Friday, 4 July 2025
กัมพูชา

‘อดีตสว.คำนูณ’ โพสต์แรง!! สะเทือนใจคนไทย ย้อนรอยคำพิพากษาศาลโลก ชี้!! กัมพูชาจงใจยื่น ICJ วันเดียวกันในปี 2568 หวังผูกไทย กับแผนที่เดิม

(15 มิ.ย. 68) นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า …

เขมรถือฤกษ์ 15 มิถุนา 2025

วันครบรอบ 63 ปีได้ปราสาทพระวิหาร

ยื่นศาล ICJ ไม่สน JBC หวังได้อีก 3 ปราสาท 1 พื้นที่

เป็นคนไทยต้องอดทน!!

ขอยืมคำของตัวละครในเรื่อง 2499 มาแปลงเพื่อระบายความรู้สึกช่วงนี้จริง ๆ เพราะขณะที่ได้ยินเสียงซ้ำ ๆ จากนายกฯแพทองธาร ชินวัตรว่าเข้าใจกัน ๆ กำลังคุยกัน ๆ และเจบีซี ๆ ๆ ๆ ๆ สมเด็จฮุนมาเนตก็แถลงผ่าน fb ก่อนประชุมเจบีซีไม่กี่ชั่วโมงรวมสองสามประการ

สำหรับผม ไฮไลท์อยู่ที่กำหนดการยื่นศาล ICJ

“กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ จะส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลโลกในวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2025”

บอกตรง ๆ ขนลุก!!

จะบังเอิญหรือเจตนาไม่อาจทราบได้ แต่วันที่ 15 มิถุนายน 2025 หรือ 2568 มีความสำคัญกว่าวันธรรมดา ๆ ทั่วไป และก็ไม่ใช่วันอาทิตย์ธรรมดา ๆ ทั่วไปแน่นอน

เพราะเป็นวันครบรอบ 63 ปีของชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของกัมพูชาต่อไทยบนเวทีศาลโลก หรือ ICJ ในคดีพิพาทที่ต่อสู้กันทุกรูปแบบเกือบ 3 ปี

วันที่ 15 มิถุนายน 1962 หรือ 2505 คือวันอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของ ICJ

ย้อนเวลาไป 63 ปี คนไทยทั้งเสียใจและโกรธกันครึ่งค่อนประเทศ

น้ำตาที่หลั่งออกมาท่วมท้นแผ่นดิน

วันนี้ ปิศาจแห่งคำพิพากษา 15 มิถุนายน 2505 ยังตามมาหลอกหลอนคนไทยอีก

ปิศาจตนนั้นใช้สิ่งที่เรียกว่าหลักกฎหมายปิดปาก หรือ Estoppel มาพันธนาการว่าประเทศไทยยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสที่จัดทำขึ้นในปีค.ศ. 1908 แล้ว ก่อนจะปักมีดลงตรงขั้วหัวใจว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตใต้อธิปไตยของกัมพูชา

แผนที่จะตรงกับการแบ่งเส้นเขตแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสที่ให้ยึดหลักสันปันน้ำตามอนุสัญญาค.ศ. 1904 หรือไม่ ไม่สำคัญ

เพราะเมื่อไทยผูกพันกับแผนที่ตามหลักกฎหมายปิดปากแล้ว แผนที่เขียนไว้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามแผนที่ – ปิศาจว่าไว้อย่างนั้น

แม้วันนี้เราไม่ได้พูดเรื่องปราสาทพระวิหาร

แต่ปราสาทอื่น ๆ บริเวณชายแดน และพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนหลายจุด ก็จะมีความเกี่ยวพันกับแผนที่ทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2505 ที่นำมาแถลงกับพี่น้องประชาชนบรรยายลักษณะปิศาจของคำพิพากษา 15 มิถุนายน 2505 ไว้ได้อย่างกระชับและมีพลัง

ขอนำบางตอนมาร่วมรำลึกความทรงจำเนื่องในโอกาสครบรอบ 63 ปีแห่งการหลั่งน้ำตาของคนไทยทั้งชาติดังนี้

“รัฐบาลขอแถลงให้ประชาชนชาวไทย และชาวโลกทั้งหลายทราบทั่วกันว่า ภายหลังที่ได้อ่านคำพิพากษาโดยตลอดแล้ว รัฐบาลมีความเสียใจที่ไม่อาจจะเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล ด้วยเหตุผลหลายประการทั้งในทางข้อเท็จจริง ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ และในทางหลักความยุติธรรม…

”ศาลมิได้ยึดตัวบทสนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส แต่กลับยึดตามแผนที่ซึ่งขัดต่อตัวบทอันชัดแจ้งของสนธิสัญญา…

“ในการนี้ศาลอ้างเหตุที่ฝ่ายไทยมิได้ประท้วงความไม่ถูกต้องของแผนที่ เป็นทางให้ฝ่ายไทยจะต้องเสียอธิปไตยบนดินแดน แต่ในขณะเดียวกันไม่ใช้หลักเดียวกันนี้ขึ้นกล่าวอ้างแก่ฝ่ายกัมพูชาและฝรั่งเศสในเรื่องการปกครองของฝ่ายไทยเหนือเขาพระวิหารมาเป็นเวลาช้านานกว่า 50 ปี…

“นอกจากจะไม่ยอมรับฟังและหักล้างคารมและเหตุผลที่ฝ่ายไทยเสนอต่อศาลแล้ว ในคำพิพากษายังแสดงให้เห็นว่าไม่มีความพยายามสืบหาข้อเท็จจริงในท้องที่ให้แน่ชัด ทั้งไม่นำพาต่อความเห็นผู้เชี่ยวชาญการแผนที่...

