Wednesday, 15 January 2025
DonaldTrump

‘ทรัมป์’ ชี้ ‘รบ.สหรัฐฯ’ ควรหยุดทุ่มงบให้ ‘สงครามที่ไม่รู้จบ’ ลั่น!! ถ้าชนะเลือกตั้ง จะยุติสงครามยูเครนภายในวันเดียว

(6 มี.ค. 66) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศกลางที่ประชุมกลุ่มผู้สนับสนุนสายอนุรักษนิยมเมื่อวันเสาร์ (4 มี.ค.) ว่า…

‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากตนได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้งในปี 2024 พร้อมคุยว่า สามารถจบสงครามยูเครนได้ ‘ภายในวันเดียว’

ทรัมป์ ในวัย 76 ปี ให้คำมั่นสัญญาว่า เขาและผู้สนับสนุนจะไม่ปล่อยให้พรรครีพับลิกันถูกครอบงำโดย ‘พวกบ้าคลั่งและโง่เง่า’ ที่พาสหรัฐฯ เข้าไปพัวพันกับ ‘สงครามที่ไม่รู้จบในต่างประเทศ’

อดีตผู้นำสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า วอชิงตันควรหยุดทุ่มงบประมาณนับพัน ๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องยูเครนได้แล้ว และหากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็จะทำให้สงครามยูเครน ‘จบลงภายในวันเดียว’ และจะเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ‘จ่ายต้นทุนของสงคราม’ ให้มากขึ้นด้วย

“คุณไม่สามารถทุ่มเงินเป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องกลุ่มคนที่ก็ไม่ได้ชื่นชอบเราสักเท่าไหร่ และถ้าเป็นในทางธุรกิจ ถ้าคุณยอมจ่ายมากขนาดนั้น คุณต้องบอกพวกเขาเลยว่า ถ้าชนะ ประเทศคุณครึ่งหนึ่งต้องเป็นของเรา”

‘ทรัมป์’ เข้ามอบตัว หลังแพ้คดีล้มล้างผลการเลือกตั้ง ปี 2020 นับเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนแรก ที่ถูกบันทึกภาพประวัติอาชญากรรม

(25 ส.ค. 66) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เข้ามอบตัวที่รัฐจอร์เจียแล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น และสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกบันทึกภาพเพื่อประกอบแฟ้มคดี

ทรัมป์เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวจากรัฐนิวเจอร์ซีไปยังเรือนจำที่ฟูลตันเคาน์ตี ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เพื่อเข้ามอบตัวในข้อหาวางแผนล้มล้างผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 โดยเขาอยู่ในเรือนจำดังกล่าวราว 20 นาที ท่ามกลางผู้สนับสนุนหลายสิบคนที่รวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนจำ

ในบันทึกที่มีการโพสต์บนเว็บไซต์ของเรือนจำ ทรัมป์ถูกบรรยายว่าเป็นชายผิวขาว สูง 6 ฟุต 3 นิ้ว หนัก 97 กิโลกรัม ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีหมายเลขผู้ต้องหาคือ ‘P01135809’

ทรัมป์ได้วางเงินประกันตัว 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7,000,000 บาท เพื่อให้เขาได้รับการปล่อยตัวขณะรอการพิจารณาคดี แม้ว่านี่จะเป็นข้อหาในคดีอาญาครั้งที่ 4 ที่ทรัมป์เจอในปีนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ถูกถ่ายภาพเพื่อประกอบการทำแฟ้มคดีอย่างเป็นทางการ

ก่อนเดินทางกลับบ้าน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สนามบินว่า เขามีสิทธิ์ที่จะคัดค้านผลการเลือกตั้ง เพราะเขาคิดว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิ์ทุกประการที่จะทำเช่นนั้น และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าฮิลลารี คลินตัน หรือสเตซีย์ อับรามส์ (อดีตผู้สมัครผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย) หรือคนอื่นๆ อีกมากมาย

ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า คดีที่มีการกล่าวหาเขาในครั้งนี้เป็นเพียงความยุติธรรมจอมปลอม ต่อมาเขาโพสต์บน X เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 โดยนำภาพที่เขาถูกถ่ายประกอบแฟ้มคดีมาลงพร้อมระบุว่า “การแทรกแซงการเลือกตั้ง อย่ายอมแพ้!!”

