขอบคุณเมื่อคราวที่ให้การช่วยเหลือ (เมื่อ 5 ปี ที่แล้ว) กรณีประสบอุบัติเหตุตกหน้าผาอุทยานแห่งชาติผาแต้ม เมื่อปี พ.ศ.2562 #ท่องเที่ยวปลอดภัย กู้ภัยรวดเร็ว ฉับไว สร้างความมั่นใจในการท่องเที่ยว #อุทยานแห่งชาติผาแต้ม " 

'เรือสำราญ' แหล่งรายได้มหาศาล ที่เดินทางมากับเรือลำยักษ์ ไทยควรเร่งสร้างท่าเรือสำราญในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ

ปัจจุบันการท่องเที่ยว โดยการโดยสารเรือสำราญขนาดใหญ่ เป็นที่นิยม ในหมู่นักเดินทางที่มีรายได้ค่อนข้างสูง และที่สำคัญประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งง่ายต่อการเชิญชวนให้สายการเดินเรือต่าง ๆ เข้ามาเปิดสาขาได้ โดยงานในเงื่อนไขที่หากเรามีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างสมบูรณ์

ซึ่งการที่เราจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญนั้น สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ...

1. รายได้จากนักท่องเที่ยวที่ลงจากเรือสำราญมาเที่ยว (นักท่องเที่ยวที่เดิน เรือสำราญ และลงจากเรือมาเที่ยววันเดย์ทริป ตามสถานที่ต่าง ๆ) ความเหมาะสมของประเทศไทยคือประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยว ที่สามารถเข้าถึงจากเรือสำราญได้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเกาะรัตนโกสินทร์ ที่สามารถเดินทางจากท่าเรือคลองเตยได้ในระยะทางไม่เกินครึ่งชั่วโมง หรือแม้กระทั่งเดินทางไป อยุธยาจากท่าเรือคลองเตยก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงไม่เกิน 

2.รายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทาง มาใช้บริการท่าเทียบเรือสำราญ (นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ และเดินทางโดยเครื่องบินมาลงที่ประเทศ ไทย เพื่อที่จะลงเรือ) เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาโดยเครื่องบินแล้วส่วนใหญ่ก็จะมีการ พักค้างคืนอย่างน้อยก็ 1 ถึง 2 คืนก่อนลงเรือ ซึ่งก็จะก่อให้เกิดรายได้ในส่วนตรงนี้ และที่สำคัญการเตรียมเรือ อาหารการกินต่าง ๆ วัตถุดิบต่าง ๆ ก็ต้องโหลดจากประเทศไทย ซึ่งอันนี้ก็เป็นการกระจายรายได้ในอีกส่วนหนึ่งเหมือนกัน

โดยปกติแล้ว นักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเรือสำราญ มีการ เดินทางลงมาเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของแต่ละพื้นที่ ในรูปแบบวันเดย์ทริป ซึ่งก็คือ เที่ยวในช่วงกลางวันและกลางคืนกลับไปนอนบนเรือสำราญ ดังนั้นการลงเรือสำราญ เพื่อที่จะมาเที่ยวนั้น จึงมีรูปแบบด้วยกัน สอง รูปแบบคือ...

- หนึ่ง ต่อเรือเล็ก จากเรือใหญ่เข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยว 
- สอง เรือใหญ่เข้าเทียบท่าแล้วนักท่องเที่ยว สามารถเดินขึ้นบกได้ อย่างสะดวกสบาย ซึ่ง ท่าเรือเหล่านี้เรียกว่า Port of call 

ซึ่งข้อแตกต่างในการลงเรือของทั้งสองประเภท นั่นก็คือ การต่อเรือเล็กจะได้รับความนิยมน้อยกว่า การขึ้นบกโดยตรง เพราะมีความยุ่งยากมากกว่า และนักท่องเที่ยวหลายๆ คน อาจจะไม่ชอบความยุ่งยากเหล่านี้ จึงทำให้การตัดสินใจลงมาเที่ยว น้อยลงเพราะบางคน แค่เพียงพักผ่อนอยู่บนเรือก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้น จึงควรมีการสร้างท่าเรือสำราญในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิเช่น ท่าเรือแหลมฉบัง, ท่าเรือสมุย, ท่าเรือคลองเตย, ท่าเรือภูเก็ต เป็นต้น 

การที่มีท่าเรือสำราญนั้นในท่าเรือใหญ่ ๆ จะต้องมีท่าเรือแบบ Home port ซึ่งจะใช้ในการเตรียมตัวเดินทาง พร้อมการซ่อมบำรุงเบื้องต้น ส่วนแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ควรมี Port of call หรือท่าเรือจุดแวะพักระหว่างทาง

โดย Home port เปิดให้บริการ ใกล้กับสนามบิน อย่างเช่นท่าเรือแหลมฉบัง, ท่าเรือคลองเตย, ท่าเรือภูเก็ต เป็นต้น ส่วน Port of call จะเปิดให้บริการ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างเช่น เกาะสมุย, เกาะพงัน, พัทยา, หัวหิน, สงขลา เป็นต้น 

ซึ่งการที่มีท่าสำหรับจอดเรือสำราญนั้น สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเพราะว่า เรือสำราญในปัจจุบันแต่ละลำสามารถบรรทุกนักท่องเที่ยวได้ จำนวนหลายพันคนต่อเที่ยว ยกตัวอย่างเช่นเรือ Ovation of the Sea ของบริษัท Royal Caribbean หนึ่งลำสามารถจุผู้โดยสารได้ถึง 4,500 คน ซึ่งหากเรือลำนี้เทียบท่ารับนักท่องเที่ยวขึ้นเรือ (Home port) แหลมฉบัง หรือ คลองเตย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ย่อมจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทย 18,000 คนต่อเดือน หรือ 216,000 คนต่อปี และถ้าหากมีเรือแบบนี้ 20 ลำต่อเดือน ซึ่งถ้ากระจายไปยังท่าเรือต่าง ๆ แล้วไม่ถือเยอะ แต่เราจะได้นักท่องเที่ยวจากอุตสาหกรรมนี้ไม่น้อยกว่า 4 ล้านคนต่อปี 

ที่สำคัญกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูง เพราะฉะนั้น เมื่อมีการแวะพัก เที่ยวตามจุดแวะพักต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คลองเตย เกาะสมุย, เกาะพะงัน, เกาะเต่า, เกาะช้าง, เกาะพีพี,  พัทยา, หัวหิน, จันทบุรี, ปัตตานี, สงขลา, นครศรีธรรมราช ย่อมจะสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นจำนวนมหาศาล 

หวังว่าบทความนี้ จะชี้ให้เห็นถึงโอกาสใหม่ ๆ สำหรับคนที่ได้อ่านนะครับ และสักวันหนึ่ง ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางของสายการเดินเรือสำราญ ที่ทุกบริษัทแวะเข้ามาท่องเที่ยว หรือใช้เป็นศูนย์กลางในการโหลดนักท่องเที่ยวลงเรือ เพื่อที่จะเดินทางไปยังท่าเรือในแต่ละประเทศต่าง ๆ ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top