”นอกจากนั้นยังมีข้อสำคัญอีกว่า แผนที่ซึ่งศาลถือเป็นหลักชี้ขาดให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารนั้น ก็เป็นแผนที่ซึ่งได้สร้างขึ้นผิดไปจากความแท้จริงแห่งภูมิประเทศอีกด้วย…

“…ฯลฯ…..”

จะประชุม JBC วันนี้ เมื่อวานนี้ผู้นำเขมรผู้ลูกประกาศแล้วว่าพรุ่งนี้จะยื่นเรื่องต่อ ICJ

มารอดูว่าผู้นำไทยผู้ลูกจะแผ่นเสียงตกร่องทำนองเจบีซี ๆ ๆ ๆ อีกหรือไม่

บอกแล้วไง-เป็นคนไทยต้องอดทน!!

คำนูณ สิทธิสมาน

14 มิถุนายน 2568

1 วันก่อนวันครบรอบ 63 ปีคำพิพากษาศาลโลกให้ไทยเสียปราสาทพระวิหาร

‘ดร.ปิติ’ ดึงสติคนไทยปมชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่หลงเหลี่ยมกลุ่มอำนาจในกรุงเทพและพนมเปญ

รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กต่อกรณีกัมพูชาส่งหนังสือถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

1. คนไทยควรทำจิตใจให้เข้มแข็ง เข้าใจสภาพความเป็นจริงก่อนว่า ชายแดนไทย-กัมพูชา ยาว 798 กิโลเมตร มีความขัดแย้งกัน 4 จุด ดังนั้นอย่าให้ประเด็นขัดแย้ง 4 จุดกลายเป็นความเกลียดชังระหว่างคนไทยและคนเขมร และปัญหาจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาของคนในพื้นที่ แต่เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มอำนาจการเมืองในกรุงเทพและพนมเปญ เราต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างมีสติ เพราะในความเป็นจริง คนไทยและคนกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ดีเกื้อกูลซึ่งกันและกันมาตลอดประวัติศาสตร์ เราเรียนรู้จากเขา เอามาพัฒนา เขาเรียนรู้จากเรา เอาไปปรับใช้ ทั้งสองรัฐถึงพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นพันปี

2. คนไทยต้องศึกษาข้อมูลให้มาก เอกสารที่สมควรต้องอ่านและทำความเข้าใจด้วยตนเอง อย่าให้ใครมาชี้นำได้คือ MOU2543, MOU2544 (เอกสาร 2 ฉบับนี้ยาวรวมกันไม่ถึง 8 หน้ากระดาษ), คำตัดสินกรณีเขาพระวิหาร (ทั้ง 2 รอบ) แผนที่ 1:200000 ระวางดงรัก, และ แผนที่ 1:50000 L7017 (ของเก่า) และ L7018 (ของใหม่)

3. เป้าหมายสำคัญที่สุดของไทยและกัมพูชา คือ การสร้างชายแดนให้เป็นจุดเชื่อมโยงแห่งโอกาส โอกาสการค้า โอกาสการลงทุน โอกาสการเข้าถึงทรัพยากร โอกาสการเข้าถึงตลาด โอกาสพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โอกาสสร้างความมั่งคั่งให้คนในพื้นที่ โอกาสพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกัน โอกาสเชื่อมโยงระบบ Logistics ฯลฯ อย่าละทิ้งโอกาสเพราะนักการเมืองชั่วๆ ที่เมืองหลวงที่มีผลประโยชน์ร่วมกันของเครือญาติครอบครัว แต่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติทั้งสองมาทำให้เราเสียโอกาส ดังนั้นชายแดน 798 กิโลเมตรต้องเดินหน้าหา solution ที่ยั่งยืนร่วมกัน ถ้าแผนที่มีปัญหาก็ใช้เทคนิคสมัยใหม่ในการจัดทำแผนที่ร่วมกัน Delimitation และเริ่มต้น Demarcation กันใหม่ทั้งหมด โดยยึดเอาประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นหลัก แล้วจริงๆ แผนที่ที่มีปัญหาก็มีไม่กี่ตำแหน่งในระวางเดียว ที่เหลือก็ต้องยึดหลักการสากล ซึ่งก็คือ สันปันน้ำ

4. ไทยต้องตั้งศูนย์เฉพาะกิจของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นายกฯ รองนายกฯ กลาโหม ต่างประเทศ คลัง คมนาคม DE มหาดไทย ยุติธรรม กองบัญชาการกองทัพไทย และเลขาธิการ สมช) เป็นเสมือน War room ติดตามสถานการณ์ วางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี และสื่อสารเชิงกลยุทธ์จากจุดเดียวให้ทั้งประชาชนไทย และประชาคมโลกเข้าใจถูกต้องตรงกัน แถลงแบบช่วงการระบาดโควิดเลยในทุกวาระที่มีความตึงเครียด โดยแถลง 3 ภาษา ไทย อังกฤษ และขแมร์ ผ่านช่องทางที่เป็นทางการ และห้ามคนที่ไม่รู้เรื่อง คนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ออกมาพูด เพื่อป้องกันความสับสน