ทรัมป์แย้งว่าคดีที่เขาถูกฟ้องร้องมีแรงจูงใจทางการเมือง เพราะเขาเป็นผู้นำในการแข่งขันชิงตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เพื่อท้าสู้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีหน้า

เมื่อสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐจอร์เจียร่วมกับจำเลย 18 คน หลังจากที่เขาพ่ายแพ้แก้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยคะแนนเสียงน้อยกว่า 12,000 เสียงในรัฐดังกล่าว โดยผู้ต้องหาที่ได้ไปมอบตัวเพื่อถ่ายทำประวัติในรัฐจอร์เจียครั้งนี้ยังรวมถึงนายรูดี จูเลียนี อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก และนายมาร์ก มีโดวส์ อดีตหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว

‘ทรัมป์’ ระดมเงินทุนจากผู้สนับสนุนได้มากกว่า 248 ล้านบาท หลังแพ้คดีล้มผลการเลือกตั้ง และถูกเก็บภาพผู้ต้องหาในจอร์เจีย

(27 ส.ค. 66) หลังสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกถ่ายภาพเพื่อทำประวัติผู้ต้องหา ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อสัปดาห์ก่อน ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็ยังสามารถระดมทุน เพื่อสนับสนุนการรณรงค์หาเสียง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เพิ่มเติมไม่หยุด

นับตั้งแต่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายประกอบคำฟ้อง ที่ทรัมป์ต้องเข้าไปถ่ายในเรือนจำ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น ยอดเงินระดมทุนสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นั้น เพิ่มขึ้นถึง 7.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 248.5 ล้านบาท

ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีคำฟ้องทรัมป์ในหลายกรณี ทั้งจากคดีของรัฐบาลกลางและคำฟ้องของรัฐต่างๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวอ้างอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020

‘สตีเวน ชุง’ โฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ระบุว่า ทรัมป์สามารถระดมทุนได้เป็นเงินเกือบ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 700 ล้านบาท

ชุงระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมเพียงวันเดียว มีผู้บริจาคเงินให้กับการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์สูงถึง 4.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 146 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยได้รับบริจาคมาในวันเดียว

ขณะที่ภาพถ่ายประกอบการทำแฟ้มคดีของทรัมป์ ซึ่งมีการเผยแพร่โดยศาลของรัฐจอร์เจีย ถูกนำไปพิมพ์ลงเสื้อยืด แก้วน้ำ แก้วกาแฟ โปสเตอร์ ไปจนถึงหัวตุ๊กตาทั้งจากฝ่ายที่นิยมชมชอบและฝ่ายที่เห็นต่าง

นับจนถึงขณะนี้ ทรัมป์เผชิญกับการฟ้องร้อง 5 คดี ซึ่งรวมถึงคดีการกล้าวอ้างเป็นเท็จว่ามีการโกงการเลือกตั้ง ทำให้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 2 คดี รวมถึงคดีที่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าไปในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่าคดีทั้งหมดมีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง

เปิดประวัติ ว่าที่ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ชีวิตส่วนตัว!! ในมุมที่ไม่มีใครเคยรู้

(9 พ.ย. 67) 10 ข้อเท็จจริงที่ใครอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump

1. ชื่อเล่นวัยเด็ก : ในวัยเด็ก โดนัลด์ ทรัมป์ มีชื่อเล่นว่า ‘ดอนนี่; แม้ในปัจจุบันเขาจะไม่ค่อยถูกใครเรียกด้วยชื่อนี้แล้วก็ตาม 

2. ดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟม : บทบาทของเขาในรายการ The Apprentice และ Celebrity Apprentice ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ดูเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ จนทำให้ทรัมป์ได้รับดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟมในปี 2007 จากบทบาทในรายการ แต่ดาวของเขามักถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนั้นแล้วทรัมป์เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์และรายการทีวีหลายรายการในฐานะตัวเขาเอง การปรากฏตัวที่มีชื่อเสียงของเขารวมถึง Home Alone 2: Lost in New York, The Fresh Prince of Bel-Air, และ Sex and the City อีกด้วย

