Monday, 29 April 2024
กระทรวงพาณิชย์

‘กรมพัฒนาธุรกิจฯ’ เสริมแกร่งร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่น ปี 67 ปั้น 30 ร้านต้นแบบ เร่งเข้มติว 2 พันราย ดันเป็นสมาร์ตโชห่วย

(22 ก.ย. 66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงแผนการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2567 ว่า กรมตั้งเป้าที่จะเดินหน้าส่งเสริมร้านค้าส่งค้าปลีกท้องถิ่น ระดับอำเภอและจังหวัดที่เป็นนิติบุคคล และมียอดขายตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีพื้นฐานแข็งแรง สามารถยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการตามแนวทางของกรม และพัฒนาสู่การเป็น ‘ร้านค้าต้นแบบ’ ได้ โดยตั้งเป้าที่จะเข้าไปพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่ ที่สนใจพัฒนาเป็นร้านค้าต้นแบบจำนวน 30 ร้านค้า ครอบคลุม 4 ภูมิภาค เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ กลาง และใต้

โดยแนวทางการพัฒนาจะเริ่มตั้งแต่การเสริมสร้างองค์ความรู้ การศึกษาดูงานร้านต้นแบบรุ่นพี่ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ ตลอดจนการลงพื้นที่ของผู้เชี่ยวชาญ ณ สถานประกอบการ เพื่อให้คำแนะนำในเชิงลึกที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจได้ตรงจุด ทั้งประเด็นที่ต้องแก้ไขปรับปรุงเร่งด่วน รวมถึงการเสริมจุดแข็งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาร้านค้าปลีกรายย่อย หรือ ‘โชห่วย’ ให้มีความเข้มแข็ง เพราะตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาร้านค้าโชห่วย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโมเดลธุรกิจของห้างโมเดิร์นเทรด ที่ปรับตัวย่อขนาดเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ที่มีภาพลักษณ์ดีและเทคโนโลยีทันสมัย ขยายตัวออกสู่ชุมชน รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลจากเทคโนโลยี จึงต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับโชห่วย โดยกำหนดจัดสัมมนาออนไซต์ใน 4 ภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ และลงพื้นที่ ณ สถานประกอบการ พัฒนาโชห่วยไทยทั่วประเทศให้เป็น ‘สมาร์ตโชห่วย’ โดยมีร้านค้าต้นแบบเข้ามาช่วยเหลือ

ทั้งนี้ การช่วยเหลือร้านโชห่วย จะเน้นการปรับภาพลักษณ์ร้านค้าตามหลัก 5 ส. (สวย สะอาด สว่าง สะดวก สบาย) เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้าน เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า และส่งเสริมการใช้ระบบ POS เพื่อผลักดันให้ร้านค้าโชห่วยปรับเปลี่ยนจากวิถีเดิม สู่การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการร้านค้า ซึ่งจะทำให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยในปี 2567 ตั้งเป้าจัดสัมมนาออนไซต์ จำนวนไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และ 4 ภูมิภาค เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการรวมทั้งสิ้น 2,000 ราย และพัฒนาต่อยอดเป็น ‘สมาร์ตโชห่วย’ ต้นแบบในพื้นที่ จำนวน 20 ราย

ปัจจุบัน มีร้านค้าส่งค้าปลีก ที่ได้รับการพัฒนาเป็นร้านค้าต้นแบบ รวม 307 ร้านค้า และมีร้านโชห่วยที่ผ่านการพัฒนา และได้รับป้ายสัญลักษณ์โครงการ ‘สมาร์ตโชห่วย พลัส’ จำนวน 306 ร้านค้า

‘ธุรกิจท่องเที่ยว’ แห่ตั้งบริษัทใหม่ รวมมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้าน ผุดบริการแลกเปลี่ยนเงินตราพุ่ง 1.89 เท่า รองรับตลาดฟื้นตัว

(22 ก.ย. 66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ยอดการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนสิงหาคม 2566 ทั่วประเทศรวม 7,424 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 24,905.75 ล้านบาท โดย 3 ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 584 ราย รองลงมา คือ อสังหาริมทรัพย์ 482 ราย และภัตตาคาร/ร้านอาหาร 360 ราย โดยช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท สัดส่วนมากสุด 64.51% มีจำนวน 4,789 ราย คิดเป็น 64.51%

ขณะที่ธุรกิจเลิกกิจการเดือนสิงหาคม 2566 รวม 2,007 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 7,038.02 ล้านบาท และ 3 ประเภทธุรกิจเลิกกิจการสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 172 ราย รองลงมา คือ อสังหาริมทรัพย์ 85 ราย และ ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 49 ราย ซึ่งสัดส่วน 70.55% เป็นธุรกิจมีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ 31 สิงหาคม 2566 มีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ 888,090 ราย มูลค่าทุน 21.51 ล้านล้านบาท มากสุดเป็นช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือจำนวน 518,247 ราย คิดเป็น 58.36%