5. ไทยต้องยืนยันเป็นเอกสารอย่างชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ แสดงหลักฐานที่มีทั้งหมดที่เราปฏิเสธอำนาจ ICJ ในทุกวาระ

6. ไทยต้องแสดงหลักฐานว่าเรามีกลไกในการจัดการชายแดนและระงับข้อพิพาทอยู่แล้วระหว่าง 2 ประเทศ นั่นคือ MOU2543 ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ ฝ่ายกัมพูชาทำเสียมารยาท เพราะทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพการประชุม  JBC ตาม MOU2543 อยู่แท้ๆ แต่กัมพูชากลับดำเนินการละเมิดข้อ 8 ของ MOU2543 เสียเองโดยการนำเรื่องขึ้นสู่ ICJ ทั้งที่ MOU2543 ข้อ 8 บัญญัติว่า "ข้อ 8 (การเจรจา) ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา"

7. ไทยต้องแสดงหลักฐานทั้งคำให้การ ภาพถ่าย บันทึกต่างๆ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเขมร ย้ำว่าต้องทำเอกสารและแถลงเป็นภาษาเขมรด้วย ของการละเมิด MOU2543 ข้อ 5 ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยละเมิดมาแล้วกว่า 400 ครั้งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา MOU2543 ข้อ 5 บัญญัติว่า "ข้อ 5 (ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน) เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

8. Soft power ให้ทุนการศึกษา ให้เด็กนักเรียนที่เก่งที่สุดในทุกระดับจากกัมพูชามาเรียนหนังสือในไทย (ให้เงินเดือน ให้ค่าที่อยู่ ให้ค่ารักษาพยาบาล ให้ค่าเทอม ซึ่งเงินทั้งหมดก็ตกอยู่ในประเทศไทย เพราะเขาเข้ามากินมาอยู่ในไทย), สนับสนุนงานวิจัยร่วมไทย-กัมพูชาในมิติที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน, ให้ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนมา, ส่งกองทัพออกไปเก็บกู้วัตถุระเบิด, ทำให้การจ้างแรงงานกัมพูชาสะดวกและถูกกฎหมาย, ให้การสนับสนุน  NGOs/CSOs กัมพูชาที่ทำงานด้านการพัฒนาและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนในกัมพูชา เพื่อให้เขาเห็นว่า การเป็น Friend of Thailand ดีกว่าที่เขาจะเกลียดประเทศไทย ศัตรูของเขาไม่ใช่คนไทย แต่เป็นระบบการเมืองที่มีปัญหา

9. ตัดกระแสไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต สำหรับกิจการที่ใช้ไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตจากไทยในปริมาณมากๆ เพราะส่วนใหญ่คือ กิจกรรมการพนันและ scam center, fraud factory ห้ามบุคคลที่จะเดินทางออกไปเล่นการพนันไม่ให้ข้ามพรมแดน (สังเกตจากคนพวกนี้จะมีนายหน้าของบ่อนดำเนินการเรื่อง border pass) เพราะบ่อนและ scam center เป็นท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่หากเป็นกิจกรรมปกติ ค้าขาย ข้ามแดนเพื่อท่องเที่ยว ทำงาน ให้อำนวยความสะดวกตามปกติ เพื่อไม่ให้ประชาขนเดือดร้อน รวมทั้งให้กองทัพและ ตชด. ลาดตระเวนให้พื้นที่ช่องทางธรรมชาติให้มีความถี่สูงขึ้น

10. กระทรวงการต่างประเทศต้องเรียกให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาชี้แจง และรับนโยบายของฝ่ายไทย รวมทั้งกำหนดว่า หากมีปัญหาอีก คงต้องดำเนินการจากเบาไปหาหนักในสัดส่วนที่เหมาะสม

‘แยม-ฐปณีย์’ ซัด ไทยแพ้ทางข่าวสารแก่กัมพูชาเละ ชี้ ก.ต่างประเทศไทยไม่เปิดเผยอะไรเลยปล่อยกัมพูชาชิงแถลง

เมื่อวันที่ (15 มิ.ย. 68) แยม - ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผลการประชุม JBC ไทยพ่ายแพ้ทางข่าวสารฝ่ายกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว !!

ในฐานะนักข่าวไทยที่ไปทำข่าวการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งมีนักข่าวไทยไปกันเพียง 4 สำนัก คือ แยม-ฐปณีย์ ที่ทำทั้งข่าว 3 มิติ และ The Reporters , น้องเก้า พงศธัช สุขพงษ์ ThaiPBS World , สันติวิธี พรหมบุตร ไทยรัฐทีวี และนักข่าวกัมพูชา จำนวนมาก

ก่อนเดินทางต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้นักข่าวไทยที่จะไปทำข่าวลงทะเบียนเพื่อทำบัตรไปทำข่าวการประชุมได้ ส่วนรายละเอียดสถานที่จัดการประชุม เวลา และอะไรต่างๆ ก่อนประชุมทางกัมพูชาก็ปิดลับ เรารู้กันว่าโรงแรมอะไร และเวลาไหน ที่เหลือต้องเชคกันเอง

โชคดีที่เราพอมีเพื่อนนักข่าวกับพูชา และแหล่งข่าวเก่าๆ ที่เคยทำข่าวประเด็นพิพาทต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่ง 16-17 ปีผ่านไป ยังมีคนที่พอให้เชคข่าวสัมภาษณ์ได้บ้าง อย่างเช่น นายไพ สีพาน อดีตโฆษกรัฐบาลสมัยสมเด็จ ฮุนเซน และปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

