รู้จัก ‘Fu-Go balloon bomb’ อาวุธลับ ‘กองทัพญี่ปุ่น’ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
เคยเล่าถึงเรื่องของ ‘ภัยความมั่นคง ‘สหรัฐฯ’ ชิงลงมือ สอย ‘บอลลูนจีน’ ร่วงนอกชายฝั่ง หวั่นซ้ำรอย ‘Fu-Go’ บอลลูนมหาภัย เมื่อ 78 ปีก่อน (https://thestatestimes.com/post/2023021803)’ แต่ยังไม่ได้เล่าเรื่องของ Fu-Go บอลลูนมหาภัย ซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หากย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13 เมื่อพายุไซโคลนสองระลอกพัดเข้าโจมตีกองเรือของผู้รุกรานชาวมองโกลนำโดยกุบไลข่าน ด้วยชาวญี่ปุ่นเชื่อมานานแล้วว่า เทพเจ้าได้ส่ง ‘ลมแห่งสวรรค์’ ที่เรียกว่า ‘กามิกาเซ’ เพื่อปกป้องพวกเขา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นเชื่อว่า ลมจะสามารถช่วยพวกเขาชนะสงครามได้อีกครั้ง ด้วยนักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นค้นพบว่า กระแสอากาศทางทิศตะวันตกบนความสูง 30,000 ฟุต ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘กระแสอากาศ Jet’ สามารถขนส่งบอลลูนที่เติมไฮโดรเจนไปถึงทวีปอเมริกาเหนือได้ในเวลา 3-4 วัน (ใช้เวลาประมาณ 70 ชั่วโมงในการข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก) ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เวลา 2 ปี ผลิตบอลลูนหลายพันลูกด้วยหนังที่มีน้ำหนักเบาแต่ทนทาน และกระดาษที่ทำจากต้นหม่อนซึ่งถูกเย็บเข้าด้วยกันจากฝีมือของเด็กนักเรียนหญิงที่ถูกเกณฑ์โดยให้ทำงานไม่สนใจถึงวัตถุประสงค์ที่เลวร้ายของกองทัพ ใช้เชือกยาว 40 ฟุตติดกับบอลลูนผูกอุปกรณ์ทางการทหาร ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์จุดระเบิดและระเบิดแรงสูงขนาด 30 ปอนด์เพื่อปล่อยลงเหนือทวีปอเมริกาเหนือ และสามารถทำให้เกิดไฟป่าครั้งใหญ่เพื่อทำให้เกิดความตื่นตระหนก และอาจทำให้เกิดความขาดแคลนทรัพยากรที่จะนำไปใช้ในสงคราม เมื่อระเบิดหรือไฟไหม้แล้ว อุปกรณ์จุดระเบิดจะทำลายตัวเอง โดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ
ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 1944 ถึงเดือนเมษายน 1945 กองทัพญี่ปุ่นได้เปิดตัวอาวุธที่ไร้คนควบคุมมากกว่า 9,000 ลูกในปฏิบัติการที่มีชื่อรหัสว่า ‘Fu-Go’ บอลลูนส่วนใหญ่ตกลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ฝ่ายใด แต่มีบอลลูนทรงกลมสีขาวรูปทรงทันสมัยกว่า 300 ลูกที่สามารถข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปได้กว่า 5,000 ไมล์ และพบว่า ล่องลอยบนท้องฟ้าทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่เมืองโฮลีครอส มลรัฐ Alaska ไปจนถึงเมืองโนกาเลส มลรัฐ Arizona และไกลออกไปทางตะวันออกอย่างเมืองแกรนด์แรพิดส์ มลรัฐ Michigan ในเดือนมีนาคม 1945 บอลลูนลูกหนึ่งชนเข้ากับสายไฟแรงสูงและทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราวที่โรงงานแฮนฟอร์ด มลรัฐวอชิงตัน ซึ่งกำลังผลิตพลูโตเนียมที่จะใช้ในการสร้างระเบิดปรมาณูซึ่งจะทิ้งที่เมืองนางาซากิในอีกห้าเดือนต่อมา อย่างไรก็ตามไม่มีบอลลูนลูกใดที่ทำให้เกิดอัตรายใด ๆ จนกระทั่งกลุ่มสมาชิกคริสตจักรของ สาธุคุณ Archie Mitchel ไปเจอซากบอลลูนลูกหนึ่งบนภูเขา Gearhart เข้า