“ธุรกิจตั้งใหม่เดือนสิงหาคมปีนี้ เทียบสิงหาคมปีก่อน เพิ่ม 0.08% และเทียบเดือนกรกฎาคม 2566 เพิ่ม 8.41% ขณะที่เลิกธุรกิจสิงหาคมปีนี้ เพิ่มขึ้น 3.40% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.50% จากเดือนกรกฎาคมปีนี้ ทำให้ 8 เดือนแรก 2566 จัดตั้งธุรกิจใหม่รวม 61,558 ราย เพิ่มขึ้น 14.90% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งยอดตั้งธุรกิจใหม่สิงหาคม 2566 เป็นจำนวนสูงสุดรอบ 10 ปีเทียบเฉพาะเดือนสิงหาคมด้วยกัน และสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ส่งผลให้ 8 เดือนแรก2566 มีจำนวนจัดตั้งสูงสุดรอบ 10 ปีด้วย หรือตั้งแต่ปี 2557 – 2566” นายทศพล กล่าว

นายทศพล กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนการจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นยังคงมาจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว 8 เดือนแรก 2566 มีจำนวนตั้งเพิ่มถึง 60.66% โดยเฉพาะธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโต 1.89 เท่า ตัวแทนธุรกิจการเดินทางเติบโต 1.41 เท่า ธุรกิจจัดนำเที่ยวเติบโต 1.03 เท่า ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารเติบโต 45.46% และ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุดเติบโต 42.86%) มีสัดส่วนคิดเป็น 7.94% ของจำนวนธุรกิจที่จัดตั้งทั้งหมดใน 8 เดือนแรก2566

นายทศพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตกว่า 1 เท่า เทียบ 8 เดือนแรกปีก่อน ได้แก่ ธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืชเติบโต 2.07 เท่า เพิ่มขึ้น 118 ราย จากนโยบายส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก

ธุรกิจบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้างเติบโต 1.70 เท่า เพิ่มขึ้น 311 ราย จากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีธุรกิจที่รับบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย โรงแรม รีสอร์ท บ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น

ธุรกิจให้เช่าและให้เช่าแบบลิสซิ่งยานยนต์เติบโต 1.40 เท่า เพิ่มขึ้น 155 ราย จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตและภาคธุรกิจที่นิยมการเช่ารถยนต์มากขึ้น และธุรกิจการปลูกพืชประเภทเครื่องเทศเครื่องหอมยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์เติบโต 1.12 เท่า เพิ่มขึ้น 201 ราย

“จากทิศทางที่ดีขึ้น กรมคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ช่วงครึ่งปีหลัง 2566 อยู่ที่ 32,000 – 39,000 ราย ซึ่งทำให้ทั้งปี 2566 อยู่ที่ 79,000-86,000 ราย” นายทศพล กล่าว

นายทศพล กล่าวว่า การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนสิงหาคม 2566 มีการอนุญาต 58 ราย มีเม็ดเงินลงทุน 6,840 ล้านบาท เปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 จำนวนเพิ่มขึ้น 14% เงินลงทุนลดลง 32% นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น 15 ราย รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง ทำให้ 8 เดือนแรก 2566 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในไทย 435 ราย มีเงินลงทุน 65,790 ล้านบาท

‘พาณิชย์’ เตรียมหาวิธีสร้างตลาดรัศมี 4 กม. รับมาตรการเงินดิจิทัล 10,000 บ. หวังงัด ‘ร้านธงฟ้า-รถพุ่มพวง’ อุดช่องว่าง สร้างจุดกระจายสินค้าให้ปชช.เข้าถึง

(23 ก.ย.66) การเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital wallet เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจของประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลตอนนี้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะ ‘ใส่เงิน’ เข้าไปในระบบเศรษฐกิจทั่วประเทศให้ถึงรากหญ้าในรัศมี 4 กม. ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐบาลทุกหน่วยงานจะต้องสนับสนุนและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นจริงภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567

>> เร่งด่วน Digital Wallet

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจ ว่า ได้ให้นโยบาย ‘เติมเงิน 10,000 บาท’ กับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายใหญ่ของรัฐบาลที่จะใช้กระตุ้น และเป็นเครื่องมือช่วยกระตุกเศรษฐกิจของประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ช่วยเรื่องของกำลังซื้อให้มีความแข็งแรงขึ้น เมื่อมีกำลังซื้อที่แข็งแรงก็จะนำไปสู่เรื่องของการผลิต และให้ผู้ประกอบการได้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ในเรื่องของการนำวัตถุดิบเข้ามาเสริม เพื่อรองรับความต้องการของตลาด

“เมื่อนโยบายนี้เกิดขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนได้หลายรอบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของการตัดสินใจ โดยใช้งบประมาณก้อนใหญ่ถึง 570,000 ล้านบาท ให้เกิดการหมุนเวียนภายในระยะเวลา 6 เดือน ถ้าเกิดการกระตุ้นจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพอสมควร หากเงินที่ให้ไปใช้ไม่หมดก็นำกลับคืน หากใช้หมดก็หมดไป

เพราะเท่ากับว่าเป็นการจับจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะหากงบประมาณนี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะเกิดการหมุนเวียนและก่อให้เกิดรายได้หลายทาง และรายได้นี้ก็จะนำไปสู่การดูแลในนโยบายอื่น เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เพราะเศรษฐกิจหมุนเวียน ธุรกิจก็จะเกิดการขยายตัว เพราะภายใน 4 ปีสามารถดำเนินการได้ก็จะก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