วันที้ 13 มิ.ย.ที่ไปถึง แยมให้เพื่อนช่วยนัดไพ สีพาน และ ศ.รอส จันทะบอต นักประวัติศาสตร์ มาสัมภาษณ์ เพราะอยากรู้ท่าทีของกัมพูชาที่จะนำ 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก และเป็นข้อมูลก่อนการประชุม JBC

ส่วนฝ่ายไทย ก็แจ้งมาว่าคณะที่มา จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ จะให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงที่กรุงเทพ ซึ่งนักข่าวไทยก็ช่วยกันต่อรองมาบอกอะไรเราบ้าง เราจะได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะเรามาทำข่าวถึงที่นี่ ถ้าฝ่ายกัมพูชา ให้สัมภาษณ์แถลงอะไร เราก็ต้องรายงานข่าวตามนั้นนะ

สุดท้ายทาง กต.ไทย ก็ย้ำว่า จะไม่มีการให้สัมภาษณ์ของคณะ JBC ไทย แต่ความเป็นนักข่าวเราก็ต้องทำหน้าที่ คืนวันที่ 13 มิ.ย.แยมก็รอเจอท่านทูตประศาสน์ ประธาน JBC ไทย ที่โรงแรมที่พัก ซึ่งกว่าจะมาถึงก็ 21.00 น. ซึ่งเชื่อว่าการรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่เป็นท่านทูตพนมเปญ ในช่วงปี 51-54 แต่ท่านทูต ก็ไม่ตอบเรื่องการประชุม เพราะมีนโยบายมา ซึ่งเข้าใจได้ เราแค่อยากทักทายตามประสาแหล่งข่าว ซึ่งตลอด 2 วันในการประชุมเราก็ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ 555

มาถึงวันประชุมจริง 14 มิ.ย.นักข่าวไทยก็ไปรอประชุมคณะใหญ่ พร้อมนักข่าวกัมพูชา นัด 10.00 น.กว่าคณะจะมาห้องใหญ่ก็ 11.40 น.เพราะมีประชุมคณะเล็ก แล้วก็พักเที่ยง 2 ชม.แล้วมาประชุมอีกที 14.40 น. ซึ่งไม่นานพอ 15.30 ฝ่ายไทยนำโดยท่านทูตประศาสน์ ออกจากห้องประชุม โดยเราไปถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ นักข่าวคิดว่าการประชุมจบแล้ว

แต่ในห้องประชุมเราเห็น นายฬำ เจีย ยังถกเครียดกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ซึ่งไม่นาน มีเจ้าหน้าที่กัมพูชา มาขอคุยกับนักข่าวไทยว่า การประชุมยังไม่เสร็จ แค่พักการประชุม และไทยไปแถลงข่าวที่ไม่ตรงกัน และต่อมา นายฬำ เจีย ก็มาให้สัมภาษณ์ที่ไทยแถลงนั้นเป็นเพียงฝ่ายเดียว !!

นักข่าวไทยก็พยายามประสานบอกว่า ฝ่ายกัมพูชา อาจเอาเรื่องนี้มาชิงความได้เปรียบทางการสื่อสาร ขอให้ข้อมูลกับเราบ้าง

และก็จริงพอการประชุมวันนี้ ตั้งแต่เช้า นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ชิงแถลงส่งหนังสือไปฟ้องศาลโลก ก่อนการประชุม JBC วันที่ 2 จะเริ่มขึ้น และยังไม่ตกลงกันเรื่องบันทึกการประชุม Agreement Minutes ซึ่งเรื่อง 4 ข้อพิพาท ก็กลายเป็นประเด็นที่โต้แย้งกัน จนใช้เวลาตกลงกันเกือบ 6 ชั่วโมง และกว่าจะมาแถลงลงนามกันก็บ่ายสองแล้ว !!

การลงนาม จับมือ ถ่ายภาพกันชื่นมื่นจริง แต่ไม่มีแถลงการณ์ร่วม ไม่มีการเปิดเผยอะไร ก่อนที่ 2 ฝ่ายแยกย้าย นักข่าวไปรุมสัมภาษณ์ นายฬำ เจีย ตอบสั้นๆว่าบรรยากาศดี ให้รอ press แถลงข่าว ส่วนท่านทูตประศาสน์ ไม่ตอบอะไร

ซึ่งจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ในเวลา 14.45 น.กัมพูชาก็ออก press ข่าวผลการประชุม อย่างที่ปรากฏว่า แจ้งฝ่ายไทยว่าจะส่ง 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก แต่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ และไม่นำ 4 เรื่องนี้หารือใน JBC อีกต่อไป รวมถึงยึดตามแผนที่ 1:200,000 ไม่ยึดแผนที่ที่ไทยทำขึ้นเอง

https://www.facebook.com/share/p/16kp61dy4k/?mibextid=wwXIfr

ส่วนของไทย กระทรวงการต่างประเทศออกข่าวแจงสั้นๆว่า บรรยากาศประชุมดี สองฝ่ายจะใช้กลไก JBC คุยเรื่องปักปันเขตแดนต่อไป ฯ และต้องมาออกเอกสารชี้แจงภายหลัง โดยล่าสุดออกแถลงการณ์ชี้แจงเมื่อ 22.30 น.ที่ผ่านมา แสดงความผิดหวังที่กัมพูชาขาดความจริงใจที่จะนำ 4 ข้อพิพาทหารือตามกลไกทวิภาคี

https://www.facebook.com/share/p/1BZ7Bc2MtH/?mibextid=wwXIfr

แค่เรื่องการให้ข่าวไทยก็พ่ายแพ้กัมพูชาไปแล้วจากการประชุม JBC ซึ่งที่สะท้อนมานี้ หวังแค่ว่าฝ่ายไทยจะปรับปรุง เพราะปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา กำลังจะเดินทางไปถึงศาลโลกและ UN ในขณะที่พื้นที่ชายแดนก็เปราะบาง กำลังลุกลามเป็นสงครามเศรษฐกิจ