3. ทรัมป์และเกียรติยศในวงการมวยปล้ำ : ทรัมป์เคยปรากฏตัวใน WWE (เวิลด์เรสลิงเอนเตอร์เทนเมนต์) และขึ้นสังเวียนใน WrestleMania 23 ในปี 2007 เขา ‘ต่อสู้’ กับวินซ์ แม็กมาฮอน ซีอีโอของ WWE ในศึก ‘Battle of the Billionaires’ ซึ่งตัวแทนของทรัมป์เป็นผู้ชนะ ทำให้เขาโกนหัวแม็กมาฮอน

4. ความชอบในอาหารฟาสต์ฟู้ด : แม้จะมีความมั่งคั่ง แต่ทรัมป์กลับชอบรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แมคโดนัลด์ เขาเคยบอกว่าเขาไว้ใจในอาหารเหล่านี้ เพราะมาตรฐานความสะอาดและความสม่ำเสมอของแบรนด์

5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ : ทรัมป์ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลยในชีวิต ซึ่งเป็นการให้เกียรติแก่เฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายที่ต่อสู้กับการติดแอลกอฮอล์ก่อนที่จะเสียชีวิต

6. จบการศึกษาจากวอร์ตัน : ทรัมป์เรียนที่ Wharton School of Finance ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และจบการศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเขาย้ายไปที่นั่นหลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมเป็นเวลา 2 ปี เพราะ Wharton เป็นที่รู้จักในด้านชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในหลักสูตรธุรกิจและการเงิน

7. ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมายาวนานที่สุด : ทรัมป์เคยคิดจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ทศวรรษ 1980 หลังจากที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการคิดสุดท้ายเขาลงสมัครอย่างเป็นทางการในปี 2016 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 และทรัมป์เคยเปลี่ยนพรรคการเมืองหลายครั้ง เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เข้าร่วมพรรครีฟอร์มในปี 2000 แต่ถอนตัวออกไป และสุดท้ายเปลี่ยนมาอยู่กับพรรครีพับลิกันจนได้ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งในปี 2016

8. ประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการทหารหรือการเมือง : ทรัมป์ทำลายสถิติด้วยการเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านทหารหรือการเมืองมาก่อน โดยพื้นฐานของเขาคือการเป็นนักธุรกิจและสื่อบันเทิง

9. ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง : ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง สภาผู้แทนราษฎรถอดถอนเขาครั้งแรกในปี 2019 และอีกครั้งในปี 2021 ทั้งสองครั้ง แต่วุฒิสภายกฟ้องเขา ทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้จนครบวาระ

10. ความฝันในการเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล : ทรัมป์เคยพยายามเป็นเจ้าของทีม NFL โดยเขาเคยลงทุนในลีก USFL (ยูไนเต็ดสเตทฟุตบอลลีก) และหวังจะรวมลีกกับ NFL แต่ลีกดังกล่าวล้มเหลวก่อนที่จะเกิดขึ้น

จีนเกินดุลการค้า 170 ประเทศ!! มูลค่าพุ่ง 7.85 แสนล้านดอลล์ จ่อแตะ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้ จับตาทรัมป์ตอบโต้แน่

(11 พ.ย.67) บลูมเบิร์กรายงานว่าดุลการค้าของจีนกำลังจะทำลายสถิติใหม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักมากขึ้น โดยความไม่สมดุลทางการค้านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับโดนัลด์ ทรัมป์  

รายงานระบุว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 จีนมียอดเกินดุลการค้ากว่า 785,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26.9 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่าจีนอาจเกินดุลแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34.32 ล้านล้านบาท) หากแนวโน้มยังคงเติบโตไปจนถึงสิ้นปีนี้

แบรด เซ็ตเซอร์ นักวิชาการอาวุโสจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า แม้ว่าราคาสินค้าส่งออกของจีนจะลดลง แต่ปริมาณการส่งออกกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จีนจึงสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการส่งออกอย่างแข็งแกร่ง

ภาวะเกินดุลการค้าของจีนที่เพิ่มขึ้นนี้ก่อให้เกิดแรงกดดันจากนานาประเทศ เช่น สหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่อาจขึ้นกำแพงภาษีเพื่อลดการนำเข้าสินค้าจากจีน นอกจากนี้ หลายประเทศทั้งในอเมริกาใต้และยุโรปยังเริ่มกำหนดภาษีสินค้าจีน เช่น เหล็กและรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แล้วเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติต่างถอนการลงทุนจากจีนตามข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนลดลงต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนแรกของปี และหากยังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็จะนับเป็นปีแรกที่เงินทุนไหลออกมากกว่าทุกปีนับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 1990

รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนเพิ่มเติมแก่บริษัทต่าง ๆ โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน คณะมนตรีรัฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศแผนสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน รวมถึงการส่งเสริมการค้า

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา บริษัทจีนได้เพิ่มศักยภาพในการส่งออก แม้ภายในประเทศเศรษฐกิจจะชะลอตัว และมีการใช้สินค้าภายในประเทศทดแทนการนำเข้ามากขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้อุปสงค์ต่อการนำเข้าลดลง

ดุลการค้าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาถือเป็นการเกินดุลมากเป็นอันดับสาม โดยดุลการค้าสูงสุดเคยเกิดขึ้นในปี 2015 และเมื่อคำนวณในสกุลเงินหยวน จีนมีดุลการค้าเกินดุลที่ 5.2% ของ GDP ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

ตั้งแต่ต้นปี 2024 จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.4% จากปีก่อนหน้า เกินดุลกับสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 9.6% และเกินดุลกับชาติอาเซียนเพิ่มขึ้นเกือบ 36% 

ปัจจุบัน จีนเกินดุลการค้ากับประเทศเกือบ 170 ประเทศ ซึ่งสูงสุดตั้งแต่ปี 2021 และแนวโน้มยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สงครามสกุลเงินอาจปะทุขึ้นได้ ธนาคารกลางอินเดียเผยว่าจะพร้อมอ่อนค่าเงินรูปีหากจีนเลือกตอบโต้สหรัฐด้วยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลง

หากเงินหยวนอ่อนลงต่อไปจะทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกลง ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างจีนกับอินเดียอาจเกินดุลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยปีนี้จีนเกินดุลการค้ากับอินเดียกว่า 85,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.92 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว

ย้ายประเทศหลังทรัมป์คัมแบ็ก ยกย่อง 'วัฒนธรรม-การแพทย์' โดดเด่น

(13 พ.ย. 67) หลังการเลือกตั้ง สหรัฐฯ พบกระแสการย้ายถิ่นฐานในกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกันที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน 10 ประเทศยอดนิยมที่พวกเขาต้องการย้ายไปมากที่สุด

บริษัท Henley & Partners ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อขอพลเมืองและถิ่นพำนักในต่างประเทศ สำหรับบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals) รายงานว่า ความต้องการหนังสือเดินทางที่สองหรือการตั้งถิ่นฐานระยะยาวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยในครั้งนี้หลายคนได้เริ่มดำเนินการจริง

Dominic Volek หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners เผยว่า ขณะนี้ชาวอเมริกันที่มีฐานะมั่งคั่งได้กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วน 20% ของธุรกิจบริษัท และเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน

David Lesperance ผู้บริหาร Lesperance and Associates ระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ติดต่อเขาเพื่อเตรียมโยกย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

การสำรวจจาก Arton Capital พบว่า 53% ของเศรษฐีชาวอเมริกันมีแนวโน้มย้ายออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง โดยเศรษฐีวัยหนุ่มสาวสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่ง 64% สนใจโปรแกรมถิ่นพำนักผ่านการลงทุนในต่างประเทศ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศน่าลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยข้อมูลจาก Henley & Partners ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูงสามารถลงทุนเพื่อขอวีซ่าผู้มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทยได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นประมาณ 900,000 บาท หรือ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับวีซ่าระยะยาว

ในกลุ่มประเทศยอดนิยมที่เศรษฐีอเมริกันสนใจย้ายไป ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน และฝรั่งเศส โดยใน 25 อันดับแรกยังมีประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (อันดับ 21), ฟิลิปปินส์ (อันดับ 22), ไทย (อันดับ 23), สิงคโปร์ (อันดับ 28), เวียดนาม (อันดับ 29) และอินโดนีเซีย (อันดับ 33)