สำหรับสาธุคุณ Archie Mitchell ฤดูใบไม้ผลิปี 1945 เป็นฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่สาธุคุณและ Elsie ภรรยาของเขาเท่านั้นที่เฝ้ารอลูกคนแรกของพวกเขา แต่เขายังยอมรับตำแหน่งใหม่ในฐานะศิษยาภิบาลของคริสตจักรพันธมิตรคริสเตียนและมิชชันนารีในเมือง ที่อุดมไปด้วยป่าไม้อันเงียบสงบของเมือง Bly มลรัฐ Oregon เพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น สาธุคุณ Mitchell จึงชวนเด็ก ๆ ห้าคนจากชั้นเรียนในโรงเรียนวันอาทิตย์ของพวกเขา เด็กทุกคนอายุระหว่าง 11 ถึง 14 ปี มาปิกนิกท่ามกลางลำธารที่ไหลแรงจนเต็มไปด้วยฟอง และต้นสน Ponderosa บนภูเขา Gearhart ทางตะวันออกเฉียงเหนือสิบสามไมล์หรือประมาณหกสิบไมล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Klamath Falls ที่อยู่ใกล้ ๆ
วันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม 5 พฤษภาคม 1945 หลังจากขับตัดเข้าถนนลูกรังหนึ่งเลน สาธุคุณ Mitchell ก็จอดรถเก๋งของเขาและเริ่มขนตะกร้าปิกนิกและคันเบ็ด ขณะที่ Elsie ผู้ภรรยากำลังท้องได้ห้าเดือน และเด็ก ๆ ก็เริ่มสำรวจเนินเขาที่ลาดลงไปยังลำห้วยใกล้ ๆ เมื่อ Joan Patzke วัย 13 ปี พบผ้าใบสีขาวแปลก ๆ บนพื้นป่า เด็กสาวซึ่งอยากรู้อยากเห็นได้บอกกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม "ดูสิว่า เราเจออะไร" ขณะที่ Elsie เรียกสามีกลับมาที่รถ "ดูเหมือนบอลลูนบางชนิด" ศิษยาภิบาลมองไปยังกลุ่มเด็ก ๆ ที่ยืนเป็นวงกลมรอบ ๆ จุดแปลก ๆ ที่อยู่ห่างออกไป 50 หลา ในขณะที่เด็กคนหนึ่งเอื้อมมือไปแตะมัน สาธุคุณก็เริ่มตะโกนเตือน แต่ไม่มีโอกาสพูดให้จบก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ เมื่อสาธุคุณวิ่งไปถึงที่นั่น พบพวกเขาตายหมดแล้ว "
การระเบิดครั้งใหญ่บนภูเขาที่เคยเงียบสงบ ทำให้ Elsie รวมถึงทารกในครรภ์และเด็กทั้งห้าถูกระเบิดเสียชีวิตเกือบจะในทันที ผู้ที่เสียชีวิตได้แก่ Elsie Mitchel อายุ, 26 ปี, Dick Patzke อายุ 14 ปี, Jay Gifford อายุ 13 ปี, Edward Engen อายุ 13 ปี, Joan Patzke อายุ 13 ปี และ Sherman Shoemaker อายุ 11 ปี รวม 6 คน เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในบริเวณใกล้เคียงมาถึงที่เกิดเหตุ เขาพบเหยื่อที่ถูกไฟลุกไหม้ราวกับปากปล่องภูเขาไฟที่ระอุ และสาธุคุณวัย 26 ปีก็พยายามตบไฟที่ไหม้บนชุดของภรรยาเขาด้วยมือเปล่าการระเบิดทำให้เกิดหลุมลึก 3 ฟุตกว้าง 3 ฟุต พบชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดกระจายรัศมี 400 ฟุตจากจุดระเบิด
โดยอ้างถึงความจำเป็นในการป้องกันความตื่นตระหนก และหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลบอกตำแหน่งที่อาจทำให้ฝ่ายศัตรูสามารถกำหนดเป้าหมายได้ จึงมีการเซ็นเซอร์รายงานข่าวดังกล่าวโดยกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องการระเบิดบอลลูนของญี่ปุ่น แม้ว่าคนในพื้นที่เมือง Bly หลายคนจะทราบความจริง แต่พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งทางทหารอย่างไม่เต็มใจ และใช้รหัสแห่งความเงียบในโศกนาฏกรรม ดังที่สื่อรายงานว่า เหยื่อเสียชีวิตจาก "การระเบิดโดยไม่ระบุแหล่งที่มา" อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 1945 รัฐบาลได้ตัดสินใจโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน จึงยอมเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของการระเบิดและเตือนชาวอเมริกันให้ระวังบอลลูนสีขาวลักษณะแปลก ๆ ที่พวกเขาอาจพบ