นักข่าวไทยก็รักชาติ อยากรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ

สื่อกัมพูชาโชว์ภาพกำลังพลในพื้นที่จังหวัดพระวิหาร "โอ่ พร้อมรบ 24 ชั่วโมง"  

(15 มิ.ย. 68) สื่อทางการของกัมพูชาได้เผยแพร่ภาพและข้อความ แสดงถึงความพร้อมของกองกำลังทหารประจำจังหวัดพระวิหาร โดยระบุว่าได้เตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ ภายใต้คำสั่งอันเคร่งครัดจากผู้นำรัฐบาล พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องประเทศจาก "ศัตรูผู้รุกราน"

ในแถลงการณ์ ระบุว่า
“หนึ่งชีวิตเพื่อชาติ ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการตัดสินใจอันแน่วแน่ของพวกเราทุกคนในกองกำลัง ที่จะปกป้องประเทศชาติ ขอให้ประชาชนไว้วางใจและไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ต้องกังวล เพราะหน้าที่ในการปกป้องชาตินั้น เป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเรา”

การเผยแพร่ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาโดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม  ปราสาทตาเมือนโต๊ด  ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต 

เดวิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

เรียกร้องประชาคมโลก จัดการรัฐบาล-ตระกูลผู้นำกัมพูชา หลังรายงานชี้ชัดมีเอี่ยวฟอกเงิน - อาชญากรรมข้ามชาติ

แถลงการณ์ในนามประชาชนไทย
ถึงประชาคมโลก

(17 มิ.ย. 68) เรื่อง การเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการต่อรัฐบาลกัมพูชาและตระกูลผู้นำที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนไทยผู้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ความยุติธรรม และความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอใช้โอกาสนี้ในการส่งสารไปยังสหประชาชาติ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรสิทธิมนุษยชน และประชาคมโลก เพื่อแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมของรัฐบาลกัมพูชาและเครือข่ายอำนาจที่ปกครองประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของตระกูลฮุน เซน และผู้ใกล้ชิด ได้สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกับอาชญากรรมระดับโลก ทั้งในรูปของการฟอกเงินและสนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายผ่านบริษัทอย่าง Huione Group ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ และบริษัท Elliptic ที่วิเคราะห์บล็อกเชน พบว่า Huione Group และแอปพลิเคชัน Huione Pay ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการโอนเงินผิดกฎหมายจากขบวนการ แฮกเกอร์, กลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึง การค้ามนุษย์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ใน Telegram ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการโฆษณาและติดต่อของเครือข่าย Huione มีการพบกลุ่มนายหน้าหลายร้อยกลุ่มที่เสนอ “บริการจัดหาแรงงาน” ซึ่งแท้จริงแล้วคือการบังคับคนจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย ให้ทำงานเป็น สแกมเมอร์ในสภาพบังคับ และยังมีผู้หญิงจำนวนมากถูกนำไป Human Trafficking  เช่น ค้าประเวณี หรือ บังคับถ่ายทำภาพยนตร์ลามก

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดมาจากกลุ่มทุน(จีนเทาโพ้นทะเล) ที่หนีการปราบปรามในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะภายใต้นโยบายเข้มงวดของสี จิ้นผิง พวกเขาเลือกย้ายฐานมายังประเทศกัมพูชา ที่เปิดรับการลงทุนจีนโดยแทบไม่มีเงื่อนไข เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้จึงกลายเป็นแหล่งตั้งรกรากใหม่ของกิจกรรมผิดกฎหมาย ทั้งสแกม ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ โดยรัฐบาลกัมพูชาแห่งยอมผ่อนปรนเพื่อแลกกับรายได้ เหมือนภาพซ้ำของจีนโพ้นทะเลในอดีตที่ตั้งอั๊งยี่และค้าฝิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยุคนี้ซับซ้อนและอันตรายกว่าหลายเท่า

จากสถิติของ United Nations Inter-Agency Project on Human Trafficking (UNIAP) พบว่า การค้ามนุษย์จากต่างประเทศในกัมพูชา เพิ่มขึ้นในอัตรากว่าร้อยละ 400 เลยทีเดียว

งานวิจัย Behind Closed Doors: Debt-Bonded Sex Workers in Sihanoukville, Cambodia โดย ลาริสซา แซนดี (Larissa Sandy) ระบุว่า อาชญากรรมด้าน "กามารมณ์" คือรูปแบบการค้ามนุษย์อันดับ 1 ที่เกิดขึ้นใน เมืองสีหนุวิลล์