เหตุผลหลักในการเลือกประเทศใหม่ คือ "วัฒนธรรม" ตามด้วย "โอกาสการทำงาน" และ "ระบบเฮลท์แคร์" โดยมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ภาษี" และ "ระบบการศึกษา" อยู่ที่ประมาณ 3%

ทรัมป์ตั้ง 'อีลอน มัสก์' นั่งกระทรวงใหม่ คุมประสิทธิภาพรัฐบาล

(13 พ.ย. 67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแต่งตั้ง อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ SpaceX เป็นหัวหน้ากระทรวงใหม่ "กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล" หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ร่วมกับวิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสายรีพับลิกัน การตั้งหน่วยงานนี้มีเป้าหมายเพื่อลดขนาดรัฐบาล ยกระดับประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายด้านบริหาร 

ทรัมป์ระบุว่าทั้งมัสก์และรามาสวามีจะนำแนวทางการจัดการภาคเอกชนมาประยุกต์ใช้ เพื่อรื้อระบบราชการที่ซับซ้อน ลดกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐ การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ได้ผ่านการรับรองจากวุฒิสภา ทำให้มัสก์สามารถคงบทบาทในธุรกิจของเขาต่อไปได้

ทรัมป์กล่าวว่ากระทรวง DOGE จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวและสำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณของสหรัฐฯ เพื่อผลักดันการปฏิรูปที่ยั่งยืนและท้าทายผ่านมุมมองแบบผู้ประกอบการ โดยตั้งเป้าหมายให้กระบวนการปฏิรูปเสร็จสิ้นภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 250 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ 

มัสก์ ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกจากนิตยสาร Forbes คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ พร้อมรับโอกาสที่จะพัฒนาเทคโนโลยีในหลายด้าน รวมถึง AI และคริปโตเคอร์เรนซี โดยมัสก์เองได้สนับสนุนแคมเปญหาเสียงของทรัมป์อย่างต่อเนื่องและเคยขึ้นเวทีปราศรัยร่วมกันหลายครั้ง 

มัสก์ให้คำมั่นว่าการทำงานของ DOGE จะโปร่งใส โดยเผยว่าทุกขั้นตอนจะถูกเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้

ทรัมป์ตั้ง 'พีท เฮกเซธ' ผู้ประกาศข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ดัน “อเมริกา เฟิร์สต์” สร้างกองทัพยิ่งใหญ่อีกครั้ง

(13 พ.ย. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า เขาได้เลือกนายพีท เฮกเซธ นักวิเคราะห์ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์และอดีตทหารผ่านศึก เป็นผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่

นายทรัมป์กล่าวในแถลงการณ์ว่า นายเฮกเซธเป็นบุคคลที่อดทน ฉลาดหลักแหลม และยึดมั่นในนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" หรือ "America First" อย่างแท้จริง โดยเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง ศัตรูของสหรัฐจะต้องรับรู้ว่ากองทัพอเมริกันจะกลับมายิ่งใหญ่และสหรัฐจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้ใคร

นายเฮกเซธ วัย 44 ปี จะต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภาก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง โดยเขามีท่าทีที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบาย “woke” ของผู้บริหารและนายทหารระดับสูงในกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นแนวคิดการตื่นรู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม เช่น การลดการกดขี่ทางเพศหรือสีผิว และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ในส่วนของตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA) นายทรัมป์กล่าวว่าเขาได้เลือกนายจอห์น แรตคลิฟฟ์ พันธมิตรใกล้ชิด ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (DNI) ในสมัยที่นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี และสิ้นสุดการทำงานพร้อมกับที่นายทรัมป์หมดวาระในเดือนมกราคม 2021

ทรัมป์จ่อเชือดนายพลชุดใหญ่ หลังถูกนายทหารวิจารณ์เป็นฟาสซิสต์

เมื่อวันที่ (13 พ.ย.67) รอยเตอร์รายงานว่า ทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ กำลังจัดทำรายชื่อนายทหารที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งอาจรวมถึงคณะเสนาธิการร่วม หากดำเนินการจริง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

แหล่งข่าววงในเผยว่า การวางแผนปลดบุคลากรทางทหารเริ่มขึ้นหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยอาจมีการปรับแผนอีกครั้งเมื่อคณะบริหารใหม่เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยวิจารณ์ผู้นำกลาโหมที่ไม่เห็นด้วยกับเขา และระหว่างการหาเสียงยังเคยกล่าวว่าจะปลดนายพล 'สายโว้ก' รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการถอนทหารจากอัฟกานิสถานเมื่อปี 2564