>> ฟื้นธงฟ้า-รถพุ่มพวง

เรื่องนี้กรมการค้าภายในจะต้องเตรียมการ ซึ่งได้มอบนโยบายไปว่า รัฐบาลจะมีงบประมาณออกมา และเกิดการกระจายรายได้ โดยมีข้อผูกพันว่า ต้องใช้ภายในพื้นที่ 4 กิโลเมตร แต่หากผู้ได้รับอยู่ในพื้นที่นอกเขต หรือชาวเขา รัฐบาลก็สามารถยืดหยุ่นขยายพื้นที่ออกไปได้ “ไม่เป็นไร เราไม่ได้กำหนดว่า 4 กิโลเมตรแล้วทำให้ประชาชนไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้”

โดยได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในไปเตรียมข้อมูลมาว่า หากประชาชนไม่สามารถเข้าถึง “สินค้า” กรมการค้าภายในจะมีเครือข่ายอะไร เช่น ‘ร้านธงฟ้า’ สามารถที่จะกระจายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้หรือไม่ ปัจจุบันมีข้อมูลพื้นฐานร้านธงฟ้ามีจำนวนเท่าไหร่ ในกี่จังหวัด จะสามารถรองรับนโยบาย Digital wallet ได้อย่างไร ซึ่งร้านจะขายสินค้าแบบเดิมก็สามารถดำเนินการได้ Digital wallet กำลังจะเกิดขึ้น

คุณต้องคิดว่าตลาดใหม่กำลังมา คุณจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการและสินค้าได้อย่างไร ซึ่งโครงการนี้สามารถเข้าไปดำเนินการส่งเสริมธุรกิจร้านธงฟ้าได้ด้วย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แสวงผลกำไร แต่ทำอย่างไรให้เกิดการเติบโตและกระตุ้นการจับจ่าย ผมก็ได้มอบนโยบายให้กรมการค้าภายในไปพิจารณาเรื่องนี้แล้ว” นายภูมิธรรมกล่าว

นอกจาก ‘ร้านธงฟ้า’ แล้ว digital wallet อาจจะขยายไปในส่วนของ ‘รถพุ่มพวง’ นำสินค้าไปขาย จะสามารถที่จะสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่รับสินค้าต่าง ๆ และไปกระจายสินค้าได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างจุดกระจายสินค้าให้ประชาชนสามารถเข้าถึง โดยกรมการค้าภายในอาจจะต้องคิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ใช่เพียงว่าปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นล้นตลาดและก็เทกระจาด แล้วคุณเข้าไปรับซื้อ

แต่มันยังมีวิธีการหรือช่องทางอื่น ๆ เพิ่มการกระจายสินค้า การเจรจากับสถานีบริการน้ำมันนำสินค้าไปกระจาย หน่วยงานที่ดูแลก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว หากสามารถเจรจาและกระจายสินค้าได้มันก็ก่อให้เกิด ‘ตลาดใหม่’ ขึ้นได้

“ผมอยากให้คิดนอกกรอบ ผมรู้ว่าการคิดนอกกรอบมันเสี่ยงที่จะผิดขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เราก็จะต้องมีการพิจารณาและคิดให้รอบคอบ แต่ก็มองว่าเป็นการลงทุนในเรื่องของการทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่ก็ต้องดูให้รอบคอบ หากเราจะดำเนินการทำได้ ก็อยากให้คิดพิจารณา”

>> สร้างตลาดในรัศมี 4 กม.

สำหรับพื้นที่ 4 กิโลเมตรนั้น ความหมายก็คือ ต้องการให้เศรษฐกิจพื้นฐานรากเกิดการเติบโตได้ทั้งหมด ถ้าหากไม่มีก็จะต้องคิดว่ามีเงินจำนวนมากขนาดนี้แล้วจะจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ ดังนั้น ‘การสร้างตลาด’ จึงเป็นจุดสำคัญที่จะเกิดการกระจายและกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน ‘โครงการร้านค้าประชารัฐ’ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา “ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง”

แต่ผมขอดูในรายละเอียด มองว่าหากประชาชนสบายใจที่จะเข้ามาซื้อสินค้าในร้านก็จบ ก็เดินหน้าโครงการต่อไป ผมไม่ได้คิดที่จะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อกลบ หากสิ่งที่ดีมีอยู่แล้วก็เดินหน้าต่อไปไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม Digital wallet 10,000 บาท ร้านค้าทุกแห่งสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ‘ไม่น่าจะมีปัญหา’ สามารถที่จะเข้าสู่ระบบได้ ปัญหาอยู่ที่การสร้าง ‘บล็อกเชน’ หากประเทศไทยสามารถสร้างบล็อกเชนขึ้นมาก็สามารถกำหนดเงื่อนไขว่า จะดำเนินการอย่างไร จ่ายที่ไหน จ่ายเมื่อไหร่ มันทำได้หมด

โดยเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องดูในรายละเอียด ซึ่งอาจจะมีปัญหาและได้ประโยชน์ แต่หากจะก่อให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องดี และเท่ากับเกิดการสร้างงาน สามารถกระจายรายได้ไปด้วย แต่ก็ต้องดูว่าทุกอย่างจะต้องโตอย่างสมดุล

“ทุกร้านเข้าได้หมด ทุกระดับ ร้านหมูปิ้ง ร้านขายของ แต่ว่าเอาให้ชัด ตอนนี้อยู่ระหว่างของการสร้างบล็อกเชน เพื่อกำหนดกฎกติกาให้สามารถเข้ามาได้ ถ้าเราสามารถนำร้านธงฟ้าเข้ามาอุดช่องว่าง ซึ่งอาจจะไม่มีความจำเป็นในการขยายพื้นที่จาก 4 กม. เป็น 6 กม. แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นจริง ว่าจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน

แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นโอกาสของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถเข้าไปสร้างกลไกของตลาดเพื่อรองรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เป้าหมายไม่ใช่ในเรื่องของกำไร แต่คือเรื่องของการกระจายธุรกิจ การพยุงราคา ให้ประชาชนได้รับบริการและเข้าถึงได้มากที่สุด” นายภูมิธรรม กล่าว

>> ลดทันที ข้าว-หมู-ไข่-มาม่า

นายภูมิธรรมกล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะดำเนินการให้ได้อย่างนั้น แต่ก็ต้องรับฟังฝ่ายปฏิบัติด้วย แต่หัวใจหลักของเรื่องนี้คือ “ต้นทุนราคาสินค้า” โดยสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการเข้ามาพูดคุยและหารือ ต้องรับฟังถึงปัญหาของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก (SMEs) ก่อนที่จะนำไปหารือและพิจารณาตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ที่ผ่านมาก็ได้มีการรับฟังหารือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ไปบ้างแล้ว เปิดรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย และยืนยันว่าจุดยืนในเรื่องของราคาสินค้าก็คือการสร้างจุดสมดุลของทุกส่วน

สินค้าเป้าหมายที่จะลดราคาที่มองเห็นและจะลดได้ทันทีก็คงเป็นกลุ่มสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันทั้งหมด เช่น ข้าวถุง, ไข่ไก่, หมู, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้จำเป็นจะต้องมาดูในรายละเอียด ส่วนสินค้าอื่น ๆ ก็อาจจะต้องมีการติดตามต่อไป โดยการดำเนินการเฉพาะหน้า เราต้องการจัดการให้สามารถลดราคาสินค้าได้

“แต่จะลดมากหรือลดน้อย ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่มีการลดราคา” เพราะรัฐบาลเองได้ดำเนินการให้มีการลดราคาพลังงานลงไปแล้ว ซึ่งเรารู้ว่าราคาพลังงานมีผลกระทบต่อการขนส่ง กระทบต่อความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยขบวนการต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดเพิ่มเติม

ส่วนจะกระทบต่อ “เงินเฟ้อ” หรือไม่นั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีความระมัดระวัง ทางกระทรวงการคลังเองและหน่วยงานหลายส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการพิจารณาและประสานดำเนินการอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ โดยรัฐบาลชุดนี้ทำงานแบบบูรณาการและวางแผนร่วมกัน และชี้ให้เห็นว่าปัญหาจะเกิดขึ้นตรงไหน ใครที่เกี่ยวข้อง และจะวางแผนให้สอดรับกันอย่างไร

>> สินค้าขึ้นได้แต่ต้องพยุงราคาก่อน

นโยบายของผมก็คือ ‘อะไรที่จำเป็นที่ต้องขึ้นก็ต้องยอมรับความเป็นจริง’ แต่ว่าอาจจะต้องมีช่วงเวลาที่จะ ‘พยุงราคา’ เพื่อให้มีการปรับตัวได้ทันเพราะถือว่าเป็นปัจจัยและต้องสมเหตุสมผล หรือบางอย่างถ้าต้นทุนสินค้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก หรือการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นก็ถือว่าเข้าใจได้

แต่หากต้นทุนบางอย่างที่ลดลงเยอะ แล้วสินค้าไม่ลดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาก็มีการปรับขึ้นทันที แต่หากมีการปรับลดราคาลง ท่านไม่สามารถดำเนินการได้ หากเราสามารถช่วยลดต้นทุนในส่วนของต้นทุนการผลิต ท่านก็อาจจะสามารถดำเนินปรับลดราคาลงได้

“แต่ก็ยังมีปัจจัยในเรื่องของต้นทุนการผลิต หรือเครื่องมืออื่น ๆ เช่น อาจจะต้องรับฟังผู้ประกอบการ แต่ก็พร้อมที่จะรับฟังจากทุกฝ่ายและจะทำให้เต็มที่ แต่วันนี้หากเราเข้าใจถึงนโยบายคนตัวใหญ่จับมือคนกลาง เพื่อจะพยุงคนตัวเล็ก มีความหมายว่า อาจจะได้รับกำไรลดลง แต่ปริมาณการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบที่ท่านจะได้รับ”

ส่วนในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นไตรมาสนี้ เชื่อว่าน่าจะดี โดยเฉพาะในตัวเลขหลาย ๆ ตัว แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่ว่าเราก็ปลดล็อกหลายอย่าง เพื่อก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง แม้ digital wallet ยังไม่เกิด แต่การเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน-คาซัคสถานเข้ามาประเทศไทย เชื่อว่าเป็นการก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังซื้อภายในประเทศได้ดีและมีการเติบโต

‘ภูมิธรรม’ เดินหน้าลดราคาสินค้า-ดึงร้านธงฟ้ารับดิจิทัลวอลเล็ต หนุน ปชช.ได้สินค้าราคาถูก-ลดค่าครองชีพ คาด ต.ค.นี้ ชัดเจน