หญิงขายบริการจำนวนมากเป็น “โสเภณีขัดดอก” ที่ต้องใช้ร่างกายชดใช้หนี้แทนตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว โดยไม่มีเสรีภาพหรือทางเลือกใดในการหลีกหนี

ระบบดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้สายตาของรัฐ ด้วยการเอื้อพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เครือข่ายนายทุนและอิทธิพลดำเนินการโดยไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง

นอกจากนี้ บุคคลที่อยู่ในเครือบริษัทดังกล่าว เช่น ฮุน โต ลูกพี่ลูกน้องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ระดับภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลกัมพูชากลับไม่เพียงละเลย แต่ยังมีพฤติกรรมส่อว่าให้ ความคุ้มครองทางอ้อม แก่เครือข่ายเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาเพิกถอนใบอนุญาตของ Huione Group ในลักษณะที่เป็นการ “ปลดเปลื้องภาระทางกฎหมาย” มากกว่าการเอาผิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเพียงการเตรียมการ “ควบรวมบริษัท” มากกว่าการยุติกิจกรรมอาชญากรรม

ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชาไม่เพียงจำกัดอยู่ในระดับภายในประเทศ หากแต่ได้ขยายตัวเป็นพฤติกรรมของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อการก่ออาชญากรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในกรณี การลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยทางการเมืองและถือสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตกลางกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 กรณีนี้ชี้ชัดถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม แม้จะอยู่ในต่างแดน ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ คนร้ายได้หลบหนีเข้ากัมพูชา แต่รัฐบาลกัมพูชากลับไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างจริงจัง สะท้อนท่าทีที่ไม่เพียงละเลยต่อหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการสนับสนุนมือปืนและการก่อการร้ายทางการเมืองข้ามชาติอย่างชัดเจน

ล่าสุด รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อกล่าวโทษไทยในข้อพิพาทชายแดน โดยพยายามแสดงตนว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่ความจริงคือ ไทยไม่มีท่าทีคุกคามใด ๆ ตรงกันข้าม กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่เริ่มยั่วยุ เช่น การขุดแนวรบในพื้นที่พิพาทซึ่งเป็นต้นเหตุของการปะทะ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงน่ากังวลว่าเป็นแผนยั่วยุเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโลกจากความเป็น “รัฐอาชญากรรม” ที่กัมพูชากำลังถูกมองว่าเป็นอยู่

ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อประชาคมโลกว่า แท้จริงแล้ว กัมพูชาควรอยู่ในฐานะ “โจทก์” หรือ “จำเลย” กันแน่
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องให้:

ประชาคมโลกตรวจสอบ และพิจารณาดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ กับผู้นำและเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติจากกัมพูชา โดยเฉพาะในระดับศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)

ประเทศสมาชิกสหประชาชาติพิจารณามาตรการทางการทูตและการเงิน ต่อหน่วยงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และการค้าประเวณี

องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเข้ามาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประสานกับภาคประชาสังคมในภูมิภาคเพื่อปกป้องผู้ลี้ภัย นักกิจกรรม และประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า หากละเลยพฤติกรรมเหล่านี้ให้ดำรงอยู่โดยไม่ถูกตรวจสอบและลงโทษ ย่อมเป็นการเปิดทางให้ ความชั่วร้ายแฝงเร้นในคราบของรัฐเผด็จการดำรงอยู่ต่อไป และอาจลุกลามกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกในที่สุด ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์
ประชาชนไทยผู้รักสันติภาพและยืนหยัดต่อความยุติธรรม

'ชาวกัมพูชา' ชุมนุมแสดงพลังกลางกรุงพนมเปญ ย้ำจุดยืนรักษาดินแดน - ต่อต้านผู้รุกราน

(18 มิ.ย.68) กระทรวงข้อมูลข่าวสารฯกัมพูชา ได้ถ่ายทอดสดผ่านทางเฟซบุ๊ก "ក្រសួងព័ត៌មាន - Ministry of Information" ที่มีผู้ติดตาม 1.4 ล้านคน เผยแพร่ภาพของพลเมืองชาวกัมพูชาได้ออกมาแสดงพลังรักชาติ พร้อมสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลในการป้องดินแดนกัมพูชา โดยประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมพากันโบกธงชาติกัมพูชา พร้อมถือรูป 'สมเด็จฮุน เซน' และรูปนายกรัฐมนตรี 'ฮุน มาเนต' รวมพลังเต็มพื้นที่ชุมนุม ย้ำจุดยืนต่อต้านผู้รุกรานดินแดน

ด้าน สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ภาพระบุข้อความว่า เป็นการมีส่วนร่วมของชาวกัมพูชา ในการสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำจุดยืน กัมพูชาไม่ต้องการดินแดนของผู้อื่นแม้แต่ 1 มิลลิเมตร แต่จะปกป้องดินแดนกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ใครมาล่วงล้ำแม้เพียง 1 มิลลิเมตร เช่นกัน

ส่วนทางสำนักข่าวท้องถิ่นได้รายงานว่า นายฮุน มาณี ลูกชายของฮุนเซน จะเป็นผู้นำในการเดินขบวนในเช้าวันนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อกองทัพ และส่งเสริมความรักชาติ ในกรุงพนมเปญ

รู้จัก ‘บิ๊กเล็ก’ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ผู้กุมบังเหียน ศบ.ทก. สู้ศึก ‘ไทย-กัมพูชา’

