ย้ายประเทศหลังทรัมป์คัมแบ็ก ยกย่อง 'วัฒนธรรม-การแพทย์' โดดเด่น
(13 พ.ย. 67) หลังการเลือกตั้ง สหรัฐฯ พบกระแสการย้ายถิ่นฐานในกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกันที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน 10 ประเทศยอดนิยมที่พวกเขาต้องการย้ายไปมากที่สุด
บริษัท Henley & Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อขอพลเมืองและถิ่นพำนักในต่างประเทศ สำหรับบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals) รายงานว่า ความต้องการหนังสือเดินทางที่สองหรือการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยในครั้งนี้หลายคนได้เริ่มดำเนินการจริง
Dominic Volek หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners เผยว่า ขณะนี้ชาวอเมริกันที่มีฐานะมั่งคั่งได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วน 20% ของธุรกิจบริษัท และเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน
David Lesperance ผู้บริหาร Lesperance and Associates ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ติดต่อเขาเพื่อเตรียมโยกย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
การสำรวจจาก Arton Capital พบว่า 53% ของเศรษฐีชาวอเมริกันมีแนวโน้มย้ายออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง โดยเศรษฐีวัยหนุ่มสาวสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่ง 64% สนใจโปรแกรมถิ่นพำนักผ่านการลงทุนในต่างประเทศ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศน่าลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยข้อมูลจาก Henley & Partners ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนเพื่อขอวีซ่าผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นประมาณ 900,000 บาท หรือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าระยะยาว
ในกลุ่มประเทศยอดนิยมที่เศรษฐีอเมริกันสนใจย้ายไป ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส โดยใน 25 อันดับแรกยังมีประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (อันดับ 21), ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22), ไทย (อันดับ 23), สิงคโปร์ (อันดับ 28), เวียดนาม (อันดับ 29) และอินโดนีเซีย (อันดับ 33)
เหตุผลหลักในการเลือกประเทศใหม่ คือ "วัฒนธรรม" ตามด้วย "โอกาสการทำงาน" และ "ระบบเฮลท์แคร์" โดยมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ภาษี" และ "ระบบการศึกษา" อยู่ที่ประมาณ 3%