‘ภูมิธรรม’ ย้ำลดราคาสินค้าได้เห็นแน่ หลังทำการวิเคราะห์ต้นทุนรายตัว เริ่มเห็นสัญญาณดี แม้จะลดไม่ได้ทั้งหมด แต่มีแน่ คาดต้น ต.ค.นี้ ชัดเจน ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด จะเดินหน้าต่อไป เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ให้สามารถซื้อสินค้าราคาประหยัด และลดภาระค่าครองชีพ เผยจะดึงร้านธงฟ้า เข้าร่วมใช้จ่ายในโครงการดิจิทัล วอลเล็ตด้วย

(24 ก.ย. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมชมการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด ที่วัดบำเพ็ญเหนือ/วัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังติดตามการลดราคาสินค้า หลังจากที่ต้นทุนการขนส่งได้ปรับลดลง จากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล โดยได้ทำการคำนวณต้นทุนสินค้าแต่ละรายการแล้ว แม้จะลดไม่ได้หมด แต่จะพยายามเอาส่วนต่างๆ มาลดให้ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ตัวไหนลดได้ จะลดทันที ตัวไหนที่ลดไม่ได้ จะพยายามตรึงราคาไว้ และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน และถ้าหากมีปัจจัยเงื่อนไขอื่นที่สามารถลดราคาได้อีก ก็จะพยายามให้ปรับลดลง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2566 นี้

ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดนี้ เป็นโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ทำคู่ขนานไป จากที่จะดูแลประชาชนในวงกว้าง ก็ทำการเปิดจุดจำหน่ายเจาะลึกไปยังแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 100 จุด โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ นำสินค้าราคาประหยัดถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 50-60% มาจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก โดยสินค้าที่นำมาลดราคา เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช หมูเนื้อแดง ไก่ นม อาหารต่างๆ ซองปรุงรส อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นต้น และยังมีผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งตอนนี้เป็นมังคุด และลองกอง

สำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูแล เพื่อให้มีจุดจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ได้ โดยร้านธงฟ้า จะผลักดันให้เข้าในโครงการเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่กังวงเรื่องการเก็บภาษี มองว่าอย่าไปกังวล เพราะไม่ใช่เป้าหมายของรัฐบาล เป้าหมายของรัฐบาลคือ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ คือทุกคนทั่วหน้าทุกฝ่าย ทั้งพี่น้องประชาชน ซึ่งถ้าเศรษฐกิจดีก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็จะดีขึ้น การจ้างงานต่างๆ จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง ก็จะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย หวังว่า 6 เดือนที่ใช้เงินจำนวนนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้มันดีขึ้น ประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและการสร้างงาน

ส่วนกรณีนายทุนใหญ่มาฮุบตลาด ทำให้ผู้ค้ารายย่อยได้รับผลกระทบ จากการขายหมูถูกจากนายทุนใหญ่ และนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า จะมีการพูดคุยกับกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องของการกำหนดราคาให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตอนนี้เท่าที่ดูราคาหมูก็ได้มาตรฐานตามกลไกตลาดอยู่แล้ว ทางกระทรวงพาณิชย์เฝ้าดูอย่างใกล้ชิด ในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับผู้ประกอบการรายเล็ก ถ้ากระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นต้นทางที่อยู่กับผู้ผลิตเสนอมาตนก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ยินดีร่วมมือและช่วยเหลือ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เองก็ได้มีการพูดคุยกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ถือเป็นต้นทุนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตนจะพยายามลดราคาปุ๋ย และพยายามจะเพิ่มราคามันสำปะหลังและข้าวโพด ถ้าสิ่งเหล่านี้มีการประสานงานกันสิ่งที่คาดหวังก็อาจจะเกิดขึ้นได้

ข่าวดีส่งออก!! สิงหาฯ พลิกบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือน รับอานิสงส์ 'เกษตร-อุตฯ' หนุน ส่วนนำเข้าลดลง 12.8%

(26 ก.ย. 66) นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในเดือนส.ค.66 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 24,279 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.6% จากตลาดคาด -3.5 ถึง -5.0% ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือน

จากผลของกลุ่มสินค้าเกษตร ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

ขณะที่การนำเข้าเดือนส.ค.มีมูลค่า 23,919 ล้านดอลลาร์ ลดลง 12.8% ส่งผลให้ในเดือนส.ค.66 ไทยเกินดุลการค้า 360 ล้านดอลลาร์

ส่วนการส่งออกของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่ารวม 187,593 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4.5% การนำเข้า มีมูลค่า 195,518 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.7% ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยยังขาดดุลการค้า 7,925 ล้านดอลลาร์

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีคำสั่งซื้อเข้ามามากตามวัฎจักร ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 ปี 65 ฐานต่ำ

"คาดว่าการส่งออก ต.ค.-ธ.ค. น่าจะได้เห็นอะไรดีๆ เพราะมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะ ซึ่งเป็นไปตาม circle...ส่งออกภาพรวมทั้งปี 1- ถึง 0% น่าจะมีโอกาส ปีนี้เราข้อสอบยาก ถ้าเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน ทุกคนคะแนนไม่ดี (ส่งออกติดลบ) แต่เรายังสามารถยืนอยู่แถวหน้าได้" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุ

‘ภูมิธรรม’ นั่งหัวโต๊ะประชุม ถกแผนรับมือสถานการณ์ ‘เอลนีโญ’ หวั่น ไทยแล้งยาว เล็งตั้งอนุกรรมการ ทำงานเป็นระบบสู้ภัยแล้ง

