โดนแล้ว!! 'สื่อตะวันตก' ปั่นกระแส '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ รับเงินหลวง ปฏิบัติข่าวสารเลือกข้าง แบบที่ฟอกขาวอิสราเอล แต่ดิสเครดิตจีนปมอุยกูร์

มีเรื่องราวอันเป็นข่าวเกี่ยวกับ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ด้วยมีข่าวปรากฏออกมาว่า วันที่ 7 พ.ค. 2567 สื่อต่างประเทศรายหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ได้สัมภาษณ์ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’  ด้วยการเริ่มคำถามทั่วไปเกี่ยวกับ ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ ซึ่งสื่อต่างประเทศรายนั้นถามว่า งบประมาณที่ใช้ทำแอนิเมชันเรื่องนี้มาจากกองทัพ ใช่หรือไม่ หรือการที่ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ในฐานะผู้กำกับตัดสินใจทำแอนิเมชันเรื่องนี้มาจากม็อบเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวเรื่องภารกิจคณะราษฎร ใช่หรือไม่

ตามด้วยคำถามที่เกี่ยวกับการเมืองไทยในปัจจุบัน อาทิ คุณไม่อยากให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลใช่หรือไม่, คุณคิดเห็นอย่างไรกับการยุบพรรคก้าวไกล, คุณเห็นว่า มาตรา 112 มีปัญหาหรือไม่, คุณคิดว่าบทลงโทษ 3-15 ปี ไม่รุนแรงไปหรือ?, แล้วการที่แค่วิจารณ์แล้วต้องติดคุก มันเหมาะสมหรือไม่?, แล้วคุณคิดเห็นอย่างไร? ที่หลายฝ่ายมองว่า ม.112 ละเมิดสิทธิมนุษยชน และ แล้ว มุมมองประชาธิปไตยของคุณเป็นอย่างไร? 

(***สามารถอ่านคำถามและคำตอบของ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ได้ที่ >> https://www.facebook.com/2475animation/posts/pfbid0tkoXHrYutYW3RfNYzGTSAUdRmxQxMvsd6B1aYcuVYr8jPuvSomjKssMw9ujRGXm6l)

จะเห็นได้ว่าคำถามต่าง ๆ ของสื่อต่างประเทศรายนั้นที่ถามต่อสัมภาษณ์ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ เป็นคำถามที่มีลักษณะชี้นำแกมบังคับเพื่อให้ผู้ตอบได้แสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองฟากฝ่ายใดฟากฝ่ายหนึ่ง แต่ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ สามารถตอบคำถามต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แสดงถึงความเป็นกลางทางการเมือง และความถูกต้องตามมาตรฐานของคุณธรรมและจริยธรรมได้อย่างชัดเจน สมควรที่จะได้รับคำชื่นชมจากพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนที่รักในความเป็นธรรมและยึดถือในความถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง

หลายปีที่ผ่านมา ‘สื่อตะวันตก’ ได้เปลี่ยนบทบาทท่าทีจากความเป็นสื่อมวลชนที่มีคุณภาพและจรรยาบรรณ ยึดถือความเป็นกลาง นำเสนอข่าวสารข้อมูลอันเป็นจริงด้วยความเป็นธรรม ไม่เอนเอียงไปทางฟากฝ่ายใดฟากฟากหนึ่งของความขัดแย้ง แต่กาลปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว สื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อตะวันตกจะนำเสนอข่าวสารข้อมูลที่มีลักษณะเลือกข้าง ราวกับรับงานจากรัฐบาลและนายทุนฟากฝ่ายตะวันตกมา ‘ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร’ (Information Operation : IO) โจมตีประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อิหร่าน ฯลฯ

ในขณะที่ประเทศที่โลกตะวันตกสนับสนุนอย่างเช่น อิสราเอล ซึ่งไม่ว่าจะก่ออาชญากรรมเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์ไปมากมายขนาดไหน ก็ไม่เคยถูก ‘สื่อตะวันตก’ ประณามหรือกล่าวร้ายเลย โดย ‘สื่อตะวันตก’ เหล่านั้นต่างพยายามให้ข้อมูลกับชาวโลกว่า อิสราเอลป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ทั้ง ๆ ที่พฤติการณ์และพฤติกรรมที่อิสราเอลทำกับชาวปาเลสไตน์นั้น โหดร้ายและป่าเถื่อน เกินกว่าการป้องกันตัวเองไปจนมากมายเกินไปแล้วก็ตาม 

แต่ในกรณีของการปฏิบัติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อชาวอุยกูร์ ทั้ง ๆ ที่เมืองต่าง ๆ ในดินแดนซินเกียงที่ชาวอุยกูร์อาศัยอยู่นั้นได้รับการพัฒนาความเจริญมากมายในทุก ๆ ด้าน และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเขตกาซ่าหรือเขตเวสต์แบงก์ของชาวปาเลสไตน์ซึ่งถูกอิสราเอลปิดล้อมอยู่นั้น ภาพที่ปรากฏเปรียบเทียบความแตกต่างได้ว่ามากกว่าฟ้ากับเหวเสียด้วยซ้ำไป แต่ ‘สื่อตะวันตก’ ยังคงประณาม กล่าวร้าย จีนว่ากดขี่และละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์ จนมีการแบนผลิตภัณฑ์จากฝ้ายที่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของซินเกียง โดยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจตะวันตก

จากภาพยนตร์แอนิเมชัน ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หากนำเรื่องราวต่าง ๆ มาศึกษาติดตามต่อแล้วจะค้นพบถึงสัจธรรมและปรัชญาทางพุทธศาสนาอย่างน้อย 2 ประการคือ ‘ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย’ (สจจ เว อมตวาจา) และ ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) โดยเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย’ ได้แก่สิ่งต่าง ๆ ที่คณะราษฎรได้ทำแต่ถูกปิดเงียบเก็บงำเป็นความลับมายาวนานกว่า 80 ปีนั้น ปรากฎโดยเอกสารผลสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ หรือสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน (ในขณะนั้น) ซึ่งเป็นรายงานที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี พ.ศ.2480 ได้บอกเล่าอธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎรซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ในการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกมาเป็นกรรมสิทธิของตัวเองและพวกพ้อง ด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต ซึ่งถูกชี้ชัดว่าเป็นวิธีการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ นั้น มาจากการที่ ‘แกนนำคณะราษฎร’ เกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการทหารและพลเรือน เคยเป็นนักเรียนต่างประเทศจึงได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากล้นเกล้าฯ ในหลวง รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ตลอดจนเหล่าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย แต่การปฏิวัติสยาม 2475 นั้น ‘แกนนำคณะราษฎร’ กลับใช้กำลังบังคับจับกุมเหล่าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย ซึ่งหลายพระองค์ได้ทรงให้ความเมตตาเอ็นดูต่อ ‘แกนนำคณะราษฎร’ ตั้งแต่ยังศึกษาเล่าเรียนหรือเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย การกระทำดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนการเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งผลแห่งกรรมของบรรดา ‘แกนนำคณะราษฎร’ เกิดขึ้นอย่างมากมายในภายหลัง แม้คนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้อาจไม่เชื่อ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บรรดา ‘แกนนำคณะราษฎร’ หลายคนนั้นจบชีวิตลงด้วยความทุกข์ทรมาน ยากลำบาก ไม่ด้วยทางกาย ก็ทางใจ และบางคนก็ไม่สามารถมากลับมาสิ้นสุดหยุดชีวิตบนแผ่นดินเกิดได้ 

ดังนั้น ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความเป็นจริงที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์ชาติไทยแล้ว ยังให้ข้อคิด อุทาหรณ์ บทเรียนมากมายแก่ผู้ที่เข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพียงแค่ ‘กระพี้’ แต่กลับปฏิบัติตัวเช่นผู้ที่บรรลุถึง ‘แก่นแท้’ ของประชาธิปไตยแล้ว ซึ่งทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยไม่เคยสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดปัญหาเรื่อยมา ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ได้แสดงให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงและชัดเจนของประโยคที่ว่า ‘เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว กระดุมเม็ดต่อ ๆ ไปก็กลัดผิดหมด’ ขอขอบคุณคณะผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้จะพบพานปัญหาอุปสรรคเยอะแยะมากมาย แต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ บุคคลเหล่านี้ถือได้ว่ามีคุณสมบัติเป็นทองอย่างแท้จริง และเมื่อเป็นทองแล้ว...ย่อมไม่กลัวไฟ!!!


เรื่อง: กองบรรณาธิการ THE STATES TIMES