รายงานระบุว่าคณะบริหารชุดใหม่มุ่งเป้าไปที่นายทหารที่เกี่ยวข้องกับมาร์ก มิลลีย์ อดีตประธานคณะเสนาธิการร่วม โดยมิลลีย์เคยกล่าวในหนังสือ *War* ของบ็อบ วู้ดเวิร์ด ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนที่ผ่านมา ว่าเขาเรียกทรัมป์ว่า 'เป็นพวกนิสัยฟาสซิสต์'

แหล่งข่าวอีกรายกล่าวว่า “ทุกคนที่มิลลีย์เคยเลื่อนขั้นจะต้องพ้นจากตำแหน่ง และเรามีรายชื่อของบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด”

หนึ่งวันก่อนการเปิดเผยแผนนี้ ทรัมป์ได้แต่งตั้งพีท เฮกเซธ อดีตทหารผ่านศึกและผู้ร่วมวิเคราะห์ข่าวจากฟ็อกซ์นิวส์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม เฮกเซธเองได้เรียกร้องให้ปฏิรูปเพนตากอนในหนังสือ The War on Warriors: Behind the Betrayal of the Men Who Keep Us Free ที่ตีพิมพ์ในปีนี้

เฮกเซธยังวิจารณ์การแต่งตั้งพลอากาศเอก ซี.คิว. บราวน์ โดยกล่าวหาว่าเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุผลทางเชื้อชาติ แหล่งข่าวระบุว่าบราวน์อาจเป็นหนึ่งในนายทหารที่ถูกปลดด้วย พร้อมยืนยันว่า “ประธานและรองประธานคณะเสนาธิการร่วมจะถูกปลดทันที”

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายฝ่ายแสดงความกังวลต่อการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง แม้ว่าบางแหล่งมองว่าเป็นการแสดงท่าทีทางการเมือง แต่กลุ่มสนับสนุนทรัมป์เชื่อว่าเป็นการจำเป็นเพื่อลดขนาดของคณะเสนาธิการร่วมที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต

อเมริกันแห่แบน X หลังมักส์ร่วมครม.ทรัมป์ หันใช้ Bluesky แทน

(15 พ.ย. 67) หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชาวอเมริกันกว่า 115,000 รายพากันยกเลิกบัญชี X และหันไปใช้ Bluesky แทน ท่ามกลางความกังวลเรื่องการแพร่กระจายข้อมูลเท็จและข้อกำหนดการใช้งานใหม่ของ X ที่อาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมาย โดย Bluesky มีจำนวนผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นถึง 2.5 ล้านคนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวมผู้ใช้งานทะลุ 16 ล้านคน 

Bluesky ซึ่งก่อตั้งโดยแจ็ค ดอร์ซีย์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Twitter เน้นการเป็นแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถโพสต์ข้อความ รูปภาพ และโต้ตอบกับผู้อื่นได้คล้ายกับ X 

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Bluesky เกิดขึ้นหลังจากที่องค์กรและบุคคลสำคัญ เช่น สำนักข่าว The Guardian และอดีตผู้ประกาศข่าว CNN ดอน เลมอน ประกาศเลิกใช้ X เนื่องจากกังวลเรื่องการควบคุมเนื้อหาที่หละหลวม การแพร่กระจายข้อมูลเท็จในช่วงเลือกตั้ง และการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการให้บริการใหม่ของ X ที่อาจส่งผลต่อข้อกฎหมาย 

แม้ Bluesky จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้ใช้รวมยังตามหลัง Threads ซึ่งมีผู้ใช้งานรายเดือน 252 ล้านคน และ X ที่มีผู้ใช้งาน 317 ล้านคน นักวิเคราะห์เชื่อว่า X ยังคงมีความได้เปรียบในฐานะช่องทางสื่อสารสำคัญของทรัมป์ ซึ่งมีอิทธิพลด้านเครือข่าย ทำให้การเติบโตของแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Bluesky เป็นเรื่องที่ท้าทาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top