(29 ก.ย. 66) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา ของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการฯ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองประธานกรรมการ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย และคณะกรรมการ เข้าร่วม

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเรื่องนี้สถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา อย่างมาก โดยประกาศชัดเจนในวันแถลงนโยบายว่า ให้ความสำคัญกับเรื่องสภาพอากาศ เพราะอาจส่งผลกระทบไปถึงเรื่องเศรษฐกิจด้วย จึงตั้งคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาภัยแล้งที่เป็นปัญหาใหญ่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจึงต้องเตรียมการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยอีก 3 ปีเราอาจจะเผชิญปัญหาดังกล่าว หากไม่เกิดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเกิดก็ได้เตรียมไว้แล้ว ดังนั้นเราจะขับเคลื่อนงานร่วมกันไปข้างหน้า และปรับแนวทางการทำงานให้เข้ากัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะน้ำคือชีวิต ถ้าเจอภัยแล้ง 3 ปี จะเหนื่อยมาก จึงต้องเข้าใจว่าเป็นภารกิจสำคัญ

“เราจะหลีกเลี่ยงโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณมาก โดยมุ่งขับเคลื่อนโครงการขนาดเล็ก เพื่อให้กระจายไปทั่วประเทศ และเมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติ จะกลับมาเดินหน้าโครงการใหญ่ต่อไป เรื่องใดที่ทำได้ นายกฯให้ทำทันที แต่ถ้าติดขัดให้รีบแก้ไข โดยในช่วง100 วันแรก ตนอยากเห็นความคืบหน้าเพื่อประชาชนมีความมั่นใจ” นายภูมิธรรม กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องเตรียมการป้องกันภัยแล้ง โดยให้มีศูนย์สั่งการ หรือ บูรณาการ โดยขอเสนอที่ตั้งศูนย์สั่งการที่กระทรวงพาณิชย์ เพราะอาคารสถานที่มีความเหมาะสม ส่วนเรื่องการจัดทำงบประมาณ รัฐบาลเพิ่งเข้ามาใหม่ เมื่อเจอภัยแล้งอาจไม่สอดคล้องกับเรื่องที่จะทำ จึงเสนอให้มุ่งเน้นไปทำโครงการขนาดเล็กเพื่อให้ทั่วถึงทั้งประเทศ เช่น โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ฝายแกนซอยซีเมนต์ เพิ่มพื้นที่เก็บน้ำ และความชุ่มชื้น ให้ปัญหาภัยแล้งเบาบางลง และสามารถรองรับสถานการณ์ภัยแล้งได้ถึง 3 ปี ขณะที่ฝ่ายวิศวะควรสรุปรายละเอียดการก่อสร้างฝายให้ชัดเจนว่ามี สัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่ามีความแข็งแรง และใช้ได้นานกว่าฝายปกติ ดังนั้น การแก้ปัญหาตนมองว่า เราควรเน้นไปทำโครงการขนาดเล็ก เพื่อรักษาความชุ่มชื้น

ด้านนายปลอดประสพ กล่าวว่า ปัจจุบันโลกร้อนขึ้น ส่งผลให้เกิดความแปรปรวน ซึ่งไทยมีทะเลทั้ง 2 ด้าน มีความแปรปรวนสูงมากขึ้น ส่งผลด้านชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนปัญหาเอลนีโญหากแย่สุดเกิด 3 ปีต่อเนื่อง น้ำก็จะลดลงจนขาดแคลน จึงต้องเร่งเก็บน้ำ บริหารความเสี่ยงให้ดี และตนมั่นใจว่า เอลนีโญเกิดขึ้นแต่จะไม่แรงจนกว่าจะเข้าหน้าแล้ง ที่จะทำให้เกิดผลกระทบเป็นปัญหาตามมาอีกมาก ทั้ง ฝุ่น PM 2.5 จะรุนแรง เกิดไฟไหม้ง่าย นกจะเข้าอาศัยบ้านคนเพราะร้อน และโรคระบาดต่างจะเกิดขึ้น ไม้ผลจะตาย พืชไร่ใช้น้ำมากจะเสียหาย ส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขี้น น้ำกินน้ำใช้ ก็จะขาดแคลน

จึงขอเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา คือ 1.) ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะเป็นเครื่องมือรัฐบาล ในการบรรเทาผลกระทบ ทั้งระยะสั้น-ยาว 2.) ยุทธวิธีติดตามสถานการณ์เป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน พร้อมสร้างคลังข้อมูลให้ลึกมากขึ้น และ 3.) ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อน 10 คณะ จะทำให้รัฐบาลสามารถรับมือภัยแล้งได้เป็นระบบ

‘ภูมิธรรม’ สั่ง ‘พณ.จังหวัด-DIT’ ดูแล ปชช.ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม กำชับ!! ป้องกันการกักตุนสินค้าเข้มข้น หวั่นของขาดตลาด-ขึ้นราคา

(1 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดและกรมการค้าภายใน เข้าไปดูแลช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้  ทั้งระหว่างน้ำท่วม และหลังระดับน้ำลดลง ไม่ให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นขาดตลาด ให้มีกระจายสินค้าอย่างทั่วถึงและไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบประชาชน ไม่ให้มีการกักตุนสินค้า หากฝ่าฝืนให้มีการดำเนินการกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้กระจายสินค้า ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะผัก เครื่องมือ น้ำยาทำความสะอาดบ้านและวัสดุก่อสร้าง เพื่อซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดแล้ว

ขณะเดียวกันให้นำรถโมบายกระจายลงในพื้นที่ในชุมชน ขายของลดราคา จัดกิจกรรมเพิ่มรายได้ให้ประชาชน เช่น เอาสินค้าในชุมชนไปกระจายช่วยขายในพื้นที่อื่นๆ พร้อมกับขอให้เข้มงวดการติดป้ายแสดงราคาสินค้า ไม่ให้มีการฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้บริโภค

‘พาณิชย์’ ดึงเอกชน จัดมหกรรมลดราคาสินค้า 1.5 แสนรายการ หวังช่วยลดค่าครองชีพ ปชช. - กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมขยายตัว

(2 ต.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า พาณิชย์ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกโมเดิร์นเทรดทั้งในส่วนกลางและผู้ประกอบการห้างท้องถิ่นผู้จัดจำหน่ายสินค้า 288 ราย เตรียมจัดมหกรรมลดราคาสินค้า 151,676 รายการ สูงสุด 87% เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์มองว่าการลดราคาสินค้าครั้งนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมขยายตัวได้ถึง 5%

สำหรับสินค้าที่จะนำมาร่วมลดราคา ประกอบด้วยสินค้า 3 กลุ่ม คือสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ อาหารและเครื่องดื่ม 3,058 รายการ ลดราคาสูงสุด 87% สินค้าของใช้ประจำวัน 8,290 รายการ ลดราคาสูงสุด 80% สินค้าวัสดุทางการเกษตร 198 รายการ ราคาสูงสุด 40% กลุ่มบริการ ประกอบด้วยบริการที่เกี่ยวกับยานยนต์ 123 รายการ ราคาสูงสุด 50% บริการทางการแพทย์ 140,000 รายการ ลดราคาสูงสุด 20% บริการเกี่ยวกับผ้าขนส่ง 7 รายการ ลดราคาสูงสุด 9%

และกลุ่มสินค้าแพลตฟอร์มออนไลน์แบ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ด้านอาหารหรือ food delivery ลดสูงสุด 60% และแพลตฟอร์มออนไลน์อีคอมเมิร์ซลดสูงสุด 80% และแต่ละแพลตฟอร์มแจกโค้ดส่วนลดใช้สั่งอาหารและซื้อสินค้าออนไลน์ รวม 1,012,000 รายการ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

“จากการหารือกับผู้ประกอบการกระทรวงพาณิชย์จะมีนโยบายใช้มาตรการในการสร้างสมดุลในการดูแลราคาสินค้า ทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ก็คือจะหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย หากผู้ประกอบการรายใดที่เข้ามาช่วยลดราคาแล้วประสบปัญหาเรื่องกฎระเบียบที่ค้างคาหรือมีอะไรติดขัดก็ให้อธิบดีกรมการค้าภายในนัดหารือ”

สำหรับต้นทุนการผลิตสินค้าโดยเฉพาะการปรับลดราคาพลังงานทั้งน้ำมันและไฟฟ้ามีผลกับต้นทุนการผลิตสินค้าลดลงไม่มาก มันปรับลดราคาครั้งนี้จะมีส่วนเสริมช่วยให้ห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้นเศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมายและในที่สุดทุกคนก็จะดีขึ้น

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การลดราคาเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายในส่วนของผู้บริโภค ประชาชนได้รับอานิสงส์ยังไม่เห็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญ

ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อในไตรมาส 4 จะมีการประเมินหลังจากนี้เพราะจำนวนสินค้าที่นำมาลดราคาครั้งนี้ในคิดเป็น 70-80 เปอร์เซ็นต์ของรายการสินค้าทั้งหมด น่าจะมีผลตั้งแต่เดือนถัดไป

นายกองเอก เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวว่าในส่วนของสินค้าปุ๋ยมีการปรับลดราคา 8% ซึ่งภาคเอกชนมองว่าการลดราคาจะช่วยให้ภาพรวมของเศรษฐกิจดีขึ้น ช่วยดูแลในเรื่องของปัญหาอุปสรรคของภาคเอกชนด้วยนับว่าเป็นรัฐบาลแรกจากที่ผมอยู่ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว

นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตมามากซองละ 7 บาทประกอบไปด้วยต้นทุนหลายอย่างทั้งแป้งสาลีน้ำมันปาล์มค่าเดินทางค่าไฟค่าคนค่าห้างสรรพสินค้า แต่ทางมาม่าก็พร้อมที่จะลดราคาเพราะหากทุกฝ่ายช่วยกันลดก็ทำให้ต้นทุนโดยเฉลี่ยลดลงได้

กำลังซื้อในช่วงหลังเลือกตั้งชะลอตัวแต่คาดว่า 3 เดือนหลังจากนี้เมื่อมีการออกมาตรการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆก็จะช่วยให้กำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ส่วนการขึ้นค่าแรงมองว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่จะส่งผลดีกับแรงงานที่จะมีรายได้มากขึ้น และจะทำให้มีการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตข้าวถุงไทย เผยว่ากลุ่มผู้ประกอบการเข้าถุงมีการปรับลดราคาประมาณ 20-30% ในส่วนของข้าวหอมมะลิซึ่งมองว่าผลผลิตในปีนี้น่าจะได้รับผลดีจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นมาก ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวที่ชอบน้ำแต่ในส่วนของข้าวขาวก็ยังต้องรอดูประเมินสถานการณ์อีกระยะหนึ่งเพราะว่ามีการสั่งซื้อเข้ามามาก อย่างไรก็ตาม มองว่าเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ 8 ล้านตันสามารถทำได้