ท้ายที่สุด Fu-Go ก็กลายเป็นความล้มเหลวทางทหารของกองทัพญี่ปุ่น เพราะมีบอลลูนเพียงไม่กี่ลูกก็มาถึงเป้าหมาย และกระแสอากาศ Jet มีพลังเพียงพอในฤดูหนาวเท่านั้น เมื่อสภาพหิมะและความชื้นของป่าในอเมริกาเหนือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของอุปกรณ์การจุดระเบิด เกิดการบาดเจ็บล้มตายเพียงครั้งเดียวคือการระเบิดจนมีการเสียชีวิตของเด็กบริสุทธิ์ 5 คนและหญิงตั้งครรภ์อีกหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสียชีวิตครั้งแรกและครั้งเดียวในทวีปอเมริกา อันเนื่องจากการกระทำของศัตรูในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามบอลลูนระเบิดมีส่วนในการกำหนดอนาคตของสงคราม ในหนังสือ ‘Fu-Go: The Curious History of Japan's Balloon Bomb Attack on America’ Ross Coen ผู้เขียน เรียกอาวุธดังกล่าวว่า ‘ขีปนาวุธข้ามทวีปแบบแรกของโลก’ และการส่งความตายด้วยบอลลูนไร้ตนบังคับได้รับการขนานนามว่า ‘โดรนแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2’ 70 ปีต่อมา บอลลูนระเบิดที่อาจเป็นอันตรายหลายร้อยลูกอาจยังคงตกค้างอยู่ในสถานที่ห่างไกลและทุรกันดารของตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 คนตัดไม้สองคนในเมือง Lumby รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดาก็พบเศษของบอลลูนระเบิดซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายด้วยการระเบิดของเจ้าหน้าที่ EOD ก่อนที่มันจะทำให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมซ้ำกับเมื่อ 70 ปีก่อนอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างสงครามเย็น ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้พัฒนาระเบิดบอลลูน E77 โดยใช้แนวคิดของบอลลูน Fu-Go บอลลูนนี้มีไว้เพื่อสลายสารต่อต้านพืช (สารจำพวกฝนเหลือง) อย่างไรก็ตามไม่มีการใช้ในการดำเนินการ โปรแกรม WS-124A Flying Cloud ใน 1954-1955 ได้ทดสอบบอลลูนในระดับความสูงมาก ๆ เพื่อปล่อยอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง แต่พบว่าไม่สามารถทำได้ เพราะขาดความแม่นยำ
การใช้งานปัจจุบัน ในฉนวนกาซา นักรบปาเลสไตน์ได้ใช้บอลลูนที่มีวัสดุไวไฟ ปล่อยจากเขต Bureij ในฉนวนกาซา นับตั้งแต่การเริ่มต้นของการประท้วงบริเวณชายแดนฉนวนกาซาในปี 2018 ชาวปาเลสไตน์ได้เริ่มจากการใช้ว่าวก่อความไม่สงบต่ออิสราเอลในรูปแบบของการใช้บอลลูนก่อกวน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2018 บอลลูนที่ใช้ก่อความไม่สงบเติมด้วยก๊าซฮีเลียมถูกนำมาใช้ร่วมกับว่าว ลูกโป่งกาซานถูกประดิษฐ์ขึ้นจากลูกโป่งปาร์ตี้ที่บรรจุฮีเลียมหรือถุงยางอนามัยที่ร้อยเข้าด้วยกัน โดยมีเศษผ้าไฟเป็นอุปกรณ์ก่อความไม่สงบอื่น ๆ หรือมีวัตถุระเบิดที่พันอยู่ด้านล่าง ลมที่พัดเข้ามาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้บอลลูนจากฉนวนกาซาเข้าสู่อิสราเอล ตามรายงานใน Ynet เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2018 ว่าวและบอลลูนทำให้เกิดไฟไหม้ 678 ครั้งในอิสราเอล เผาป่าไม้ 910 เฮกตาร์ (2,260 เอเคอร์) พืชผลทางการเกษตร 610 เฮกตาร์ (1,500 เอเคอร์) และทุ่งโล่ง บอลลูนบางลูกตกลงในเขตภูมิภาคเอชคอล และเขตภูมิภาคซดอตเนเกฟ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และมีบอลลูนจำนวนหนึ่งสามารถลอยไปไกลถึงเขต Beersheba ซึ่งอยู่ห่างจากฉนวนกาซาประมาณ 40 กิโลเมตร (25 ไมล์)
👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล