Tuesday, 21 May 2024
กัมพูชา

กัมพูชา - องค์กรทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อยุติความรุนแรงต่อ LGBT ในกัมพูชา

พนมเปญ/กัมพูชา - กัมพูชาเป็นสังคมดั้งเดิมที่คน LGBT กว่า 81% ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว เมื่อผู้คนเข้าใจว่าพวกเขาขัดต่อบรรทัดฐานและประเพณีของพวกเขา ครอบครัวจึงไม่สามารถยอมรับทางเลือกทางเพศ และรูปแบบการใช้ชีวิตของเด็ก LGBT ของพวกเขา และมักจะบังคับและไล่พวกเขาออกจากครอบครัว หรือกดดันพวกเขา เช่น กีดกันค่าเล่าเรียน หรือบังคับให้แต่งงานกับคนที่พวกเขาไม่ชอบ

ตามหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในวัยกลางคน รากเหง้าของปัญหามีมาช้านานแล้ว ซึ่งครอบครัวส่วนใหญ่เชื่อว่าความรักของลูกไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ

บางคนถึงกับคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับอาหารที่มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น องค์กร MIRF กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงการล่วงละเมิดในครอบครัว และให้ความช่วยเหลือบุคคล LGBT ที่มีปัญหาในชีวิตประจำวัน

ก้อย แก้ว โสภณ เด็กหญิงที่ค้นพบว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เล่าถึงความทุกข์ทรมานและความรุนแรงที่เธอเผชิญเมื่อตัดสินใจบอกครอบครัวของเธอว่า พวกเขาทุบตีเธออย่างรุนแรงซึ่งทำให้เกิดรอยฟกช้ำและบาดแผลขนาดใหญ่ในร่างกายของเธอ “ฉันรู้สึกแย่มาก มันส่งผลต่อสุขภาพจิตของฉัน ดังนั้นฉันจึงออกจากบ้านของครอบครัวไปอาศัยอยู่กับคู่รัก” เธอกล่าวเสริม

เชือง รัชนะ นักเคลื่อนไหว เน้นย้ำว่า LGBTQ เกิดมาตามธรรมชาติแบบนี้ ตรงกันข้ามกับความเชื่อมั่นของผู้คน มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะพัฒนา และเสริมว่านี่เป็นปัญหาโบราณที่ผู้คนค้นพบเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ทุก ๆ ปี กัมพูชาจะเฉลิมฉลอง 16 วันในการรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงบนฐานเพศภาวะ รวมถึงต่อต้านกลุ่มเพศทางเลือกด้วย ตามการระบุของ Kuy Thida ผู้ร่วมก่อตั้ง Loveisdiversity

 

กัมพูชา - บริษัทต่างชาติ บีบเกษตรกรออกจากธุรกิจ - บีบให้แรงงานย้ายถิ่นฐาน!!

เกษตรกรชาวกัมพูชาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการครอบงำบริษัทต่างชาติในบ้านเกิดของตน เนื่องจากเจ้าของบริษัทยังคงควบคุมพื้นที่ทำการเกษตรมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านหาเลี้ยงชีพได้ยากขึ้นและทำให้เกิดการย้ายถิ่นของแรงงาน

สิ่งนี้เห็นได้ชัดในหมู่บ้านที่ชนกลุ่มน้อย Kouy อาศัยอยู่ในจังหวัดพระวิหาร ทางการได้ให้สิทธิแก่บริษัทต่างชาติในการให้เช่าพื้นที่ต่าง ๆ แก่คนนอกพื้นที่ โดยให้ชาวบ้านที่สูญเสียพื้นที่ทำการเกษตรไปมาก บังคับให้หลายคนมองหาโอกาสในการทำงานในต่างประเทศ ตอนนี้ชาวบ้านและกลุ่มสิทธิที่ได้รับความเดือดร้อนเริ่มโต้เถียงเรื่องพื้นฐานทางกฎหมายของสิทธิของบริษัทในการควบคุมที่ดินและเรียกร้องให้มีการปฏิรูป

นาย ล จันทร์ - ผู้ประสานงานกลุ่มสิทธิ ADHOC จังหวัด บอกว่า “ในหมู่บ้านของฉัน มีข้อพิพาทเรื่องที่ดินกับบริษัทอ้อยตั้งแต่ปี 2555 ชุมชนของฉันได้สูญเสียที่ดินทำกิน พื้นที่เพาะปลูก ป่าไม้ ป่าเชื่อ ฐานรากของวัดโบราณถูกทำลายไปแล้ว”

นายตีบ เติม-ตัวแทนชนพื้นเมืองโกย บอกว่า “บริษัทเป็นบริษัทจีน Hengfu Group บริษัทได้ก่อตั้งบริษัทขนาดเล็กห้าแห่ง ได้แก่ Heng Non Cambodia International Co. Ltd, Heng Yue Cambodia International Co. Ltd, Heng Rui Cambodia International Co. Ltd, Lan Feng Cambodia International Co. Ltd และ Rui Feng Cambodia International Co. Ltd, ”

นาย ล จันทร์-ผู้ประสานงานกลุ่มสิทธิ ADHOC จังหวัด บอกว่า “สัญญาระหว่างรัฐบาลและบริษัทคือการปลูกต้นยางพารา ต้นกระถิน และอ้อย การปลูกอ้อย บริษัทไม่ผิด บริษัทผิดคือเอาที่ดินทำกินคูยเช่าให้พวกอพยพ และที่ไม่ธรรมดาคือบริษัทเอาสัมปทานที่ดินไปปลูกข้าวซึ่งกำลังปล้นธุรกิจของชนพื้นเมืองคูย"

นาย ล จันทร์- ผู้ประสานงานกลุ่มสิทธิ ADHOC จังหวัด บอกว่า “บริษัททำอย่างนั้นแตกต่างไปจากสัญญาที่ตกลงกับรัฐบาล บริษัท มีสิทธิทำเฉพาะแผนแม่บทที่เขียนไว้ในสัญญาที่ลงนามแล้วเท่านั้น”

นาย ล จันทร์- ผู้ประสานงานกลุ่มสิทธิ ADHOC จังหวัด บอกว่า “โดยหลักการแล้ว กฎหมายว่าด้วยสัมปทานที่ดินไม่ได้ให้สิทธิบริษัทการลงทุนที่จะได้รับพื้นที่มากกว่า 10,000 เฮกตาร์ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันได้ร่วมมือกับ EC เช่นเดียวกับองค์กรอื่น ๆ เราพบว่าห้า บริษัท นั้นมีสัมปทานที่ดินมากกว่า 50,000 เฮกตาร์ ดังนั้นตามหลักการของกฎหมายสัมปทานที่ดิน บริษัท นี้ได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง "

นางเซิงแซม-ตัวแทนชาวพื้นเมืองโกย บอกว่า“ด้วยเหตุพิพาทเรื่องที่ดินนี้ ชาวคูตี้จึงต้องอพยพไปทำงานต่างประเทศ เช่น ประเทศไทย และกระทบต่อการศึกษาอย่างหลานๆ ของตัวเองที่เพิ่งลาออกจากโรงเรียน "

นาย. ซินสนา –หลานชายของนางเซิงแซม บอกว่า “ผมเคยร่วมประท้วงปัญหาที่ดินนี้ด้วย เราไปตอนกลางของจังหวัดเพื่อนอนที่นั่น ฉันไปที่นั่นเพราะต้องการสนับสนุนให้พวกเขาอ้างสิทธิ์ในที่ดินที่บริษัทจีนยึดครอง "

นาง Soeung Sam-ตัวแทนชนพื้นเมืองกวย บอกว่า “ฉันรู้สึกเศร้าแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพราะบริษัทมีอำนาจมากกว่าชุมชนของฉัน ดังนั้น เราจะยืนหยัดเพื่อทวงคืนที่ดินของเราเท่านั้น”

 

“ผบ.ทบ.” เยือนราชอาณาจักรกัมพูชา สานสัมพันธ์ ความร่วมมืองานความมั่นคง

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมคณะ เดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา อย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กองทัพบกกัมพูชา ระหว่าง 3-4 ก.พ. 2565  นับเป็นการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มอาเซียนครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่ง ในโอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้เข้าเยี่ยมคำนับผู้นำประเทศและผู้บริหารระดับสูงของกองทัพกัมพูชา สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา, สมเด็จพิชัยเสนาเตียบันห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา, พล.อ.วงษ์ ปิเซน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา และพบปะแลกเปลี่ยนประสานความร่วมมือกับ พล.อ.ฮุน มาเน็ต ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา  

โดยเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือของกองทัพบกทั้งสองประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดนและด้านสิ่งแวดล้อม การฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ 

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า ประเทศไทยกับกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เป็นมิตรแท้ที่จริงใจต่อกัน ความสามัคคีและความร่วมมือถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะทำให้ทั้งสองประเทศ สามารถเผชิญกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ได้อย่างมั่นคง รวมทั้งกองทัพบกจะผลักดันและส่งเสริมในความร่วมมือต่างๆตามกลไกที่มีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ทั้งเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือการพัฒนาหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บตามแนวชายแดน เป็นต้น 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 40 (40th ASEANAPOL Conference) ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา

พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ คณะ เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมในฐานะผู้แทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้าร่วมการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 40  (40th ASEANAPOL Conference) ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 1 – 5 มี.ค.65 

พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผบก.ตท./รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่า  การประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมระดับพหุภาคีระหว่างหน่วยงานตำรวจในภูมิภาคอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ประเทศคู่เจรจาและผู้สังเกตการณ์ขององค์การตำรวจอาเซียน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้หัวหน้าหน่วยงานตำรวจของอาเซียนหรือผู้แทนระดับสูง พร้อมด้วยหัวหน้าตำรวจประเทศคู่เจรจาของอาเซียน เสริมสร้างความร่วมมือ แสวงหาแนวร่วม แลกเปลี่ยนข้อมูลและขั้นตอนการปฏิบัติที่ดีที่สุดระหว่างกันในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ  การก่อการร้าย การค้ายาเสพติด  การค้ามนุษย์  การลักลอบเข้าเมือง อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ  การฉ้อโกงข้ามชาติ  การลักลอบค้าสัตว์ป่าและพันธุ์พืชใกล้สูญพันธุ์ และอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางทะเล รวมไปถึงความร่วมมือต่าง ๆ  

โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกประเทศทั่วโลกได้เผชิญกับความท้าทายในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) อาชญากรได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบในการกระทำความผิดและแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้  ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบสุขของพี่น้องประชาชนในภูมิภาคอาเซียน

"นายกฯ" ห่วงคนไทยถูกหลอกไปทำงานในประเทศกัมพูชา เตือนให้คิดรอบด้าน อย่าหลงเชื่อค่าตอบแทนสูง กำชับเจ้าหน้าที่สอดส่องแก๊งมิจฉาชีพค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.นายธนกร วังบุญคง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการช่วยเหลือคนไทยจำนวน 56 คน ที่ถูกหลอกให้ไปทำงานในกัมพูชากลับมาประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยว่า เป็นความร่วมมือของรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาที่ได้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ซึ่งการช่วยเหลือคนไทยครั้งนี้ถือเป็นการช่วยเหลือรอบที่ 9 รวมคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว จำนวน 583 คน 

ทั้งนี้  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้เจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงให้ชัดเจน คนไหนที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการขอให้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมกับบันทึกประวัติไว้อย่างละเอียดมอบหมายให้ส่วนราชการในพื้นที่คอยเฝ้าระวัง เพื่อความปลอดภัย และไม่ให้คนเหล่านี้ถูกหลอกเป็นเหยื่ออีก รวมทั้งให้ติดตามกลุ่ม แก๊งกระบวนการที่มีพฤติกรรม หลอกลวงคนไปค้ามนุษย์ หรือแรงงานทาสในต่างประเทศ หากมีหลักฐาน ให้ขยายผล จับกุม ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

‘กัมพูชา’ เปิดโผชนิดกีฬาซีเกมส์ 2023 ทำไทยเซ็ง!! หั่น ‘ฟุตซอล’ ใส่ ‘โบกาตอ’ แทน

ไม่นานมานี้ ได้มีการเปิดเผยว่า ประเทศกัมพูชา เจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2023 ระบุการแข่งขัน 40 ชนิดกีฬา โดยมีการตัดกีฬา ‘ฟุตซอล’ ออกจากการแข่งขัน แต่บรรจุกีฬาอย่าง โบกาตอ กีฬาต่อสู้ประจำชาติมาไว้แทน

ทั้งนี้มีการเปิดเผยว่า นอกจาก ฟุตซอล ที่โดนหั่นออกไปแล้ว ยังไม่มีการแข่งขัน รักบี้ฟุตบอล ในซีเกมส์ที่ประเทศกัมพูชา หลังจากก่อนหน้านี้ ซีเกมส์ 2021 ที่เวียดนาม ได้ถอดการแข่งขัน รักบี้ฟุตบอล ออกไปแล้ว

ช่วยเหยื่อกลับไทย!! ‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม ‘ไทย-กัมพูชา’ ช่วย ‘เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ พร้อมเดินหน้าช่วยคนไทยพ้นขุมนรก อีกกว่า 2 พันราย!

นายกฯ ชื่นชม หน่วยงานเกี่ยวข้อง ทั้งไทย-กัมพูชา ช่วยเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เผย ยังติดตามการเข้าช่วยคนไทย อีกกว่า 2 พันคน ที่ยังถูกบังคับทำงานอยู่ในหลายๆเมือง

(17 เม.ย. 65)  น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุนษย์ เรื่องการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งปฎิบัติการช่วยเหลือรวมแล้วกว่า 11 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว ช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศ 600 กว่าคน และนายกฯยังติดตามการเข้าช่วยเหลือคนไทยอีก 2 พันกว่าคน ที่ยังถูกบังคับทำงานอยู่ในหลายๆเมือง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และองค์กรภาคประชาสังคม ในความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอก และได้ขอบคุณประเทศกัมพูชา ที่สนับสนุนให้ข้อมูล อำนวยความสะดวก และคอยช่วยเหลือจนสามารถช่วยเหลือคนไทยได้อย่างต่อเนื่อง 

พร้อมกับขอความร่วมมือคนไทยที่ได้รับการช่วยเหลือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้ดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เร่งขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายอย่างรวดเร็ว ห้ามละเว้นการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบและรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมขบวนการฯ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงให้ประชาชนรู้ถึงความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยไปทำงานผิดกฎหมายดังกล่าว 

‘มะกัน’ พล่าน!! หวั่นจีนแผ่อิทธิพลผ่านอ่าวไทย หลังสะพัด!! ซุ่มปักธงฐานทัพเรือลับในกัมพูชา

(8 มิ.ย.65) สำนักข่าว Washington Post รายงานว่า จีนเตรียมเปิดฐานทัพเรือของตนในท่าเรือเรียม ประเทศกัมพูชาอย่างลับๆ หลังจากที่ซุ่มวางแผนพัฒนาท่าเรือริมฝั่งอ่าวไทยมานาน และเตรียมจะทำพิธีวางศิลาฤกษ์ภายในสัปดาห์นี้ 

ทั้งนี้สื่อสหรัฐฯ ได้อ้างอิงจากแหล่งข่าววงในของรัฐบาลกัมพูชา ถึงแผนการปักธงยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้ ที่เลือกใช้ท่าเรือของกัมพูชาในอ่าวไทยตั้งฐานทัพเรือ ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้เซ็นข้อตกลงด้านความมั่นคงกับประเทศหมู่เกาะโซโลมอนไปแล้ว ไว้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ประสบผลสำเร็จใจการเจรจากับกลุ่มประเทศในแปซิฟิกอีก 10 ชาติ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น

และหากจีนทำได้สำเร็จ ท่าเรือเรียมจะกลายเป็นฐานทัพจีนแห่งแรกในย่านอินโด-แปซิฟิก และเป็นฐานทัพเรือแห่งที่สอง นอกดินแดนของจีนต่อจากฐานทัพที่ประเทศจิบูตี ด้านชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก รวมถึงจีนจะขยับสร้างเครือข่ายอิทธิพลด้านการทหารผ่านโครงการฐานทัพเรือลับในอีกหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย

สำหรับโครงการฐานลับเรือลับจีน เคยมีรายงานข่าวมาตั้งแต่ช่วงปี 2019 ที่จีนได้ตกลงกับรัฐบาลกัมพูชาในด้านความร่วมมือทางทหาร โดยแลกกับการให้จีนได้ใช้พื้นที่ในการตั้งฐานทัพเรือได้อย่างลับ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชา และ สหรัฐฯ ไม่น้อย แต่โครงการนี้ก็เงียบไปจนกระทั่งกลายเป็นข่าวขึ้นมาในวันนี้ 

แต่หลังจากที่สื่อสหรัฐฯ รายงานข่าวความคืบหน้าในโครงการฐานทัพเรือลับที่ท่าเรือเรียมไม่นาน นายไพ สีพัน หัวหน้ากองโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ก็ออกมาปฏิเสธว่า “ไม่เป็นความจริง” โดยทางรัฐบาลกัมพูชาไม่ได้อนุญาติให้จีนใช้กัมพูชาตั้งฐานทัพ หรือมีพิธีวางศิลาฤกษ์ดังที่มีการกล่าวอ้าง หากแต่เป็นเพียงการเปิดโรงงานซ่อมบำรุงเรือรบ และก่อสร้างทางลาดเท่านั้น 

กัมพูชาพบกระเบนราหูหนัก 300 กก. ทุบสถิติปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เอเอฟพี - นักวิทยาศาสตร์เผยว่าชาวประมงในแม่น้ำโขงในกัมพูชาจับปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ได้ เป็นปลากระเบนราหูที่มีน้ำหนักมากถึง 300 กิโลกรัม

ปลากระเบนราหูน้ำจืดยักษ์ ที่วัดความยาวจากจมูกถึงหางได้ 4 เมตร ถูกจับได้เมื่อสัปดาห์ก่อน และได้ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติหลังติดแท็กไว้ที่ตัวปลาเพื่อติดตามพฤติกรรม

ปลากระเบนราหูน้ำจืดตัวนี้ทำลายสถิติปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่บันทึกไว้ก่อนหน้าที่เป็นของปลาบึกที่จับได้ในไทยในปี 2548 ที่มีน้ำหนัก 293 กิโลกรัม โครงการวิจัย Wonders of the Mekong ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ ระบุ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า กระเบนราหูน้ำจืดที่ถูกจับได้ใน จ.สตึงเตรง ทางภาคเหนือของกัมพูชา มีน้ำหนักมากกว่ากอริลลาโดยเฉลี่ยถึง 2 เท่า

กัมพูชา ส่ง 94 คนไทยกลับประเทศ หลังร่วมตำรวจไทยบุกทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 จุดในกัมพูชา พบทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยด้วยกันทำงานผิดกฎหมาย 

เย็นวานนี้ (29 ก.ค.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. และ ผอ.ศปอส.ตร. (PCT) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 หน.ชุดปฏิบัติการที่ 1 PCT ร่วมกับ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ที่ 5 และ พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต ผกก.สส.ภ.จว.สระแก้ว ผู้แทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว รับตัวคนไทยซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทยด้วยกันไปทำงานในกัมพูชา

โดยทั้งหมดได้ถูกทางการกัมพูชาเนรเทศกลับไทยหลังดำเนินคดีตามกฎหมายในกัมพูชาแล้ว และได้นำตัวเดินทางออกจากกรุงพนมเปญ มาส่งคืนให้ทางการไทยบริเวณจุดด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วการจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างทางการไทยและฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชา ในการบุกเข้าทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 จุดในประเทศกัมพูชา ประกอบด้วย จุดที่ 1 โรงแรมจิงเฉิง ถนนสองธนู เมืองพระสีหนุ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 21 คน

ส่วนจุดที่ 2 อาคาร 5 ชั้น ถนน 104 เมืองพระสีหนุ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 18 คน จุดที่ 3 อาคาร 8 ชั้น ถนน 702 เมืองพระสีหนุ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 10 คน และจุดที่ 4 ตึก 3 ชั้น ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา ต.ปอยเปต จ. บันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา และหลังจากนี้จะเร่งขยายผลเพื่อดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องทั้งขบวนการต่อไป 

โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ถูกออกหมายจับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 74 หมายจับ ซึ่งจะถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ส่วนอีก 20 คนเป็นบุคคลที่อยู่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งยังไม่มีหมายจับ แต่ทั้งหมดได้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในประเทศกัมพูชาแล้ว

จากการสอบถามผู้ต้องหาทราบว่า กลุ่มบุคคลทั้ง 94 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 แก๊ง โดยพบว่าหลายรายเป็นถึงหัวหน้าแก๊งที่ทำงานร่วมกับชาวไต้หวัน ซึ่ง ศปอส.ตร. จะได้ทำการขยายผลเพื่อดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องทั้งขบวนการต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top