สำหรับผู้ประกอบการ 288 ราย ประกอบด้วย ผู้ผลิตสินค้า ของกินของใช้จำเป็น รวม 88 ราย ผู้จำหน่าย ทั้งห้างโมเดิร์นเทรด ห้างท้องถิ่น และห้างขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง รวม 83 ราย ผู้ให้บริการ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์บริการรถยนต์ และบริษัทขนส่งสินค้า/พัสดุ รวม 110 ราย แพลตฟอร์ม 7 ราย

‘ห้างสรรพสินค้า’ เตรียมสินค้าที่จำเป็นให้เพียงพอ รับมือฝนตก-น้ำท่วม พร้อมป้องกันการกักตุน-ขึ้นราคาสินค้า ขานรับนโยบาย ‘กระทรวงพาณิชย์’

(6 ต.ค. 66) ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางตอนบน ให้มีสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นอย่างเพียงพอ และไม่มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร หรือกักตุนสินค้า ซึ่งกรมฯ ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์ และซักซ้อมแนวทางเตรียมความพร้อมกับห้างค้าส่งค้าปลีก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแล้ว

โดยเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์ ณ ห้างดูโฮม สาขารังสิต จ.ปทุมธานี พบว่าห้างฯ ได้จัดเตรียมสต็อกสินค้าจำเป็นไว้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ซักล้างทำความสะอาด เครื่องสูบน้ำ สายยาง กระสอบทราย หรืออุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน เช่น แผ่นกระเบื้อง สีทาภายใน ปูนซีเมนต์ และยาแนวกันซึม เป็นต้น เมื่อประชาชนมาซื้อสินค้าหน้าร้าน สั่งออนไลน์ หรือสั่งทางโทรศัพท์ ก็จะสามารถรับสินค้าตามที่ต้องการได้โดยทันที ไม่มีปัญหาในการกระจายสินค้า รวมทั้งมีบริการช่างสำรวจหน้างานและซ่อมแซมด้วย

นอกจากนี้ ห้างดูโฮมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้ประกาศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ว่าจะลดราคาสินค้าจนถึงปลายปี อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องปูพื้นและปูผนัง สุขภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง เครื่องปั๊มน้ำ ลดสูงสุด 35% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเตาไฟฟ้า ลดสูงสุด 55% กลุ่มของตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง เช่น โคมไฟ สายไฟ แผงโซลาร์เซลล์ ลดสูงสุด 80% ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้บริหารห้างฯ คาดว่าประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้นในช่วงปลายปี เนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้างจะกลับมาดำเนินการกันมากขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูฝน และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กรมฯ จะติดตามสถานการณ์ปริมาณและราคาสินค้าจำเป็นอย่างใกล้ชิดต่อไป และขอเน้นย้ำถึงผู้ประกอบการว่าห้ามฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร และต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน กรณีการจำหน่ายสินค้าในราคาแพงเกินสมควรหรือกักตุนสินค้า มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายจะมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 10,000 บาท หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการค้า สามารถร้องเรียนมาที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือทางแอปพลิเคชันไลน์ @MR.DIT

‘รัฐบาล’ กำชับพาณิชย์คุมเข้ม ‘ราคาสินค้า-ปริมาณ’ ป้องกันปชช.ถูกเอาเปรียบ ในช่วงเทศกาลกินเจ

(14 ต.ค.66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เทศกาลกินเจของทุกปีจะเป็นช่วงที่ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมายังมีผู้ประกอบการบางรายเอาเปรียบผู้บริโภค ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า โดยคาดว่าในปีเทศกาลกินเจ ระหว่างวันที่ 15 - 23 ตุลาคม 2566 จะคึกคัก มีประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้า และทำบุญมากยิ่งขึ้น รัฐบาลห่วงใยปัญหาสุขภาพของประชาชน มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี เชิญชวนประชาชนลดการกินเค็มในทุกเมนูเจเพื่อสุขภาพที่ดี ตลอดช่วงเทศกาลกินเจ ประจำปี 2566 ขอให้รับประทานอาหารให้ได้สารอาหาร 5 หมู่ แนะนำให้ประชากรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,300 มก.ต่อวัน เพื่อช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ถึง 20% โดยตั้งเป้าหมายลดพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมของคนไทยลง 30% ภายในปี 2568

นายคารม กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลเรื่องราคาสินค้า พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าขายในราคาที่เป็นธรรม” โดยกรมการค้าภายใน ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สายตรวจ ออกตรวจสอบตลาด และแหล่งจำหน่ายวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารเจอย่างใกล้ชิด เพื่อกำกับดูแลพฤติกรรมทางการค้า สถานการณ์ด้านราคาและปริมาณ ตลอดจนการปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าและเอาเปรียบผู้บริโภค ในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ 

“สำหรับประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการ หรือพบเห็นพฤติกรรมที่เอาเปรียบผู้บริโภคสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ หากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่ายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายคารม กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top