(19 มิ.ย 68) เปิดประวัติ ‘บิ๊กเล็ก’ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ กลาโหม กับภารกิจคุมบังเหียน ศบ.ทก. วางแผน แก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เจรจาอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะ

สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับพื้นที่และชายแดน ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา

เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงมีคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา” (ศบ.ทก.) ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อประสานและบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ศูนย์เฉพาะกิจนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการวางแผน แก้ไข และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนอย่างถูกต้องและเป็นเอกภาพ รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในแนวทางสันติวิธี บนพื้นฐานของการเคารพในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค และบูรณภาพแห่งดินแดนตามหลักทวิภาคี

พร้อมกันนี้ ยังมีการประสานกับสภาความมั่นคงแห่งชาติในการอนุมัติการดำเนินการต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และสร้างแนวทางสู่การเจรจาอย่างสันติระหว่างประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

สำหรับ พล.อ.ณัฐพล นั้นเป็นผู้ที่เข้าใจในมิติด้านความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังเคยเป็นกรรมการ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” หรือ“ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19”(ศปก.ศบค.) รวมทั้งยังรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควบคู่กันไปด้วย กล่าวได้ว่าประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตของชาติมีอย่างเต็มเปี่ยม

เปิดประวัติบิ๊กเล็ก
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ บิ๊กเล็ก เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ปี 2504 จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 31 (รุ่นเดียวกับพลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

• ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พ.ศ. 2531
• อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2536
• อาจารย์วิทยาลัยการทัพบก พ.ศ. 2540
• ผู้อำนวยการกอง กรมยุทธการทหารบก พ.ศ. 2550
• เจ้ากรมยุทธการทหารบก พ.ศ. 2558
• รองเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2559
• หัวหน้าส่วนอำนวยการ สำนักงานเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ศ. 2559
• เสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2560
• รองผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ. 2561-2563
• กรรมการ บริษัท ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2561-พ.ศ. 2563
• กรรมการอิสระและกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2562-พ.ศ. 2563
• เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2563
• ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
• ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข พ.ศ. 2564
• รองผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ประวัติการศึกษา พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์
• พ.ศ.2529 หลักสูตรชั้นนายร้อย รุ่นที่ 74 โรงเรียนทหารราบ
• พ.ศ.2532 หลักสูตรชั้นนายพัน รุ่นที่ 52 โรงเรียนทหารราบ
• พ.ศ.2540 หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับผู้บริหาร กรมยุทธศึกษาทหารบก
• พ.ศ.2542 หลักสูตรความมั่นคงภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ประเทศสหรัฐอเมริกา
• พ.ศ.2560 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 59

กัมพูชาเพิกถอนใบอนุญาต 2 เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ กล่าวหาละเมิดจรรยาบรรณ-ขัดข้อตกลงกับรัฐซ้ำซาก

เมื่อวันที่ (18 มิ.ย 68) กระทรวงข้อมูลข่าวสารของกัมพูชาได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตสื่อออนไลน์ 2 แห่ง ได้แก่ fourpowers.asia และ sim-news.com โดยระบุว่าทั้งสองเว็บไซต์กระทำผิดร้ายแรง ฝ่าฝืนกฎหมายสื่อมวลชน และละเมิดข้อตกลงทางธุรกิจที่ได้ทำไว้กับรัฐ

คำสั่งดังกล่าวลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสาร นายเนตร ภัคตรา โดยให้เหตุผลว่า การเพิกถอนใบอนุญาตเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมกิจการสื่อ เพื่อรักษามาตรฐานและความน่าเชื่อถือของวงการข่าวสารในประเทศ

แม้ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของเนื้อหาที่ละเมิด แต่กระทรวงชี้ว่า ทั้งสองเว็บไซต์มีพฤติกรรมผิดซ้ำซากและไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือนก่อนหน้า จึงจำเป็นต้องยุติการดำเนินงานอย่างถาวร

ทั้งนี้ สถานการณ์เสรีภาพสื่อในกัมพูชายังคงน่าเป็นห่วง โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ปิดหรือควบคุมสื่ออิสระหลายแห่ง พร้อมจำกัดการเข้าถึงสื่อจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังมีการใช้กฎหมายในลักษณะคุกคามสื่อและนักข่าว ซึ่งนำไปสู่การจัดอันดับเสรีภาพสื่อของกัมพูชาในระดับต่ำจากหลายองค์กรระหว่างประเทศ เช่น Human Rights Watch, RSF และ Freedom House

UN คอนเฟิร์ม ‘กัมพูชา’ คือศูนย์กลาง ‘สแกมเมอร์โลก’ เชื่อมกลุ่มทุน-เครือญาติ ‘ฮุน เซน’ กวาดเงินหมื่นล้าน

(20 มิ.ย. 68) องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ชี้ว่ากัมพูชาได้กลายเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของเครือข่ายหลอกลวงทางไซเบอร์ระดับโลก โดยมีการลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะเมืองปอยเปตที่ติดชายแดนไทย กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเจาะตลาดไทย

รายงานระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้จำกัดเฉพาะเขตชายแดนอีกต่อไป แต่ขยายเข้าสู่เมืองหลวงกรุงพนมเปญ และจังหวัดสำคัญอย่างบาเวตและพระสีหนุ แสดงให้เห็นถึงการฝังรากลึกของธุรกิจหลอกลวงในโครงสร้างประเทศ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และอำนาจรัฐ

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ถูกจับตามองคือ Huione Group บริษัทการเงินขนาดใหญ่ที่มีความเชื่อมโยงกับครอบครัวผู้นำกัมพูชา โดยเฉพาะนายฮุน โต หลานชายของอดีตนายกฯ ฮุน เซน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การฉ้อโกงทางไซเบอร์ และธุรกรรมผิดกฎหมายมูลค่ามหาศาลทั่วภูมิภาค

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีดำ Huione Group และตัดขาดจากระบบการเงินของอเมริกา พร้อมกับเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการของ Huione Pay ในกัมพูชา ขณะที่บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Elliptic ระบุว่าแพลตฟอร์ม Huione Guarantee ของกลุ่มนี้มีมูลค่าธุรกรรมต้องสงสัยรวมกว่า 27 พันล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท

ด้านตำรวจไซเบอร์ไทยยืนยันพบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างกลุ่มพนันออนไลน์ในไทยกับบริษัทในกัมพูชา โดยเฉพาะ Huione Group ที่มีบทบาทสำคัญในการฟอกเงินจากการหลอกลวงแบบ Call-Centre และการพนัน ผ่านการแปลงเงินเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลและนำกลับมาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริง

กรณีนี้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่หลายฝ่ายในไทยเสนอให้รัฐบาลไม่ปล่อยให้กัมพูชายื่นข้อพิพาทชายแดนต่อศาลโลกฝ่ายเดียว พร้อมเรียกร้องให้นำประเด็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่กัมพูชาถูกกล่าวหาทั่วโลกเข้าสู่การพิจารณาในเวทีสหประชาชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม

‘ฮุน มาเนต’ นายกฯ กัมพูชา สั่งปิด 2 ด่านชายแดน ตอบโต้ ‘กองทัพภาค 2’ ปิดจุดผ่อนปรน ‘ช่องสายตะกู’ บุรีรัมย์

(22 มิ.ย.68)  เมื่อเวลา 07.00 น. ‘ฮุน มาเนต’ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เมื่อคืนที่ผ่านมา (วันที่ 21 มิถุนายน) ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด Oddar Meanchey ได้รายงานให้ผมทราบว่า ทหารภาค 2 ของกองทัพไทย เพิ่งออกหนังสือแจ้งว่า ทางฝั่งไทยจะปิดประตู Say Taku-Jobkkir ในเขต Banteay Ompil, Oddar Mean จังหวัดเชย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

อนุมัติให้ ท่านผู้ว่าฯ ปิดประตูนี้ในกัมพูชาถาวร  นอกจากประตูนี้แล้ว ผมสั่งให้ท่านผู้ว่าฯ ปิดประตูอีกประตูหนึ่ง ประตูชายแดนดํา อ.อันหลงเวง จ.อุดรมีชัย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และแจ้งทางฝั่งไทยด้วย

ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2025 กองทัพไทยได้ใช้มาตรการปิดชายแดนและปรับเปลี่ยนเวลาปิด-เปิดประตูชายแดนระหว่างสองประเทศ โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

กัมพูชาไม่เคยมีเจตนาที่จะสร้างความลําบากแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศที่อาศัยอยู่ใน หรือเดินทางผ่านประตูชายแดน แต่กองทัพไทยยังใช้วิธีนี้โทษกัมพูชา เขมรกับเราอยู่เสมอ

เป็นเรื่องแปลกที่ผู้นําการเมืองไทย รวมถึงนายกรัฐมนตรีไทย มักจะขอเจรจาเปิดขอบเขต เพื่อคืนความปกติ แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพไทยยังคงปิดประตู หรือปรับเวลาปิดประตู ตามที่ตนต้องการเป็นฝ่ายเดียว

ไม่รู้ว่าเป็นวิธีการหรือกลยุทธ์ในการทํางานระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพไทย เพราะดูเหมือนจะไม่มีข้อตกลงภายในและหลักการที่ชัดเจน คนหนึ่งขอให้การเจรจาต่อรองทวิภาคีเพื่อเปิดประตูสู่ความปกติอีกครั้ง ในขณะที่อีกคนยังคงปิดประตูอย่างเดียว

สําหรับกัมพูชา เราได้รับการสนับสนุนจากผู้นําประเทศสู่กองทัพแนวหน้า ถ้านายกฯ สั่งอะไรมา ทุกสถาบันชาติและชาติ รวมทั้งกองทัพบก ให้ใช้คําสั่งนั้นเป็นสำคัญ

เกี่ยวกับการเปิดประตูชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย ขอย้ำว่ากัมพูชายังคงจุดยืนเดิมว่า ไม่จําเป็นต้องเจรจาต่อรองทวิภาคีในการเปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ

ถ้าฝั่งไทยต้องการเปิดประตูสู่ความปกติจริงๆ ก็ทําได้ง่ายและรวดเร็ว กองทัพไทย ที่ปิดประตูทางเดียวเป็นคนแรก ต้องเปิดประตูทางเดียวอีกครั้ง เพราะก่อนวันที่ 7 มิถุนายน 2025 กัมพูชาจะเปิดให้บริการอีกครั้งในอีก 5 ชั่วโมง นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมาก โดยไม่ต้องต่อรองหรือเสียเวลา ต้องการเพียงจุดยืนของความต้องการจากฝั่งไทย“


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top